นิ้วทั้ง 10 ที่เปลี่ยนโลก กับเส้นทางเทคโนโลยี Multitouch จากเรดาร์สงครามสู่ iPhone

เมื่อ Apple เปิดตัว interface ใหม่แบบ multitouch พร้อมกับ iPhone ในปี 2007 เหมือนโลกของการปฏิสัมพันธ์กับมือถือและคอมพิวเตอร์ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เทคโนโลยีสุดเจ๋งนี้ใช้เวลาพัฒนานานถึง 3 ทศวรรษกว่าจะถูกนำเสนอต่อโลกอย่างสมบูรณ์แบบ

ปัจจุบัน interface แบบ multitouch กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้คนนับพันล้านทั่วโลก ทั้งการเช็คอีเมล เล่นเกม หรือแต่งเพลง แต่หากย้อนกลับไปที่จุดกำเนิด เรื่องราวของมันเรียกได้ว่าน่าทึ่งมาก เพราะมันเกิดจาก แนวคิดในการพัฒนาระบบป้องกันไม่ให้เครื่องบินชนกันในอากาศ

ย้อนกลับไปในทศวรรษ 1960 วิศวกรชาวอังกฤษชื่อ Johnson ผู้ทำงานในหน่วยงานเรดาร์ของประเทศอังกฤษได้เริ่มคิดค้นไอเดีย interface รูปแบบใหม่ เพื่อควบคุมการจราจรทางอากาศและจัดการเส้นทางการบินเข้าออกในสนามบินของสหราชอาณาจักร

ช่วงนั้น ยุคของการบินพาณิชย์กำลังเริ่มต้น เส้นทางบินรอบเมืองใหญ่มีความซับซ้อนมากขึ้น เครื่องบินรุ่นใหม่บินเร็วขึ้น ทำให้การควบคุมการจราจรทางอากาศกลายเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง

Johnson สร้างต้นแบบของสิ่งที่เรียกว่า capacitive touch screen ซึ่งมีคุณสมบัติหลักที่เรายังใช้อยู่ในอุปกรณ์หน้าจอสัมผัสแบบ multitouch จนถึงปัจจุบัน เนื่องจากกระจกไม่สามารถนำไฟฟ้าได้ จึงต้องเคลือบหน้าจอด้วยตาข่ายโปร่งแสงของวัสดุนำไฟฟ้า เช่น อินเดียมทินออกไซด์

ไฟฟ้าจะไหลผ่านตาข่ายอยู่ตลอดเวลา เมื่อนิ้วสัมผัสบนหน้าจอ กระแสไฟฟ้าจะไหลผ่านผิวหนังแทนตาข่าย ทำให้อุปกรณ์สามารถตรวจจับตำแหน่งของนิ้วบนจอได้ นับเป็นจุดเริ่มต้นของเทคโนโลยี multitouch อย่างแท้จริง

ในช่วงปลายทศวรรษ 1960 นักควบคุมจราจรทางอากาศของอังกฤษได้นำอุปกรณ์ของ Johnson มาใช้ในการทำงาน แต่เทคโนโลยีนี้ไม่ได้รับการพัฒนาต่อยอดมากนัก

เรื่องราวมาพลิกโฉมเมื่อนักฟิสิกส์ชาวอเมริกันจากมหาวิทยาลัย Kentucky ที่ชื่อ Samuel ซึ่งกำลังทำงานกับอุปกรณ์ Van de Graaff accelerator ที่ใช้ในการศึกษาอนุภาคประจุไฟฟ้า เกิดไอเดียที่จะใช้กระดาษนำไฟฟ้าในการบันทึกพิกัดแกน X และแกน Y จากการทดลองโดยอัตโนมัติ

ระหว่างสร้างอุปกรณ์ Samuel เริ่มคิดว่าเทคโนโลยีเดียวกันนี้สามารถประยุกต์ใช้กับพิกัดแกน X และ Y ของจอคอมพิวเตอร์ได้เช่นกัน ไม่นานหลังจากนั้น เขาทิ้งอุปกรณ์ Van de Graaff accelerator และก่อตั้งบริษัทผลิตหน้าจอสัมผัสสำหรับคอมพิวเตอร์ โดยเริ่มจากห้องใต้ดินในบ้านของเขาเอง

Samuel มองถูกทางว่า interface แบบสัมผัสจะเป็นกุญแจสำคัญในการทำให้คอมพิวเตอร์เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ลองคิดดู เราเพียงแค่มองหน้าจอ จิ้มนิ้ว แล้วได้คำตอบกลับมา Samuel ผู้ล่วงลับในปี 2011 เคยกล่าวกับสื่อมวลชนไว้ว่า “ทุกคนสามารถจิ้มนิ้วได้”

สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไปในช่วงต้นทศวรรษ 2000 เมื่อนักวิชาการหลายคน รวมถึงบริษัทด้านเทคโนโลยีและห้องปฏิบัติการวิจัยในซิลิคอนวัลเลย์หลายแห่ง เริ่มทดลองจัดการบนหน้าจอโดยตรงโดยใช้นิ้วหลายนิ้วพร้อมกัน

บทพิสูจน์แรกของการปฏิวัติที่กำลังจะมาถึงเกิดขึ้นบนเวทีการประชุม TED ในปี 2006 โดยศาสตราจารย์ Jeff Han จากสถาบันวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก กลุ่มวิจัยของ Han ได้พัฒนาต้นแบบ interface multitouch ซึ่งสุดท้ายกลายเป็นสิ่งที่เราเห็นกันทั่วไปในทุกวันนี้

เช่น การลากไอคอนด้วยการสัมผัสนิ้วบนหน้าจอและเลื่อนไปตามพื้นผิว การบีบหรือแยก 2 นิ้วเพื่อย่อหรือขยายรูปภาพ Chris Anderson บรรณาธิการจัดงาน TED เล่าว่ามีคนส่งวิดีโอของ Jeff Han ที่แสดงรูปแบบของ interface ดังกล่าวให้เขาดูประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนงาน TED ปี 2006

ตอนนั้นมียอดวิวเพียงไม่กี่พันครั้ง แต่ Anderson รู้สึกตื่นเต้นมากและรีบติดต่อไปที่ Jeff Han ทันที ขอร้องให้ละทิ้งทุกอย่างและมุ่งตรงมายังสถานที่จัดงาน TED

บนเวที Jeff Han พูดว่าเขากำลังจะนำเสนอบางสิ่งที่กำลังออกจากห้องทดลอง และมันจะเปลี่ยนวิธีที่เราปฏิสัมพันธ์กับคอมพิวเตอร์ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป อุปกรณ์สาธิตของเขาคือจอภาพขนาดใหญ่วางอยู่เหมือนโต๊ะวาดแบบตรงหน้าเขา

ระหว่างพูด Han แสดงการใช้งานอย่างคร่าวๆ เช่น การจัดการรูปภาพ การนำทางแผนที่ และภาพเคลื่อนไหวบางส่วนที่เขาสามารถจัดการด้วยนิ้วมือได้ แต่ไฮไลท์จริงๆ ของการแสดงไม่ใช่เนื้อหาบนหน้าจอ แต่เป็นวิธีที่ interface ของ Jeff Han ช่วยให้เขาสามารถปฏิสัมพันธ์กับมันได้

Chris Anderson เล่าว่ามีช่วงหนึ่งประมาณ 2 นาทีหลังจากเริ่มการนำเสนอของ Jeff Han ผู้ชมเริ่มตระหนักทันทีว่าอนาคตของ interface บนคอมพิวเตอร์จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ตอนนั้น Han กำลังแสดงรูปภาพโดยใช้ 2 นิ้วยืดรูปภาพให้เต็มหน้าจอ และทุกคนที่กำลังจ้องมองอยู่รู้สึกตื่นเต้นตามกันไปกับสิ่งที่เกิดขึ้นบนเวที

ในขณะที่ Jeff Han กำลังทำงานกับต้นแบบหน้าจอแบบ multitouch มีบริษัท startup ชื่อ FingerWorks ซึ่งกำลังทดลองระบบคล้ายๆ กันอยู่ ได้ถูก Apple เข้าซื้อกิจการไปแบบเงียบๆ เพื่อช่วยพัฒนาโปรเจค “Purple” ซึ่งก็คือ iPhone รุ่นแรกนั่นเอง

ตอนนั้น Ken Kocienda ได้เข้าร่วมงานกับ Apple ก่อนที่โปรเจค Purple จะเริ่มต้นได้ไม่นาน โดยแรกเริ่มทำงานกับเว็บเบราว์เซอร์ Safari ซึ่งเปิดตัวในปี 2003 Kocienda กล่าวถึงการสาธิต interface โปรเจค Purple เวอร์ชั่นแรกโดย Bas Ording นักออกแบบระดับตำนานของ Apple

โดยที่ผู้ใช้สามารถปัดหน้าจอเพื่อเลื่อนรายการที่ยาวๆ ได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่จะมีรูปแบบการกระดอนขึ้นมาเพื่อบอกว่ามันไปถึงจุดสิ้นสุดของหน้าจอนั้นๆ แล้ว

แม้ว่า interface ของ Project Purple จะดูว้าวเป็นอย่างมาก แต่มันก็มีข้อบกพร่องบางประการ โดยเฉพาะการใช้งานแป้นพิมพ์เสมือนบนหน้าจอขนาดเล็ก ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องยากมากในยุคนั้น

ตอนนั้น BlackBerry กำลังเรืองอำนาจ มันเป็นอุปกรณ์หลักสำหรับการสื่อสารแบบพกพาด้วยรูปแบบของคีย์บอร์ดแบบกายภาพ (physical keyboard) การเสนอแนวคิดสุดล้ำของโปรเจค Purple เป็นสิ่งที่ท้าทาย โดยเฉพาะเรื่องพื้นที่อุปกรณ์ที่ใช้สำหรับแป้นพิมพ์เสมือน

หากต้องการพิมพ์ แป้นพิมพ์เสมือนจะเด้งขึ้นมาและผู้ใช้ต้องป้อนข้อความโดยแตะบนหน้าจอ แม้จะดูล้ำมากในตอนนั้น แต่ในทางปฏิบัติเรียกได้ว่าเป็นเรื่องหายนะ เนื่องจากขนาดของโทรศัพท์ หากผู้ใช้ต้องการแป้นพิมพ์เต็มรูปแบบด้วยตัวอักษร 26 ตัว แป้นพิมพ์เสมือนก็ต้องมีขนาดเล็กมาก ซึ่งเล็กจนนิ้วมนุษย์ไม่สามารถพิมพ์ได้อย่างแม่นยำ

ในช่วงแรกๆ Apple ได้มอบหมายให้ทีมงานเล็กๆ ทำงานกับแป้นพิมพ์เสมือนสำหรับโปรเจค Purple แต่เมื่อผ่านไปสัปดาห์แล้วสัปดาห์เล่า Scott Forstall ผู้บริหารที่ดูแลโปรเจค Purple ในตอนนั้นก็จะเข้ามาทดสอบและลองใช้งานรุ่นล่าสุด พยายามพิมพ์ชื่อของตนเองด้วยแป้นพิมพ์เสมือน แต่ผ่านไปแต่ละสัปดาห์ มันก็ดูเหมือนยังไม่เวิร์ค

Kocienda กลายเป็นคนสำคัญที่สุดในการแก้ไขปัญหาของแป้นพิมพ์เสมือน เขาได้ค้นพบวิธีสุดเจ๋งในขณะที่กำลังเดินรอบๆ สำนักงานใหญ่ของ Apple เขาตระหนักว่าทุกครั้งที่ผู้ใช้พิมพ์คำบนแป้นพิมพ์เสมือน จะมีรูปแบบคำที่ต้องการอยู่แล้ว

Kocienda ได้แปลงคำในพจนานุกรม หลังจากนั้นก็ได้ปรับเป็นรูปร่างแบบเฉพาะตัวตามการจัดเรียงตัวอักษรบนแป้นพิมพ์ เมื่อผู้ใช้พิมพ์ 3 ตัวอักษร ซอฟต์แวร์ก็จะดูตำแหน่งและจุด และทำการคาดเดาว่าตัวอักษรใดมีรูปร่างคล้ายคลึงกันมากที่สุด

หลังจากการประชุมมาราธอนเป็นเวลา 3 สัปดาห์ Apple ก็ได้จัดให้มีการรวมตัวของทีมงาน Project Purple ในห้องประชุมและทำการพรีเซนต์สิ่งสุดท้ายที่เรียกว่า “keyboard derby” ซึ่ง Scott Forstall จะทำการสาธิตให้ Steve Jobs ดู ด้วยการพิมพ์บนแป้นพิมพ์เสมือน

เบื้องหลังของซอฟต์แวร์ที่ Forstall พิมพ์มีการบันทึกการกดปุ่มหลายปุ่มพร้อมกัน ซึ่งหลังจากการแปลงตัวอักษรที่ดูสับสนวุ่นวายให้กลายเป็นแพทเทิร์น ข้อความบนหน้าจอก็เสกออกมาเป็น “Scott is my name” Kocienda สามารถเอาชนะความท้าทายนี้ได้สำเร็จ และผลิตภัณฑ์ที่กำลังจะกลายเป็น iPhone ก็พร้อมที่จะเปิดเผยสู่สายตาโลก

แนวคิดของนวัตกรรมใหม่ๆ หลายอย่างเป็นผลมาจากความร่วมมือกันในรูปแบบที่หลากหลาย เทคโนโลยี multitouch เริ่มต้นจากความก้าวหน้าทางกลไกไฟฟ้า การใช้คุณสมบัตินำไฟฟ้าของนิ้วมือมนุษย์ในการโต้ตอบกับพิกเซลบนหน้าจอ

หลังจากนั้นก็ใช้แนวคิดใหม่ๆ ในการออกแบบรูปแบบการใช้งานเพื่อจินตนาการถึงวิธีการต่างๆ ที่นิ้วมือของเราสามารถจัดการกับพิกเซลเหล่านี้ได้แบบเรียลไทม์ ความมหัศจรรย์ของการเลื่อนไปตามพื้นผิว การบีบหรือการแยก 2 นิ้วเพื่อย่อหรือขยายรูปภาพ ได้กลายเป็นสุดยอดนวัตกรรมที่ต้องอาศัยความร่วมมือกันของหลากหลายองค์กร

ตั้งแต่หน่วยงานรัฐบาลเช่นองค์การเรดาร์ของประเทศอังกฤษ สถาบันการศึกษาเช่น University of Kentucky และ New York University รวมถึงบริษัทเทคโนโลยีอย่าง Apple

เมื่อ Steve Jobs เดินขึ้นบนเวทีในเดือนมกราคมปี 2007 และทำการสาธิตรูปแบบการใช้งานที่ราวกับถูกเสกขึ้นมาของ iPhone เป็นครั้งแรก ดูเหมือนว่ามันกลายเป็นหนึ่งในห้วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ทางด้านเทคโนโลยี

เบื้องหลังความเรียบง่ายที่ Steve Jobs ได้แสดงให้โลกเห็น ที่นำไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่ทำรายได้สูงสุดในประวัติศาสตร์ของระบบทุนนิยม มันต้องใช้เวลาสร้างสรรค์มานานกว่า 50 ปีก่อนที่มันจะเสร็จสมบูรณ์บนฝ่ามือของ Steve Jobs

เทคโนโลยี multitouch ที่เราใช้กันทุกวันนี้ไม่ได้ถูกรังสรรค์ขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่เป็นการพุ่งทะยานของความคิดและนวัตกรรมที่ใช้เวลาก่อร่างสร้างตัวอย่างช้าๆ ผ่านการทดลอง ล้มเหลว และความพยายามของนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรมากมายจากทั่วโลก ก่อนจะมาอยู่ในมือของเราทุกคนอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

References :
หนังสือ The One Device: The Secret History of the iPhone โดย Brian Merchant

เดิมพันอนาคตของชาติ? งานวิจัยเทคโนโลยี ChatGPT กับผลกระทบต่อระบบการศึกษาในเวียดนาม

เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยว่าเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่าง ChatGPT จะมีผลกระทบมหาศาลต่อการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะในด้านการศึกษา คล้ายกับที่เคยเกิดขึ้นกับโซเชียลมีเดีย อินเทอร์เน็ต หรือสมาร์ทโฟน ที่ในที่สุดแล้วทุกคนต้องปรับตัวและใช้มัน

เด็กๆ ในยุคนี้จะเติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีเหล่านี้อย่างเลี่ยงไม่ได้ ถ้าประเทศใดสามารถปรับตัวให้เด็กๆ ใช้เทคโนโลยีอย่าง ChatGPT มาช่วยในระบบการศึกษาได้ก่อน ก็จะได้เปรียบในระยะยาวอย่างแน่นอน

พอดีผมได้ไปเจอข้อมูลผลการศึกษาจาก Hanoi National University of Education ของเวียดนามในเรื่อง “The Impact of ChatGPT on Vietnamese Education” (อ้างอิงอยู่ท้ายบทความ) ซึ่งเผยให้เห็นว่า ChatGPT สามารถพลิกโฉมระบบการศึกษาของเวียดนามได้อย่างไร และบทเรียนนี้ก็น่าจะนำมาประยุกต์ใช้กับไทยได้เช่นกัน

ความจริงที่เราต้องยอมรับคือ เทคโนโลยี AI จะเปลี่ยนแปลงอาชีพต่างๆ อย่างสิ้นเชิง หลายอาชีพจะหายไป ขณะที่จะมีอาชีพใหม่ๆ เกิดขึ้น คนที่ใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ได้เก่งกว่าจะมีความได้เปรียบในเรื่องหน้าที่การงาน

ChatGPT และเทคโนโลยี AI อื่นๆ สามารถใช้ได้ในทุกมิติของชีวิต ทั้งการทำงาน การเรียน และชีวิตประจำวัน อย่างส่วนตัวผมเองก็ใช้เครื่องมือเหล่านี้มากในชีวิตประจำวัน มันช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตและทำให้มีเวลามากขึ้นอย่างน่าทึ่ง

การศึกษามีความสำคัญอย่างยิ่งในทุกประเทศ โดยเฉพาะในเวียดนามที่กำลังเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ขณะที่ไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุ การปฏิรูปการศึกษาจึงมีความสำคัญมากในการพัฒนากำลังคนให้มีทักษะและความรู้เพื่อรับมือกับความท้าทายในโลกยุคใหม่

ChatGPT เป็นโมเดลภาษาขั้นสูงที่พัฒนาโดย OpenAI ใช้เทคโนโลยี Machine Learning และถูกเทรนด้วยข้อมูลจำนวนมหาศาล ทำให้สามารถประมวลผลรูปแบบของภาษาได้อย่างยอดเยี่ยม

มันสามารถเข้าใจและสร้างข้อความในรูปแบบที่มนุษย์ทำได้ มีความเข้าใจบริบท หลักไวยากรณ์ และการเรียบเรียงประโยคได้อย่างน่าทึ่ง ความสามารถอันหลากหลายนี้ทำให้ ChatGPT ได้รับความสนใจและถูกนำไปประยุกต์ใช้อย่างกว้างขวาง

ศักยภาพของ ChatGPT ในด้านการศึกษานั้นมโหฬารมาก มันสามารถช่วยเหลือทั้งครูและนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง ด้วยความสามารถในการตอบคำถาม สร้างเนื้อหา และจัดการประสบการณ์การเรียนรู้แบบที่ทุกคนสามารถกำหนดเองได้

นี่คือแนวทางใหม่ในการปฏิรูปการศึกษาเลยทีเดียว ChatGPT มีศักยภาพที่จะปฏิวัติวิธีการสอนแบบดั้งเดิม และสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการที่แตกต่างกันของนักเรียนแต่ละคน ซึ่งถือเป็นการเข้าถึงการเรียนรู้แบบเฉพาะบุคคลที่มีประสิทธิภาพได้อย่างมาก

งานวิจัยนี้ได้ทำการสำรวจการประยุกต์ใช้ ChatGPT กับการศึกษาของเวียดนาม โดยเน้นไปที่บทบาทของมันต่อครู นักเรียน และผู้กำหนดนโยบาย ที่เกี่ยวข้องกับระบบการศึกษา

ทีมนักวิจัยได้ประเมินความสามารถของ ChatGPT อย่างละเอียดบนชุดข้อมูลการสอบวัดผลการศึกษาระดับชาติของประเทศเวียดนาม ในวิชาต่างๆ เช่น คณิตศาสตร์ วรรณคดี ภาษาอังกฤษ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ เป็นต้น

ผลการวิจัยแสดงให้เห็นถึงความน่าสนใจอย่างยิ่งในการผนวกเอา ChatGPT เข้าสู่รูปแบบการศึกษาออนไลน์ของเวียดนาม ซึ่งพวกเขามองเห็นอย่างชัดเจนว่ามันจะกลายเป็นเทรนด์ในอนาคตอย่างแน่นอน

ตอนนี้สถาบันการศึกษา หน่วยงานภาครัฐ และองค์กรเอกชนในเวียดนามเริ่มใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเหล่านี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้แล้ว ซึ่งถือว่ามีวิสัยทัศน์ที่เจ๋งมาก ๆ

มีโครงการที่น่าสนใจมากมายในเวียดนาม ตัวอย่างแรกคือการสร้างตู้คีออสช่วยสอนแบบเสมือนจริงด้วย AI ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างบริษัทด้าน AI กับสถาบันการศึกษา

ตู้คีออสเหล่านี้ใช้เทคโนโลยีอย่าง ChatGPT เพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์กับนักเรียน ตอบคำถาม และให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลการเรียน เป็นนวัตกรรมที่สร้างความตื่นเต้นให้กับวงการการศึกษาอย่างมาก

อีกตัวอย่างหนึ่งคือแอปพลิเคชันในการเรียนรู้ภาษา ซึ่ง ChatGPT ช่วยได้มากในการเรียนรู้ภาษาใหม่ๆ เป็นเครื่องมือที่มีศักยภาพสูงมากในอนาคต

นอกจากนี้ยังมีการสร้าง Content และเนื้อหาการสอน ซึ่ง ChatGPT สามารถลดระยะเวลาในการทำงานของครูผู้สอนได้อย่างมาก คล้ายกับหลายอาชีพที่ต้องทำ Content หากใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ได้ดี ก็จะลดเวลาและทรัพยากรไปได้มากโข

ในห้องเรียน ครูสามารถใช้ ChatGPT เป็นผู้ช่วยเสมือนเพื่อตอบคำถามเฉพาะสำหรับนักเรียนแต่ละคนได้ ซึ่งบางครั้งครูก็ไม่ได้รู้ไปทุกเรื่อง แต่เทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยให้นักเรียนได้รับคำอธิบายและได้ข้อสรุปแบบรวบรัดทันที

มันเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยตนเองและเติมเต็มช่องว่างที่เกิดขึ้น เพราะบางครั้งเราอยากรู้อะไรมากกว่าที่เนื้อหาในห้องเรียนสอนอยู่ AI จะช่วยขยายขอบเขตการเรียนรู้ให้กว้างขึ้น

การให้คะแนน การทำข้อสอบ รวมถึงการทำแบบทดสอบต่างๆ ของนักเรียนก็สามารถให้ ChatGPT ช่วยประเมินคำตอบและให้ผลลัพธ์ออกมาได้ทันที ทำให้ครูมีเวลาเพิ่มมากขึ้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับครูที่มีภาระงานล้นมืออยู่แล้วในปัจจุบัน หากครูสามารถมุ่งเน้นไปที่การสอนที่ต้องใช้ทักษะระดับสูงจริงๆ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อนักเรียนอย่างมหาศาล

การสร้างเกมที่มีปฏิสัมพันธ์กับนักเรียนโดยใช้ ChatGPT สามารถสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่น่าดึงดูดใจได้ บางทีการเรียนมันน่าเบื่อมาก ไม่ใช่เพราะมันยาก แต่เพราะเนื้อหาและวิธีการสอนที่ไม่น่าสนใจ

การใช้เกมเข้ามาช่วยจะทำให้รูปแบบการสอนมีชีวิตชีวา ดึงดูดความสนใจของนักเรียน เพิ่มแรงจูงใจและการมีส่วนร่วมได้มากขึ้น เป็นวิธีที่เจ๋งมากในการทำให้การเรียนรู้สนุกและมีประสิทธิภาพ

จุดเด่นอีกอย่างของ ChatGPT คือการเข้าถึงได้ง่าย ทุกคนสามารถใช้งานได้เพียงแค่มีอินเทอร์เน็ต ซึ่งปัจจุบันทั้งไทยและเวียดนามต่างก็มีโครงสร้างพื้นฐานด้านอินเทอร์เน็ตที่ครอบคลุมเกือบทั่วประเทศแล้ว

นี่เป็นการช่วยลดช่องว่างสำหรับนักเรียนในพื้นที่ห่างไกล หรือนักเรียนที่มีความบกพร่อง เช่น ปัญหาสายตา การได้ยิน หรือทักษะการเรียนรู้ ChatGPT สามารถแปลงข้อความเป็นเสียง หรือเสียงเป็นข้อความได้

เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยให้ประสบการณ์การเรียนรู้ครอบคลุมและเข้าถึงได้มากยิ่งขึ้นสำหรับนักเรียนทุกคน ทำให้ทุกคนมีโอกาสเติบโตทางการศึกษาได้อย่างเท่าเทียมกันมากขึ้น

แม้จะมีประโยชน์มากมาย แต่การใช้ ChatGPT ในการศึกษาก็มีความท้าทายหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องความถูกต้องและความน่าเชื่อถือของข้อมูล บางครั้งเราต้องมีการตรวจสอบซ้ำ

เทคโนโลยีใหม่ๆ แม้จะฉลาดขึ้นเรื่อยๆ และมีระบบให้ผู้ใช้ตรวจสอบข้อมูลและให้ฟีดแบคได้ แต่เนื่องจาก AI เพิ่งเริ่มต้น ความน่าเชื่อถือจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องระวัง

แม้จะมีความสามารถยอดเยี่ยม แต่ก็มีโอกาสที่จะเกิดข้อผิดพลาดและทำให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องแพร่กระจายไปสู่นักเรียนได้ ซึ่งอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้

นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูล แม้หลายบริษัทจะมีนโยบายคุ้มครองข้อมูลแล้ว แต่เราก็ไม่สามารถการันตีได้ว่าข้อมูลจะไม่รั่วไหล จึงต้องมีนโยบายที่เข้มงวดในการจัดการข้อมูลส่วนตัวของนักเรียน

อีกประเด็นสำคัญคือบทบาทของ AI กับครูที่เป็นมนุษย์ การผสานรวม ChatGPT เข้ากับระบบการศึกษาต้องมีความสมดุล แม้ AI จะมีประโยชน์มาก แต่ก็ไม่สามารถแทนที่มนุษย์ได้ทุกอย่างในการศึกษา

การพึ่งพา AI มากเกินไปอาจนำไปสู่ความเสี่ยงต่างๆ เช่น การลดปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียน ซึ่งเป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกที่ AI ไม่สามารถทดแทนได้ หรือการจำกัดความคิดสร้างสรรค์เมื่อนักเรียนพึ่งพาข้อมูลสำเร็จรูปจาก AI มากเกินไป

โดยสรุปแล้ว ChatGPT มีศักยภาพสูงมากในการปฏิรูประบบการเรียนรู้และการศึกษา ไม่เพียงแต่ในเวียดนาม แต่รวมถึงประเทศไทยและทั่วโลกด้วย

เทคโนโลยีเหล่านี้สามารถมอบประสบการณ์การเรียนรู้เฉพาะบุคคล ตอบสนองความต้องการและรูปแบบการเรียนรู้ของแต่ละคนได้ ส่งเสริมทักษะสำคัญอย่างการแก้ปัญหาได้หากนำไปใช้อย่างถูกวิธี

นอกจากนี้ ยังสนับสนุนให้ครูสามารถพัฒนาเนื้อหา ช่วยให้คะแนน ตอบคำถามนักเรียน เสริมพลังให้กับผู้สอนได้อย่างดีเยี่ยม และที่สำคัญมากคือ การช่วยลดความเหลื่อมล้ำในระบบการศึกษา

สำหรับประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทยและเวียดนาม การนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาประยุกต์ใช้ก่อนอาจสร้างความได้เปรียบในอนาคต เด็กๆ จะสามารถเรียนรู้การใช้งานเทคโนโลยีเหล่านี้ได้อย่างคล่องแคล่ว เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในการประกอบอาชีพในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ถึงเวลาแล้วที่เราต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ เพราะไม่ว่าเราจะพร้อมหรือไม่ เทคโนโลยี AI ก็จะเข้ามามีบทบาทในทุกมิติของชีวิตเรา รวมถึงการศึกษาด้วย การปรับตัวก่อนจะทำให้เราได้เปรียบและสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้อย่างเต็มที่ได้นั่นเองครับผม

References :
https://www.researchgate.net/publication/372832368_The_Impact_of_ChatGPT_on_Vietnamese_Education

คาวบอยและนักฆ่า กับการรุกฆาตตลาด Ecommerce ในอินเดียโดย Jeff Bezos

ความน่าสนใจของตลาดอินเดียคือ Jeff Bezos พลาดโอกาสทองในการเข้าไปลงทุนแต่เนิ่นๆ ทั้งที่ Amazon เคยเปิดศูนย์พัฒนาซอฟต์แวร์ต่างประเทศแห่งแรกที่บังกาลอร์มาก่อน

หลังจาก Amazon ฟื้นตัวจากการดิ่งลงเหวของฟองสบู่ดอทคอม พวกเขากลับมุ่งหน้าไปประเทศจีน โดยแทบไม่ชายตามองอินเดียทั้งที่มีศักยภาพมหาศาล

เหตุการณ์นี้ทำให้พนักงานรุ่นบุกเบิกของ Amazon ในอินเดียหลายคนตัดสินใจลาออกไปสร้างบริษัทของตัวเอง

ในปี 2007 วิศวกรสองคนคือ Sachin Bansal และ Binny Bansal เพื่อนร่วมชั้นจาก Indian Institute of Technology (IIT) ในนิวเดลี ได้ลาออกจาก Amazon เพื่อก่อตั้งธุรกิจที่ชื่อ Flipkart

พวกเขาเลียนแบบ Jeff Bezos ที่สร้าง Amazon จากจุดเริ่มต้นเป็นร้านขายหนังสือออนไลน์ ก่อนจะขยายไปขายสินค้าแทบทุกชนิดในโลก

Armit Agarwal ผู้บริหารที่เคยช่วยก่อตั้งศูนย์พัฒนาซอฟต์แวร์ต่างประเทศและจบการศึกษาจาก IIT เช่นกัน ถูกดึงตัวกลับไปทำงานที่สำนักงานใหญ่ของ Amazon ในซีแอตเทิลในฐานะที่ปรึกษาเทคนิคให้ Bezos

Agarwal เป็นคนผลักดันและเขียนแผนธุรกิจเสนอให้ Amazon บุกตลาดบ้านเกิดของเขา ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่เศรษฐกิจเติบโตเร็วที่สุดในโลก

ในเวลานั้น ยักษ์ใหญ่อย่าง IBM และ Microsoft ได้ลุยตลาดอินเดียไปแล้วและกำลังกอบโกยรายได้มหาศาลจากตลาดแห่งนี้

แต่อุปสรรคที่ทำให้ Bezos ลังเลคือกฎหมายอินเดียที่ซับซ้อนและปกป้องร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม โดยมีข้อห้ามไม่ให้บริษัทต่างชาติเป็นเจ้าของหรือดำเนินธุรกิจค้าปลีกโดยตรงในอินเดีย

บทเรียนสำคัญที่ Amazon ได้รับจากประเทศจีนคือ ตลาดเอเชียไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนในตลาดบ้านเกิด

Amazon รุกจีนในปี 2004 ด้วยการซื้อสตาร์ทอัพร้านขายหนังสือ Joyo.com ราคาประมาณ 75 ล้านดอลลาร์ พวกเขาเชื่อว่าใช้แนวทางเดียวกับที่เคยประสบความสำเร็จในที่อื่นได้

แต่พวกเขาประเมินผิดถนัด คู่แข่งอย่าง Alibaba มีนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ปัญหา ecommerce ในจีนได้ดีกว่ามาก

Alibaba มีทั้งรูปแบบ Mall มี Taobao และระบบชำระเงินอย่าง Alipay ในขณะที่ยุคนั้น Amazon ยังคงรับเงินสดจากผู้ซื้อตอนจัดส่งสินค้า

Alibaba และคู่แข่งอย่าง JD.com รองรับรสนิยมการออกแบบของผู้ใช้ชาวจีนได้อย่างลงตัว

ส่วน Amazon.cn ดูเหมือนเป็นการโคลนแพลตฟอร์มจากอเมริกามาใช้ทั่วโลก พนักงาน Amazon ในจีนแทบไม่มีอำนาจตัดสินใจ ต้องรอความช่วยเหลือจากสำนักงานใหญ่ในซีแอตเทิล ทำให้ตอบสนองต่อตลาดไม่ทันการณ์

Amazon ล้มเหลวในการปรับตัวเข้ากับอินเทอร์เน็ตจีน ผู้ขายชาวจีนคุ้นเคยกับการจ่ายค่าคอมมิชชั่น 2-5% ของยอดขายให้ Alibaba

แต่ผู้บริหาร Amazon ไม่เชื่อในรูปแบบนี้ จึงเรียกเก็บ 10-15% จากยอดขาย ซึ่งสูงลิ่วสำหรับตลาดจีน

ที่สำคัญคือเรื่องความสัมพันธ์กับพรรคคอมมิวนิสต์จีน Amazon ไม่สนใจสานสัมพันธ์ แม้แต่ Jeff Bezos เองก็ไม่สนใจทำความเข้าใจกลไกรัฐบาลจีน ต่างจาก Elon Musk ที่ปลูกฝังความสัมพันธ์กับผู้นำจีนเพื่อตั้งโรงงาน Tesla Gigafactory ในเซี่ยงไฮ้

ระหว่างปี 2011-2016 ส่วนแบ่งตลาดของ Amazon ในจีนลดฮวบจาก 15% เหลือไม่ถึง 1% มีการประเมินว่า Amazon สูญเสียเงินพันล้านดอลลาร์นับตั้งแต่ซื้อกิจการ Joyo

บทเรียนที่โหดที่สุดของ Amazon ในจีนคือ พวกเขาไม่กล้าพอจะเผชิญการแข่งขันที่เดือดพล่าน และทำตัวเป็นผู้ตามที่กลายเป็นลูกไล่มากจนเกินไป

ความเคลื่อนไหวสำคัญแรกของ Amazon ในการรุกตลาดอินเดียคือ พยายามดึงศิษย์เก่าสองคนกลับมา

หลังจากสร้างผลงานกระฉ่อนในตลาดอินเดียได้สี่ปี Binny Bansal และ Sachin Bansal สร้าง Flipkart ให้เป็นแบรนด์เป็นที่ยอมรับในประเทศ ขายทั้งหนังสือ โทรศัพท์มือถือ ซีดี และดีวีดี

Amit Agarwal ไปพบอดีตพนักงานที่โรงแรม ITC Maurya หรูหราใจกลางกรุงเดลี เพื่อเจรจาซื้อกิจการ ทาง Bansal ขอเงินพันล้านดอลลาร์ แต่ Agarwal เห็นว่าตัวเลขมันเว่อร์เกินไป การเจรจาจึงล้มเหลว

ทางเลือกเดียวที่เหลือของ Amazon คือลุยเอง ในปี 2012 ทีมวิศวกรของ Amazon India เพียงไม่กี่สิบคนทำงานบนชั้น 8 ของตึก “World Trade Center” อาคารกระจกทรงโค้งทางตอนเหนือของบังกาลอร์

ตอนแรกพวกเขางงว่าจะเริ่มต้นอย่างไร เพราะกฎการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศของอินเดียเป็นกำแพงกั้นไม่ให้เปิดเว็บสโตร์มาตรฐานแบบ Amazon

พวกเขาจึงเลี่ยงบาลีด้วยการเปิดเว็บไซต์เปรียบเทียบราคาสินค้าในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2012 ชื่อ Junglee.com ด้วยการลงรายการสินค้า เปรียบเทียบราคา แล้วลิงก์ไปยังเว็บไซต์อื่น

Amazon สามารถรวบรวมข้อมูลและคิดค่าธรรมเนียมโดยไม่ทำอะไรผิดกฎหมายอินเดีย

หลังประสบความสำเร็จกับเว็บไซต์เปรียบเทียบราคา Agarwal สั่งจัดเต็มทันที โดยดำเนิน Amazon India เป็นตลาดกลางให้พ่อค้าแม่ค้ามาขายของกัน โดยไม่มีสินค้าคงคลังของตัวเองเหมือนในอเมริกา

Amazon.in เปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 5 มิถุนายน 2013 ภายในไม่กี่สัปดาห์ Amazon India ขยายจากหนังสือและดีวีดีไปยังสมาร์ทโฟน กล้องดิจิทัล ผลิตภัณฑ์เสริมความงาม อุปกรณ์ในครัวเรือน และแท็บเล็ต Kindle Fire

ไม่กี่เดือนหลังเปิดตัว ฤดูใบไม้ร่วงปี 2013 Agarwal และทีมงานอินเดียกลับมาที่สำนักงานใหญ่ในซีแอตเทิลเพื่อนำเสนอโรดแมปประจำปีแก่ Bezos และทีมบริหารระดับสูง

ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่การเดิมพันของ Amazon ในจีนกำลังเละไม่เป็นท่า Bezos จึงไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยในอินเดีย ในช่วงถาม-ตอบ เขาพูดเป็นคนสุดท้าย โดยกล่าวว่า

“พวกคุณกำลังจะล้มเหลว” เขาบอกทีมงานอินเดียอย่างตรงไปตรงมา “ฉันไม่ต้องการนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ในอินเดีย ฉันต้องการคาวบอย”

และยังให้นโยบายสุดโหดว่า “อย่ามาหาฉันพร้อมกับแผนที่คิดว่าฉันจะลงทุนในระดับหนึ่งเพียงเท่านั้น” “บอกฉันว่าเราจะชนะได้อย่างไร แล้วมาบอกฉันว่าต้องจ่ายเท่าไหร่”

นั่นทำให้ Agarwal อึ้งไปชั่วขณะ และเมื่อกลับมาอินเดีย เขาพร้อมให้ลูกทีมจัดหนักตามคำสั่งของพี่ใหญ่อย่าง Bezos ทันที

มีการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมใหม่ใน Amazon India แทบจะในทันที บางครั้งผู้บริหารแต่งตัวด้วยชุดคาวบอยในการประชุม และผลักดัน Amazon India อย่างเข้มข้นขึ้น

Amazon กลายเป็นหนึ่งในผู้ลงโฆษณารายใหญ่ที่สุดของอินเดีย โปรโมต Amazon.in บนหน้าแรกของหนังสือพิมพ์อย่าง Times of India และสร้างแคมเปญโฆษณาติดหูระหว่างเกมคริกเก็ต Indian Premier League เป้าหมายใหม่ของทีมอินเดียคือเติบโตรวดเร็วจนทำให้ Bezos ต้องมาที่อินเดีย

Amazon ดำเนินการที่แตกต่างในอินเดีย เนื่องจากไม่มีโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ เช่น ถนนทางหลวงและเครือข่ายบัตรเครดิต ผู้บริหารจึงคิดค้นกลยุทธ์โลจิสติกส์และการชำระเงินโดดเด่นสำหรับอินเดียโดยเฉพาะ เช่น จ้างคนส่งจักรยานและรับชำระเงินที่ปลายทาง

โดยปกติบริษัทจะใช้โค้ดแพลตฟอร์ม Amazon เดียวกันทั่วโลก และส่วนใหญ่จะแก้ไขที่สำนักงานใหญ่ที่ซีแอตเทิล แต่ในอินเดียวิศวกรสามารถแก้โค้ดใหม่และสร้างแอปบนสมาร์ทโฟนที่ใช้หน่วยความจำน้อยกว่า

เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่ในอินเดียเข้าถึงไซต์บนโทรศัพท์และผ่านเครือข่ายไร้สายที่ห่วยแตกมาก ทีม Amazon India จึงต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมท้องถิ่น

เพื่อให้ดำเนินการคล่องตัวมากขึ้น ทุกแผนกรายงานตรงไปยัง Agarwal แทนที่จะรายงานไปยังเพื่อนร่วมงานในซีแอตเทิล และทุกอย่างต้องทำเพื่อตลาดอินเดียเท่านั้น

เมื่อเข้าสู่ปี 2015 Amazon และ Flipkart สู้กันอย่างดุเดือด พวกเขาทำดีลพิเศษกับผู้ผลิตสมาร์ทโฟน เสนอส่วนลดมากมายในช่วงวันหยุด และสร้างโกดังไปทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว

ทั้ง Amazon และ Flipkart สร้างเครือข่ายบริการจัดส่งโดยใช้ทั้งรถตู้ รถจักรยานยนต์ จักรยาน หรือแม้กระทั่งเรือของตัวเองเพื่อเข้าถึงพื้นที่ห่างไกลที่สุดของประเทศ

ภายในฤดูร้อนปี 2016 Amazon เปิดตัวการรับประกันการจัดส่งแบบ Prime การันตีสองวันภายในประเทศ และได้พุ่งทะยานขึ้นมาเป็นผู้นำตลาด มียอดขายแซงหน้า Flipkart ได้สำเร็จ ทำให้ Flipkart ต้องเลิกจ้างพนักงานจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงหมายปองธุรกิจ ecommerce ในตลาดใหญ่อย่างอินเดีย ในปีต่อมา Flipkart ระดมทุนเพิ่มได้อีก 1.4 พันล้านดอลลาร์ จาก Tencent, eBay และ Microsoft

ภายในปี 2017 ทั้ง Amazon และ Flipkart ต่างสูญเสียอย่างหนัก สูญเงินกว่าพันล้านดอลลาร์ต่อปีในศึกแดงเดือดวงการ ecommerce อินเดีย

Walmart ยักษ์ใหญ่ด้านค้าปลีก ภายใต้การนำของ CEO Doug McMillion กำลังมองหาการลงทุนในธุรกิจ ecommerce ระดับโลกอีกครั้ง และพยายามหยุดยั้งความก้าวหน้าของ Amazon ทั่วโลก

ในตอนนั้นนักลงทุนและกรรมการของ Flipkart ได้แบ่งกลยุทธ์ที่แตกต่างกัน 3 แบบ คือ ขายให้ Amazon, ขายให้ Walmart หรืออยู่อย่างอิสระต่อไป

แต่มีข้อกังวลจากนักลงทุนว่า หากขายกิจการให้ Amazon จะโดนตรวจสอบจากหน่วยงานรัฐบาลอินเดียเรื่องการผูกขาด ส่วนการเจรจากับ Walmart ดูเหมือนพวกเขาต้องการให้ Flipkart เป็นอิสระต่อไปได้

หลังจากกระบวนการที่ยืดเยื้อนานถึงหกเดือน ในที่สุดคณะกรรมการ Flipkart ก็ตกลงขายหุ้นให้ Walmart นักลงทุนส่วนใหญ่เริ่มเบื่อหน่ายกับ Flipkart ต้องการขายหุ้นและถอนทุนคืนให้ได้โดยเร็วที่สุด

ในเดือนพฤษภาคม 2018 สื่อเริ่มทยอยลงข่าวว่า Walmart จะจ่ายเงิน 16 พันล้านดอลลาร์เพื่อซื้อหุ้น 77% ใน Flipkart โดย Doug McMillion CEO ของ Walmart ได้ไปเยือนอินเดียหลังประกาศข้อตกลง และบอกกับพนักงาน Flipkart ว่า

“เราตั้งใจมอบอำนาจให้พวกคุณและปล่อยให้ดำเนินการต่อไปอย่างอิสระ ความเร็วเป็นสิ่งสำคัญ และความเด็ดขาดมีความสำคัญอย่างยิ่ง”

Sachin และ Binny Bansal ต่างกลายเป็นมหาเศรษฐีและได้รับการเทิดทูนว่าเป็นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์อินเดีย

ภายใน Amazon India แม้จะต้องเจอคู่ต่อกรสำคัญอย่าง Walmart แต่พวกเขามั่นใจมากว่า Walmart จะพบว่าเส้นทางข้างหน้าไม่ง่าย ซึ่งไม่ต่างจากถนนทางหลวงอินเดียที่รกร้าง

“หากมีสิ่งหนึ่งที่เราทุกคนรู้ก็คือ Walmart ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังซื้ออะไรอยู่” ผู้บริหาร Amazon India กล่าว

“จริงๆ มันต้องใช้เวลาเจ็ดหรือแปดปีในการใช้ชีวิตที่นี่และทำงานในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ก่อนที่คุณจะเข้าใจอย่างแท้จริงว่าความวุ่นวายในการดำเนินธุรกิจในประเทศแห่งนี้มีความลึกลับซับซ้อนมากเพียงใด”

‘ดีทรอยต์แห่งเอเชีย’ จริงหรือ? ยุคทองของไทยกำลังจะจบลงหรือนี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นครั้งใหม่

ประเทศไทย ศูนย์กลางการผลิตรถยนต์เจ๋งที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขนานนามตัวเองว่า “ดีทรอยต์แห่งเอเชีย” แต่คำถามที่น่าสนใจก็คือฉายานี้ยังใช้ได้อยู่จริงหรือ?

ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านกำลังสงสัยกับตำแหน่งที่ไทยภาคภูมิใจนี้ และด้วยการมาของรถยนต์ไฟฟ้าที่พุ่งทะยาน ทำให้พวกเขามีโอกาสที่จะเข้ามาแทนที่อย่างแท้จริง ไทยจะรักษาตำแหน่งผู้นำในการผลิตรถยนต์ในภูมิภาคได้หรือไม่?

ย้อนไปหกทศวรรษ ไทยพัฒนาจากการประกอบรถแบบ Complete Knock-down (นำชิ้นส่วนจากต่างประเทศมาประกอบ) สู่การผลิตครบวงจรในโรงงาน 18 แห่งทั่วประเทศ ความสำเร็จนี้มาจากแรงงานราคาถูก ภาษีนำเข้าสูง การยกเว้นภาษี และข้อตกลงการค้าเสรี

ปี 1960 รัฐบาลไทยผลักดันการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างจริงจัง มุ่งเน้นยานยนต์และอุตสาหกรรมโดยรวมด้วยการเพิ่มภาษี และถึงขั้นห้ามนำเข้ารถยนต์ เพื่อกระตุ้นการผลิตในประเทศอย่างเต็มที่

ช่วงทศวรรษ 1980-1990 ไทยเป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศ “เสือแห่งเอเชีย” เพราะบทบาทสำคัญในการผลิตยานยนต์และชิ้นส่วน ทำให้ไทยเป็นที่เชิดหน้าชูตาในวงการอุตสาหกรรมระดับภูมิภาค

ทุกอย่างเริ่มต้นในยุค 60 ด้วย Ford และ Nissan ปี 1961 Ford เปิดไลน์ประกอบในประเทศผลิตรถรุ่น Cortina แต่ตลาดเล็กมาก ผลิตได้เพียง 525 คันในปีนั้น

ปี 1962 Nissan ก่อตั้งโรงงานประกอบรถญี่ปุ่นแห่งแรกในกรุงเทพฯ มีพนักงานแค่ 120 คน และผลิตรถได้เพียงวันละ 4 คัน ซึ่งถือว่าน้อยมาก ๆ เมื่อเทียบกับปัจจุบัน

การลดหย่อนภาษีและนโยบายอื่น ๆ ดึงดูดแบรนด์นานาชาติให้เข้ามาในตลาดมากขึ้น มาถึงปี 2023 ไทยผลิตรถยนต์ได้ถึง 1.83 ล้านคัน ผู้ผลิตชั้นนำอย่าง Toyota, Isuzu, Honda, Mitsubishi, Nissan และ Ford ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออกและจังหวัดระยอง

ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นเข้ามาตั้งแต่ช่วงแรก ๆ เนื่องจากไทยมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจมากกว่าประเทศอื่นในเอเชียเล็กน้อย ซึ่งในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เรามักจะเห็นแบรนด์ญี่ปุ่นเต็มไปหมด

บริษัทอย่าง Toyota และ Ford ต่างมาสร้างโรงงานในไทย สิ่งนี้สร้างรากฐานและโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการที่ประเทศไทยได้รับฉายา “ดีทรอยต์แห่งเอเชีย” และแบรนด์อื่น ๆ ก็ตามกันมาเป็นขบวน

ปี 2002 สถาบันยานยนต์ไทยประกาศแผนที่จะเป็น “ดีทรอยต์แห่งเอเชีย” นี่เป็นความทะเยอทะยานสุด ๆ เพราะดีทรอยต์เปรีบเสมือนบ้านเกิดของผู้ผลิตรถยนต์ที่มีอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์ นั่นคือ “Big Three” ได้แก่ Ford, General Motors และ Chrysler

ปี 1913 Henry Ford ปฏิวัติการผลิตรถยนต์ด้วยการริเริ่มสายการผลิตแบบประกอบ ซึ่งลดต้นทุนการผลิตลงอย่างมหาศาล ทำให้รถยนต์มีราคาถูกลงและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น นี่คือจุดกำเนิดของการผลิตรถยนต์จำนวนมาก

การที่ไทยตั้งเป้าเป็นดีทรอยต์แห่งภูมิภาคอาจจะเป็นแค่ความฝัน เพราะประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็อยากมีส่วนแบ่งในตลาดการผลิตรถยนต์เช่นกัน

การตั้งฐานการผลิตที่มีต้นทุนต่ำ แต่ยังสามารถผลิตรถยนต์ราคาถูกและส่งออกไปยังตลาดอย่างยุโรปหรือสหรัฐฯ โดยไม่ต้องจ่ายภาษี การผลิตในประเทศไทยจึงมีเหตุผลทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้าง make sense

เราอาจจะเห็นพาดหัวข่าวเกี่ยวกับสงครามการค้าหรือภาษีนำเข้า ภาษีที่บริษัทต้องจ่ายเมื่อนำเข้าสินค้าเข้าสู่ประเทศที่ไม่ได้ผลิตสินค้านั้น ซึ่งมันเป็นวิธีง่าย ๆ ในการให้ความได้เปรียบแก่เศรษฐกิจและผู้ผลิตในประเทศ

สถานการณ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนรุนแรงถึงขั้นเรียกว่า “สงครามการค้า” ในปี 2024 ภาษีรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนในสหรัฐฯ พุ่งจาก 25% เป็น 100% จึงมีเหตุผลทางเศรษฐกิจที่จะย้ายกำลังการผลิตบางส่วนออกจากจีนหรือสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีเหล่านี้

ผู้ผลิตรถยนต์หลายรายมองหาฐานการผลิตในพื้นที่ที่มีต้นทุนต่ำ โดยเฉพาะค่าแรงงาน พวกเขาต้องการมีฐานการผลิตต้นทุนต่ำทั้งในจีนและประเทศอื่น ๆ อย่างไทย

ผู้ผลิตจากจีนกำลังมาแรงสุด ๆ มี 9 รายแล้ว และ BYD เพิ่งสร้างโรงงานทันสมัยเสร็จในปี 2024 ด้วยเงินลงทุนราว 500 ล้านดอลลาร์ ผลิตรถยนต์ได้ 150,000 คันต่อปี เป็นโรงงานแห่งแรกที่ BYD เป็นเจ้าของทั้งหมดนอกจีน

หากพิจารณารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนรุ่นแรก ๆ อย่าง Neta หรือ BYD ที่มักนำเสนอฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่อัดแน่นทำให้ผู้บริโภคไทยเริ่มหันมาสนใจ และกำลังสร้างผลกระทบอย่างชัดเจน

พวกเขากำลังสร้างการรับรู้เพราะ BYD เป็นบริษัทที่มีความทะเยอทะยานสูงมาก ๆ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในโลก สิ่งนี้กำลังปรับโฉมการผลิตรถยนต์ไทยอย่างมาก

ผู้เล่นรายใหญ่อย่าง Toyota และ Honda ที่ค่อนข้างช้าในการเปลี่ยนไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า ตอนนี้ต้องมาแข่งขันกับแนวคิดแบบจีนที่ว่า “ทุกอย่างต้องเป็นไฟฟ้า” อย่างเข้มข้น

ผู้ผลิตรถยนต์จากจีนมองว่าการเปลี่ยนผ่านไปสู่รถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกเป็นโอกาสที่จะแข่งขันในระดับโลกได้ ในอดีต พวกเขาประสบปัญหาในการพิสูจน์คุณภาพหรือทำให้ผู้บริโภคนอกจีนซื้อแบรนด์ของพวกเขา

มักเป็นเพราะปัญหาคุณภาพหรือการรับรู้ว่าเป็นรถคุณภาพต่ำกว่าเมื่อเทียบกับผู้ผลิตจากยุโรปและสหรัฐฯ แต่ด้วยการเปลี่ยนผ่านไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า ทุกคนอยู่บนพื้นฐานที่เท่าเทียมกันมากขึ้น

จีนมีความได้เปรียบในฐานะผู้บุกเบิกรถยนต์ไฟฟ้า พร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ผู้เล่นรายใหญ่อย่าง BYD และผู้ผลิตแบตเตอรี่อย่าง CATL ก็ล้วนก็พึ่งพาห่วงโซ่อุปทานของตัวเอง

สิ่งนี้อาจกดดันซัพพลายเออร์ท้องถิ่นของไทยหรืออาจถึงขั้นทำให้พวกเขาถึงคราล่มสลายได้เลย และอีกประเด็นที่อาจทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าคือการค้นพบลิเธียมในภาคใต้ของประเทศเมื่อเร็ว ๆ นี้ คาดว่าในอนาคตจะสามารถนำลิเธียมมาพัฒนาเป็นวัตถุดิบเพื่อผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนสำหรับรถ EV ได้ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคัน

แต่สิ่งที่เคยได้ผลสำหรับประเทศไทยก็เป็นสิ่งที่ประเทศอื่น ๆ สามารถทำได้เช่นกัน มาเลเซียและโดยเฉพาะอินโดนีเซียกำลังไล่ตามประเทศไทยอย่างหนัก ในขณะที่โลกกำลังหันไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า

ตามข้อมูลของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย การผลิตรถยนต์ของไทยลดลงจากจุดสูงสุดในปี 2013 ที่ 2.46 ล้านคัน เหลือ 1.88 ล้านคันในปี 2022 ลดลงประมาณ 23% ในช่วงเวลาเดียวกัน อินโดนีเซียเพิ่มการผลิตขึ้น 30% ถึง 1.47 ล้านคันในปี 2022

ปัจจัยสำคัญที่สุดคือขนาดของตลาดภายในประเทศ เพราะการขายในประเทศง่ายกว่าการขายบางส่วนในประเทศแล้วส่งออก และนี่คือจุดที่อินโดนีเซียได้เปรียบอย่างมาก แม้ว่าอินโดนีเซียจะไม่มีประวัติศาสตร์ด้านการผลิตยานยนต์มากนัก

อินโดนีเซียมีอย่างอื่นที่น่าสนใจมาก: ประเทศนี้เป็นแหล่งนิกเกิลที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีปริมาณสำรองประมาณ 22% ของปริมาณสำรองทั่วโลก นิกเกิลเป็นโลหะที่สำคัญมากสำหรับการผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า

อินโดนีเซียส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องด้วยการลดภาษีมูลค่าเพิ่มเหลือเพียง 1% Hyundai จากเกาหลีใต้และ SAIC-GM-Wuling จากจีนเริ่มผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในอินโดนีเซียในปี 2022 และแม้แต่ Tesla ก็กำลังมองถึงการสร้างโรงงานที่นั่น

Ernst and Young ถึงกับคาดการณ์ว่าอินโดนีเซียจะแซงหน้าไทยกลายเป็นตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในทศวรรษหน้า

อินโดนีเซียไม่ต้องการให้บริษัทต่าง ๆ เข้ามาเอานิกเกิลไปแล้วก็หายเข้ากลีบเมฆ พวกเขาต้องการนำบริการที่มีมูลค่าเพิ่มเข้ามา รัฐบาลอินโดนีเซียกำลังใช้สิ่งนี้เป็นเครื่องมือในการดึงดูดบริษัทซัพพลายเออร์ทั้งหลายในอุตสาหกรรมยานยนต์ให้เข้ามาลงทุนในประเทศ

พวกเขาเชิญชวนให้เข้ามาสร้าง กลั่นนิกเกิลในประเทศ และจ้างคนอินโดนีเซียมากขึ้นเพื่อผลิตรถยนต์ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ฉลาดสุด ๆ ในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทรัพยากรธรรมชาติของตัวเอง

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่แน่นอน: ผู้ผลิตรถยนต์จีนจะย้ายออกนอกประเทศจีนในอนาคตอันใกล้นี้เนื่องจากภาษีของสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีเหล่านี้ 40% ของชิ้นส่วนรถยนต์จำเป็นต้องผลิตนอกประเทศจีน

ประเทศไทยมีโครงสร้างพื้นฐานด้านการผลิตที่พัฒนาแล้วซึ่งเติบโตมาหลายทศวรรษ และอินโดนีเซียอาจเป็นตลาดส่งออกที่ดีและมีศักยภาพสำหรับตลาดภายในประเทศที่น่าสนใจด้วยประชากรถึง 275 ล้านคน

บทบาทสำคัญอาจขึ้นอยู่กับประเทศใดที่สามารถทำข้อตกลงการค้าเสรีกับสหภาพยุโรปได้ก่อน ตำแหน่งศูนย์กลางการผลิตรถยนต์แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังรอให้แย่งชิงกันในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

ไม่ว่าจะเป็นการเชิดชูแบรนด์ญี่ปุ่นหรือการจับมือกับจีน ไทยต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อรักษาตำแหน่งลูกพี่ในวงการนี้ ไม่เช่นนั้น อาจสูญเสียฉายา “ดีทรอยต์แห่งเอเชีย” ที่ภาคภูมิใจไปอย่างน่าเสียดาย

ในขณะที่เทคโนโลยีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ากำลังพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ประเทศที่มีวิสัยทัศน์และความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงจะเป็นผู้ชนะในที่สุด นี่เป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะขีดเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของอุตสาหกรรมยานยนต์ในภูมิภาคนี้

Musk ขวาจัด กับราคาที่ Tesla ต้องจ่าย ‘คิงเมกเกอร์’ แห่งยุคดิจิทัล การเดิมพันครั้งใหญ่ที่อาจทำลายธุรกิจตัวเอง

ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ผมว่าหลายคนอาจจะได้เห็น Elon Musk ในแง่มุมใหม่ ๆ เป็น Elon Musk ที่หลาย ๆ คนน่าจะไม่เคยประสบพบเจอมาก่อน โดยมีเรื่องหนึ่งที่น่าจับตามองคือการที่เขาสนับสนุนพรรคฝ่ายขวาจัดในเยอรมนีอย่างเปิดเผย

มหาเศรษฐีเทคโนโลยีรายนี้โพสต์สนับสนุนพรรค Alternative fur Deutschland (AfD) บนแพลตฟอร์ม X ของเขาเองกว่า 24 ครั้ง สัมภาษณ์ผู้นำพรรค และบอกผู้ติดตาม 219 ล้านคนว่าพรรคนี้คือ “ความหวังเดียว” ของเยอรมนี

แต่เจ้าพ่อเทคโนโลยีคนนี้อาจต้องเผชิญกับผลลัพธ์ที่ไม่คาดฝัน เพราะแม้ AfD จะได้อันดับสองในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ แต่การสนับสนุนของ Musk ดูจะมีอิทธิพลเพียงเล็กน้อยต่อความสำเร็จนี้

CEO ของ Tesla ยังคงยืนหยัดสนับสนุนอุดมการณ์ฝ่ายขวาทั่วยุโรปอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ผลกระทบที่ชัดเจนที่สุดกลับตกอยู่กับแบรนด์ Tesla ที่กำลังเละเทะไม่เป็นท่า

นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า Musk อาจมีเป้าหมายระยะยาวสำหรับอาณาจักรธุรกิจ: สนับสนุนพรรคการเมืองที่มีแนวโน้มลดกฎระเบียบที่เขามองว่าขัดขวางนวัตกรรม

ย้อนไปเดือนมกราคม Musk แสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจนต่อสิ่งที่เขาเรียกว่า “ชั้นของกฎระเบียบและระบบราชการ” ของยุโรป หลังเจ้าหน้าที่สหภาพยุโรปขู่ลงโทษเขาเมื่อปีที่แล้ว

Musk ตอบโต้บน X ด้วยมีมจากหนัง “Tropic Thunder” ที่ว่า: “ถอยหลังก้าวใหญ่และเอา… หน้าตัวเองไปได้เลย!” แสดงถึงความแสบที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา

ต้องบอกว่า AfD ไม่ใช่พรรคธรรมดา หน่วยข่าวกรองเยอรมันจัดให้เป็น “กลุ่มหัวรุนแรงต้องสงสัย” แต่กลับกลายเป็นพรรคฝ่ายค้านใหญ่ที่สุดหลังการเลือกตั้งล่าสุด แม้จะมีมลทินเชื่อมโยงกับฝ่ายขวาจัดเพราะประวัติศาสตร์นาซีของเยอรมนี

นักการเมืองอาวุโสคนหนึ่งของพรรคเคยถูกบังคับให้ถอนตัวเมื่อปีที่แล้วหลังพูดว่า SS ซึ่งเป็นกองกำลังหลักของนาซี “ไม่ใช่อาชญากรทั้งหมด” ทั้งนี้ Musk ได้ถ่ายทอดการสัมภาษณ์กับ Alice Weidel ผู้นำพรรค AfD บน X เมื่อวันที่ 9 มกราคม

ความนิยมที่พุ่งทะยานของ AfD ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในเยอรมนี แต่สะท้อนการเติบโตแบบพุ่งพรวดของพรรคฝ่ายขวาจัดทั่วยุโรป

จากเดิมที่เคยเป็นแค่กลุ่มชายขอบ ปัจจุบันพรรคฝ่ายขวาจัดในหลายประเทศได้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งหรือร่วมรัฐบาลในอิตาลี เนเธอร์แลนด์ ฮังการี สโลวาเกีย ฟินแลนด์ และโครเอเชีย

พวกเขาเป็นพรรคใหญ่ที่สุดหรืออันดับสองในรัฐสภาของสวีเดน ออสเตรีย และเยอรมนี มีคะแนนนิยมพุ่งในฝรั่งเศส และกำลังเติบโตในโรมาเนีย เบลเยียม สเปน และโปรตุเกส

ปัจจัยที่ดันความนิยมพรรคเหล่านี้คือการย้ายถิ่นฐานที่สูง เศรษฐกิจชะงักงัน และการรับรู้ว่าเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นถูกจำกัด – ซึ่งเป็นประเด็นที่ Musk มักจะโพสต์จี้ประเด็นเหล่านี้ใน X

มีการสังเกตว่า Musk ให้ความสนใจการเมืองยุโรปมากขึ้นหลังช่วย Trump ชนะเลือกตั้งกลับสู่ทำเนียบขาวเมื่อพฤศจิกายนด้วยเงินบริจาคกว่า 250 ล้านดอลลาร์

Musk ไม่ได้จำกัดการแสดงความคิดเห็นเฉพาะในเยอรมนี แต่ใช้ X สนับสนุนบุคคลฝ่ายขวาในอังกฤษ อิตาลี และโรมาเนีย พร้อมไม่ลังเลที่จะเยาะเย้ยผู้นำการเมืองและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหภาพยุโรป

ข้อมูลชี้ว่าเมื่อ Musk เริ่มสนับสนุน AfD ครั้งแรกวันที่ 20 ธันวาคม พรรคมีคะแนนนิยมอยู่ที่ 19.3% และสุดท้ายได้ 20.8% ในการเลือกตั้ง แสดงว่าอิทธิพลของเขาต่อผลเลือกตั้งมีน้อยมาก

นักวิเคราะห์บางคนมองว่าปัจจัยอื่นส่งผลต่อคะแนน AfD มากกว่า เช่น เหตุการณ์โจมตีรุนแรงในเยอรมนีโดยผู้ต้องสงสัยจากตะวันออกกลางและอัฟกานิสถาน ซึ่งตรงกับนโยบายของพรรคที่ต้องการเนรเทศผู้อพยพ

แม้อิทธิพลจะไม่มาก แต่ Martin Fassnacht ประธานด้านกลยุทธ์และการตลาดที่ WHU – Otto Beisheim School of Management กล่าวว่า “เขาช่วยให้ AfD ดูเจ๋งและสร้างสรรค์มากขึ้น” โดยเฉพาะในกลุ่มคนอายุน้อย ซึ่งอาจเป็นผลดีต่อการเลือกตั้งครั้งต่อไป

ในขณะที่ Musk สยายปีกอิทธิพลทางการเมืองในยุโรป ธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าของเขากลับดิ่งลงเหว การแสดงจุดยืนทางการเมืองฝ่ายขวาจัดทำให้ยอดขาย Tesla ในยุโรปลดฮวบถึง 45% ในเดือนมกราคมเทียบกับปีก่อน ขณะที่คู่แข่งเพิ่มขึ้นกว่า 37%

ข้อมูลในช่วงต้นกุมภาพันธ์ชี้ว่าแนวโน้มการลดลงยังคงดำเนินต่อไป ผู้จัดการในอุตสาหกรรมรถยนต์ขององค์กรสี่แห่งบอกว่าส่วนแบ่ง Tesla ในการดูแลของพวกเขาคงที่หรือลดลง ส่งสัญญาณถึงช่วงเวลาท้าทายที่ Tesla กำลังเผชิญ

Reuters วิเคราะห์โพสต์ของ Musk บน X พบว่าเขาหันมาสนใจการเมืองยุโรปมากขึ้นหลังช่วย Trump ชนะเลือกตั้งด้วยเงินบริจาคมหาศาล

ในอังกฤษ Musk โจมตีนายกฯ Keir Starmer เรียกร้องปล่อยนักเคลื่อนไหวฝ่ายขวาจัดที่ถูกจำคุก และสนับสนุนพรรค Reform ซึ่งมีนโยบายลดการย้ายถิ่นฐานและละทิ้งเป้าหมายการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของ Trump

ในอิตาลี เขาสร้างสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนายกฯ Giorgia Meloni โดยทั้งคู่กังวลเรื่องการย้ายถิ่นฐานและอัตราเกิดที่ลดลงในประเทศตะวันตก Meloni ถึงกับเรียก Musk ว่าเป็น “อัจฉริยะผู้ทรงคุณค่า”

ส่วนในโรมาเนีย Musk ส่งเสริมโพสต์เกี่ยวกับนักการเมืองฝ่ายขวาจัด Calin Georgescu และวิจารณ์ผู้พิพากษาที่ยกเลิกการลงสมัครประธานาธิบดีของ Georgescu เมื่อปีที่แล้ว ด้วยข้อสงสัยเรื่องการแทรกแซงจากรัสเซีย

Damian Tambini ผู้เชี่ยวชาญจาก London School of Economics บอกว่าแพลตฟอร์มเทคโนโลยีอเมริกันอย่าง X มีพลังมหาศาลในการกำหนดความคิดเห็นสาธารณะในยุโรป

“ไม่เหลือเชื่อเกินไปที่ Musk จะพลิกประเทศผ่านการเมืองได้” Tambini กล่าว “ซึ่งจะสร้างสมดุลอำนาจที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง” ภายในสหภาพยุโรป เมื่อรัฐบาลฝ่ายขวาจัดมีอิทธิพลมากขึ้น พวกเขาอาจช่วย Musk ยกเลิกหรือลดความเข้มงวดของกฎระเบียบที่เขาไม่ชอบ

Musk ซึ่งเข้ามาช่วย Trump ในการลดขนาดรัฐบาลกลางสหรัฐ วิจารณ์กฎระเบียบธุรกิจยุโรปอย่างเปิดเผย เรียกว่าเป็นสิ่งไม่ดีต่อการเติบโตและเป็นการเซ็นเซอร์

เขาถูกสอบสวนโดยสหภาพยุโรปเป็นเวลากว่าหนึ่งปีสำหรับการละเมิดกฎหมายที่กำกับแพลตฟอร์มสังคมออนไลน์ โดย X อาจเจอค่าปรับ 6% ของรายได้ทั่วโลกหากไม่จัดการกับเนื้อหาผิดกฎหมายและข้อมูลเท็จ

เมื่อวิเคราะห์การวิจารณ์ยุโรปของ Musk พบว่าเขามักแชร์ข้อมูลที่ไม่ได้รับการยืนยันและรีโพสต์คนดัง ๆ ที่มักเผยแพร่ข้อมูลเท็จ

โพสต์ส่วนใหญ่เกี่ยวกับการย้ายถิ่นฐาน ข้อจำกัดเสรีภาพแสดงความคิดเห็น อัตราเกิดที่ลดลง และสิทธิคนข้ามเพศ เขาหลีกเลี่ยงสื่อกระแสหลัก นักการเมือง และนักวิชาการ แต่สนับสนุนเครือข่ายบัญชีฝ่ายขวาจัดใน X

หนึ่งในบัญชีที่ Musk สนับสนุนคือ PeterSweden7 โดย Peter Imanuelsen นักข่าวที่เคยบอกว่าเหตุการณ์ 9/11 เป็นการจัดฉากและการลงจอดบนดวงจันทร์เป็นของปลอม Musk รีโพสต์ข้อความบิดเบือนของเขาอย่างน้อย 6 ครั้ง

อีกบัญชีที่ Musk มีปฏิสัมพันธ์ประจำคือของ Tommy Robinson นักปลุกระดมฝ่ายขวาที่มีประวัติฉ้อโกงและทำร้ายร่างกาย ปัจจุบันติดคุกเพราะฝ่าฝืนคำสั่งศาลลอนดอน Musk เรียกร้องปล่อยตัวเขาโดยรีโพสต์ข้อความเท็จว่าเขาเป็น “นักโทษการเมือง”

Mert Can Bayar นักวิจัยจาก University of Washington บอกว่า สำหรับ Musk เจ้าของบัญชีเหล่านี้เป็นเหมือนทหารในสงครามระหว่างนักการเมืองฝ่ายซ้ายที่จำกัดเสรีภาพ กับผู้สนับสนุนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นฝ่ายขวา

ในขณะที่อิทธิพลของ Musk ต่อการเมืองยุโรปยังไม่ชัดเจน การเคลื่อนไหวทางการเมืองของเขาส่งผลกระทบชัดเจนต่อ Tesla ยอดขายในยุโรปดิ่งเหว หลังจากลดลง 10.8% ในปี 2024 ในช่วงที่ตลาดลดลงเพียง 1.3%

การสำรวจโดย Electrifying.com พบว่า 59% ของชาวอังกฤษที่เป็นเจ้าของรถไฟฟ้าหรือวางแผนซื้อ จะไม่เลือก Tesla เพราะ Musk มีแคมเปญต่อต้าน Tesla ใน X ด้วยแฮชแท็ก #teslatakedown และ #swasticars

ความคิดเห็นทางการเมืองของ Musk เพิ่มปัญหาให้ Tesla เมื่อ Model Y เปิดตัวปี 2020 มีรถไฟฟ้าเพียง 25 รุ่นในอังกฤษ แต่ในปัจจุบันมี 133 รุ่น เพราะแบรนด์จีนนำรถราคาไม่แพงเข้ามาลุยตลาด

Tim Albertsen ซีอีโอของ Ayvens บริษัทให้เช่ารถใหญ่ที่สุดในยุโรป กล่าวว่า “ไลน์อัพผลิตภัณฑ์ ของ Tesla ค่อนข้างอ่อนแอ”

Ben Kilbey ผู้บริหารบริษัทสื่อสารในอังกฤษ เจ้าของ Model Y สามปี บอกว่ากำลังจะเลิกใช้รถคันนี้เพราะ Musk “ผมรัก Tesla ของผม รักเทคโนโลยี แต่ไม่อยากถูกเชื่อมโยงกับการเมืองหรือเรื่องคุยโวโอ้อวดของ Musk ใน X”

การเคลื่อนไหวของ Musk ในยุโรปสะท้อนการคำนวณที่ซับซ้อนระหว่างธุรกิจและอุดมการณ์ส่วนตัว แม้การแสดงจุดยืนฝ่ายขวาจัดทำร้าย Tesla ในระยะสั้น แต่เขาอาจวางแผนระยะยาวเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่ออาณาจักรเทคโนโลยีในอนาคต

การสนับสนุนพรรคที่แนวโน้มลดกฎระเบียบอาจเป็นกลยุทธ์ให้ Tesla, SpaceX หรือ X ดำเนินการได้อิสระมากขึ้น โดยเฉพาะในสหภาพยุโรปที่มีกฎเข้มงวด

แต่การเดิมพันนี้มาพร้อมความเสี่ยงสูง ผู้บริโภคในยุโรป โดยเฉพาะกลุ่มสนใจรถไฟฟ้า มักมีแนวคิดเสรีนิยมและให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและสังคม การผลักดันวาระการเมืองที่ขัดค่านิยมลูกค้า อาจทำลายแบรนด์ Tesla ระยะยาว

ความท้าทายของ Musk คือสร้างสมดุลระหว่างวาระส่วนตัวกับความรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้น Tesla ที่อาจกังวลเรื่องมูลค่าหุ้นและส่วนแบ่งตลาดที่ลดลง

การบูรณาการระหว่างเทคโนโลยีและการเมืองแบบนี้อาจเป็นเทรนด์ที่เติบโตในอนาคต เมื่อบริษัทเทคโนโลยีมีอำนาจมากขึ้นต่อชีวิตผู้คน ผู้นำบริษัทอาจรู้สึกมีสิทธิ์และความรับผิดชอบในการร่วมกำหนดนโยบายที่ส่งผลต่อธุรกิจ

คำถามสำคัญคือ การมีส่วนร่วมทางการเมืองของผู้นำเทคโนโลยีอย่าง Musk จะส่งผลดีต่อประชาธิปไตยและสังคมหรือไม่ หรือจะนำสู่การกระจุกตัวของอำนาจมากเกินไปในมือคนกลุ่มเล็กที่มีทรัพยากรและอิทธิพลมหาศาล

การเคลื่อนไหวของ Musk ในยุโรปน่าจะดำเนินต่อไป โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาความสำเร็จล่าสุดในการสนับสนุน Trump และบทบาทเป็นที่ปรึกษาอาวุโสของเขา การสนับสนุนพรรคฝ่ายขวาจัดในยุโรปอาจเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์สร้างระเบียบโลกใหม่ที่เอื้อต่อวิสัยทัศน์ของเขา

ในท้ายที่สุด เรื่องราวของ Musk เป็นบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับความสัมพันธ์ซับซ้อนระหว่างผู้นำธุรกิจ บริษัท และการเมือง แม้เขามีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นและสนับสนุนพรรคที่เลือก แต่การกระทำมีผลกระทบต่อทั้งธุรกิจและสังคมในวงกว้าง

ชะตากรรมของ Tesla และอิทธิพลทางการเมืองของ Musk จะเป็นเรื่องน่าจับตาในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งจะบอกเราว่าเกมของมหาเศรษฐีเทคโนโลยีผู้นี้จะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว ในการขีดชะตาอนาคตของยุโรปและธุรกิจของเขาเอง