Paypal Mafia ตอนที่ 11 : Max Levchin

ถ้าพูดถึง Paypal บริการชำระเงินออนไลน์ ที่ปฏิวัติรูปแบบการชำระเงินแบบเดิม ๆ นั้น หลาย ๆ คนมักจะนึกถึงแต่ Elon Musk หรือ Peter Thiel ก่อนเป็นอันดับแรก  ๆ  แต่หารู้ไม่ว่า จุดเริ่มต้นของไอเดียของบริการชำระเงินออนไลน์นั้น มาจากความคิดของ Max Levchin หนุ่มอเมริกันเชื้อสายยูเครน

Levchin นั้นย้ายถิ่นฐานมาจากประเทศยูเครน มายังสหรัฐอเมริกา เมื่อตอนที่เขาอายุได้ 16 ปี ต้องบอกว่าครอบครัวของเขายากจนมาก และต้องอพยพมาด้วยความจำเป็น เนื่องจากปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศ มาอยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่ที่พวกเขาไม่คุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง

สำหรับ Max Levchin  นั้นเกิดในวันที่ 11 มิถุนายน 1975 ที่เมืองเคียฟ เมืองหลวงของประเทศยูเครน ซึ่งในช่วงที่เขาอพยพมาอยู่อเมริกานั้น เขาได้พยายามปรับตัวเองหลายอย่างให้เข้ากับวัฒนธรรมของชาวอเมริกัน

เขาไล่เรียงศึกษาภาษาอังกฤษจากรายการทีวีต่าง ๆ ทั้งละคร สารคดี หรือแม้กระทั่งเกมส์โชว์ เป็นจำนวนมากจากรายการทีวี ทำให้เขาสามารถที่จะหัดพูดภาษาอังกฤษเพื่อใช้สื่อสารในชีวิต ได้อย่างรวดเร็ว

ซึ่งในวัยเรียนนั้นเขาเป็นคนที่สนใจในเรื่องการเข้ารหัสข้อมูล รวมถึงระบบความปลอดภัยทางด้านคอมพิวเตอร์เป็นอย่างมาก โดยเขาสามารถเรียนจบการศึกษาปริญญาตรี ด้าน วิทยาการคอมพิวเตอร์ ที่ 
มหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ เออร์แบนา-แชมเปญจน์

หลังจบการศึกษา ก็ได้เริ่มก่อตั้งบริษัท FieldLink ร่วมกับ Peter Thiel ก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Confinity อย่างที่หลาย ๆ คนรู้จักในเวลาต่อมา ซึ่งตอนแรกที่ก่อตั้งนั้น ได้สร้างบริการด้านการโอนเงิน หรือ ชำระค่าบริการต่าง ๆ ผ่านเครื่อง PalmPilots ซึ่งเป็นเครื่อง PDA ชื่อดังในขณะนั้น

หลังจากนั้น ก็ได้เริ่มแนวคิดที่จะนำบริการชำระเงินไปสู่ระบบออนไลน์ผ่าน อินเตอร์เน็ต เนื่องจากในช่วงนั้นอินเตอร์เน็ตกำลังบูมสุดขีด เขาเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Paypal ขึ้นมา

เขารับหน้าที่ CTO (Chief Technology Officer) ดูแลเรื่องเทคโนโลยีหลัก ๆ ของ Paypal ทั้งหมด เขาได้ดูแลทั้งในส่วนของ Front-End และ ระบบ Back-End ของ Paypal รวมถึงการออกแบบระบบรักษาความปลอดภัย เพื่อไม่ให้ Paypal ถูกโจมตีจากภายนอก รวมถึงเกิดการฉ้อโกงขึ้นกับบริการ Paypal ได้

ซึ่งหลังจาก Paypal ถูกเข้าซื้อโดย eBay เขาก็ได้ย้ายไปทำงานให้กับ eBay พร้อมกับเหล่าผู้ร่วมก่อตั้งอีกหลาย ๆ คน หลังจากนั้นในปี 2004 เขาได้ออกจาก eBay มาก่อตั้งบริการแชร์ภาพ หรือ มีเดียต่าง ๆ ไปยังระบบ Social Network ไม่ว่าจะเป็น Hi5 , MySpace หรือ Facebook ในชื่อ Slide.com

สร้างบริการแรกอย่าง Slide.com จนถูก Google ซื้อไปในที่สุด
สร้างบริการแรกอย่าง Slide.com จนถูก Google ซื้อไปในที่สุด

และในปีเดียวกันนั้นเขายังเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริการ Social Network ที่รวมรวมข้อมูล หรือ รีวิวเกี่ยวกับร้านอาหารหรือสถานที่ท่องเที่ยว อย่าง Yelp 

ซึ่งบริการ Slide.com ของ Levchin นั้นไปเตะตากับผู้บริการของ Google จนเข้าซื้อกิจการมูลค่ากว่า 182 ล้านเหรียญในปี 2010 ทำให้ตัวLevchin นั้นได้ย้ายมาทำงานที่ Google ในตำแหน่ง VP of Engineering

หลังอยู่กับ Google ได้เพียงปีเดียว ทาง Google ก็ประกาศปิดบริการ Slide.com ทำให้ Levchin ตัดสินใจลาออกจาก Google มาก่อตั้งบริษัททางด้านการลงทุน ทั้ง HVF (Hard,Valuable, and Fun) และในปี 2012 ก็ได้เริ่มก่อตั้ง Affirm โดยจะเป็นแพลตฟอร์มสำหรับช่วยเหลือผู้บริโภคในด้านการค้นหาแหล่งเงินกู้ โดยมองบริการของตัวเองเป็น Next Generation Credit Network 

สร้างบริการทางด้านการเงินออนไลน์รูปแบบใหม่อย่าง Affirm
สร้างบริการทางด้านการเงินออนไลน์รูปแบบใหม่อย่าง Affirm

และในปีเดียวกันก็ขึ้นดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารของ Yahoo จนถึงปี 2015 และเขายังได้รับเกียรติให้ดำรงตำแหน่งเป็นคณะกรรมการที่ปรึกษาของ สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภคทางการเงินของสหรัฐฯ (CFPB) ซึ่ง Levchin ถือเป็นผู้บริหารจากซิลิคอนวัลเลย์คนแรกที่ได้รับตำแหน่งนี้

ปัจจุบันเขาดำรงตำแหน่ง CEO ที่ Affirm และยังคงเป็นบอร์ดบริหารองค์กรสำคัญทั้งในและนอก Silicon valey ถือเป็น 1 ในบุคคลที่มีบทบาทในฐานะ  PayPal Mafia อีกคนหนึ่งที่มีบทบาทต่อโลกเทคโนโลยีของเราในปัจจุบันนั่นเอง

–> อ่านตอนที่ 12 : Roelof Botha

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Jawed Karim *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Paypal Mafia ตอนที่ 10 : Reid Hoffman

Reid Hoffman นั้นเป็นเด็กที่คลั่งไคล้ในการเล่นวีดีโอเกมส์ มาตั้งแต่ยังเยาว์วัย สิ่งที่เขาเรียนในมหาวิทยาลัยนั้นไม่เกี่ยวกับโลก digital เลยด้วยซ้ำ ซึ่งนั้นก็คือวิชาปรัชญา แต่เนื่องจากเขามีเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่ชื่นชอบเรื่องคอมพิวเตอร์มากทำให้เขาได้ซีมซับเอาเรื่องเทคโนโลยีต่าง ๆ มาจากเพื่อนสนิทของเขานั่นเอง และทำให้ Reid หันเหชีวิตมาสนใจ และทำงานด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์

งานแรกที่เขาทำเกี่ยวกับเทคโนโลยีนั้นเริ่มต้นที่ Apple Computer ในยุคที่ Apple เป็นเพียงบริษัทคอมพิวเตอร์ที่เพิ่งเริ่มตั้งไข่เพียงเท่านั้น เขาไม่ได้ชอบงานที่นี่มากนัก เขาจึงตัดสินใจลาออก

หลังจากนั้นเขาก็ได้สร้างเว๊บไซต์ ที่ช่วยในการหาคู่คือ socialnet.com ก่อนที่เขาจะมีปัญหากับผู้ร่วมทุน จนทำให้เขาต้องลาออกอีกครั้งจากบริษัทที่ตัวเองสร้างขึ้นมา แต่เขาก็ไม่หยุดแค่นั้น เพราะเขามั่นใจแล้วว่าจะเดินในทางสายเทคโนโลยีอย่างแน่นอน

Socialnet.com บริการแรกที่ Reid นั้นได้สร้างขึ้นมา
Socialnet.com บริการแรกที่ Reid นั้นได้สร้างขึ้นมา

เขาได้มาร่วมงานในบริษัท Online Payment โดยการชักชวนของ Peter Thiel ซึ่งเป็น classmate ที่ Standford และได้ตั้งบริษัทConfinity สร้างบริการชำระเงินเพื่อปฏิรูปการชำระเงินออนไลน์ในชื่อ Paypal และในช่วงนั้นก็เป็นช่วงก่อนที่ฟองสบู่ดอทคอมกำลังจะแตกในยุคปี 2000

เขากับ Peter Thiel ได้จับมือร่วมกับ Elon Musk ที่เป็นคู่แข่งในการสร้างบริการเดียวกันอย่าง X.com ในช่วงก่อนหน้า ซึ่งที่ Paypal นั้นเขาได้รับตำแหน่ง COO (Chief Operating Officer) ดูแลงานสำคัญหลาย ๆ อย่าง ที่่ทำให้ Paypal สามารถแข่งขันในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เขาเป็นหนึ่งใน Keyman ของ Paypal ที่พาบริษัทให้รอดพ้นยุคฟองสบู่มาได้อย่างหวุดหวิด ซึ่งหลังจากผ่านวิกฤติดอทคอมมา เพียงไม่นาน Paypal ก็ถูกขายให้กับ Ebay ทำให้เขามีเงินทุนในการสร้างฝันของเขาให้เป็นจริงได้ ซึ่งก็คือ LinkedIn นี่เอง

เนื่องจากเป็นคนที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว เมื่อทำการสร้าง Linkedin ซึ่งเขาให้สโลแกนของ Linkedin คือ Online social network for Professional ก็ถือได้ว่าเป็นจุดแตกต่างจาก social network อื่น ๆ ในสมัยนั้น โดยเน้นกลุ่มไปที่ลูกค้าที่เป็นกลุ่มคนทำงานแทน จึงได้รับผลตอบรับจากนักลงทุนเป็นจำนวนมาก และทำให้สามารถขยายกิจการได้อย่างรวดเร็ว

LinkedIn Social Network สำหรับมืออาชีพ ผลงานชิ้นโบว์แดงของ Reid Hoffman
LinkedIn Social Network สำหรับมืออาชีพ ผลงานชิ้นโบว์แดงของ Reid Hoffman

โดยมี รูปแบบการทำรายได้จากสามทางคือ การโฆษณา , Premium Subscribtion และ  Hiring solution for company ซึ่งก็คือรูปแบบการหาเงินจากบริษัทจัดหางานแบบเก่า แต่ linkedin แตกต่างตรงมีส่วนของการเป็น social network ทำให้แตกต่างจาก web หางานแบบเดิม ๆ ที่แข่งขันกันในตลาดอยู่ทำให้ได้ผลตอบรับที่ดีจากกลุ่มคนทำงานทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน

ในช่วงปี 2008 เขาก็ได้ตัดสินใจปล่อยงานบริหารบริษัทให้กับ Jeff Weiner ที่ได้ย้ายมาจาก Yahoo เพื่อเข้ารับตำแหน่ง CEO ต่อจากเขา และ เขาก็เริ่มเข้าไปตั้งบริษัทด้านการลงทุนในบริษัทด้านเทคโนโนยี  คือ GreylockPartner ในปี 2009 เพื่อลงทุนในบริษัทเกิดใหม่เช่นเจริญรอยตามอดีตเพื่อนร่วมงานของเขาที่ paypal อย่าง peter thiel ซึ่งจะทำให้กลุ่ม Paypal Mafia นั้นน่าจะมีบทบาทที่สำคัญกับบริษัทดอมคอมของอเมริการในอนาคตต่อจากนี้ไปนั่นเอง

–> อ่านตอนที่ 11 : Max Levchin

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Jawed Karim *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Paypal Mafia ตอนที่ 9 : Keith Rabois

Keith Rabois นั้นเป็นหนึ่งในทีมงานของ paypal ที่จัดการเรื่องการกำหนดนโยบายที่สำคัญ ๆ ของบริษัท โดยเขาสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัย stanford ในสาขารัฐศาสตร์ ต่อด้วยการเรียนจบทางด้านกฏหมายที่ Harvard Law School สถาบันด้านกฏหมายอันดันหนึ่งของอเมริกา

หลังจากเรียนจบด้านกฏหมายจาก Harvard เขาก็ได้เข้ามาทำงานในสำนักงานกฏหมายชื่อดังอย่าง Sullivan & Cromwell โดยเน้นไปทางด้านคดีที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญา

หลังจากนั้นเขาก็ได้มาทำงานด้านการเมือง โดยเป็นคนช่วยในการร่างสุนทรพจน์ของรองประธานาธิบดี Quayle รวมถึงงานด้านสื่อคอยตตอบข้อซักถามของสื่อเกี่ยวกับนโยบายของรองประธานาธิบดี

หลังจากทำงานด้านการเมืองได้เพียงปีเดียวเท่านั้น เขาก็เข้าสู่แวดวงธุรกิจอีกครั้งที่ Voter.com บริการเว๊บท่าที่เกี่ยวข้องกับการเมือง โดยเขามีบทบาทสำคัญในการปรับรูปแบบธุรกิจของ Voter.com จากเว๊บท่า ไปสู่การทำการตลาดผ่าน email 

และในปี 2000 เขาได้เข้ามาร่วมงานกับ paypal ในตำแหน่ง Business Development เพื่อเพิ่มกลยุทธ์ในการแข่งขันกับ ebay , VISA และ MasterCard รวมถึงการจัดการเรื่องกฏระเบียบทางการเงินต่าง ๆ ที่มีอยู่ในขณะนั้น ทำหน้าที่ในการล็อบบี้เหล่าสมาชิกสภาคองเกรสกว่า 70 คน รวมถึงการประสานกับเหล่าวุฒิสมาชิก 20 คนในการจัดการเรื่องกฏหมายที่เกี่ยวข้องกับด้านการเงินให้ paypal สามารถเติบโต และสามารถทำกำไรได้ในที่สุด

หลังจาก paypal ถูกขายให้ ebay ในปี 2002 แล้วนั้น Rabois ก็ได้ย้ายมาทำงานกับ LinkedIn ที่เป็น Social Network ของมืออาชีพ โดยเขาเป็นส่วนหนึ่งในการทำให้ LinkedIn นั้นมีผู้ใช้งานเติบโตขึ้นจาก 1.5 ล้านคนไปจนถึง 10 ล้านคนในช่วงปี 2007

ย้ายไปร่วมงานกับ LinkedIn
ย้ายไปร่วมงานกับ LinkedIn เครือข่ายสังคมออนไลน์ของมืออาชีพ

Rabois ถูกยกย่องว่าเป็นผู้นำแนวคิดในการทำการตลาดโฆษณาออนไลน์ ที่ล้ำสมัยที่สุดคนหนึ่ง และยังเป็นคนที่กำหนดแนวคิดสำคัญในเรื่อง Premium Subscriptions ซึ่งเป็นโมเดลการทำงานอย่างนึงของ LinkedIn โดยยังเป็นแหล่งรายได้หลักของ LinkedIn มาจวบจนถึงปัจจุบัน

หลังจากการทำงานที่ LinkedIn เขาก็ได้เข้าร่วมงานกับ Jack Dorsey ที่กำลังสร้างผลิตภัณฑ์ชำระเงินรูปแบบใหม่อย่าง Square โดยรับตำแหน่ง COO (Chief Operating Officer)  เขาได้เข้าร่วมงานกับ Square ในช่วงตั้งไข่ของบริษัท ตั้งแต่มีลูกค้าทดลองใช้งานเพียงแค่ 841 ราย โดยขณะนั้น Square มีพนักงานรวมทั้งสิ้นแค่ 24 คนเท่านั้น

เขาได้ช่วย Jack Dorsey ในการขยายตลาดของ Square อย่างรวดเร็ว จนพนักงานมีถึงกว่า 440 คน ทำให้ Square มีการใช้บริการผ่านอุปกรณ์ของ Square เป็นจำนวนเงินมากกว่า 12 พันล้านเหรียญ ซึ่งทำให้มูลค่าของ Square เพิ่มจาก 40 ล้านเหรียญจนกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากกว่า 3.6 พันล้านเหรียญ

เข้าร่วมงานกับ Square จนมูลค่าบริษัทสูงขึ้นถึง 3.4 พันล้านเหรียญ
เข้าร่วมงานกับ Square จนมูลค่าบริษัทสูงขึ้นถึง 3.6 พันล้านเหรียญ

สำหรับงานด้านการลงทุน เขายังเข้าร่วมงานกับ Khosla Ventures ในตำแหน่ง Managing Director และเข้าร่วมในฐานะคณะกรรมการของบริษัท Scribd หลังจากที่ Khosla Ventures ได้กลายเป็นบริษัทลงทุนหลักของ Scribd

ในปี 2014 Rabois เขาได้กลายเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง Opendoor ซึ่งเป็น Marketplace ของ การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ 

และเขายังเป็นนักลงทุนในสเตจแรกของหลาย ๆ ธุรกิจเกิดใหม่ชื่อดัง โดยเป็น Angel Investor ของทั้ง Youtube , Airbnb , Palantir , Eventbrite , Lyft ,Quora , Yammer , Skybox, Counsyl , Weebly , Wish รวมถึง Eventbrite

–> อ่านตอนที่ 10 : Reid Hoffman

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Jawed Karim *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Paypal Mafia ตอนที่ 8 : Peter Thiel

Peter Thiel นั้นเกิดที่ประเทศเยอรมนี ที่เมืองแฟรงก์เฟิร์ต และหลังจากใช้ชีวิตในประเทศบ้านเกิดอย่างเยอรมนีได้เพียง 1 ขวบปี เขาก็ต้องถูกหอบหิ้วย้ายถิ่นฐานมาอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา และเนื่องจากสาเหตุหลักที่พ่อเขานั้นเป็นวิศวกรเคมี ทำให้เขาต้องย้ายตามพ่อไปอยู่ที่ แอฟริกา อยู่ช่วงหนึ่ง เขาต้องย้ายโรงเรียนบ่อยถึง 7 ครั้งในช่วงวัยเยาว์

ในขณะที่เด็กคนอื่น ๆ กำลังสนุกสนานกับการใช้ชีวิตในวันเด็ก เขาต้องมีการปรับตัวเข้ากับเพื่อนใหม่อยู่ตลอดเวลาในช่วงแรกของชีวิต จนในที่สุด ครอบครัวของเขาก้ได้ย้ายมาลงหลักปักฐานที่สหรัฐอเมริกาอย่างถาวรเมื่อเขามีอายุครบ 10 ขวบในรัฐแคลิฟอร์เนีย

หลังจากจบการศึกษาในชั้นมัธยมที่อเมริกา เขาก็ได้เข้าศึกษาต่อปริญญาตรี ในสาขา ปรัชญา และศึกษาต่อในระดับปริญญาโทในด้านนิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Stanford University 

ชีวิตของ Thiel นั้นผ่านงานมาอย่างโชกโชน ทั้งงานด้านเสมียนในศาลฏีกา งานด้านกฏหมายในสำนักงาน  Sullivan & Cromwell ในเมืองนิวยอร์ก และเริ่มหันมาสนใจเรื่องการเงิน โดยย้ายมาทำงานเป็นนักเทรดอนุพันธ์ทางการเงิน เครื่องมือทางการเงินรูปแบบใหม่ ที่ Credit Suisse แต่เหมือนกับเป็นการค้นหาชีวิตว่าเขาชอบทำอะไรกันแน่ ทั้งที่ผ่านงานมาหลายรูปแบบ แต่เขาไม่ได้รู้สึกว่าตอบโจทย์กับชีวิตเขาเลยด้วยซ้ำ

ในวัย 30 ปี เขาได้ตัดสินใจเดินทางกลับมายังแคลิฟอร์เนีย ในขณะนั้น อินเตอร์เน็ตกำลังเติบโตอย่างบ้าคลั่ง เริ่มมีบริการต่าง ๆ ขึ้นไปออนไลน์บนอินเตอร์เน็ตจำนวนมาก ทำให้ Thiel เห็นถึง Trend ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับอินเตอร์เน็ต

บริการต่าง ๆ บนอินเตอร์เน็ตกำลังเป็น Trend ใหม่ของโลกในขณะนั้น
บริการต่าง ๆ บนอินเตอร์เน็ตกำลังเป็น Trend ใหม่ของโลกในขณะนั้น

Thiel จึงตัดสินใจครั้งสำคัญว่าจะตกขบวนอินเตอร์เน็ตครั้งนี้ไม่ได้ สิ่งที่เขาตามหามานาน แสนนาน ก็คือเจ้าอินเตอร์เน็ตนี่เอง เขาจึงได้ระดมทุนจากเพื่อน ๆ และครวบครัวและญาติพี่น้อง ได้เงินมากว่า 1 ล้านเหรียญเพื่อเป็นทุนตั้งต้นในการก่อตั้ง Thiel Capital Management บริษัทที่จะเน้นการลงทุนด้านบริการที่อยู่บนอินเตอร์เน็ต

Thiel ได้ทดลองกับโครงการต่าง ๆ มากมาย ที่จะทำประโยชน์ได้จากอินเตอร์เน็ต แต่ผ่านไป 2 ปีแทบจะไม่มีโครงการไหนสำเร็จเลยเสียด้วยซ้ำ ในปี 1999 เขากับเพื่อนจึงได้ตัดสินใจเปิดบริษัทซอฟต์แวร์ในชื่อ Confinity ขึ้น โดยผลิตภัณฑ์แรกที่ทำการพัฒนาขึ้นมาชื่อว่า Fieldlink ซึ่งเป็นนวัตกรรมการชำระเงินผ่านเครื่อง Palm Pilot 

และในปีเดียวกันนั้นเองที่เขาเริ่มเห็นตลาดบางอย่างของการชำระเงินในรูปแบบออนไลน์ ซึ่งในยุคนั้นการชำระด้วย Credit Card นั้นแทบจะเป็นบริการหลักที่ใช้ในการชำระเงินแบบออนไลน์สำหรับชาวอเมริกัน Thiel อยากสร้างทางเลือกอื่นให้กับผู้บริโภค

เขามองไปที่ Digital Wallet ที่จะเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้บริโภค ซึ่งต้องเป็นบริการที่มีความปลอดภัยมีการเข้ารหัสข้อมูลเพื่อไม่ให้โดนโจรกรรมได้ง่าย และเขาก็ได้สร้างบริการ paypal ขึ้นมาได้สำเร็จในที่สุด 

Thiel สร้างบริการอย่าง paypal ขึ้นมาได้สำเร็จ
Thiel สร้างบริการอย่าง paypal ขึ้นมาได้สำเร็จ

และในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ก็ได้เกิดคู่แข่งที่สำคัญ สตาร์ทอัพ หน้าใหม่ ที่นำโดย Elon Musk ที่ได้เปิดบริการอย่าง X.com เข้ามาแข่งกับ paypal โดยตรง มันเป็นสงครามที่ดุเดือด ใครที่เป็นฝ่ายชนะ จะได้เขียนประวัติศาสตร์การปฏวัติอุตสาหกรรมทางด้านการเงินแต่เพียงผู้เดียว

ความได้เปรียบของ paypal ของ Thiel  คือ paypal นั้นได้ติดตั้งในเว๊บไวต์ประมูลชื่อดังอย่าง ebay ได้แล้วในขณะนั้น แต่ Musk ที่ชอบการแข่งขันอยู่แล้วก็ ดำเนินกลยุทธ์ทุกวิธีเพื่อไม่ยอมแพ้ เขาแทบจะทำงาน 24 ชม.ต่อวันในช่วงเวลาดังกล่าว

แต่พวกเขาก็แข่งกันได้เพียงไม่นาน เพราะขืนแข่งต่อไปดูเหมือน จะตายกันไปข้างหนึ่งก่อน ในปี 2000 พวกเขาหันมารวมพลังกัน ตอนนั้น paypal ของ Peter Thiel ดูเหมือนเงินใกล้จะหมดแล้วด้วยซ้ำ ส่วน Musk นั้นยังมีเงินให้ผลาญอีกมากมาย 

ดังนั้น Musk จึงเป็นฝ่าย ถือไพ่เหนือกว่าในดีล นี้ เขากลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และ ขอคง x.com ไว้ตามเดิม และยังได้รับการสนับสนุนเงินลงทุนเพิ่มอีกกว่า 100 ล้านเหรียญ จากกลุ่มลงทุนด้านการเงิน

แต่ปัญหาใหญ่ในการรวมบริษัท ก็คือ วัฒนธรรมที่แตกต่าง แม้กระทั่ง เทคโนโลยีที่แทบจะต่างกันคนละขั้ว confinity นั้นใช้ open source อย่างลินุกซ์ ส่วน x.com ของ Musk ขับเคลื่อนโดย Windows Server ซึ่งความแตกหักนี้ทำให้ Peter Thiel ขอลาออก และ ทิ้งให้ Musk บริหารบริษัท ในซากปรักหักพังนี้ต่อ

ปัญหาใหญ่อีกอย่างก็คือ เมื่อผู้ใช้งานมากขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือน X.com จะไม่สามารถรองรับการเติบโตดังกล่าวได้ ทำให้ไซต์ ล่มอยู่บ่อย ๆ ซึ่งไม่ถือเป็นเรื่องดีเลยสำหรับบริการทางด้านการเงินที่ลูกค้าตั้งความหวังไว้สูง

และมันได้เกิดเหตุการณ์ยึดอำนาจครั้งประวัติศาสตร์ของซิลิกอน วัลเลย์ ขึ้น เมื่อเหล่าพนักงาน X.com กลุ่มหนึ่งได้รวมกลุ่มกันเพื่อคิดหาวิธีที่จะให้ Musk ออกไป และตัดสินใจลงมือลับหลัง ในตอนที่ Musk  กำลังเดินทางไปฮันนีมูน ซึ่งเมื่อ Musk รู้ก็ได้รีบขึ้นเครื่องกลับมาทันที

แม้จะพยายามตอบโต้กลับในช่วงแรก ๆ ก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าเหล่ากรรมการได้ตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว และดูเหมือน Musk ก็จะยอมรับกับสิ่งที่เกิดแต่โดยดี และพร้อมที่จะยอมถอยเพื่อให้บริษัทก้าวไปข้างหน้า ได้อย่างมั่นคงอีกครั้ง

และมันทำให้อิทธิพลของ Musk ต่อ X.com นั้นลดลงไปอย่างรวดเร็ว ในเดือน มิถุนายน ปี 2001 X.com ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็น paypal.com แทน และ Peter Thiel กลับมาเป็น CEO ของบริษัทอีกครั้ง

สุดท้ายทั้งคู่ก็จับมือกันผลักดันบริการ paypal เพียงบริการเดียว
สุดท้ายทั้งคู่ก็จับมือกันผลักดันบริการ paypal เพียงบริการเดียว

และสุดท้ายก็เป็น Peter Thiel ที่นำพา paypal เข้าสู่ตลาดหุ้นได้สำเร็จในปี 2002 และถูกซื้อกิจการโดย ebay ในมูลค่ากว่า 1.5 พันล้านเหรียญ

หลังจากได้เงินมหาศาลจากการขาย paypal ให้กับ ebay เขาก็ได้เริ่มก่อตั้ง Clarium Captial Managment โดยเน้นการลงทุนใน ตลาดเงิน ตลาดทุน รวมถึงสินค้า commodities และประสบความสำเร็จอย่างสูง

จากนั้นเขาก็ได้หันมาตั้ง Palantir  ซึ่งเป็นบริษัทด้าน Cyber Security ขนาดใหญ่ ที่ CIA ให้การสนับสนุนกว่า 20 พันล้านเหรียญ โดยมีเป้าหมายเป็นบริษัที่จะให้บริการทำเหมืองข้อมูล ซึ่งจะใช้เป็นเทคโนโลยีด้านข่าวกรองและสอดส่อง คอยตรวจสอบและติดตามการฉ้อโกง

Palantir แม้จะไม่มีข่าวออกมามากนักเหมือน startup รายอื่น  ๆ แต่ตอนนี้ ได้เติบโตจนกลายมาเป็น Startup อันดับ 3 ของอเมริกาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และไม่ได้มีเพียงลูกค้าเฉพาะภาครัฐเพียงเท่านั้น ยังให้บริการกับบริษัทเอกชนใหญ่ ๆ ใน Fortune 500 อีกด้วย

ความสำเร็จของ Peter Thiel ที่เป็นที่กล่าวถึงมากที่สุดคงเป็นเรื่องการเป็น Angel Investor ให้กับ facebook บริการ Social Network หน้าใหม่ในปี 2004 โดยเขาลงทุนก้อนแรกให้ facebook ไปกว่า 500,000 เหรียญ เพื่อแลกกับหุ้น 10.2% ในบริษัท และกลายมาเป็นหนึ่งในกรรมการบริษัทในที่สุด

และเมื่อ facebook สามารถเข้าสู่ตลาดหุ้นได้ในปี 2012 นั้น ทำให้ facebook มีมูลค่าพุ่งสูงไปถึงกว่า 100,000 ล้านเหรียญ Thiel จึงได้ทำการเทขายหุ้นไปเกือบหมด ทำให้เขาก้าวเข้าไปติด 400 อันดับเศรษฐีของอเมริกาจากนิตยสาร Forbes ไปในที่สุด ด้วยทรัพย์สินในตอนนั้นกว่า 1,800 ล้านเหรียญ ซึ่งการรวยอย่างก้าวกระโดดนั้น น่าจะเกิดจากผลตอบแทนจากเม็ดเงินลงทุนก้อนแรกใน facebook ยุคตั้งไข่เพียง 500,000 เหรียญนั่นเอง

–> อ่านตอนที่ 9 : Keith Rabois

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Jawed Karim *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Paypal Mafia ตอนที่ 7 : David O. Sacks

David O. Sacks เป็นอีกหนึ่งในแก๊งค์ paypal mafia ที่ค่อนข้างมีบทบาทสำคัญกับการเติบโตอย่างรวดเร็วของ paypal ในขณะนั้น  เขามีบทบาททั้งในเรื่องการจัดการคน การออกแบบผลิตภัณฑ์ แม้กระทั่งเรื่องงานด้านการขายและการตลาด เขาก็มีส่วนร่วมสำคัญกับ paypal ในขณะนั้น ถือเป็นอีกหนึ่ง keyman ที่สำคัญในการผลักดัน paypal ให้กลายเป็นที่ยอมรับในตลาดอย่างรวดเร็ว

Sacks นั้นเกิดที่ เมืองเคปทาวน์ ประเทศแอฟริกาใต้ ซึ่งเป็นที่เดียวกับ Elon Musk แต่ครอบครัวของ Sacks นั้นได้อพยพมายัง Tennessee ในประเทศสหรัฐอเมริกาตั้งแต่เขามีอายุเพียง 5 ขวบเท่านั้น 

เขามีเลือดของผู้ประกอบการที่มาจากคุณปู่ ที่ได้สร้างธุรกิจโรงงานลูกอม ในช่วงปี 1920 เขาเข้าศึกษาปริญญาตรีด้านเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ในช่วงปี 1990-1994 และเปลี่ยนสายมาเรียนทางด้านกฏหมายที่ University of Chicago Law School ในปี 1994-1998

Sacks นั้นได้เริ่มงานในตำแหน่ง Management Consultant ที่บริษัทที่ปรึกษายักษ์ใหญ่อย่าง Mckinsey & Company หลังจากเรียนจบที่ Chicago ทันที

ซึ่งเขาได้เข้ามาร่วมงานกับ paypal ในปี 1999 ในตำแหน่ง COO (Chief Operating Officer) ดูแลผลิตภัณฑ์หลักของบริษัท รวมถึงการบริหารทีมงานที่เกี่ยวข้องกว่า 700 คน เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์กับผู้ใช้งาน เขายังมีบทบาทในด้านการขายรวมถึงการตลาด รวมถึงการขยายตลาดไปยังต่างประเทศอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นคนที่ดูแลแทบจะทุกส่วนของบริษัทเลยก็ว่าได้รองจาก CEO เพียงเท่านั้น

ซึ่งในระหว่างที่ Sacks ดำรงตำแหน่ง COO ของ paypal นั้น ทำให้ paypal เติบโตอย่างรวดเร็ว มียอดบริการชำระเงินผ่านระบบ paypal 500 ล้านเหรียญต่อเดือน สามารถสร้างรายได้ให้บริษัทสูงถึง 230 ล้านเหรียญต่อปี 

และที่สำคัญยังสามารถที่จะเอาชนะคู่แข่งคนสำคัญอย่าง ebay ได้ ใน platform ของ ebay เองด้วยซ้ำ ผู้คนแห่แหนมาใช้ paypal กันอย่างถล่มทลายในการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าผ่านระบบ ebay และได้ทำให้ paypal กลายเป็นเว๊บไซต์ทางด้านการชำระเงินออนไลน์อันดับหนึ่งของโลกในที่สุด

สามารถเอาชนะ ebay ได้ใน platform ของ ebay เอง
สามารถเอาชนะ ebay ได้ใน platform ของ ebay เอง

Sacks นั้นยังมีบทบาทในด้านการขยายไปสกุลเงินต่าง ๆ กว่า 80 ประเทศ และสุดท้ายก็พา paypal เข้าสู่บริษัทมหาชนผ่านการ IPO ในตลาดหลักทรัพย์ ก่อนที่สุดท้ายจะถูกขายให้กับ ebay เป็นมูลค่ามหาศาลกว่า 1.5 พันล้านเหรียญ

หลังจากพักไปทำตามความฝันด้านอื่น ๆ อยู่เป็นเวลาหลายปี ในปี 2006 Sacks นั้นกลับมาที่ Silicon Valley อีกครั้ง โดยร่วมก่อตั้ง Geni.com เป็นเว๊บไซต์ ที่ใช้ในการลำดับวงศ์ตระกูล ภายในครอบครัว ทำให้สมาชิกในครอบครัวสามารถสร้างแผนผังลำดับวงศ์ตระกูลให้ดูง่าย โดยสามารถทำงานแบบออนไลน์

และที่ Geni นี่เองที่เขาได้เกิดแนวคิดที่จะสร้าง เครื่องมือที่จะใช้เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานในองค์กรขึ้น และในปี 2008 Sacks และ Adm Pisoni ได้ทำการสร้างเครื่องมือสื่อสารที่จะใช้ภายในองค์กรรูปแบบใหม่ขึ้นมาที่ต่อมาได้กลายเป็น Yammer 

และในปี 2008 นี่เองที่เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ Sacks หันมาโฟกัสกับ Yammer มากยิ่งขึ้น โดยได้ปรับ Yammer ให้กลายเป็น Enterprise Social Network สำหรับองค์กร ซึ่งจะเป็น Solution ที่มีความปลอดภัยสำหรับการสื่อสารในองค์กร

และเนื่องจากตลาดนี้ยังเป็นตลาดใหม่ ทำให้ Yammer นั้นเติบโตอย่างรวดเร็ว Sacks นั้นได้ปรับมุมมองให้ Yammer กลายเป็น Software-as-a-service (SaaS) และได้ทำให้เติบโตอย่างรวดเร็ว มีผู้ใช้งานกว่า 8 ล้านคนโดยใช้ระยะเวลาเพียงแค่ 4 ปีเท่านั้น

และในที่สุดมันก็ได้ไปเตะตายักษ์ใหญ่ของ Enterprise Software อย่าง Microsoft ที่กำลังหาบริการในลักษณะนี้เพื่อปรับ Microsoft Office ขึ้นเป็นบริการ Online โดย Yammer จะสามารถมาเสริมความแข็งแกร่งในตลาด Enterprise ของ Microsoft ได้อย่างดีเยี่ยว และในขณะนั้น Microsoft ก็เริ่มปรับกลยุทธ์ไปยังระบบ Cloud และมุ่งนำบริการต่าง ๆ ของตัวเองขึ้นสู่ Cloud

Yammer บริการ Enterprise Social Network
Yammer บริการ Enterprise Social Network

และ Deal ก็จบลงด้วยมูลค่ากว่า 1.2 พันล้านเหรียญ โดย Microsoft สามารถนำเอา Yammer มาควบรวมกับบริการของตนเอง โดยในปี 2018 นั้น มีองค์กรธุรกิจกว่า 90,000 องค์กรนั้นได้ใช้บริการของ Yammer ซึ่งรวมถึง กว่า 85% ของบริษัทยักษ์ใหญ่ใน Fortune 500 ก็เป็นลูกค้าที่สำคัญของ Yammer

หลังจากนั้นในปี 2014 Sacks ก็ได้มาลงทุนกับซอฟต์แวร์ด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลอย่าง Zenefits และได้ถูกขอร้องให้รับตำแหน่ง CEO ชั่วคราว หลังจากเกิดปัญหาเกี่ยวกับใบอนุญาติของบริษัท

หลังจากนั้น Sacks ก็ใช้แนวคิดแบบเดียวกับที่ Yammer มาปรับปรุง Zenefits ให้ปรับโมเดลธุรกิจให้เป็นแบบ Saas (Software-as-a-Service) ซึ่งหลังจากการปรับโมเดลนี้ได้ไม่นาน บริษัทก็เติบโตด้านจำนวนผู้ใช้งานอย่างรวดเร็ว จนถูกยกย่องให้กลายเป็นบริการด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลที่ดีที่สุดในตลาดในขณะนั้น จากนิตยสาร PC Magazine

Zenefits บริการด้าน HR ในรูปแบบ Software-as-a-Service
Zenefits บริการด้าน HR ในรูปแบบ Software-as-a-Service

หลังจากพา Zenefits ขึ้นสู่จุดสูงสุดได้ เขาก็ส่งไม้ต่อให้กับ CEO คนใหม่ และ หันมาลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีเกิดใหม่ที่มีศักยภาพในการเติบโต เขาเป็นทั้ง Angel Investor ที่ลงทุนในช่วงก่อตั้งของ Startup หลาย ๆ บริษัท ทั้ง AirBnB , EventBrite , Facebook , Slack , SpaceX  หรือแม้กระทั่ง Uber เองก็ผ่านการลงทุนจากเขาแล้วทั้งสิ้น

และในปี 2017 Sacks ได้ร่วมก่อตั้งบริษัทด้านการลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีเกิดใหม่ในชื่อ Craft Ventures ได้ระดมทุนเริ่มต้นกว่า 350 ล้านเหรียญ และลงทุนในบริษัทต่าง ๆ เช่น Bird , Bitgo , Cloud9 , Harbour , Multicoin Capital และ SpaceX

–> อ่านตอนที่ 8 : Peter Thiel

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Jawed Karim *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***