HongMeng OS กับทางรอดของ Huawei

การขึ้นบัญชีดำของสหรัฐฯบังคับให้ Google ยุติความร่วมมือทางธุรกิจกับหัวเว่ย หมายความว่าจะไม่มีสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตที่เปิดตัวโดย Huawei ที่จะสามารถเข้าถึง Play สโตร์ของ Google และแอปพลิเคชั่นที่เป็นทางการของ Google ได้อีกต่อไป

โทรศัพท์มือถือของ Huawei จะยังคงได้รับการสนับสนุนจาก Android Open Source Project (AOSP) แต่มันแทบจะไม่เพียงพอที่จะโน้มน้าวใจให้ลูกค้าใช้อุปกรณ์ต่อโดยไม่มีที่บริการหลักของ Google Service เหลืออยู่

หัวเว่ยอ้างว่าพวกเขาคาดหวังว่าจะมีการเคลื่อนไหวเช่นนี้และพวกเขาได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่จำเป็นเพื่อให้แน่ใจว่าผลกระทบจากเหตุการณ์ครั้งนี้จะบรรเทาลงให้ได้มากที่สุด หนึ่งในขั้นตอนเหล่านั้นคือการพัฒนาระบบปฏิบัติการสมาร์ทโฟนของตัวเองซึ่งมีรายงานว่าตอนนี้มีชื่อ HongMeng OS ซึ่งมีรายงานว่าอยู่ในช่วงทดลองและมีข่าวลือว่าจะค่อยๆเปลี่ยนจากระบบปฏิบัตการ Android แบบเป็นค่อยเป็นค่อยไป

ตามทวีตจาก Global Times ด้วยข่าวลือที่มาจากรายงานสื่อจีนสามฉบับ HongMeng OS อาจเป็นชื่อที่ของระบบปฏิบัติการมือถือของ Huawei ในช่วงแถลงการณ์ครั้งแรกของหัวเว่ย ไม่นานหลังจากที่ Android สั่งห้าม บริษัท พยายามประคองสถานการณ์ และดูแลลูกค้าอย่างดีที่สุด โดยระบุว่าจะยังคง ‘สร้าง Ecosystem ของซอฟต์แวร์ที่ปลอดภัยและยั่งยืน’ คำว่า ‘ยั่งยืน’ อาจหมายถึงว่าในกรณีที่มีการห้ามใช้งาน Android ขึ้นมาจริง ๆ  Huawei จะดำเนินการเปิดตัวระบบปฏิบัติการของตัวเองสำหรับโทรศัพท์มือถือ เป็นแผนต่อไป

ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2019 ผลประกอบการของ Huawei มีรายรับ26.8 พันล้านเหรียญสหรัฐโดยมียอดขาย 59 ล้านเครื่อง บริษัท แสดงให้เห็นว่าแผนกโทรศัพท์มือถือเป็นธุรกิจทำเงิน  เริ่มแรกมีรายงานว่าแพลตฟอร์มมือถือของ Huawei จะเรียกว่า Kirin OS ขณะเดียวกันก็ระบุว่าตั้งแต่พูดถึงข่าวลือที่กล่าวมาข้างต้นนั้นยังไม่มีการติดตามเกี่ยวกับชื่อของแพลตฟอร์ม 

Richard Yu ซีอีโอ ผู้ดูแลธุรกิจมือถือของ Huawei ไม่ได้พูดถึงชื่อของระบบปฏิบัติการใหม่ในที่สาธารณะแต่อย่างใด และผู้บริหารคนอื่น ๆ ได้เน้นถึงความท้าทาย  ในการสร้างระบบปฏิบัติการของหัวเว่ยเอง ซึ่งหนึ่งในนั้นจะให้สิ่งจูงใจแก่นักพัฒนาและให้กำลังใจพวกเขาในการเริ่มต้นสร้างแอพสำหรับแพลตฟอร์มนี้ซึ่งจะเป็นการหลุดพ้นจากแพลตฟอร์ม Android อีกด้วย Google ที่ไม่ได้ทำธุรกิจกับหัวเว่ยอีกต่อไป ซึ่งมีโอกาสสูงที่หัวเว่ยเองนั้นจะเดินหน้าเต็มสูบในการพัฒนาระบบปฏิบัติการ HongMeng ขึ้นมาให้สำเร็จโดยเร็วที่สุด

References : 
https://wccftech.com/huawei-hongmeng-os-for-smartphones/

Geek Monday EP4 : Reinvents the Smartphone Camera with AI

จากผลงานที่ดีขึ้นเรื่อยๆ มาตลอด 8 ปี จากแบรนด์ที่โดดเด่นด้านอุปกรณ์เน็ตเวิร์ค และ โทรคมนาคม การเข้าสู่ตลาดมือถือที่เป็นตลาดที่มีผู้เล่นรายใหญ่ที่แข็งแกร่งจำนวนมาก จากผู้ผลิตมือถือที่ผู้บริโภคเมินที่จะซื้อ

การเปลี่ยนแปลงปรับปรุงทั้งผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Hardware เรื่องการ Design หรือแม้กระทั่งการปรับเปลี่ยนกล้องมือถือจนได้รับความสนใจจากเหล่าผู้ใช้งานทั่วโลก

Huawei แบรนด์ยักษ์ใหญ่จากจีน ที่สามารถทำตัวเลขยอดส่งมอบสมาร์ทโฟนให้สามารถเติบโตขึ้นกว่า 66 เท่า จาก 3 ล้านเครื่องในปี 2010 เป็น 200 ล้านเครื่องในปี 2018 นี้  

ขณะที่ภาพในตลาดโลกนั้น Huawei ยังสามารถยกระดับจากการเป็นเพียงผู้ผลิต สมาร์ทโฟนรายย่อยที่ได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นผู้ผลิต “อื่นๆ” ในเชิงสถิติ จนกลายเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนระดับท็อป 3 ของโลกได้สำเร็จ 

และที่สำคัญนั้น ในไตรมาสที่ 2 และ ไตรมาสที่ 3 ของปี 2018  หัวเว่ยก้าวขึ้นเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนอันดับที่ 2 ของโลกได้สำเร็จ โดยมีส่วนแบ่งการตลาดที่ 14.6%  ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับ Huawei นั้นมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน

Reinvents the smartphone camera with AI

กล้อง AI ในผลิตภัณฑ์มือถือของ HUAWEI รุ่นใหม่ ๆ นั้น สามารถรับรู้วัตถุมากกว่า 500 ชิ้นและแบ่งเป็น 19 รูปแบบของพื้นหลังฉาก ซึ่งความสามารถในการจดจำเหล่านี้นั้นเป็นผลมาจากการ Training ด้วยข้อมูลจำนวนมหาศาลของ Huawei

เพื่อให้หน่วยประมวลผลสามารถที่จะระบุวัตถุและแยกแยะสิ่งหนึ่งออกจากอีกสิ่งหนึ่ง  โดย Huawei ได้นำ AI ไป Training โดนใช้จำนวนภาพมากกว่า10 ล้านภาพซึ่งเป็นกระบวนการที่ยาวนานมาก ในกระบวนการ R&D ที่ Huawei ทุ่มเทมานานแสนนานก่อนที่จะได้ผลลัพธ์อย่างที่เราเห็นในกล้องรุ่นใหม่ๆของ Huawei ในปัจจุบัน

Book Review : Hit Refresh แค่เปลี่ยนผู้นำ องค์กรก็วิ่งฉลุย

ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจเลยทีเดียว สำหรับ CEO ของ ไมโครซอฟท์ คนใหม่ ที่ก้าวผ่านจากกลุ่มผู้ก่อตั้งเดิมอย่าง บิลล์ เกตท์  , สตีฟ บัลเมอร์. รวมถึง พอล อัลเลน  ซึ่ง CEO สองคนแรกของ Microsoft อย่าง. บิลล์ เกตท์ รวมถึง สตีฟ บัลมอร์ นั้น ถือเป็นกลุ่ม founder กลุ่มแรก ๆ ในการนำพา microsoft ขึ้นสู่จุดสูงสุด

สตีฟ บัลเมอร์ ซีอีโอ ยุคผู้ก่อตั้งคนสุดท้าย

สตีฟ บัลเมอร์ ซีอีโอ ยุคผู้ก่อตั้งคนสุดท้าย

เมื่อเข้าสู่ยุคปลาย ของ CEO คนที่สองอย่างสตีฟ บัลเมอร์ นั้น ต้องบอกว่า เป็นช่วงขาลงที่ตกต่ำที่สุด ของ microsoft เลยก็ว่าได้ มีการก้าวเดินที่ผิดพลาดหลายอย่างในยุค สตีฟ บัลเมอร์ ขึ้นคุมบังเหียน ทั้งการพลาดในตลาดมือถือ ทั้งที่ตัวเองเป็นผู้นำอยู่ก่อนใน  Smart Phone ยุคก่อนหน้า Iphone ที่มี Windows Mobile ซึ่งถือว่าล้ำที่สุดในสมัยนั้นครองตลาดอยู่

ส่วนแบ่งการตลาดที่ต่างกันลิบลับระหว่าง Google vs Bing

ส่วนแบ่งการตลาดที่ต่างกันลิบลับระหว่าง Google vs Bing

การประเมินบริษัทอย่าง google ต่ำไป ทำให้กลายมาเป็นริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกในปัจจุบัน กับการที่ออก Bing มาสู้นั้น ถือว่าช้าเกินไปแล้ว google ได้ครองส่วนแบ่งตลาดไปเกือบแทบจะทั้งสิ้นแล้ว ทั้งที่ Microsoft นั้น เป็นบริษัทแรก ๆ ที่ทำให้ผู้คนทั่วไปสามารถเข้าสู่โลกอินเตอร์เน็ตได้ผ่านทาง Internet Exproler

Microsoft กลายเป็นบริษัทที่ใหญ่เทอะทะ มีพนักงานมากมาย ไม่เหลือเค้าลางของบริษัท นวัตกรรมเหมือนในอดีต. การบริหาร ก็มีลำดับชั้นมากมาย ปัญหาเหล่านี้ IBM นั้นเคยประสบมาก่อน การกลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ทำให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้ช้า ไม่ได้สนับสนุนนวัตกรรมใหม่ ๆ เหมือนในอดีต

เมื่อถึงเวลา ก็ต้องเปลี่ยนผู้นำเพื่อรับการเปลี่ยนแปลงของโลก ที่คนยุคเก่า ๆ เริ่มตามไม่ทัน ซึ่งเป็นที่มาของหนังสือเล่มนี้. Hit Refresh ของ สัตยา นาเดลลา ที่เปรียบเสมือนการเข้ามา Refresh องค์กรใหม่ทั้งหมด ผ่านการบริหารงานของเค้าหลังจาได้รับไม้ต่อมาจาก สตีฟ บัลเมอร์

สัตยา นาเดลลา ผู้มาปฏิวัติองค์กร Microsoft ยุคใหม่

สัตยา นาเดลลา ผู้มาปฏิวัติองค์กร Microsoft ยุคใหม่

การเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดของ สัตยา นาเดลลา คือ วัฒนธรรมองค์กร ของ microsoft เมื่อตอนที่เค้าได้รับตำแหน่งนั้น องค์กร มีขนาาดใหญ่เทอะทะ มาก ๆ การสั่งการเป็นลำดับขั้น ซึ่งเป็นปัญหาที่หลาย ๆ องค์กรใหญ่น่าจะเคยเจอ ทำให้ขับเคลื่อนเรื่องต่าง ๆ ได้ช้า มีการตัดสินใจหลายชั้นมากเกินไป โปรเจคหลาย ๆ ตัวถูกทิ้งไว้ ไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์ให้กับบริษัท

มุ่งสู่ cloud first

มุ่งสู่ cloud first

และเริ่มที่จะปรับทิศทางผลิตภัณฑ์ของบริษัทใหม่ ให้ก้าวทันสู่โลกยุคใหม่มากยิ่งขึ้น ไม่พึ่งพาเพียงแค่ windows และ office เหมือนอดีด ผลิตภัณฑ์สำคัญที่ช่วยพลิกโฉมหน้าของ microsoft ยุคใหม่คือ Cloud Service อย่าง Windows Azure ซึ่ง  สัตยา นาเดลลา ได้โฟกัส กับ cloud service เป็นอย่างมาก โดยให้เป็นผลิตภัณฑ์หลักของบริษัท ซึ่งทำให้บริการต่าง ๆ ของ microsoft นั้นเปลี่ยนมาให้บริการบน cloud เช่น office365 ทำให้สามารถเพิ่มรายได้ให้กับ microsoft มหาศาล

และการทิ้งผลิตภัณฑ์ Windows Phone ที่ไม่น่าจะต่อกรได้กับยักษ์ใหญ่ได้อีกแล้ว ที่ microsoft ทำการ take over Nokia เข้ามาในตอนแรกนั้น ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่สำคัญอย่างนึงของ สัตยา นาเดลลา ซึ่งมองว่า ในระยะยาว การลงทุนด้าน Windows Phone นั้นไม่น่าจะสามารถแย่งส่วนแบ่งจากเจ้าตลาดอย่าง IOS และ Android ได้อีกต่อไปแล้ว การตัดขาดทุน รวมถึงการโละพนักงานออกไปเป็นจำนวนมากเป็นสิ่งที่ยากของคนระดับ CEO แต่เพื่อพยุงบริษัทในระยะยาวนั้น ต้องถือว่า เป็นการที่ตัดสินใจที่ถูกต้องอย่างยิ่ง

ตัวอย่างของการเปลี่ยนผู้นำก็พลิกบริษัทได้

ถ้าถามว่าในยุคปลายของ สตีฟ บัลเมอร์ ในตอนนั้น ภาพลักษณ์ของ Microsoft ดูย่ำแย่ไปทุก ๆ อย่าง ทั้งเรื่อง รายได้ ภาพลักษณ์ในเรื่องนวัตกรรม  ที่ไม่มีนวัตกรรมออกมาเลยจากฝั่ง microsoft และสิ่งที่สำคัญคือ ไม่สามารถที่จะดึงดูดคนรุ่นใหม่ ๆ ให้มาทำงานได้ เพราะ ไม่มีความ cool ให้ดึงดูดเด็กรุ่นใหม่ ๆ อีกต่อไป

การแค่เพียงเปลี่ยนผู้นำเป็น สัตยา นาเดลลา ต้องบอกว่าเป็นการเลือกตัดสินใจที่ถูกต้องครั้งนึงของ Microsoft เพราะใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่ปี ทุกอย่างก็พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ ภาพลักษณ์ของ microsoft ดูดีขึ้นมาทันที ทั้งในเรื่องรายได้ กำไร ความเป็นบริษัทนวัตกรรม เริ่มดึงดูดคนรุ่นใหม่กลับมาทำงานได้อีกครั้ง ซึ่งล้วนแล้วเป็นสิ่งได้เรียนรู้จากหนังสือเล่มนี้แทบทั้งสิ้น เป็นหนังสือที่เหล่าผู้บริหารระดับต่าง ๆ ควรหามาอ่านเป็นอย่างยิ่ง

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage :facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit :blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter :twitter.com/tharadhol
Instragram :instragram.com/tharadhol

Samsung Galaxy S6 : The new Era of Mobile from samsung

ได้มีโอกาสนั่งดูงานเปิดตัว Samsung Galaxy S6 & S6 edge ที่จัดขึ้นในงาน Mobile world congress 2015 เมืองบาเซโลน่า ประเทศสเปน ต้องนับถือ samsung จริง ๆ ที่สามารถเปิดตัว product เรือธงตัวใหม่อย่าง Galaxy s6 และ Galaxy S6 edge ได้อย่างอลังการอย่างยิ่ง

จะเห็นได้ว่าหลังจากปีที่แล้วที่ samsung ได้ทำการเปิดตัว Galaxy S5 นั้นกระแสได้ตกไปอย่างเป็นที่น่าตกอกตกใจ ทั้งยอดขายที่ต่ำกว่าเป้าหมาย รวมถึงการถูกตีตลาดจากมือถือราคาถูกอย่างของ Brand จีนอย่าง Xiami , Asus หรือ ฝั่งอินเดียอย่าง Micromax ที่ให้ถ้าเทียบความคุ้มค่าแล้วก็เป็นที่เข้าใจได้ว่าทำไมยอดขายของ Samsung จึงลดลงไปอย่างมาก

ปีนี้ทาง Samsung ก็เลยทำการบ้านมาอย่างดีสำหรับการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อย่าง Samsung Galaxy S6 และ S6 edge โดยปรับโฉมใหม่จากการใช้งานประกอบโดยพลาสติก  เป็นโลหะ ที่ดู premium อย่างที่ apple ทำ ซึ่งถือว่า samsung ทำออกมาได้ดีเยี่ยมเป็นอย่างมาก ดูหรูหรากว่า iphone 6 เสียอีกตามมุมมองของผม ตรงนี้ถือเป็นย่างก้าวที่สำคัญที่จะไปต่อกรกับ apple ได้ซึ่งก่อนหน้านี้ มีแต่คนมองว่า Samsung เป็นมือถือ พลาสติก ราคาถูก ซึ่งการเปิดตัว S6 นั้น ได้ลบคำครหา ข้อนีได้อย่างสิ้นเชิง

Samsung-Galaxy-S6-and-Galaxy-S6-edge-64-450x300

สำหรับ spec ของตัวเครื่องนั้น เนื่องจากเป็นมือถือรุ่น hi-end สูงสุดของ samsung ก็ได้มีการจัด spec ที่ดีที่สุดในตลาดเข้ามา ทั้งกล้องด้านหลัง ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ที่มีรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/1.9 โจทย์หลักของผู้ใช้งานทั่วไปคือกล้อง ถ้ากล้องมีคุณภาพนั้นก็มีโอกาสทำยอดขายได้สูงเหมือนที่ apple ทำได้ ซึ่ง galaxy S6 นั้น ก็ทำมาได้อย่างดีเยี่ยม โดยมีการ compare เปรียบเทียบการถ่ายภาพกับ iphone 6 มาให้ดู ซึ่งส่วนตัวมองว่าข้อมูลที่ได้จากการ เปิดตัวนั้น อาจจะมีการทำเพื่อการตลาดไม่ได้ทำการทดสอบโดยคนที่เป็นกลาง ซึ่งก็ต้องรอดูการ Review สินค้าที่ออกมาจริงอีกทีว่า กล้องนั้นดีกว่า iphone 6 ตามที่ได้โฆษณาไว้จริงหรือไม่  และ  Samsung Galaxy S6 มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลกว้าง 5.1 นิ้ว แบบ Super AMOLED ความละเอียด 2560 x 1440 พิกเซล (577 ppi)  ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูงมากในความละเอียด และเป็นจุดเด่นที่สำคัญของ Samsung ที่มีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดกับมือถือ Brand จีน ราคาถูกที่มาถล่ม Samsung เมือปีที่แล้ว  ซึ่ง ตัว Super AMOLED นั้นเป็นจุดขายที่สำคัญของ samsung  รวมถึงส่วนสำคัญอย่าง CPU นั้น ก็ใช้  Quad-Core Cortex-A57 Processor ความเร็ว 2.1 GH ซึ่งก็แทบจะสูงที่สุดในตลาดในขณะนี้อยู่แล้ว

Samsung-Galaxy-S6-and-Galaxy-S6-edge-31-450x300

ส่วนสำคัญอีกอย่างที่ Samsung ได้ทำการ Re-design ใหม่คือส่วนของ Touch-Wiz UI ซึ่งได้ปรับมาใช้เป็นแบบ Flat แนวเดียวกับทาง Apple และ Microsoft เน้นความเรียบง่ายใช้งานงาน และกิน Resource ของเครื่องให้น้อยที่สุด ซึ่งถือว่า samsung ทำออกมาได้ดีทีเดียว รวมถึงมีการตัด app บางส่วนออกไปเหลือไว้ที่แค่ใช้งานจริง ๆ เท่านั้น

Galaxy-s6-and-Galaxy-s6-edge-5

อีกส่วนที่น่าสนใจในงานเปิดตัวนั้นคือ Fast Charging ตัวนี้เป็น key สำคัญที่ user ทั่วไปต้องการเนื่องจากโดยปรกตินั้น หลังจากใช้งานหนัก ๆ ก็จะต้องหาที่ชาร์จตลอด และกว่าจะชาร์จจนใช้งานต่อไปได้นั้นก็ต้องใช้เวลาอยู่พอสมควร ซึ่ง ทาง samsung claim ว่า ชาร์จเพียง 10 นาที สามารถใช้งานต่อได้นานถึง 4 ชม.  และทำให้ samsung ตัด features ที่สำคัญในรุ่นหน้านี้ทั้งหมดคือ การถอดเปลี่ยนแบตได้ออกไป ซึ่งทาง samsung มองว่า เมื่อมีเทคโนโลยี fast charging แล้วนั้นก็ไม่จำเป็นต้องให้ User ถอดเปลี่ยนแบตอีกต่อไปแบบเดียวกับที่ทาง apple ได้ทำมาตั้งแต่ Iphone รุ่นแรก

images_14252370343

หลังจากที่ซัมซุงเข้าซื้อกิจการของ LoopPay ไปในปีที่แล้ว  ก็ได้นำมารวมเข้ากับเทคโนโลยีใหม่ของ Samsung Galaxy S6  คือ  Samsung Pay นั่นเอง โดย Samsung Pay รองรับการใช้งานทั้ง Visa และ Mastercard ซึ่งนอกจากจะจ่ายผ่านเทคโนโลยี NFC แล้ว ยังสามารถใช้งานผ่าน Magnetic Secure Transmission (MST) ซึ่งเป็นอุปกรณ์เสริมจาก LoopPay นั่นเอง ทำให้มีร้านค้ารองรับบริการดังกล่าวกว่า 30 ล้านร้านค้าทั่วโลกเลยทีเดียว

สำหรับ Model การขายนั้น Samsung ก็ได้ตัดสินใจตัดส่วนของการเพิ่ม Memory card ออกไป โดยใช้พื้นที่การเก็บในเครื่องทั้งหมด ซึ่งทำให้มีประสิทธิภาพกว่า และทำการขายตามรูปแบบเดียวกับ apple คือมีรุ่นตามขนาดพื้นที่โดยเริ่มต้นที่ 32GB ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่เหมาะสม เพราะในปัจจุบันก็ไม่ควรที่จะขายในขนาด 16 GB อีกต่อไปแล้วเนื่องจาก application ในปัจจุบันค่อนข้างมีความจุสูงขึ้นเรื่อย ๆ รวมถึงภาพถ่ายหรือไฟล์ต่าง ๆ ก็มีขนาดใหญ่ขึ้นทำให้ 16GB นั้นไม่พอสำหรับผู้ใช้ในปัจจุบันไปแล้วสำหรับราคาอย่างไม่เป็นทางการนั้น

ราคา Samsung Galaxy S6 ในไทย (อย่างไม่เป็นทางการ)

• Samsung Galaxy S6 ความจุ 32 GB ราคา 23,800 บาท
• Samsung Galaxy S6 ความจุ 64 GB ราคา 27,800 บาท
• Samsung Galaxy S6 ความจุ 128 GB ราคา 31,800 บาท

ราคา Samsung Galaxy S6 edge ในไทย (อย่างไม่เป็นทางการ)

• Samsung Galaxy S6 edge ความจุ 32 GB ราคา 27,800 บาท
• Samsung Galaxy S6 edge ความจุ 64 GB ราคา 31,800 บาท
• Samsung Galaxy S6 edge ความจุ 128 GB ราคา 35,800 บาท

*** ที่มา http://www.techmoblog.com/ ***

Apple ทำสถิติมูลค่ากิจการ 7 แสนล้านดอลล่าร์

ข่าวล่าสุดที่ออกมาไม่ถือว่าเป็นเรื่องน่าเซอร์ไพรซ์ แต่อย่างใดสำหรับมูลค่ากิจการของ บริษัท apple  ซึ่งปิดการซื้อขายที่สูงที่สุดที่ ประมาณ $122 ต่อหุ้น ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 7 แสนล้านดอลล่าร์  ซึ่ง มีมูลค่าตีเป็นเงินไทยประมาณ 23 ล้านล้าน บาท ซึ่งสูงกว่างบประมาณทั้งประเทศไทย ถึง 20 เท่า

Apple เป็นบริษัทที่น่าอิจฉา ซึ่งถ้าเทียบข่าวกับบริษัทคู่แข่งอย่าง samsung ซึ่งมีข่าวร้ายต่อเนื่อง ทั้งยอดขายที่ตกต่ำ และกำไรที่น้อยลงเรื่อย ๆ โดนคู่แข่งจากเมืองจีนมาแย่งตลาดจำนวนมาก ทำให้ในตลาดระดับบน Apple คงไม่มีคู่แข่งไปอีกพักใหญ่ เนื่องจาก samsung ก็ไม่ได้มีการออกผลิตภัณฑ์ ที่น่าสนใจออกสู่ตลาด ซึ่งถ้ามองที่ Galaxy S5 และ Galaxy Note4 นั้น จะเห็นได้ว่าไม่สามารถสู้ความร้อนแรงของ Apple ที่ออก Iphone 6 ออกมาได้

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจของนักการตลาด ซึ่ง  Apple นั้นตั้งราคาผลิตภัณฑ์ของตัวเองที่สูงลิ่ว ๆ ทำกำไรต่อเครื่องได้มากมาย แต่ Brand อื่นไม่สามารถทำได้แบบ Apple จะเห็นได้ว่าในตลาดของ Android มีแต่การลดราคา เพื่อแข่งขันกัน ซึ่งเป็น ตลาด red ocian ไปแล้วในตอนนี้ ทำให้สภาพของซัมซุงนั้นค่อนข้างสะบักสะบอมไม่ใช่น้อย ที่โดนทั้ง Xiami , Meizu , Lenovo , Huawei , Asus แบรนด์ ตระกูลจีนเข้ามาแย่งตลาดอย่างต่อเนื่อง ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า samsung ทำให้ในตลาดนี้นั้น สุดท้ายแล้วน่าจะเป็นมือถือจากจีน ที่มาแย่งตลาดกันเอง แต่ถ้ามองที่สัดส่วนกำไรนั้น ถือว่า น้อยนิด ในตลาดรวมของมือถือ โลก จะเห็นได้ว่า ส่วนของกำไรนั้น Apple ครองไปเกือบหมด จึงเป็น Case Study ที่น่าสนใจมาก

ก่อนหน้านี้ หลังจากเสีย สตีฟ จ๊อป ไปนั้นมีแต่คนมองว่า apple คงถึงยุคตกต่ำแน่ ๆ  แต่เปล่าเลย พอ ทิม คุก ขึ้นมากุมบังเหียน มูลค่าของ apple นับวันจะยิ่งสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ไม่มีทีท่าว่าจะ drop ลงแต่อย่างใด แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมของ apple ที่ถูกปลูกฝังกันมาตั้งแต่ยุคของ สตีฟ จ๊อป

P1-BS768_CATDOO_16U_20150210191538-597x426

 

จากกราฟข้างบน เราจะเห็นได้ว่า มูลค่า apple นั้นสูงมาก สูงกว่า ทั้ง google และ microsoft มารวมกันเสียอีก ซึ่ง การเติบโตของ apple นี้ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงเลย ในปีนี้ ก็จะมี ตัว apple watch ออกมา ซึ่งก็คาดได้ว่า น่าจะฮิต ติดลมบนเหมือนเคย จะเห็นได้ว่า apple ไม่ใช่ผู้ผลิตคนแรกในผลิตภัณฑ์ยอดฮิตต่าง  ๆ ทั้ง ipod , iphone หรือ ipad แต่ apple เป็นคนที่จุดกระแสให้เกิดตลาดขึ้นมาทุกครั้งเมื่อมีผลิตภัณฑ์ใหม่ ออกมา ซึ่งถ้ามองผลงานในอดีตของ apple ผมก็มองว่า ในปีนี้นั้น ตลาดของ smart watch จะเกิดอย่างแน่นอน เมื่อ apple ลงมาเล่นตลาดนี้ และ เข้า สู่ loop เดิมของ brand อื่น ที่ต้องไปทำตลาดแข่งกันอย่างหนัก แต่ กำไรในส่วนใหญ่ของตลาดนั้น จะอยู่กับ apple เหมือนเดิม