การสังหารหมู่งานสาย STEM นักเศรษฐศาสตร์โนเบลเตือน ยุคปฏิวัติแรงงานครั้งใหม่ คุณพร้อมแล้วหรือยัง?

ต้องบอกว่ากลุ่มคนที่ครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่าเป็น “พี่ใหญ่” ในโลกของการทำงาน เป็นกลุ่มคนที่ใครๆ ก็หมายปองและถวิลหาอยากจะเป็น นั่นคือเหล่าผู้คนในสายงาน STEM

STEM ก็คือกลุ่มอาชีพที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (Science), เทคโนโลยี (Technology), วิศวกรรม (Engineering) และคณิตศาสตร์ (Mathematics) นั่นเอง

ในอดีต คนกลุ่มนี้แทบจะไม่เคยต้องกังวลเรื่องความมั่นคงในอาชีพเลย พวกเขาคือผู้รังสรรค์นวัตกรรม คือคนที่ขีดเขียนอนาคต เป็นมันสมองที่อยู่เบื้องหลังเทคโนโลยีเจ๋งๆ ที่เราใช้กัน

ในขณะที่อาชีพอื่นเริ่มร้อนๆ หนาวๆ กับการมาของหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ คนในแวดวง STEM กลับรู้สึกชิลๆ เพราะคิดว่า “ก็เรานี่แหละคนสร้าง AI แล้วมันจะมาแย่งงานเราได้ยังไง?”

แต่ดูเหมือนว่าความคิดนั้นกำลังจะแปรเปลี่ยนไปเสียแล้ว

เพราะตอนนี้ ความเชื่อมั่นของคนกลุ่มนี้กำลังสั่นคลอนอย่างหนัก และความกังวลก็เริ่มคืบคลานเข้ามาในใจของพวกเขาอย่างช้าๆ

เรื่องราวนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อบริษัทจัดหางานด้านเทคโนโลยีอย่าง Sthree ได้ปล่อยผลการศึกษาชิ้นหนึ่งที่ชื่อว่า “How the STEM World Evolves” ออกมา

ผลสำรวจนี้เจาะลึกเข้าไปในความคิดของคนทำงานสาย STEM กว่าสองพันคนทั่วโลก และสิ่งที่ค้นพบก็น่าสนใจมากจนทำเอาหลายคนตกใจ

ตัวเลขมันฟ้องว่า 34% ของคนในสายงาน STEM ทั้งหมด เริ่มกังวลว่า AI จะเข้ามาแย่งงานของพวกเขาไปจนหมดสิ้น

แต่ที่พีคไปกว่านั้นคือ เมื่อมองไปที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งก้าวเข้าสู่วงการนี้ ตัวเลขความกังวลกลับพุ่งไปถึง 44% เลยทีเดียว

มันกลายเป็นว่าคนรุ่นใหม่ที่ควรจะคุ้นเคยกับเทคโนโลยีมากกว่า กลับเป็นฝ่ายที่หวาดกลัวมากที่สุด

เรื่องนี้มันกลับตาลปัตรจากที่เราเคยคิดกันว่าคนรุ่นเก่าต่างหากที่น่าจะกลัวเทคโนโลยีใหม่ๆ แต่ความจริงกลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง

เหตุผลก็เพราะว่าคนรุ่นใหม่เหล่านี้ต้องเผชิญหน้าและอยู่ร่วมกับ AI ไปอีกหลายสิบปีในเส้นทางอาชีพของพวกเขา ความไม่แน่นอนในอนาคตจึงถาโถมเข้าใส่พวกเขาแบบจัดเต็ม

ความกังวลนี้ไม่ใช่เรื่องมโนไปเอง เพราะมีเสียงยืนยันจากบุคคลระดับโลกอย่าง Christopher Pissarides ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์จาก London School of Economics ผู้เคยคว้ารางวัล Nobel Prize มาแล้วในปี 2010

เขาออกมาพูดแบบตรงไปตรงมา ชนิดที่ไม่ต้องอ้อมค้อมเลยว่า คนทำงานสาย STEM นั่นแหละที่ควรจะกังวลเรื่อง AI มากที่สุด

Pissarides อธิบายแนวคิดของเขาว่า ทักษะที่จำเป็นมากๆ ในตอนนี้ เช่น การรวบรวมข้อมูล การจัดระเบียบข้อมูล และการพัฒนา AI ให้ใช้งานได้จริง กำลังเป็นเหมือน “เมล็ดพันธุ์แห่งการทำลายล้างตัวเอง”

พูดง่ายๆ ก็คือ คนที่กำลังปลุกปั้นและสร้าง AI ขึ้นมาในวันนี้ ก็คือคนที่กำลังเสกอาวุธที่จะย้อนกลับมาทำให้ทักษะของตัวเองนั้นล้าสมัยและไร้ค่าในอนาคต

เบื้องหลังของสถานการณ์นี้มีปัจจัยทางเศรษฐกิจเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ บริษัทใหญ่ๆ เริ่มมองเห็นศักยภาพจากการลงทุนใน AI แทนแรงงานมนุษย์

แม้ว่าตอนนี้จะยังเป็นการลงทุนเพียงน้อยนิด แต่พวกเขากำลังวางแผนระยะยาวที่จะค่อยๆ ลดการพึ่งพามนุษย์ลงเมื่อ AI ที่พวกเขาสร้างขึ้นมานั้นเก่งกาจและทรงพลังมากพอ

ผลการศึกษาจากยักษ์ใหญ่ทางการเงินอย่าง Goldman Sachs ยิ่งตอกย้ำภาพนี้ให้ชัดเจนขึ้นไปอีก โดยคาดการณ์ว่า AI จะเข้ามาแทนที่ตำแหน่งงานในปัจจุบันได้ถึง 25%

ขณะที่อีกประมาณ 65% ของคนทำงาน ก็ต้องเตรียมใจไว้เลยว่ารูปแบบการทำงานของพวกเขาจะถูก AI เข้ามาเปลี่ยนแปลงไปอย่างแน่นอน

ไม่ใช่ทุกสายงานใน STEM ที่จะโดนผลกระทบเท่ากัน เหมือนกับพายุที่ไม่ได้พัดถล่มทุกพื้นที่ด้วยความรุนแรงเท่ากัน

กลุ่มที่ดูจะยิ้มออกมากที่สุดคือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ เพราะงานของพวกเขายังต้องอาศัยการสัมผัส การสื่อสาร และความเข้าอกเข้าใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ AI ยังทำได้ไม่ดีนัก

แต่สำหรับสายเทคโนโลยีจ๋าๆ อย่าง Software Development, Web Development, Data Science หรือการ Coding กลับต้องเจอศึกหนัก

เพราะงานเหล่านี้เกี่ยวข้องกับตัวเลขและข้อมูลมหาศาล ซึ่งเป็นอาหารโปรดของ AI ที่สามารถประมวลผลได้รวดเร็วและแม่นยำกว่ามนุษย์หลายเท่าตัว

เราได้เห็นตัวอย่างจริงที่เกิดขึ้นแล้ว อย่างบริษัทแอปสอนภาษาชื่อดัง Duolingo ที่ CEO ออกมาประกาศกร้าวเมื่อเดือนเมษายน 2025 ว่าบริษัทจะเดินหน้าสู่การเป็น “AI-first” อย่างเต็มตัว

นั่นหมายความว่างานหลายอย่างที่เคยต้องจ้างมนุษย์ทำ ตอนนี้ถูกส่งต่อไปให้ AI จัดการแทนเรียบร้อยแล้ว เป็นการถีบส่งพนักงานเดิมแบบไม่ทันตั้งตัว

หรือเรื่องเล่าสุดเจ็บปวดของนักเขียนคนหนึ่งใน Tech Startup ที่ถูกเลิกจ้างแบบไร้คำอธิบาย แต่ภายหลังกลับไปเจอข้อความใน Slack ที่ผู้จัดการเรียกเธอว่า “Olivia/ChatGPT” เหมือนจะบอกเป็นนัยว่า ChatGPT สามารถทำงานแทนเธอได้ในราคาที่ถูกกว่ามาก

เรื่องนี้ชี้ให้เห็นมุมมืดของวงการเทคโนโลยีที่บางครั้งก็โหดเหี้ยมและไร้ความปรานีอย่างไม่น่าเชื่อ

แต่ท่ามกลางข่าวร้ายที่ถาโถมเข้ามา ก็ยังมีแสงสว่างรำไรให้เราได้ใจชื้นกันอยู่บ้าง ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาได้สอนเราว่า ทุกครั้งที่มีเทคโนโลยีใหม่เข้ามาทำลายล้างงานเก่า มันก็จะสร้างงานใหม่ๆ ขึ้นมาทดแทนเสมอ

ข้อมูลจาก World Economic Forum คาดการณ์ว่า แม้ AI และหุ่นยนต์จะทำให้ 85 ล้านตำแหน่งงานหายไปภายในปี 2025 แต่ในขณะเดียวกัน มันก็จะรังสรรค์งานใหม่ๆ ขึ้นมาถึง 97 ล้านตำแหน่ง

งานใหม่เหล่านี้จะอยู่ในแวดวง AI Development, Data Science และที่สำคัญคืองานที่ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์กับ AI

แต่ก็มีเงื่อนไขสำคัญ เพราะ 77% ของงาน AI ใหม่ๆ เหล่านี้ ต้องการวุฒิการศึกษาระดับปริญญาโท และอีก 18% ต้องการถึงระดับปริญญาเอกเลยทีเดียว

สถานการณ์ที่เปลี่ยนไปนี้ ได้เปลี่ยนทัศนคติของคนทำงานสาย STEM ใหม่ทั้งหมด พวกเขาไม่ได้มองแค่เรื่องเงินเดือนที่สูง ๆ เหมือนเดิมอีกต่อไป

ผลสำรวจของ Sthree พบว่า 53% ของคนกลุ่มนี้ ให้ความสำคัญกับ “ความมั่นคงในงาน” มากกว่าการขึ้นเงินเดือนเสียอีก

และกว่า 63% มองว่า “ความยืดหยุ่นในการทำงาน” เป็นปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลต่อเส้นทางอาชีพของพวกเขาอย่างมาก

ที่น่าสนใจที่สุดคือ 81% ของผู้ตอบแบบสอบถามบอกว่า “การทำงานที่มีเป้าหมาย” และสร้างคุณค่า เป็นหัวใจหลักในการเลือกอาชีพของพวกเขาในยุคนี้

นั่นแสดงให้เห็นว่า คนสาย STEM ของแท้ในยุคนี้ เข้าใจดีว่าโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไป และการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องคือหนทางเดียวที่จะอยู่รอด

กว่า 50% ยินดีที่จะเลือกโปรเจกต์ที่ช่วยพัฒนาทักษะของพวกเขา แม้จะได้รับเงินเดือนน้อยกว่าก็ตาม เพราะพวกเขารู้ดีว่าถ้าไม่ Upskill ตัวเอง ก็อาจจะกู่ไม่กลับและดับสนิทไปจากวงการนี้ได้เลย

นี่คือสัญญาณที่บอกว่า บริษัทต่างๆ ต้องเปลี่ยนวิธีคิดเช่นกัน การจะดึงดูดคนเก่งๆ ที่เป็นที่หมายปองไว้ให้อยู่กับองค์กรต่อไปได้ ไม่ใช่แค่การอัดฉีดเงินเดือนเพียงอย่างเดียว

บริษัทต้องลงทุนในการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะของพนักงาน เพื่อสร้างอนาคตที่มั่นคงที่พวกเขาสามารถเติบโตและสยายปีกไปพร้อมกับองค์กรได้

ตัวอย่างที่เจ๋งมาก ๆ คือ Amazon ที่ประกาศทุ่มงบกว่า 1.2 พันล้านดอลลาร์ ในโครงการ “Upskilling 2025” เพื่อฝึกอบรมพนักงานกว่า 300,000 คน ให้มีทักษะพร้อมสำหรับงานด้านเทคนิคในอนาคต

แล้วเราควรจะรับมือกับคลื่นการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างไร?

สำหรับคนที่ทำงานในสาย STEM อยู่แล้ว คำแนะนำไม่ใช่การตั้งป้อมสู้กับ AI แต่คือการเรียนรู้ที่จะใช้มันให้เก่งกว่าคนอื่น

ลองคิดดูสิว่ามันจะเจ๋งแค่ไหน ถ้าเราสามารถใช้ ChatGPT ช่วยร่างโค้ด หรือใช้ GitHub Copilot ช่วยเขียนโปรแกรม ทำให้เราทำงานได้เร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

และการพัฒนาทักษะที่ AI ยังทำได้ไม่ดีพอ เช่น ความคิดสร้างสรรค์ การคิดเชิงกลยุทธ์ และที่สำคัญที่สุดคือทักษะการสื่อสารและสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์

สำหรับน้องๆ รุ่นใหม่ที่กำลังเลือกเส้นทางชีวิต Christopher Pissarides แนะนำว่าอย่ามองข้ามทักษะที่เกี่ยวข้องกับความเข้าอกเข้าใจ (Empathetic Skills) และความคิดสร้างสรรค์

งานที่ต้องใช้การดูแลเอาใจใส่ การสื่อสาร และการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี จะยังคงเป็นที่ต้องการอย่างมากในตลาดแรงงาน และเป็นงานที่ AI ไม่สามารถทำแทนได้อย่างสมบูรณ์

มองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มนุษยชาติเจอกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แบบนี้

การปฏิวัติอุตสาหกรรมในอดีตเคยทำให้คนกลัวว่าจะตกงานกันถ้วนหน้า แต่สุดท้ายมันก็สร้างงานใหม่ๆ และอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อนขึ้นมามากมาย

ยุคอินเทอร์เน็ตก็เช่นกัน ตอนที่มันเข้ามาใหม่ๆ ผู้คนต่างพากันหวาดกลัวว่าร้านค้าจะเจ๊ง พนักงานธนาคารจะตกงาน

แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือการถือกำเนิดของ E-commerce, Digital Marketing และอาชีพอีกนับไม่ถ้วน ที่สร้างโอกาสให้คนธรรมดาสามารถก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาได้

AI ก็อาจจะเป็นเช่นนั้น มันอาจจะทำให้บางอาชีพต้องจบเห่และมลายหายไปหมดสิ้น แต่ในขณะเดียวกัน มันก็จะเปิดประตูสู่โลกใบใหม่ที่เต็มไปด้วยโอกาสที่เรายังจินตนาการไม่ถึง

กุญแจสำคัญไม่ได้อยู่ที่การต่อต้านหรือหลีกหนี แต่คือการปรับตัว เรียนรู้ และเปิดใจยอมรับ

อนาคตของการทำงานไม่ได้ถูกขีดชะตาไว้ให้เราต้องพ่ายแพ้ แต่ถูกขีดเขียนขึ้นเพื่อให้เราได้แสดงความสามารถในการปรับตัวและความเป็นมนุษย์ของเราออกมา

เพราะท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่ทำให้เราแตกต่างจากเครื่องจักร ไม่ใช่ความสามารถในการประมวลผลข้อมูล แต่คือหัวใจ ความเข้าใจในเพื่อนมนุษย์ และจินตนาการที่ไร้ขีดจำกัด

และนั่นคือความสามารถที่แท้จริง ที่จะทำให้เราไม่เพียงแค่อยู่รอด แต่จะเติบโตและก้าวไปข้างหน้าได้อย่างสง่างามในยุคใหม่ที่กำลังจะมาถึง.

References: [bloomberg, lse.ac.uk, sthree, taipeitimes, specialiststaffinggroup]

Geek Daily EP243 :  Dojo ความหวังสุดท้ายของ Elon Musk กับอาวุธลับของ Tesla ในการพิชิตตลาดรถยนต์ไร้คนขับ

Elon Musk ได้ประกาศแผนการลงทุนครั้งใหญ่ของบริษัท Tesla โดยเขากล่าวว่าบริษัทจะทุ่มงบประมาณมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในสิ้นปี 2024 เพื่อสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่มีชื่อว่า “Project Dojo” ซึ่งเป็นโครงการที่มีความทะเยอทะยานสูง และอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในวงการเทคโนโลยี

Musk มีเป้าหมายที่จะใช้พลังการประมวลผลอันมหาศาลของ Dojo เพื่อพัฒนาความสามารถในการขับขี่อัตโนมัติของรถยนต์ Tesla ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น เป้าหมายสูงสุดของเขาคือการสร้างระบบขับขี่อัตโนมัติที่สมบูรณ์แบบ

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/4eburyf5

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/pua5w86d

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/yc6aznf5

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/V_vJPAQuw2E

MUSA หุ่นยนต์ผ่าตัดระดับ Super Micro ที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้

ลองจินตนาการการผ่าตัดของแพทย์ ที่พยายามขยับมือในระดับความห่างแค่เพียงมิลลิเมตรมันเป็นสิ่งที่ทำได้ยากจริง ๆ หากต้องทำโดยใช้แพทย์ที่เป็นมนุษย์

นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเรื่องราวของหุ่นยนต์ MUSA มันถึงไม่ธรรมดาที่หุ่นยนต์ผ่าตัดจากเนเธอแลนด์ตัวใหม่ ที่เพิ่งจะเข้าผ่าตัดด้วยกล้องจุลทรรศน์กำลังประสบความสำเร็จในมนุษย์จริง ๆ

ตามเอกสารที่ตีพิมพ์เมื่อวันอังคารในวารสารทางการแพทย์ Nature Communications แพทย์ทำการผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ระดับ Super Micro เป็นครั้งแรกโดยใช้อุปกรณ์หุ่นยนต์ผ่าตัดรูปแบบเฉพาะ 

โดย MUSA ผลิตโดย บริษัท Microsure ของเนเธอแลนด์ โดย MUSA’s จะถูกดำเนินการผ่านแพทย์โดยใช้จอยสติ๊กแบบคีมที่ติดตั้งบนโต๊ะผ่าตัดและคันเหยียบสำหรับบังคับการเคลื่อนไหว

สิ่งที่ทำให้ MUSA แตกต่างจากอุปกรณ์ผ่าตัดที่ใช้หุ่นยนต์ช่วยอื่น ๆ เช่น หุ่นยนต์ DaVinci ที่ใช้กันมาอย่างยาวนานแล้ว เพราะมันเป็นหุ่นยนต์ผ่าตัดที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด นั่นคือมันสามารถเข้าไปในที่ DaVinci ไม่สามารถทำได้: เป้าหมายการผ่าตัดในระดับมิลลิเมตรที่ MUSA สามารถเข้าถึงได้ :

MUSA ช่วยแพทย์ผ่าตัดผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งเต้านม lymphedema ซึ่งแต่เดิมนั้นอัตราการรอดชีวิตจากมะเร็งเต้านมมีเพียงแค่หนึ่งในสาม ในสองปีหลังจากการผ่าตัดมะเร็งเต้านมครั้งแรก

การศึกษายืนยันประสิทธิภาพของหุ่นยนต์แสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดระดับ Super Micro ของ MUSA ได้ช่วยปรับปรุงผลลัพธ์ที่เหนือกว่าหุ่นยนต์ผ่าตัดแบบอื่น ๆ ที่เคยมีมา ซึ่งทำให้ผู้ป่วยหายเร็วขึ้น

ตอนนี้ยังไม่มีราคาที่แน่นอนสำหรับหุ่นยนต์ผ่าตัดตัวใหม่นี้ และระบบที่ใกล้เคียงที่สุดกับ MUSA คือ DaVinci ที่มีราคาสูงถึง 2 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งก็อย่าคาดหวังที่จะเห็นมันในโรงพยาบาลทั่วไป เพราะเป็นการลงทุนที่สูงมาก ๆ

แต่สิ่งที่เราคาดหวังว่าจะได้เห็นในไม่ช้า คือ ข่าวเรื่องการทดลองการใช้ MUSA มากขึ้น และการพัฒนาเทคโนโลยีชนิดที่จะช่วยให้สามารถนำไปใช้ในวงกว้างมากยิ่งขึ้นในอนาคต หุ่นยนต์ DaVinci ปรากฏตัวขึ้นในปี 2000 และเพียงยี่สิบปีต่อมา เทคโนโลยีรวมถึงเซ็นเซอร์ใหม่ ๆ กำลังทำให้หุ่นยนต์เหล่านี้ ผ่าตัดในพื้นที่ขนาดเล็กลงเรื่อย ๆ ในระดับต่ำกว่ามิลลิเมตร 

และต้องบอกว่า MUSA นั้นเป็นมากกว่าการปฏิวัติการผ่าตัด มันทำให้เราเห็นว่าหุ่นยนต์กำลังจะเข้ามาท้าทายอาชีพหลัก ๆ ของมนุษย์เราเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้กระทั่งอาชีพหมอผ่าตัด

แม้ตอนนี้มันจะเป็นเพียงแค่ตัวช่วยที่ยอดเยี่ยมของศัลยแพทย์ก็ตามที แต่อย่าลืมว่า ด้วยเทคโนโลยีอย่าง AI , Machine Learning ผสานกับ อุปกรณ์เซ็นเซอร์ที่มีความละเอียดสูงต่าง ๆ ที่กำลังก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วในปัจจุบันนั้น อีกไม่นาน เราอาจจะต้องยอมรับให้หุ่นยนต์ทั้งตัวเป็นผู้ผ่าตัดมนุษย์จริง ๆ ด้วยตัวมันเอง โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งแพทย์ต่อไปอีกเลย ก็เป็นได้ครับผม

References : https://futurism.com/neoscope/musa-robot-surgery-supermicrosurgery-success

Xenobots กับหุ่นยนต์มีชีวิตตัวแรกที่มาจากเซลล์ต้นกำเนิดของกบ

ทีมนักวิจัยได้สร้างสิ่งที่พวกเขาอ้างว่าเป็นหุ่นยนต์ตัวแรกที่มีชีวิต พวกเขาได้กล่าวว่า “ xenobots” สามารถเคลื่อนที่เพื่อย้ายหรือหยิบวัตถุและมีความสามารถในการรักษาตัวเองหลังจากถูกที่มันถูกตัดออกได้

ทีมงานหวังว่าหุ่นยนต์ชีวภาพเหล่านี้ ในวันหนึ่งอาจถูกนำมาใช้ในการทำความสะอาด microplastics ในมหาสมุทร หรือ แม้กระทั่งการตรวจสอบยาเสพติดภายในร่างกายมนุษย์,  theguardian.com รายงาน

ในการสร้างหุ่นยนต์ทีมนักวิจัย ใช้เซลล์จากตัวอ่อนกบมาประกอบเข้าด้วยกันให้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดจิ๋ว

“เรื่องเหล่านี้ดูเหมือนเป็นเรื่องในนวนิยายวิทยาศาสตร์” นักวิจัยร่วม Joshua Bongard ผู้เชี่ยวชาญด้านหุ่นยนต์ที่มหาวิทยาลัยเวอร์มอนต์กล่าวในการแถลง “พวกมันไม่ใช่หุ่นยนต์แบบดั้งเดิม หรือเป็นสัตว์ที่เรารู้จัก มันเป็นความก้าวหน้าครั้งใหม่ของสิ่งประดิษฐ์: สิ่งมีชีวิตที่สามารถตั้งโปรแกรมได้”

Xenobots ที่เป็นทั้งหุ่นยนต์ และ สัตว์
Xenobots ที่เป็นทั้งหุ่นยนต์ และ สัตว์

หุ่นยนต์ที่มีความยาวเพียงไม่กี่มิลลิเมตรนั้น ได้รับการออกแบบโดยซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ใช้ “ evolutionary algorithm ” ในการออกแบบชิ้นส่วน 3D หลายพันชิ้น เพื่อสร้างรูปแบบพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต จากนั้นนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการออกแบบให้มันสามารถเคลื่อนที่ไปข้างหน้าหรือทำภารกิจพื้นฐานบางอย่างได้

ซึ่งหุ่นยนต์ตัวจิ๋วเหล่านี้มีพลังในการสร้างเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจที่สามารถขยายและหดตัวได้เอง

และพวกมันก็ถือว่าเป็นสัตว์ตัวเล็ก ๆ อย่างหนึ่ง ในการทดสอบที่ระบุไว้ในบทความที่ตีพิมพ์ในวารสาร Proceedings ของ National Academy of Sciences ในตอนนี้ หุ่นยนต์จิ๋วบางตัว สามารถที่จะดันเม็ดเล็ก ๆ ให้ไปอยู่ในตำแหน่งตรงกลางของจาน ในขณะที่หุ่นยนต์ตัวอื่น ๆ กำลังถือวัตถุอยู่รอบ ๆ

หุ่นยนต์ชีวภาพมีข้อได้เปรียบหุ่นยนต์แบบดั้งเดิมที่เป็นโลหะจริง ๆ ที่มีขนาดใหญ่อย่างที่เราเห็นได้ทั่วไป เพราะพวกมันไม่ทิ้งร่องรอยไว้หลังปฏิบัติภารกิจ

“เนื่องจากหุ่นยนต์ตัวจิ๋วเหล่านี้สามารถย่อยสลายได้ทางชีวภาพอย่างสมบูรณ์” Bongard กล่าวในแถลงการณ์ “ ในอนาคตเมื่อพวกมันปฏิบัติภารกิจสำเร็จ ภายในเจ็ดวันพวกมันก็จะกลายเป็นแค่เซลล์ที่ตายแล้วผ่านการย่อยสลายที่สมบูรณ์”

“หุ่นยนต์เหล่านี้มีขนาดเล็กมาก แต่แผนต่อไปก็คือการทำให้พวกมันมีขนาดใหญ่ขึ้น” นักวิจัยร่วม Michael Levin ผู้อำนวยการ Allen Discovery Center ของ Tufts University บอกกับ theguardian.com พวกมันอาจถูกสร้างขึ้นพร้อมกับเซลล์อื่น ๆ รวมถึงหลอดเลือดหรือเซลล์ประสาทเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรับรู้ ในอนาคต

ความคิดเห็นเพิ่มเติมจากผู้เขียน

ต้องบอกว่าเป็นความก้าวหน้าที่น่าสนใจในวงการหุ่นยนต์เลยทีเดียวสำหรับ แนวคิดหุ่นยนต์ชีวภาพที่กำเนิดจาก เซลล์ต้นกำเนิดสิ่งมีชีวิตอย่างกบ

แน่นอนว่าเราได้เห็นเรื่องราวเหล่านี้ในหนัง Hollywood มามากมาย ในเรื่องของหุ่นยนต์ชีวภาพ แต่ตอนนี้ สิ่งที่เราเห็นในหนัง มันอาจจะเกิดขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริง แม้ตอนนี้จะดูเหมือนเป็นจุดเริ่มต้นเท่านั้น แต่ก็เราก็ได้เห็นถึงความเป็นไปได้ว่ามันอาจจะเกิดขึ้นจริง

ซึงแน่นอนว่า ในอนาคต ก็มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่จะเห็น สิ่งมีชีวิตที่ครึ่งหนึ่งเป็นมนุษย์อีกครึ่งหนึ่งเป็นเครื่องจักรกล เหมือนที่เราเห็นในหนังดังจาก Hollywood เหมือนที่หลาย ๆ สิ่ง หลาย ๆ อย่างมันเกิดขึ้นแล้วทั้งที่ในอดีต เราไม่เคยคิดว่ามันจะเกิดขึ้นได้นั่นเองครับ

References : https://www.theguardian.com/science/2020/jan/13/scientists-use-stem-cells-from-frogs-to-build-first-living-robots https://www.advancedsciencenews.com/team-builds-first-living-robots/

Geek Monday EP27 : วิธีที่น่าอัศจรรย์ที่ Samsung ใช้กับเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาสร้างกลยุทธ์ในธุรกิจ

Samsung ได้ถูกกล่าวขานว่าเป็นคู่แข่งด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในระดับโลก โดยจากกิจกรรมต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมไปจนถึงการตั้งเป้าหมายกับ AI ในระดับแนวหน้าไปจนถึงการอัปเดตผลิตภัณฑ์เพื่อใช้ปัญญาประดิษฐ์

สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ดูเหมือนว่า Samsung จะเต็มไปด้วยพร้อม ในการเตรียมการสำหรับการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ที่กำลังใกล้เข้ามา

ด้วยชื่อเสียงและความสำเร็จกับ Android และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน และบทเรียนก่อนหน้านี้กับ AI และกลยุทธ์ที่แน่วแน่ที่มีต่อการเติบโตและความเป็นเลิศของ AI ในอนาคตของ Samsung จะช่วยปิดช่องโหว่ของตัวเองและสร้างความได้เปรียบคู่แข่งในการแข่งขันของธรุกิจของพวกเขาได้ในอนาคต นั่นเองครับ

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน Podbean : http://bit.ly/2K4DXGs

ฟังผ่าน Apple Podcast :   https://apple.co/2Q4ARpq

ฟังผ่าน Google Podcast : http://bit.ly/2qC3csE

ฟังผ่าน Spotify : https://spoti.fi/34LBkB5

ฟังผ่าน Youtube :   https://youtu.be/6ql5rAjbD8E

References : http://www.businesskorea.co.kr/news/articleView.html?idxno=20610 https://www.lifewire.com/history-of-samsung-818809 https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B5_%E0%B8%9A%E0%B8%A2%E0%B9%87%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B8%8A%E0%B9%87%E0%B8%AD%E0%B8%A5