ต้องบอกว่ากลุ่มคนที่ครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่าเป็น “พี่ใหญ่” ในโลกของการทำงาน เป็นกลุ่มคนที่ใครๆ ก็หมายปองและถวิลหาอยากจะเป็น นั่นคือเหล่าผู้คนในสายงาน STEM
STEM ก็คือกลุ่มอาชีพที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (Science), เทคโนโลยี (Technology), วิศวกรรม (Engineering) และคณิตศาสตร์ (Mathematics) นั่นเอง
ในอดีต คนกลุ่มนี้แทบจะไม่เคยต้องกังวลเรื่องความมั่นคงในอาชีพเลย พวกเขาคือผู้รังสรรค์นวัตกรรม คือคนที่ขีดเขียนอนาคต เป็นมันสมองที่อยู่เบื้องหลังเทคโนโลยีเจ๋งๆ ที่เราใช้กัน
ในขณะที่อาชีพอื่นเริ่มร้อนๆ หนาวๆ กับการมาของหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ คนในแวดวง STEM กลับรู้สึกชิลๆ เพราะคิดว่า “ก็เรานี่แหละคนสร้าง AI แล้วมันจะมาแย่งงานเราได้ยังไง?”
แต่ดูเหมือนว่าความคิดนั้นกำลังจะแปรเปลี่ยนไปเสียแล้ว
เพราะตอนนี้ ความเชื่อมั่นของคนกลุ่มนี้กำลังสั่นคลอนอย่างหนัก และความกังวลก็เริ่มคืบคลานเข้ามาในใจของพวกเขาอย่างช้าๆ
เรื่องราวนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อบริษัทจัดหางานด้านเทคโนโลยีอย่าง Sthree ได้ปล่อยผลการศึกษาชิ้นหนึ่งที่ชื่อว่า “How the STEM World Evolves” ออกมา
ผลสำรวจนี้เจาะลึกเข้าไปในความคิดของคนทำงานสาย STEM กว่าสองพันคนทั่วโลก และสิ่งที่ค้นพบก็น่าสนใจมากจนทำเอาหลายคนตกใจ
ตัวเลขมันฟ้องว่า 34% ของคนในสายงาน STEM ทั้งหมด เริ่มกังวลว่า AI จะเข้ามาแย่งงานของพวกเขาไปจนหมดสิ้น
แต่ที่พีคไปกว่านั้นคือ เมื่อมองไปที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งก้าวเข้าสู่วงการนี้ ตัวเลขความกังวลกลับพุ่งไปถึง 44% เลยทีเดียว
มันกลายเป็นว่าคนรุ่นใหม่ที่ควรจะคุ้นเคยกับเทคโนโลยีมากกว่า กลับเป็นฝ่ายที่หวาดกลัวมากที่สุด
เรื่องนี้มันกลับตาลปัตรจากที่เราเคยคิดกันว่าคนรุ่นเก่าต่างหากที่น่าจะกลัวเทคโนโลยีใหม่ๆ แต่ความจริงกลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง
เหตุผลก็เพราะว่าคนรุ่นใหม่เหล่านี้ต้องเผชิญหน้าและอยู่ร่วมกับ AI ไปอีกหลายสิบปีในเส้นทางอาชีพของพวกเขา ความไม่แน่นอนในอนาคตจึงถาโถมเข้าใส่พวกเขาแบบจัดเต็ม
ความกังวลนี้ไม่ใช่เรื่องมโนไปเอง เพราะมีเสียงยืนยันจากบุคคลระดับโลกอย่าง Christopher Pissarides ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์จาก London School of Economics ผู้เคยคว้ารางวัล Nobel Prize มาแล้วในปี 2010
เขาออกมาพูดแบบตรงไปตรงมา ชนิดที่ไม่ต้องอ้อมค้อมเลยว่า คนทำงานสาย STEM นั่นแหละที่ควรจะกังวลเรื่อง AI มากที่สุด
Pissarides อธิบายแนวคิดของเขาว่า ทักษะที่จำเป็นมากๆ ในตอนนี้ เช่น การรวบรวมข้อมูล การจัดระเบียบข้อมูล และการพัฒนา AI ให้ใช้งานได้จริง กำลังเป็นเหมือน “เมล็ดพันธุ์แห่งการทำลายล้างตัวเอง”
พูดง่ายๆ ก็คือ คนที่กำลังปลุกปั้นและสร้าง AI ขึ้นมาในวันนี้ ก็คือคนที่กำลังเสกอาวุธที่จะย้อนกลับมาทำให้ทักษะของตัวเองนั้นล้าสมัยและไร้ค่าในอนาคต
เบื้องหลังของสถานการณ์นี้มีปัจจัยทางเศรษฐกิจเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ บริษัทใหญ่ๆ เริ่มมองเห็นศักยภาพจากการลงทุนใน AI แทนแรงงานมนุษย์
แม้ว่าตอนนี้จะยังเป็นการลงทุนเพียงน้อยนิด แต่พวกเขากำลังวางแผนระยะยาวที่จะค่อยๆ ลดการพึ่งพามนุษย์ลงเมื่อ AI ที่พวกเขาสร้างขึ้นมานั้นเก่งกาจและทรงพลังมากพอ
ผลการศึกษาจากยักษ์ใหญ่ทางการเงินอย่าง Goldman Sachs ยิ่งตอกย้ำภาพนี้ให้ชัดเจนขึ้นไปอีก โดยคาดการณ์ว่า AI จะเข้ามาแทนที่ตำแหน่งงานในปัจจุบันได้ถึง 25%
ขณะที่อีกประมาณ 65% ของคนทำงาน ก็ต้องเตรียมใจไว้เลยว่ารูปแบบการทำงานของพวกเขาจะถูก AI เข้ามาเปลี่ยนแปลงไปอย่างแน่นอน
ไม่ใช่ทุกสายงานใน STEM ที่จะโดนผลกระทบเท่ากัน เหมือนกับพายุที่ไม่ได้พัดถล่มทุกพื้นที่ด้วยความรุนแรงเท่ากัน
กลุ่มที่ดูจะยิ้มออกมากที่สุดคือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ เพราะงานของพวกเขายังต้องอาศัยการสัมผัส การสื่อสาร และความเข้าอกเข้าใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ AI ยังทำได้ไม่ดีนัก
แต่สำหรับสายเทคโนโลยีจ๋าๆ อย่าง Software Development, Web Development, Data Science หรือการ Coding กลับต้องเจอศึกหนัก
เพราะงานเหล่านี้เกี่ยวข้องกับตัวเลขและข้อมูลมหาศาล ซึ่งเป็นอาหารโปรดของ AI ที่สามารถประมวลผลได้รวดเร็วและแม่นยำกว่ามนุษย์หลายเท่าตัว
เราได้เห็นตัวอย่างจริงที่เกิดขึ้นแล้ว อย่างบริษัทแอปสอนภาษาชื่อดัง Duolingo ที่ CEO ออกมาประกาศกร้าวเมื่อเดือนเมษายน 2025 ว่าบริษัทจะเดินหน้าสู่การเป็น “AI-first” อย่างเต็มตัว
นั่นหมายความว่างานหลายอย่างที่เคยต้องจ้างมนุษย์ทำ ตอนนี้ถูกส่งต่อไปให้ AI จัดการแทนเรียบร้อยแล้ว เป็นการถีบส่งพนักงานเดิมแบบไม่ทันตั้งตัว
หรือเรื่องเล่าสุดเจ็บปวดของนักเขียนคนหนึ่งใน Tech Startup ที่ถูกเลิกจ้างแบบไร้คำอธิบาย แต่ภายหลังกลับไปเจอข้อความใน Slack ที่ผู้จัดการเรียกเธอว่า “Olivia/ChatGPT” เหมือนจะบอกเป็นนัยว่า ChatGPT สามารถทำงานแทนเธอได้ในราคาที่ถูกกว่ามาก
เรื่องนี้ชี้ให้เห็นมุมมืดของวงการเทคโนโลยีที่บางครั้งก็โหดเหี้ยมและไร้ความปรานีอย่างไม่น่าเชื่อ
แต่ท่ามกลางข่าวร้ายที่ถาโถมเข้ามา ก็ยังมีแสงสว่างรำไรให้เราได้ใจชื้นกันอยู่บ้าง ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาได้สอนเราว่า ทุกครั้งที่มีเทคโนโลยีใหม่เข้ามาทำลายล้างงานเก่า มันก็จะสร้างงานใหม่ๆ ขึ้นมาทดแทนเสมอ
ข้อมูลจาก World Economic Forum คาดการณ์ว่า แม้ AI และหุ่นยนต์จะทำให้ 85 ล้านตำแหน่งงานหายไปภายในปี 2025 แต่ในขณะเดียวกัน มันก็จะรังสรรค์งานใหม่ๆ ขึ้นมาถึง 97 ล้านตำแหน่ง
งานใหม่เหล่านี้จะอยู่ในแวดวง AI Development, Data Science และที่สำคัญคืองานที่ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์กับ AI
แต่ก็มีเงื่อนไขสำคัญ เพราะ 77% ของงาน AI ใหม่ๆ เหล่านี้ ต้องการวุฒิการศึกษาระดับปริญญาโท และอีก 18% ต้องการถึงระดับปริญญาเอกเลยทีเดียว
สถานการณ์ที่เปลี่ยนไปนี้ ได้เปลี่ยนทัศนคติของคนทำงานสาย STEM ใหม่ทั้งหมด พวกเขาไม่ได้มองแค่เรื่องเงินเดือนที่สูง ๆ เหมือนเดิมอีกต่อไป
ผลสำรวจของ Sthree พบว่า 53% ของคนกลุ่มนี้ ให้ความสำคัญกับ “ความมั่นคงในงาน” มากกว่าการขึ้นเงินเดือนเสียอีก
และกว่า 63% มองว่า “ความยืดหยุ่นในการทำงาน” เป็นปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลต่อเส้นทางอาชีพของพวกเขาอย่างมาก
ที่น่าสนใจที่สุดคือ 81% ของผู้ตอบแบบสอบถามบอกว่า “การทำงานที่มีเป้าหมาย” และสร้างคุณค่า เป็นหัวใจหลักในการเลือกอาชีพของพวกเขาในยุคนี้
นั่นแสดงให้เห็นว่า คนสาย STEM ของแท้ในยุคนี้ เข้าใจดีว่าโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไป และการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องคือหนทางเดียวที่จะอยู่รอด
กว่า 50% ยินดีที่จะเลือกโปรเจกต์ที่ช่วยพัฒนาทักษะของพวกเขา แม้จะได้รับเงินเดือนน้อยกว่าก็ตาม เพราะพวกเขารู้ดีว่าถ้าไม่ Upskill ตัวเอง ก็อาจจะกู่ไม่กลับและดับสนิทไปจากวงการนี้ได้เลย
นี่คือสัญญาณที่บอกว่า บริษัทต่างๆ ต้องเปลี่ยนวิธีคิดเช่นกัน การจะดึงดูดคนเก่งๆ ที่เป็นที่หมายปองไว้ให้อยู่กับองค์กรต่อไปได้ ไม่ใช่แค่การอัดฉีดเงินเดือนเพียงอย่างเดียว
บริษัทต้องลงทุนในการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะของพนักงาน เพื่อสร้างอนาคตที่มั่นคงที่พวกเขาสามารถเติบโตและสยายปีกไปพร้อมกับองค์กรได้
ตัวอย่างที่เจ๋งมาก ๆ คือ Amazon ที่ประกาศทุ่มงบกว่า 1.2 พันล้านดอลลาร์ ในโครงการ “Upskilling 2025” เพื่อฝึกอบรมพนักงานกว่า 300,000 คน ให้มีทักษะพร้อมสำหรับงานด้านเทคนิคในอนาคต
แล้วเราควรจะรับมือกับคลื่นการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างไร?
สำหรับคนที่ทำงานในสาย STEM อยู่แล้ว คำแนะนำไม่ใช่การตั้งป้อมสู้กับ AI แต่คือการเรียนรู้ที่จะใช้มันให้เก่งกว่าคนอื่น
ลองคิดดูสิว่ามันจะเจ๋งแค่ไหน ถ้าเราสามารถใช้ ChatGPT ช่วยร่างโค้ด หรือใช้ GitHub Copilot ช่วยเขียนโปรแกรม ทำให้เราทำงานได้เร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
และการพัฒนาทักษะที่ AI ยังทำได้ไม่ดีพอ เช่น ความคิดสร้างสรรค์ การคิดเชิงกลยุทธ์ และที่สำคัญที่สุดคือทักษะการสื่อสารและสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์
สำหรับน้องๆ รุ่นใหม่ที่กำลังเลือกเส้นทางชีวิต Christopher Pissarides แนะนำว่าอย่ามองข้ามทักษะที่เกี่ยวข้องกับความเข้าอกเข้าใจ (Empathetic Skills) และความคิดสร้างสรรค์
งานที่ต้องใช้การดูแลเอาใจใส่ การสื่อสาร และการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี จะยังคงเป็นที่ต้องการอย่างมากในตลาดแรงงาน และเป็นงานที่ AI ไม่สามารถทำแทนได้อย่างสมบูรณ์
มองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มนุษยชาติเจอกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แบบนี้
การปฏิวัติอุตสาหกรรมในอดีตเคยทำให้คนกลัวว่าจะตกงานกันถ้วนหน้า แต่สุดท้ายมันก็สร้างงานใหม่ๆ และอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อนขึ้นมามากมาย
ยุคอินเทอร์เน็ตก็เช่นกัน ตอนที่มันเข้ามาใหม่ๆ ผู้คนต่างพากันหวาดกลัวว่าร้านค้าจะเจ๊ง พนักงานธนาคารจะตกงาน
แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือการถือกำเนิดของ E-commerce, Digital Marketing และอาชีพอีกนับไม่ถ้วน ที่สร้างโอกาสให้คนธรรมดาสามารถก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาได้
AI ก็อาจจะเป็นเช่นนั้น มันอาจจะทำให้บางอาชีพต้องจบเห่และมลายหายไปหมดสิ้น แต่ในขณะเดียวกัน มันก็จะเปิดประตูสู่โลกใบใหม่ที่เต็มไปด้วยโอกาสที่เรายังจินตนาการไม่ถึง
กุญแจสำคัญไม่ได้อยู่ที่การต่อต้านหรือหลีกหนี แต่คือการปรับตัว เรียนรู้ และเปิดใจยอมรับ
อนาคตของการทำงานไม่ได้ถูกขีดชะตาไว้ให้เราต้องพ่ายแพ้ แต่ถูกขีดเขียนขึ้นเพื่อให้เราได้แสดงความสามารถในการปรับตัวและความเป็นมนุษย์ของเราออกมา
เพราะท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่ทำให้เราแตกต่างจากเครื่องจักร ไม่ใช่ความสามารถในการประมวลผลข้อมูล แต่คือหัวใจ ความเข้าใจในเพื่อนมนุษย์ และจินตนาการที่ไร้ขีดจำกัด
และนั่นคือความสามารถที่แท้จริง ที่จะทำให้เราไม่เพียงแค่อยู่รอด แต่จะเติบโตและก้าวไปข้างหน้าได้อย่างสง่างามในยุคใหม่ที่กำลังจะมาถึง.
References: [bloomberg, lse.ac.uk, sthree, taipeitimes, specialiststaffinggroup]