การปรับตัวที่ช้าไป กับความยิ่งใหญ่ที่กลายเป็นอดีตของ MSN Messenger

เริ่มแรกที่เรารู้จัก MSN Messenger นั้นต้องนับย้อนไปตั้งแต่การถือกำเนิดของแพลตฟอร์มนี้ในปี 1999 และ ในภายหลังได้ถูกแปรเปลี่ยนมาเป็น Windows Live Messenger ซึ่งอดีตยักษ์ใหญ่แห่งบริการส่งข้อความถูกปิดฉากบริการไปในวันที่ 31 ตุลาคม 2014 และคุณอาจสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น?

MSN Messenger ได้แข่งขันกับยักษ์ใหญ่ด้านการส่งข้อความอื่น ๆ ในยุคบุกเบิก ซึ่งได้แก่ ICQ, AOL AIM และ Yahoo!  

ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1990 และในช่วงกลางของการเปิดตัว Windows 95 ที่ทำให้ Microsoft เผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ครั้งแรกนั่นคือกระแสความนิยมของอินเทอร์เน็ตในบ้าน 

ยักษ์ใหญ่แห่ง Redmond กำลังจะปล่อยระบบปฏิบัติการใหม่อย่าง Windows 95 และในช่วงไม่กี่เดือนก่อนหน้านั้น Bill Gates ได้ส่งบันทึกให้ทีมผู้บริหารของเขาซึ่งกลายเป็นเอกสารที่มีความหมายมากสำหรับสถานการณ์ของ Microsoft ในขณะนั้น

เอกสารดังกล่าวมีชื่อว่า“ The Tidal Wave” ที่กล่าวถึง ความสำคัญของการพัฒนาอินเทอร์เน็ตสำหรับบริษัทในยุคต่อไป

ใจความสำคัญของเอกสารก็คือ Bill Gates ให้ความสำคัญสูงสุดกับอินเทอร์เน็ต ในบันทึกนี้ Gates ต้องการทำให้ชัดเจนว่าการให้ความสำคัญกับอินเทอร์เน็ตเป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจของ Microsoft ในทุก ๆ ส่วน 

อินเทอร์เน็ตเป็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ IBM เปิดตัวพีซีเครื่องแรกในปี 1981 มันสำคัญยิ่งกว่าการมาถึงของส่วนต่อประสานกราฟิกผู้ใช้ (GUI) เสียอีก

Gates ตกใจกับภัยคุกคามทางอินเทอร์เน็ตที่มีต่อธุรกิจของเขา เขาพิจารณาว่า Microsoft ยังไม่พร้อมสำหรับการมาถึงของอินเทอร์เน็ต และซอฟต์แวร์หลักของ Microsoft ในยุคนั้น ซึ่งก็คือ Internet Explorer และ MSN ยังไม่พร้อมให้บริการ แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็สามารถผลักดันมันออกมาได้พร้อมกับ Windows 95 ในวันเปิดตัวได้แบบฉิวเฉียด

ในเวลานั้นอินเทอร์เน็ตถูกลดขนาดให้เหมาะกับสิ่งที่บริษัทอย่าง AOL หรือ Microsoft ที่มี MSN เสนอบนพอร์ทัลของพวกเขา การรวม MSN เข้ากับ Windows 95 เป็นการกระทำที่นำปัญหาทางกฎหมายมาสู่ Microsoft เนื่องจากคู่แข่งกล่าวหาว่าเขากำลังผูกขาดตลาดในทางที่ผิด

AOL (America OnLine) เป็นรายแรกที่เปิดตัวบริการ AIM (AOL Instant Messenger) ในปี 1997 ซึ่งทันทีที่ผู้ใช้เริ่มเข้ามาใช้บริการนี้มันก็ดังกระฉูดแทบจะทันที แทบจะทุกบ้านของชาวอเมริกันที่ใช้อินเทอร์เน็ตต้องมีบริการของ AIM

เนื่องจากความนิยมของคู่แข่ง Microsoft จึงเปิดตัว Client การส่งข้อความของตัวเองในปี 1999 MSN Messenger ถือกำเนิดขึ้นเป็นบริการแรกที่มีรายชื่อผู้ติดต่อ และบริการส่งข้อความผ่านออนไลน์

ตั้งแต่ต้น MSN Messenger ต้องการเสนอความเป็นไปได้ในการแชทกับผู้ใช้บริการส่งข้อความอื่น ๆ เช่นกัน ดังนั้นเมื่อมีการเปิดตัว พวกเขาก็ได้ทำให้มันสามารถเข้ากันได้กับเครือข่ายของ AIM ซึ่งทำให้ AOL ไม่ชอบใจเป็นอย่างยิ่ง จึงเป็นที่มาของการเริ่มเปิดสงครามระหว่างบริการทั้งสอง

เมื่อใดก็ตามที่ Microsoft เปิดใช้งานการสื่อสารนี้ AIM จะแก้ไขรหัสเพื่อยืนยันว่าลูกค้าสื่อสารกับลูกค้า AIM ได้เพียงเท่านั้น และ block บริการจากทางฝั่งของ MSN Messenger  ซึ่งในที่สุด Microsoft ได้ละทิ้งในความพยายามที่จะเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ของ AIM

ทุกคนที่เป็นวัยรุ่นในช่วงยุคทองของ MSN Messenger จะจดจำความสำคัญของโปรแกรมนี้ ทันทีที่คุณกลับถึงบ้านคุณจะนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์แล้วเปิดโปรแกรมแชทกับเพื่อนที่โรงเรียนด้วย “ Messenger” แทนที่การโทรไปยังโทรศัพท์พื้นฐานซึ่ง MSN Messenger นั้นจะให้ความเป็นส่วนตัวมากกว่า

MSN Messenger ที่เป็นที่นิยมสำหรับวัยรุ่นมาก ๆ ในยุคนั้น
MSN Messenger ที่เป็นที่นิยมสำหรับวัยรุ่นมาก ๆ ในยุคนั้น (CR:CNBC)

MSN Messenger เริ่มที่จะรวมฟังก์ชั่นการใช้งานซึ่งเป็นพื้นฐานของเครือข่ายสังคมออนไลน์ ผู้ใช้แต่ละคนมีแถบสถานะที่เขาสามารถแสดงข้อความส่วนตัวได้ มันเป็นต้นแบบสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้ Facebook ประสบความสำเร็จในทุกวันนี้

นอกจากนี้ปุ่มสถานะยังได้รับความนิยมอย่างมากซึ่งคุณสามารถบอกผู้ติดต่อของคุณได้อย่างรวดเร็วว่า คุณว่าง ไม่ว่าง หรือออฟไลน์อยู่ หรือการตั้งค่าให้มองไม่เห็น ดังนั้นไม่มีใครจะรบกวนคุณได้ผ่าน MSN Messenger 

ฟังก์ชั่นนี้ได้รับความนิยมอย่างมากจนมีการสร้างเว็บไซต์ที่อนุญาตให้รู้สถานะของผู้ใช้แต่ละรายหากมีอีเมลของเขาหรือแม้กระทั่งรู้ว่าเพื่อนมีการบล็อกคุณหรือไม่

เมื่อถึงสิ้นปี 2005 MSN Messenger ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Windows Live Messenger การเติบโตอย่างรวดเร็วของบริการรับส่งข้อความโดยเฉพาะตลาดนอกสหรัฐฯที่ AIM ยังคงเป็นผู้นำ และจีนเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการขยายบริการนี้อย่างรวดเร็วมาก ๆ จนทำให้บริษัท Tencent ตัดสินใจที่จะสร้างบริการส่งข้อความ QQ ของตัวเองออกมา

บริการส่งข้อความมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด : เพื่อให้บริการของตนเองดียิ่งขึ้นแต่ละแพลตฟอร์มจึงมีค่าใช้จ่ายสูงในการบำรุงรักษา แต่ในตอนนั้นมันยังไม่สามารถสร้างรายได้ด้วยตัวเอง และนั่นคือในยุคที่บริการส่งข้อความเป็นเพียงแค่ตัวช่วยให้สมาชิกของบริการอินเทอร์เน็ตภายในพอร์ทัลของพวกเขาเพิ่มมากขึ้นเพียงเท่านั้น ในยุคนั้นพวกเขาไม่ได้มองถึง Business Model รูปแบบอื่น ๆ เหมือนอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน

Business Model ที่เพียงแค่เพิ่มฐานสมาชิกในเว๊บพอร์ทัลหลักเท่านั้น
Business Model ที่เพียงแค่เพิ่มฐานสมาชิกในเว๊บพอร์ทัลหลักเท่านั้น (CR:AOL)

เมื่อก้าวเข้าสู่เดือนมิถุนายน 2009 MSN Messenger ก้าวขึ้นไปสู่จุดสูงสุดมีผู้ใช้งานถึง 330 ล้านคนต่อเดือน แต่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีกำลังก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเมื่อเรากำลังเข้าสู่ยุคสมาร์ทโฟน

แนวคิดเกี่ยวกับเครือข่ายสังคมออนไลน์นั้นกำลังเข้ามากลืนกินเครือข่ายการส่งข้อความ เช่น Windows Live Messenger แน่นอนว่า Facebook ไม่ได้เป็นเครือข่ายโซเชียลมีเดียแห่งแรกที่ทำการเปิดตัว แต่เป็นบริการแรกที่ทำได้ดี และเข้าใจถึงเรื่องเครือข่ายสังคมอย่างแท้จริง

เมื่อเครือข่ายโซเชียลมีเดียของ Mark Zuckerberg คลายข้อจำกัดลงจากเดิมที่ Focus แค่กลุ่มผู้ใช้งานมหาลัยหลังจากเปิดให้ใช้งานกับกลุ่มผู้ใช้อื่น ๆ แบบอิสระมากขึ้น ก็ทำให้ผู้ใช้ส่วนใหญ่เริ่มที่จะหนีออกจาก MSN Messenger มากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ที่แท้จริงอย่าง Facebook 

แต่สิ่งที่ทำให้ Windows Live Messenger ต้องจบชะตากรรมไป คือ การเกิดขึ้นของสมาร์ทโฟน แม้ว่า Microsoft จะไม่พลาดในคลื่นลูกใหม่นี้ และพยายามผลักดัน Windows Live Messenger ไปในทุก ๆ แพล็ตฟอร์มในยุคนั้นไม่ว่าจะเป็น BlackBerry OS, Xbox 360, iOS, Java ME, Symbian หรือแม้แต่เครื่องเล่น mp3 Zune HD ของ Microsoft เอง แต่ดูเหมือนมันไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก

คู่แข่งอย่าง BlackBerry Messenger กลายเป็นผู้บุกเบิกในการส่งข้อความมือถือ แต่มันเป็นเช่นนั้นได้เพียงไม่นาน จนกระทั่งการปรากฏตัวขึ้นของ iPhone ในเดือนมกราคม 2007 การเปิดตัว App Store ในปี 2008 และความนิยมของ Android จากปี 2010 ทำให้ Windows Live Messenger ได้รับผลกระทบอย่างหนักมาก ๆ

Blackberry Messenger ที่กลายเป็นบริการยอดฮิตแรกในยุคของสมา์ทโฟน
Blackberry Messenger ที่กลายเป็นบริการยอดฮิตแรกในยุคของสมา์ทโฟน (CR:TechCrunch)

การล่มสลายของ Messenger สามารถตีความได้ว่าเป็นตัวบ่งชี้ถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นภายหลังในตลาดพีซี 

เมื่อสถานการณ์ตลาดพีซีในขณะนั้นยอดขายกำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นการล่มสลายของ Windows Live Messenger เป็นเหมือนสัญญาณเตือน ที่กำลังบ่งชี้ว่าสมาร์ทโฟนกำลังจะกลายเป็นอุปกรณ์ที่สมบูรณ์แบบเพื่อแทนที่การส่งข้อความแบบเดิม ๆ ผ่านพีซี นั่นเอง

สมาร์ทโฟนถือเป็นการปฏิวัติชนิดหนึ่ง มีบริษัทใหม่ ๆ ที่เริ่มสร้างบริการส่งข้อความบนแพล็ตฟอร์ม สมาร์ทโฟน ไม่วาจะเป็น  WhatsApp, Telegram, Facebook Messenger, Line, WeChat และดูเหมือนว่าพวกเขาก็เข้าใจ Ecosystem ใน สมาร์ทโฟนได้ดีกว่าที่ Microsoft สามารถเข้าใจได้ในยุคนั้น

Windows Live Messenger ไม่สามารถกู้คืนสถานการณ์ที่ตกต่ำลงอย่างต่อเนื่องของยุค Post-PC และในท้ายที่สุด ในช่วงปลายปี 2012 Microsoft ประกาศการรวมบริการ Windows Live Messenger เข้ากับ Skype และในช่วงสิ้นปี 2013 ถือเป็นเป็นการปิดฉากอดีตที่ยิ่งใหญ่ของ Windows Live Messenger ไปในท้ายที่สุด

ต้องบอกว่าถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่น่าสนใจของการไม่สามารถปรับตัวได้ เมื่อธุรกิจถูก Disrupt ซึ่งในยุคนั้นก็คือการเปลี่ยนผ่านจากยุค PC ไปยังยุคของสมาร์ทโฟนที่ดูเหมือน Microsoft นั้นจะปรับตัวช้าเกินไป ทั้งที่บริการอย่าง Windows Live Messenger มีผู้ใช้งานสูงสุดถึงกว่า 300 ล้านคนในยุคนั้น

ซึ่งตัวอย่างดังกล่าว มันแสดงให้เห็นว่า ถึงแม้จะเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่แค่ไหนมีเงินมากมายขนาดไหน แต่ในยุค Disruption นั้น การเคลื่อนตัวที่ช้าอาจจะส่งผลให้ธุรกิจถึงคราวล่มสลายได้ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีเลยทีเดียว เหมือนอย่างที่เราได้เห็นบทเรียนจาก MSN Messenger ในบทความนี้นั่นเองครับผม

References : https://pandorafms.com/blog/what-happened-with-msn-messenger/
https://www.msnmessenger-download.com/rise-and-fall-msn-messenger
https://www.theverge.com/2014/8/29/6082199/msn-messenger-shutting-down-15-years-history
https://community.plus.net/t5/Plusnet-Blogs/The-Rise-and-Demise-of-MSN-Messenger/ba-p/1322022

BlackBerry กับยุครุ่งเรืองที่กลายเป็นสิ่งเสพติดสำหรับสภาคองเกรส

ถามว่าหนึ่งในจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่ทำให้ BlackBerry กลายเป็นอุปกรณ์ที่ยอดฮิตสำหรับชาว อเมริกาเกิดขึ้นเมื่อใด ต้องบอกว่า สภาคองเกรส ของสหรัฐถือเป็นอีกหนึ่งตัวแปรที่สำคัญในการเจาะตลาดอเมริกาได้สำเร็จของ BlackBerry

ต้องย้อนกลับไปที่เหตุการณ์ 9/11 ที่อเมริกาถูกโจมตี ที่ตอนนั้นมีแทบจะเครือข่ายเดียวที่สามารถติดต่อกับภายนอกได้นั่นก็คือ BlackBerry แม้ว่า email จะมีความล่าช้าด้วยความแออัดของเครือข่าย แต่ email เหล่านั้น ก็เข้าคิวและส่งในไม่กี่วินาทีต่อมา ซึ่งล้วนเป็น สิ่งสำคัญที่ คนที่อยู่ในตึกต้องการส่ง message ไปหาคนที่เค้ารัก

หลังจาเหตุการณ์ 9/11 ทำให้ หน่วยงานดับเพลิง รวมทั้งหน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐ เข้ามาลงชื่อเพื่อใช้งาน BlackBerry กันอย่างกว้างขวาง

ในสภาคองเกรส ที่ BlackBerry สามารถบุกเข้ามาได้อย่างจริงจัง ครั้งแรก เมื่อนักการเมือง และพนักงานทุกคนได้รับอุปกรณ์ และผู้แนะนำก็ได้ชักชวนสมาชิกรัฐสภาและผู้ทำธุรกิจในวอชิงตันก็ทำตาม

และมันได้ทำให้ Capitol Hill กลายเป็นมหานครแห่งแรกของ BlackBerry

BlackBerry เจาะสภาคองเกรสได้สำเร็จด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย
BlackBerry เจาะสภาคองเกรสได้สำเร็จด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย

และด้วยความโชคดีที่เครื่องบินที่จะมาโจมตีรัฐสภา นั้นตกไปเสียก่อน ทำให้ Fred Upton ตัวแทนจากรัฐมิชิแกน ซึ่งเป็นเจ้าของ BlackBerry อยู่แล้ว เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่สามารถรับข้อความเข้าออกได้ในช่วงที่เกิดความโกลาหล

และนั่นเองที่ทำให้เป็นสาเหตุให้ BlackBerry กลายเป็นบริการที่มีชื่อเสียงในด้านความปลอดภัยในสหรัฐอเมริกาทันที

เมื่อเผชิญกับหลากหลายวิกฤติในยุคนั้น ทำให้ รัฐสภาสหรัฐได้ทุ่มเงิน 6 ล้านดอลลาร์ เพื่อซื้อ BlackBerry Enterprise Servers และ อุปกรณ์อีกกว่า 3,000 ตัว สำหรับสมาชิกวุฒิสภาทั้ง 100 คน สมาชิกสภา 435 คน และ เจ้าหน้าที่อีกหลายพันคน และไม่มีขู่แข่งอื่นๆ เลยที่จะมาสู้ในการเข้าสู่คองเกรส ครั้งนี้ของ BlackBerry

และไม่นาน BlackBerry ก็ได้กลายเป็นหนึ่งในอุปกรณ์ที่ เหล่าสมาชิกในสภาคองเกรสเสพติดอย่างหนัก ภายในเวลาไม่กี่ปี สภาคองเกรส ได้ ติดตั้งมากกว่า 8,200 เครื่อง และ Server ของรัฐสภา ต้องจัดการกับข้อความและอีเมล มากกว่า 25 ล้านข้อความต่อเดือน

และจากนั้น BlackBerry ก็ได้กลายเป็นสิ่งสำคัญของรัฐสภาอย่างรวดเร็ว จนถึงขนาดที่ว่า อดีตประธานาธิบดี บารัก โอบามา ก็ใช้เครื่องมือของ BlackBerry เป็นอุปกรณ์สื่อสารหลักนับจากนั้นเป็นต้นมานั่นเองครับผม

References : https://www.popularmechanics.com/technology/gadgets/a21636/blackberry-use-ending-on-capitol-hill/
https://www.blackberry.com/us/en/company/newsroom/press-releases/2016/blackberry-software-selected-for-u-s–senate-crisis-communications-on-capitol-hill
https://digital.hbs.edu/platform-digit/submission/blackberrys-fall-from-grace/
https://www.gettyimages.com/photos/senator-blackberry

ประวัติ Jan Koum ผู้ก่อตั้ง WhatsApp ชีวิตจริงที่ยิ่งกว่าละคร

Jan Koum เด็กน้อยชาวยิว เกิดในปี 1976 ที่เมือง Kiev เหมืองหลวงของประเทศ ยูเครน โดยแม่ของเขานั้น รับทำงานเป็นแม่บ้าน ส่วนพ่อของเขาเป็นผู้จัดการใน Site งานก่อสร้าง ต้องบอกว่าเป็นชีวิตที่ลำบากตั้งแต่วัยเยาว์ สำหรับ Jan Koum เนื่องจากประเทศยูเครนในขณะนั้นถือเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต

Koum ได้เคยบรรยายเกี่ยวกับสภาพการใช้ชีวิตของเขาในวัยเด็ก โรงเรียนที่เขาเรียนตอนเด็กนั้น ไม่มีแม้กระทั่งห้องน้ำจะใช้ แถมอากาศของประเทศยูเครน ก็เป็นหนึ่งในประเทศที่มีสภาพภูมิอากาศที่เลวร้ายที่สุดที่หนึ่งของโลก บ้านของเขาแทบจะไม่มีไฟฟ้าใช้ และแน่นอนว่าเขาไม่สามารถอาบน้ำอุ่น ๆ ผ่านเครื่องทำน้ำอุ่นได้เหมือนเด็กคนอื่น ๆ

หนีตายสู่ประเทศอเมริกา

และแน่นอนว่าด้วยสงครามที่มีความวุ่นวายในยูเครนในขณะนั้น ทำให้ครอบครัวของเขาต้องอพยพ ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่ ณ เมืองเมาน์เทนวิว ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยในตอนแรกนั้นพ่อของเขาไม่ได้ตามมาด้วย มีเพียงแค่เขากับแม่ของเขาเท่านั้น ที่ย้ายมาตั้งถิ่นฐานที่ประเทศอเมริกา

แต่เหมือนโชคชะตาที่เล่นตลกกับเขาอีกครั้ง เพราะหลังจากย้ายมาอยู่อเมริกาไม่นาน แม่ของเขาก็ตรวจพบว่าตัวเองป่วยเป็นโรคมะเร็งและไม่สามารถออกไปทำงานได้ ซึ่งในขณะนั้นเขามีอายุได้เพียง 16 ปีเท่านั้น

ชีวิตของ Koum จึงต้องพึ่งสวัสดิการของรัฐ และ แสตมป์อาหาร ที่รัฐบาลแจกให้กับคนยากจน เพื่อมาประทังชีวิตไปวัน ๆ ให้ได้ และเพียงไม่นานหลังจากที่แม่เขาต่อสู้กับโรคร้ายอย่างมะเร็ง ก็เสียชีวิตลงในปี 2000 ขณะที่พ่อของเขานั้นเสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 1997 แล้ว คงเหลือเพียงตัวเขาเท่านั้นที่ต้องดิ้นรนต่อสู้ชีวิตในประเทศอเมริกาเพียงคนเดียวเท่านั้น

เปลี่ยนความยากจนให้เป็นแรงผลักดันชีวิต

ความยากจน คือ สิ่งที่ทำให้เด็กหนุ่ม Koum ในวัย 18 ปี ที่เพิ่งเข้ามาใช้ชีวิตในอเมริกา ได้มีโอกาสศึกษาเรื่องระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ด้วยตนเอง ซึ่งเขาเรียนรู้จากหนังสือคู่มือที่ซื้อมาจากร้านหนังสือมือสอง

วัย 19 ปี Koum ได้เข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยแซน โฮเซ (San Jose University) ในขณะที่ตอนกลางคืนทำงานให้กับบริษัท Ernst & Young ตำแหน่ง Security Tester

โดยในปี 1997 เมื่อเขาอายุได้ 21 ปี Brian Acton ได้ชักชวนให้เขามาทำงานที่ Yahoo! ในตำแหน่ง Infrastructure Engineer

หลังจากได้งานที่ Yahoo! เพียง 2 อาทิตย์ มี Server ตัวหนึ่งของเว๊บไซต์ Yahoo เสีย David Filo หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Yahoo! ได้โทรตามตัว Koum ให้มาช่วยดู Server ตัวนั้น ซึ่งเขาตอบกลับไปว่ากำลังเรียนอยู่

Koum และ Acton ที่ก่อนจะกลายมาเป็นคู่หูสร้าง WhatsApp

แต่ Filo ซึ่งเป็นเจ้านายไม่สนใจ บังคับให้เขารีบมาที่ออฟฟิศโดยด่วน ซึ่งเหตุการณ์นี้นี่เองที่ทำให้ Koum ได้ตัดสินใจออกจากมหาวิทยาลัยกลางคัน เพื่อทำงานที่ Yahoo! แบบเต็มเวลา ซึ่งเขาก็ทำงานที่นี่ได้ 9 ปี จนเขาตัดสินใจลาออกในปี 2007

ก่อกำเนิด WhatsApp โปรแกรม Messenger ที่ใช้งานฟรี!

หลังจากออกจาก Yahoo และได้พักผ่อนไม่ได้ทำงานเป็นเวลา 1 ปี ต่อมาในปี 2009 พวกเค้าทั้งสองคนก็เกิดอยากทำงานอีกครั้งจึงไปสมัครงานที่ Facebook แต่ Facebook ไม่รับพวกเค้าเข้าทำงานอย่างไร้เยื่อใย

ในปี 2009 นั้นเอง Brian Acton และ Jan Koum ได้ซื้อ iPhone มาใช้ ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้พวกเค้าเกิดไอเดียขึ้นมาทันทีว่า iPhone ที่มีระบบ App Store นี่แหละที่จะเป็นตัวเปลี่ยนอุตสาหกรรมซอฟแวร์ และ iPhone นี่แหละที่น่าจะต้องการใช้ระบบอะไรสักอย่างที่จะสามารถทำให้พวกเค้าติดต่อกับผู้ที่ใช้ BlackBerry ได้ พวกเค้าใช้เวลาคิดอยู่ไม่นานและชื่อ WhatsApp ก็เกิดขึ้นโดน Jan Koum นี่แหละที่เป็นผู้เลือกชื่อ เพราะมันฟังดูเหมือน What’s Up ดี

WhatsApp จึงถูกจดทะเบียนในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ในปี 2009 และถูกปล่อยครั้งให้ใช้ครั้งแรกในเดือน พฤษภาคม ปีเดียวกันนั่นเอง แต่ก็ยังพบข้อผิดพลาดอยู่เยอะมาก ซึ่งเขาได้ให้พวกเพื่อน ๆ ของเขาช่วยกันทดสอบและหาข้อผิดพลาดของระบบให้มากที่สุด

และจุดเปลี่ยนที่สำคัญอีกครั้งนึงก็คือ ในปีนั้น Apple ได้ปล่อยฟีเจอร์ Push Notification ทำให้ WhatsApp ได้รับประโยชน์จากฟีเจอร์นี้ไปเต็ม ๆ และเขายังพบว่าผู้ใช้บริการ WhatsApp ส่วนใหญ่นั้น จะใช้มันเหมือนเป็นแอพแชทมากกว่า

Push Notification ที่ Apple ได้ปล่อยออกมานั้นดูจะเข้าทาง Whatsapp เสียเหลือเกิน

ต้องบอกว่าในขณะนั้นบริการส่งข้อความฟรี มีเพียงแค่ BBM เท่านั้น ซึ่งจำกัดแค่สำหรับผู้ใช้งาน BlackBerry (BB) ด้วยกันเอง แม้จะมี G-Talk ของ Google และ Skype ที่ถูก Microsoft ซื้อมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

แต่ WhatsApp นั้นแตกต่าง เพราะใช้เพียงแค่เบอร์โทรศัพท์ในการ Login ซึ่งความแตกต่างนี้มาจากการตระหนักเรื่อง Privacy ในวัยเด็ก ทำให้ WhatsApp ไม่มีการเก็บข้อมูลผู้ใช้เลยในช่วงแรกของการพัฒนา ทำให้ผู้ใช้มั่นใจที่จะใช้ WhatsApp เป็นอย่างมาก แตกต่างจากบริการอื่น ๆ ที่มุ่งเก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้เพื่อไปหาเงินอีกทางหนึ่ง

ดังนั้นพวกเขาจึงรีบพัฒนา Features ต่อทันทีและเมื่อ WhatsApp 2.0 ที่รองรับการแชทถูกปล่อยออกมา ปรากฏว่าได้มีผู้ใช้งานเข้ามาอย่างถล่มทลายถึง 250,000 คน เขาจึงชักชวนให้ Acton มาช่วยกันพัฒนาและทำให้มันกลายเป็นธุรกิจที่จริงจังเสียที

No Ads, No Games ,  No Gimmicks

ต้นปี 2011 WhatsApp ติดอันดับ Top 20 ใน App Store ของอเมริกา และสองหนุ่มเริ่มมองหาเงินทุนสำหรับการเติบโต มีนักลงทุนหลายรายให้ความสนใจ โดยเหล่านักลงทุนก็พยายามเกลี้ยกล่อมให้ WhatsApp ใช้โฆษณาเป็น Business Model ซึ่งสองผู้ก่อตั้งปฏิเสธ เพราะเกลียดโฆษณา ดังนั้นที่โต๊ะทำงานของ Koum จึงมีกระดาษแผ่นหนึ่งแปะไว้ว่า No Ads! No Games! No Gimmicks! นั่นเอง

No Ads , No Games , No Gimmicks concept หลักของ Whatsapp

ถูก Facebook ซื้อไปมูลค่ากว่า 1.9 หมื่นล้านเหรียญ!!!

ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2013 WhatsApp มีผู้ใช้งานทั่วโลกประมาณ 200 ล้านคน มีพนักงาน 50 คน และมีการระดมทุนเพิ่มจาก Sequoia บริษัทด้านการลงทุนชื่อดังใน Silicon Valley จำนวน 50 ล้านเหรียญ ทำให้บริษัทมีมูลค่าสูงขึ้นกว่า 1.5 พันล้านเหรียญ

และในเดือน ธันวาคม ปีเดียวกันนั้นเองที่ WhatsApp เติบโตจนมีผู้ใช้งานทั่วโลกกว่า 450 ล้านคนต่อเดือน ซึ่งเร็วกว่าบริการ Social Network ทุกตัวในตอนนั้น ซึ่งจำนวนผู้ใช้ที่มหาศาลก็ไปเข้าตา Mark Zuckerberg CEO ของ Facebook จนขอเข้าซื้อกิจการในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2014 ด้วยเงินจำนวน 1.6 หมื่นล้านเหรียญ พร้อมหุ้นประเภทจำกัดสิทธิ์อีก 3 พันล้านเหรียญ ทำให้ Koum และ Acton กลายเป็นมหาเศรษฐีหน้าใหม่ทันทีจากการถือหุ้น 45% และ 20% นั่นเอง

ซึ่งเมื่อเรามามองถึงอัตราการเติบโตของ users ของ WhatsApp ก็ค่อนข้างน่าตกใจว่า 4 ปีแรกนั้น whatsapp นั้นสร้างฐานการเติบโตของ User ได้ดีกว่าเจ้าของใหม่อย่าง (facebook) เสียอีกซึ่งถือว่าดีสุดในบรรดา social network ต่าง ๆ  ที่มีมาในประวัติศาสตร์วงการเทคโนโลยีเลยก็ว่าได้

ซึ่งตัวเลขพวกนี้คงเป็นตัวเลขที่สำคัญที่ทำให้ facebook นั้นได้ทุ่มทุนขนาดนี้แล้วค่อยมาหารูปแบบ business model ในภายหลังซึ่งก็เหมือนกับที่ google ทุ่มทุนซื้อ youtube ในอดีตตอนนั้นกว่า 1.6 พันล้านเหรียญ ซึ่งถือว่ามากในขณะนั้น

แต่ตอนนี้คนก็คงไม่ต้องสงสัยกันแล้ว google มองเกมส์ขาดมากในตอนนั้นที่รีบซื้อ youtube เข้ามา ซึ่งถ้าตีมูลค่าตอนนี้ youtube นี่คงทะลุ 2 หมื่นล้านเหรียญเข้าไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ซึ่งหากวิเคราะห์จริง ๆ เราก็พอมองเห็นในอนาคตว่า บริษัทด้านซอฟแวร์ ที่เน้นไปที่การเก็บข้อมูล User Data จะมีมูลค้าที่สูงกว่า hardware ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และจะเป็นผู้ takeover กิจการของบริษัท hardware ทั้งหลายแทน โดยเฉพาะเหล่าบริษัทที่มี data ข้อมูลผู้ใช้งานซึ่งตีมูลค่าได้มหาศาลนั่นเองครับ

References :
http://www.forbes.com/sites/parmyolson/2014/02/19/exclusive-inside-story-how-jan-koum-built-WhatsApp-into-facebooks-new-19-billion-baby/
http://www.wired.co.uk/news/archive/2014-02/19/WhatsApp-exclusive
https://en.wikipedia.org/wiki/WhatsApp
https://en.wikipedia.org/wiki/Jan_Koum
https://www.cnbc.com/2018/01/19/how-jan-koum-got-the-idea-for-whatsapp.html
https://i.ytimg.com/vi/k7Q59an0kME/hqdefault.jpg

ประวัติ Blackberry อดีตราชันผู้ยิ่งใหญ่แห่งวงการมือถือโลก

ปี 1984 สองหนุ่มคู่หูวิศวกรต่างมหาวิทยาลัยอย่าง Mike Lazaridis นักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งวอเตอร์ลู และ Douglas Fregin นักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแห่งวินเซอร์  ร่วมกันเปิดบริษัทชื่อ Research In Motion (RIM)

โดยที่ในช่วง 4 ปีแรกของการก่อตั้งบริษัทนั้น ทั้งสองได้สร้างบริการสำหรับรับส่งข้อมูลขนาดสั้นผ่านเครือข่ายไร้สาย เลียนแบบ Walkie – Talkie ซึ่งบริษัท RIM ที่ทั้งสองเป็นผู้ก่อตั้งนั้น ยังกลายเป็นบริษัทแรกนอกเขตสแกนดิเนเวียที่พัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับการเชื่อมต่อให้กับระบบเครือข่ายการสื่อสารข้อมูลแบบแพ็กเกตสวิตชิ่งไร้สาย ซึ่งลูกค้ากลุ่มแรก ๆ ของพวกเขานั้นเป็นองค์กรของรัฐบาล เช่น ทหาร ตำรวจ ตำรวจดับเพลิง และโรงพยาบาล

เมื่อผ่านมาถึงปี 1996 RIM ได้ออกเพจเจอร์ของตัวเอง ชื่อ RIM Inter@ctive 900 เป็นเพจเจอร์แบบที่มีจอที่สามารถพับได้เครื่องแรกที่มีแผงปุ่มกดติดมาด้วย ทำให้คู่สนทนาทั้ง 2 ฝ่ายนั้นสามารถที่จะส่งข้อความหากันเองได้โดยที่ไม่ต้องโทรเข้าไปฝากข้อความกับโอเปอร์เรเตอร์เหมือนในอดีต

RIM Inter@ctive 900 นวัตกรรมใหม่ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในขณะนั้น
RIM Inter@ctive 900 นวัตกรรมใหม่ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในขณะนั้น

ซึ่งนี่เองที่ได้กลายเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในยุโรปและอเมริกา ทำให้ RIM ได้ออกเพจเจอร์ตามมาอีกหลายๆ รุ่น ทำให้ปีต่อมา (1997)  RIM ได้เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ของโตรอนโตในประเทศแคนาดา และสามารถที่จะระดมเงินทุนได้กว่า 3,680 ล้านบาท

แบล็คเบอร์รี่ (BlackBerry) เป็นสมาร์ตโฟนและโทรศัพท์มือถือที่ถูกสร้างขึ้นโดย บริษัทแบล็คเบอร์รี่จำกัด (BlackBerry Limited) ซึ่งเดิมก็คือ บริษัทรีเสิร์ชอินโมชั่น (Reserch in Motion Limited – RIM) นั่นเอง โดย Blackberry เครื่องแรกนั้นได้การเริ่มผลิตขึ้นในปี 1999 โดยมีลักษณะเป็นเพจเจอร์แบบสองทาง


ส่วนของมือถือ BlackBerry เครื่องแรกที่มาพร้อมกับแผงปุ่มกด QWERTY เหมือนบนคีย์บอร์ดบนคอมพิวเตอร์ ถูกเปิดตัวขึ้นในปี 2002 ในชื่อรุ่น Blackberry 6710 และตลอดเวลาที่มีการผลิตมือถือ โดยส่วน User Interface ที่โด่งดังและเป็นที่นิยมที่สุดของ BlackBerry คือแป้นพิมพ์แบบ QWERTY ขณะที่ BlackBerry รุ่นใหม่ ๆ จะใช้ส่วนประสานงานผู้ใช้แบบหน้าจอสัมผัสและคีย์บอร์เสมือนดังเช่น iPhone

BlackBerry สามารถ่ายรูปและวิดีโอ รวมถึงเล่นเพลงได้ นอกจากนั้นยังตอบสนองการใช้งานด้านอีเมล์ เว็บเบราว์เซอร์ เมสเซนเจอร์ โดยเฉพาะ BlackBerry Messenger ซึ่งบริษัท BlackBerry เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ และเคยเป็นที่นิยมของผู้ใช้ทั่วโลก

ฉีกกรอบมือถือเดิม ๆ ด้วยนวัตกรรมคีย์บอร์ด QWERTY
ฉีกกรอบมือถือเดิม ๆ ด้วยนวัตกรรมคีย์บอร์ด QWERTY

ในปี 2011 BlackBerry กินส่วนแบ่งตลาด โทรศัพท์มือถือ ทั่วโลกได้ถึง 3% กลายเป็นผู้ผลิตโทรศัพท์มือถืออันดับ 6 ของโลก ระบบอินเทอร์เน็ตของBlackBerry เปิดให้บริการใน 91 ประเทศ ทั่วโลก ภายใต้ผู้ให้บริการเครือข่ายกว่า 500 ราย ในเดือนกันยายน ปี 2012 มีผู้ใช้ BlackBerry ถึง 80 ล้านเครื่องทั่วโลก

โดยผู้คนกลุ่มประเทศแคริบเบียนและละตินอเมริกาใช้แบล็คเบอร์รี่มากที่สุด คิดเป็น 45% ของจำนวนเครื่อง BlackBerry ที่มีจำหน่ายทั้งหมดทั่วโลก แม้กระทั่งประธานาธิบดีสหรัฐอย่าง บารัก โอบามา ก็ใช้งาน BlackBerry เป็นมือถือเครื่องหลักของเขา

แต่สุดท้ายแล้ว BlackBerry ก็ตัดสินใจไปมุ่งเน้นการพัฒนาซอฟต์แวร์บนสมาร์ทโฟนมากกว่าการพัฒนาตัวอุปกรณ์ และจะส่งต่อส่วนธุรกิจการผลิตสมาร์ทโฟนให้กับแบรนด์ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรายอื่นรับช่วงไปแทน

สุดท้ายเดิมพันดังกล่าวก็ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง รายได้ของทางบริษัทมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี  2010 ซึ่ง ณ เวลานั้นถือเป็นจุดสูงสุดของความนิยมในมือถือ BlackBerry รวมถีง แอพพลิเคชั่นแชท BlackBerry Messenger และระบบอีเมลเทคโนโลยีขั้นสูงทำให้เกิดกระแสฮิตในหมู่กลุ่มผู้ใช้งานหนุ่มสาวและผู้ใช้งานเชิงธุรกิจ แม้กระทั่งในประเทศไทยเอง Blackberry ก็กลายเป็นมือถือยอดนิยมอยู่ชั่วขณะหนึ่งเลยด้วยซ้ำ

จนกระทั่งการเกิดขึ้นของ iOS ของ Apple และ Android ของ Google ที่มาพร้อมแอพพลิเคชั่นนับล้านและระบบทัชสกรีนเต็มรูปแบบก็ทำให้ผู้ใช้งานทั่วโลก มอง BlackBerry ว่าอุปกรณ์ของพวกเขา เป็นสิ่งที่ล้าสมัยไปเสียแล้ว และ Blackberry Messenger อาวุธหลักของพวกเขาก็ไม่สามารถดึงดูดใจได้อีกต่อไปเมื่อมีการเกิดขึ้นของ Chat Platform ใหม่ที่ใช้งานทุกอย่างได้ฟรี อย่าง Whatsapp

แม้ว่าในปี 2012  Blackberry จะพยายามกอบกู้สถานการณ์ด้วยการเข็นผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ออกสู่ตลาดทั้ง BlackBerry Q10, Z10และล่าสุด Z30 แต่ยอดขายโดยรวมยังลดลงอย่างต่อเนื่อง สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆของ Blackberry นั้นถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นการปรับเปลี่ยนเฉพาะการออกแบบรูปลักษณ์และเพิ่มลักษณะพิเศษในการใช้งาน

แม้จะพยายามออกรุ่นใหม่เป็นมือถือแบบทัชสกรีน แต่มันก็สายไปเสียแล้วสำหรับ Blackberry
แม้จะพยายามออกรุ่นใหม่เป็นมือถือแบบทัชสกรีน แต่มันก็สายไปเสียแล้วสำหรับ Blackberry

แต่มันได้ขาด “นวัตกรรม” ใหม่ๆ และผู้บริหารของบริษัทก็ถูกมองว่ายึดติดกับความสำเร็จในช่วงต้นศตวรรณที่ 21 ที่ Blackberry เคยเขย่าวงการสมาร์ทโฟนในฐานะเครื่องมือสำหรับนักธุรกิจอย่างไร้คู่แข่งมากจนเกินไป

ซึ่งในท้ายที่สุดแล้วนั้น สมาร์ทโฟนภายใต้แบรนด์ BlackBerry ก็เหลือแค่เพียง “ตำนาน” หน้าหนึ่งที่เคยบันทึกไว้ในวงการธุรกิจมือถือว่าเคยเป็นดาวรุ่งพุ่งแรง แต่ตอนนี้แทบจะไม่เหลือพื้นที่ยืนบนตลาดมือถือโลก เหมือนดั่งที่เราได้เห็นในปัจจุบันนั่นเองครับ

References : 
https://www.wikipedia.org
https://www.pocket-lint.com/phones/news/137319-farewell-blackberry-os-here-are-the-23-best-blackberry-phones-that-changed-the-world
https://www.silicon.co.uk/e-innovation/science/tales-tech-history-blackberry-223557

Smartphone War ตอนที่ 6 : Deep Impact

แน่นอนว่าการเกิดขึ้นของ iPhone นั้นได้ส่งผลกระทบไปทั่วทั้งตลาดมือถือโลกเลยก็ว่าได้ เหล่าผู้ผลิตมือถือยักษ์ใหญ่ ที่คาดไม่ถึงว่า Apple จะสามารถสร้างสิ่งที่กำลังจะมาปฏิวัติวงการมือถือโลกอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนได้ มันเป็นการเปลี่ยนไปแบบสิ้นเชิงระหว่างยุคก่อน iPhone กับ มือถือยุคหลัง iPhone ก่อกำเนิดขึ้นมานั่นเอง

และมีเสียงวิจารณ์ตามมามากมาย หลังการเปิดตัวของ iPhone โดย สตีฟ จ๊อบส์ ซึ่งแน่นอนว่าเหล่าผู้บริหารที่เกี่ยวข้องในวงการธุรกิจมือถือนั้น ได้ให้ความเห็นที่แตกต่างกันมากมาย ตัวอย่างเช่น สตีฟ บอลเมอร์ CEO ของ Microsoft นั้น ถึงกับหัวเราะดังลั่น หลังจากสื่อได้เข้าไปถามหลังการเปิดตัว iPhone ซึ่ง บอลเมอร์ นั้นมองว่า iPhone จะไม่สามารถดึงดูดลูกค้าธุรกิจได้ เพราะมันไม่มีแป้นพิมพ์ และ Microsoft นั้นก็มีกลยุทธ์ของตัวเองสำหรับ Windows Mobile แล้วและกำลังไปได้สวยอยู่ในตลาด

สตีฟ บอลเมอร์ CEO Microsoft ไม่เชื่อว่า iPhone จะมาเขย่าตลาดได้
สตีฟ บอลเมอร์ CEO Microsoft ไม่เชื่อว่า iPhone จะมาเขย่าตลาดได้

แม้กระทั่งเหล่าสื่อต่าง ๆ ก็ยังไม่คิดว่า iPhone จะสามารถที่จะแจ้งเกิดในตลาดมือถือได้ และมอง iPhone เป็นแค่ของเล่นฉาบฉวย ของพวกคลั่งสินค้าไฮเทคเท่านั้น และมันคงไม่สามารถเข้าสู่ตลาด mass ให้กับลูกค้าทั่วไปเข้าถึงได้อย่างแน่นอน

แน่นอนว่า Apple นั้นเพิ่งเข้ามาในตลาดนี้ แต่เป็นการแหกกฏเกณฑ์ทุกอย่างที่ เหล่ามาเฟียที่คอยคุมเครือข่ายมือถือทั้งหลายได้ตั้งไว้ Apple ไม่ได้มีความคุ้นเคยเลยกับเหล่าบริษัทที่ดูแลเครือข่ายมือถือ

เพราะบริษัทพวกนี้นั้นจะให้เงินอุดหนุนราคามือถือเป็นหลัก และหวังคืนเงินจากการคิดค่าบริการโทรศัพท์และบริการข้อมูลต่าง ๆ ผ่านเครือข่ายนั่นเอง และในที่สุดเหล่าคู่แข่งอย่างเช่น Nokia ก็จะถล่ม iPhone ด้วยข้อตกลงที่ทำให้เหล่าค่ายโทรศัพท์มือถือไม่ขาย iPhone นั่นเอง

ซึ่ง Apple นั้นกำลังจะทำกับเหล่าเครือข่ายเหล่านี้ เหมือนที่เขาเคยทำได้กับค่ายเพลง นั่นคือ โน้มน้าว แบบจำลองทางธุรกิจแบบใหม่ ที่ทำให้ข้อมูลนั้นเปรียบเสมือนเป็นสินค้า และทำกำไรจาก Hardware ตั้งแต่ต้น และไม่ให้เหล่าเครือข่ายเหล่านี้มอง Apple เป็นภัยคุกคาม

ส่วน RIM ผู้ผลิต Blackberry ที่กำลังกลายเป็นสินค้ายอดฮิตติดตลาดอยู่ในขณะนั้น ไม่ได้มอง iPhone เป็นภัยคุกคามแต่อย่างใด และไม่ได้มีแผนใด ๆ กับ iPhone ที่กำลังจะกลายมาเป็นคู่แข่งที่สำคัญ เพราะเหล่าผู้บริหารต่างมองว่ายังไง ๆ เหล่าลูกค้าก็หลงรัก Blackberry อยู่แล้ว

แต่แม้ธุรกิจของ RIM นั้นจะยังเติบโตต่อไปได้ แต่การเข้าสู่ตลาดของ iPhone ได้สร้างผลกระทบใหญ่หลวง เพราะ iPhone ได้นำทางให้คนเข้าสู่เว๊บไซต์บนมือถือ ซึ่่งเมื่อเทียบกับ Browser ของ Blackberry นั้นถือว่าแย่มาก ๆ แต่ iPhone นั้นมีโปรแกรม Safari ที่ใช้ท่องเว๊บที่ใช้งานง่ายมาก ๆ และยังมี Function Touch and Zoom เพื่อขยายหน้าจอได้อีกด้วย

และผลกระทบที่เกิดขึ้นดูเหมือนจะส่งผลต่อ Google มากกว่าใครเพื่อน เพราะตอนนั้น Rubin ได้วางแผนสร้างมือถือที่มีแป้นพิมพ์ QWERTY เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงต้องมีการยกเลิกการพัฒนามือถือ Android ที่มีแป้นพิมพ์ทันที แม้มันใกล้จะเสร็จเต็มทีแล้วก็ตาม

เดิมที Android ถูก Design มาให้ใช้ QWERTY Keyboard แบบเดียวกับ  Blackberry
เดิมที Android ถูก Design มาให้ใช้ QWERTY Keyboard แบบเดียวกับ Blackberry

Rubin เมื่อได้เห็นการเปิดตัวของ iPhone ก็มองได้อย่างชัดเจนว่า จอสัมผัส จะกลายเป็นอนาคตของวงการมือถือโลกได้อย่างแน่นอน Apple ได้เปลี่ยนวงการมือถือไปทุกอย่างจริง ๆ แต่มีน้อยคนนักที่พอจะสังเกตเรื่องดังกล่าวได้ เพราะทุกคนต่างประมาทการเกิดขึ้นของ iPhone นั่นเอง

และอีกกลุ่มนึงที่ปั่นป่วนที่สุดในการเปิดตัวของ iPhone ก็คือ เหล่าพวกค่ายโทรศัพท์มือถือที่เป็นตัวกลางทั้งหลาย เดิมทีนั้นพวกเขาสามารถที่จะ Control ทุกอย่าง เรียกได้ว่าเป็นมาเฟียในวงการมือถือเลยก็ว่าได้

เพราะข้อมูลต่าง ๆ จาก Hardware ที่เป็นมือถือนั้นต้องวิ่งผ่านเครือข่ายของพวกเขา ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขามีสิทธิ์ที่จะให้อัพเดท Software ต่าง ๆ  ให้กับเหล่าผู้ผลิตมือถือ แม้แต่การสร้างแบรนด์ก็ตามทีพวกเขาล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องเป็นอย่างมากในอดีต

ซึ่งแน่นอนว่ายักษ์ใหญ่ยุคเก่าๆ  อย่าง Nokia รวมถึงผู้ผลิตมือถือชื่อดังอื่น ๆ ที่ขายไปทั่วโลกนั้นต่างก็ต้องเกรงใจกับพวกค่ายโทรศัพท์มือถือมากกว่าลูกค้าคนที่ใช้โทรศัพท์เสียด้วยซ้ำ

แต่สำหรับจ๊อบส์ เขาต้องการปฏิวัติเรื่องนี้โดยตรง โดยมีการข่ายไปยังลูกค้าโดยตรงไม่ผ่านคนกลาง ต้องการตัดวงจรมาเฟียเหล่านี้ให้ออกไปจากธุรกิจมือถือเสียที เพราะเป็นพวกที่ทำให้ วงการมือถือโลกแทบจะไม่พัฒนาไปไหน เราใช้ Smartphone ห่วย ๆ มานานแสนนาน ประสบการณ์ใช้งานท่องเว๊บที่ย่ำแย่ เพราะเหล่าพวกเครือข่ายมือถือเหล่านี้นั่นเองคอยบงการอยู่เบื้องหลัง

ซึ่งข้อตกลงกับ Cingular นั้นแทบจะไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์การขายมือถือ เพราะ Apple จะกลายเป็นผู้ควบคุมทุกอย่าง ทั้งการสร้างแบรนด์ การตลาด รวมถึงเวลาที่ต้องการอัพเดท Software ของ iPhone ซึ่งแน่นอนว่าเป็นความต้องการของจ๊อบส์ หลังจากได้เห็นความหายนะที่เกิดขึ้นกับ ROKR จ๊อบส์จึงต้องการควบคุมการนำเสนอสินค้าทุกชิ้นที่ต้องการขายตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงมือลูกค้านั่นเอง

ต้องเรียกได้ว่า การเกิดขึ้นของ iPhone ได้สร้างความปั่นป่วนให้กับวงการมือถือโลกแบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เพราะ Apple นั้นต้องการปฏิวัติวงการย่ำอยู่กับที่มานานแสนนาน ลูกค้าควรจะได้สิ่งที่ดีที่สุด ไม่ใช่การต้องคอยถูกครอบงำจากเหล่าเครือข่ายมือถือที่เป็นมาเฟีย คอยถ่วงความเจริญมานานแสนนาน นั่นเอง

–> อ่านตอนที่ 7 : The Fall of Mafia Empire

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 Phone & Microsoft *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***