คำขู่จากอดีตวิศวกร เมื่อ Twitter กำลังจะพังทลายในอีกไม่กี่สัปดาห์ต่อจากนี้

การเปลี่ยนผ่านขององค์กรธุรกิจนั้นเป็นเรื่องปรกตินะครับ คนเก่าจากไปคนใหม่เข้ามา ในทุกตำแหน่งขององค์กรแล้วส่วนใหญ่ ก็มักจะไม่ได้มีปัญหาอะไรที่จะทำให้ถึงขั้นองค์กรต้องล่มสลาย หรือผลิตภัณฑ์ต้องได้รับผลกระทบอย่างหนัก

แต่การเปลี่ยนผ่านองค์กรแบบที่ Elon Musk กำลังทำกับ Twitter นั้น เรียกได้ว่าเป็นปรากฎการณ์ที่น้อยองค์กรจะพบเจอ ตัวอย่างเช่นการตัดพนักงานออกไปกว่าครึ่ง และส่วนใหญ่ล้วนคลุกคลีอยู่กับผลิตภัณฑ์หลักของ Twitter

แม้ Elon Musk จะเป็นยอดมนุษย์ขนาดไหน แต่เขาก็ไม่สามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตัวคนเดียว ทุก ๆ กิจการที่เขาประสบความสำเร็จนั้น ต้องผ่านการสร้างทีมที่ดี และสามารถทำงานร่วมกับสไตล์การทำงานอันสุดโหดของ Elon Musk ได้

แต่กับ Twitter นั้นมันเป็นเรื่องใหม่สำหรับ Elon Musk เพราะเขาไม่ได้สร้างมันมาตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น

เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจาก Elon Musk ไล่พนักงานครึ่งหนึ่งจาก 7,500 คนที่เคยทำงานใน Twitter ออก มันได้เริ่มเห็นสัญญาณบางอย่างที่เกิดขึ้นกับแพลตฟอร์มอย่าง Twitter

Twitter เปิดตัวฟีเจอร์อย่าง Re-Tweet ในปี 2009 โดยเปลี่ยนสิ่งที่ผู้คนทำอยู่แล้วโดยใส่ชื่อผู้ใช้และ Tweet ของคนอื่น นำหน้าด้วยตัวอักษร RT ลงในแพลตฟอร์มของพวกเขา ซึ่งหลายปีที่ผ่านมาได้กลายเป็นฟีเจอร์ยอดฮิตที่นิยมใช้กันมากในแพลตฟอร์มอย่าง Twitter

“บางครั้งคุณจะได้รับการแจ้งเตือนที่ไม่ค่อยดีนัก” วิศวกรคนหนึ่งซึ่งเคยทำงานที่ Twitter กล่าว

โดยเหล่าวิศวกรที่เหลืออยู่เริ่มกังวลกับแพลตฟอร์มหลังจากที่เพื่อนร่วมงานจำนวนมากที่เคยถูกจ้างให้แพลตฟอร์มอย่าง Twitter ทำงานได้อย่างราบรื่นถูกไล่ออกไป

มีการแจ้งเตือนในระบบเกี่ยวกับสิ่งผิดปรกติที่เกิดขึ้นและเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเหล่าวิศวกรที่เหลืออยู่ที่จัดการกับโครงสร้างพื้นฐานของแพลตฟอร์มนั้น ต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้นและพวกเขากำลังจะหมดแรง

ซึ่งก็ต้องบอกว่า Twitter นั้นเป็นแพลตฟอร์มที่แตกต่างจากแพลตฟอร์มอื่น ๆ ตัวอย่างเช่นเมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มอย่าง Ecommerce ซึ่งทราฟฟิกขนาดใหญ่นั้นค่อนข้างที่จะสามารถระบุเวลาได้ชัดเจนเช่นเทศกาล Black Friday , Cyber Monday

แต่ Twitter บางครั้งจู่ ๆ ก็มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นแบบฉับพลันในที่แห่งหนึ่งของโลก แล้วทราฟฟิกก็พุ่งแบบกระฉูด โดยไม่สามารถคาดเดาวันเวลาได้

วิศวกรที่ไม่เปิดเผยนามได้กล่าวว่า ด้วยปัญหาที่รุมเร้าในขณะที่การ maintenance และการแก้ไขปัญหาต่างๆ นั้นต้องใช้ระยะเวลาที่ยาวนานขึ้น สิ่งต่าง ๆ จะเริ่มพังทลาย และจะพังไปอีกนาน ด้วยรูปแบบที่รุนแรงมากขึ้นจนในที่สุดอาจจะทำให้แพลตฟอร์มกลายเป็นอัมพาต

เหล่าวิศวกรที่ถูกไล่ออกไปนั้นหลายๆ คนทำงานมาเป็น 10 ปี ทำให้องค์ความรู้ที่สะสมมาของบุคคลเหล่านั้นก็หายไปพร้อมกับพวกเขา เนื่องจากเป็นการปลดพนักงานแบบฟ้าผ่าแบบที่ไม่มีใครได้ตั้งตัวทัน

นั่นยังไม่รวมถึงโครงการ “Deep Cuts Plan” จาก Elon Musk ที่หวังจะลดโหลดของเซิร์ฟเวอร์คลาวด์คอมพิวติ้งของ Twitter เพื่อพยายามลดค่าใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานที่สูงถึง 3 ล้านเหรียญต่อวัน

ต้องบอกว่าสถานการณ์ของ Twitter ณ ตอนนี้อยู่ในจุดเสี่ยง รอยร้าวที่เริ่มปรากฎออกมาบ้างแล้ว แม้มันจะเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่ก็เป็นสถานการณ์ที่มีความท้าทายเป็นอย่างมากสำหรับ Elon Musk ในการนำพา Twitter ไปให้ถึงฝั่งฝันอย่างที่เขาได้จินตนาการไว้นั่นเองครับผม

References :
https://www.technologyreview.com/2022/11/08/1062886/heres-how-a-twitter-engineer-says-it-will-break-in-the-coming-weeks
https://www.reuters.com/technology/musk-orders-twitter-cut-infrastructure-costs-by-1-bln-sources-2022-11-03/

เหตุใด “ประสบการณ์ของนักพัฒนา” จึงส่งผลต่อการก้าวไปข้างหน้าของนวัตกรรมระดับโลก

ภาพขาวดำหมุนวนบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ของโรงพยาบาล ภาพการสแกนด้วย MRI แม้แต่สายตาที่ฝึกมาก็ยังมองเห็นสิ่งผิดปกติได้ยาก แต่โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งใช้ซอฟต์แวร์ที่ได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับรูปภาพที่คล้ายกันนับพันๆ ภาพ จะมองเห็นสัญญาณเริ่มต้นของมะเร็ง ตรวจพบตั้งแต่เนิ่นๆ การพยากรณ์โรคทำได้ดีอย่างน่าทึ่ง

เบื้องหลังนวัตกรรมอันน่าทึ่งนี้ เช่นเดียวกับหลายๆ อย่างในชีวิตของเราในปัจจุบัน คือสิ่งที่มีอยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่งและมักถูกมองข้ามไป นั่นก็คือโค้ด

ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสุขภาพหรือวิธีการสั่งอาหาร การธนาคาร หรือการขับเคลื่อนรถแบบอัตโนมัติ นวัตกรรมที่ใหญ่ที่สุดที่กำหนดชีวิตเราในปัจจุบันนั้นขับเคลื่อนโดยซอฟต์แวร์ทางด้านคอมพิวเตอร์แทบจะทั้งสิ้น

โดยเฉพาะจากเหล่านักพัฒนาประมาณ 30 ล้านคนทั่วโลกที่เขียนโค้ดขึ้นมา ซึ่งแน่นอนว่าในตอนนี้ชีวิตเราก้าวหน้าได้เร็วเพียงใดทั้งในธุรกิจและสังคม ขึ้นอยู่กับความรวดเร็ว และประสิทธิภาพในการทำงานของพวกเขาเหล่านี้เฉกเช่นเดียวกัน

แต่ประสิทธิภาพของการแปลงแนวคิดดิบ ๆ เป็นโค้ดและท้ายที่สุดการนำไปยังผู้ใช้ปลายทางนั้นเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน 

ในทุกวันนี้ นักพัฒนา ซึ่งเป็นแรงผลักดันเบื้องหลังความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากมาย กำลังถูกขัดขวางโดยกระบวนการที่ล้าสมัยและการขาดเครื่องมือช่วยเหลือที่ดีมากพอ

การขจัดปัญหาคอขวดเหล่านี้เป็นมากกว่าแค่เรื่องของความสะดวกต่อกลุ่มคนเหล่านี้เพียงเท่านั้น แต่จะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อความก้าวหน้าของนวัตกรรมระดับโลกเช่นเดียวกัน

งานหนักที่ขวางกั้น Supply Chain ด้านนวัตกรรม 

เราได้เห็นในช่วงการแพร่ระบาดว่าบางสิ่ง เช่น การไม่มีตู้คอนเทนเนอร์สามารถส่งผลกระทบต่อการพาณิชย์และการผลิตไปทั่วโลกได้อย่างไร 

ปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก (CR:Pixabay)
ปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก (CR:Pixabay)

เฉกเช่นเดียวกัน ในการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ปัญหาใหญ่ที่รั้งนักพัฒนาไว้ตอนนี้คือปริมาณงานหนักที่คืบคลานเข้ามาในแต่ละวัน ตามที่นักวิจัย Vivek Rau ระบุในงานของเขากับ Google ความเหน็ดเหนื่อยของนักพัฒนาหมายถึงกระบวนการใดๆ ก็ตามที่ มีความซ้ำซาก จำเจ ไร้ซึ่งคุณค่าที่ยั่งยืน และต้องเพิ่มปริมาณงานตามการเติบโตของบริการเหล่านนั้นต ซึ่งงานหนักส่วนใหญ่คืองานด้านธุรการและงานยุ่งอื่น ๆ ที่ควบคู่ไปกับการเขียนซอฟต์แวร์

เนื่องจากซอฟต์แวร์มีความซับซ้อนมากขึ้น นักพัฒนาต้องทำงานหนักมากเช่นกัน โดยสละเวลาอันมีค่าไปจากงานสร้างสรรค์ที่มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา

ตอนนี้วิศวกรซอฟต์แวร์ใช้เวลาน้อยกว่าครึ่งวันในการเขียนโค้ด โดยประมาณการว่า ตัวเลข นั้นต่ำถึง 20% เวลาที่เหลือของพวกเขาจมอยู่กับงานต่างๆ เช่น การทดสอบและตรวจสอบโค้ด การรอให้งานอื่น ๆ สร้างให้เสร็จก่อน หรืออุปสรรคด้านการดูแลระบบ เช่น การต้องได้รับการอนุมัติเพื่อดำเนินการในขั้นต่อไปของการเปลี่ยนแปลงแก้ไขโค้ด

ภาวะ overload ของเหล่านักพัฒนาทั่วโลก (CR:Freepik)
ภาวะ overload ของเหล่านักพัฒนาทั่วโลก (CR:Freepik)

สิ่งนี้ส่งผลในหลายระดับ สำหรับนักพัฒนา มันเป็นสิ่งที่น่าผิดหวังอย่างยิ่งและยับยั้งความคิดสร้างสรรค์ในการทำงานซึ่งจะนำไปสู่ความเบื่อหน่ายและมีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดการขาดแคลนของนักพัฒนา ที่หลาย ๆ คนเลิกสนใจอาชีพนี้ 

สำหรับธุรกิจที่แข่งขันกันเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรม อาจทำให้ผลิตภัณฑ์ที่จะออกมาช้าลงและจำกัดความสามารถในการนำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดได้แบบทันท่วงที 

การปล่อยให้นักพัฒนาสร้างนวัตกรรมได้เร็วยิ่งขึ้น 

การปลดล็อก Supply Chain ของนวัตกรรมจำเป็นต้องนำประสบการณ์ของนักพัฒนามาเป็นจุดสนใจ ซึ่งในปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่าทั้งประสบการณ์ของผู้ใช้และแม้แต่ประสบการณ์ของพนักงานได้กลายเป็นจุดสนใจร่วมกันขององค์กรที่ต้องการปรับปรุงผลลัพธ์ให้ดีขึ้น

แต่กลับกันเงื่อนไขที่นักพัฒนาทำงานภายใต้แรงกดดันต่าง ๆ และสิ่งที่พวกเขาถูกขอให้ใช้เวลาอยู่กับมันอย่างยาวนานบางคนใช้เวลาเกือบครึ่งค่อนชีวิตในการเขียนโค้ด แต่สิ่งเหล่านนี้กลับถูกละเลย

แนวคิดของ “DX (Developer Experience)” ได้เกิดขึ้นในแวดวงเทคโนโลยีในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และขณะนี้กำลังเริ่มเข้าสู่ชุมชนธุรกิจที่กว้างขึ้น บริษัทจำนวนมากขึ้นตระหนักดีว่าการได้ประโยชน์จากนักพัฒนามากขึ้นหมายถึงการมีพื้นที่ว่างสำหรับความคิดสร้างสรรค์และลดความซับซ้อนของเวิร์กโฟลว์การทำงานลงไป

การใช้เทคโนโลยีเพื่อทำให้กระบวนการที่ซ้ำซากจำเจกลายเป็นให้กลายเป็นระบบอัตโนมัติ เช่น การทดสอบ การรักษาความปลอดภัย และการส่งมอบงาน เป็นวิธีหนึ่งที่จะทำเช่นนั้นได้  

อีกปัญหาที่สำคัญและมีความท้าทายมาก ๆ คือ เรื่องวัฒนธรรมของบริษัทซึ่งหลาย ๆ องค์กรน่าจะประสบพบเจอกัน โดยปรกติแล้วนั้นเหล่านักพัฒนาทำงานได้ดีที่สุดเมื่อได้รับความไว้วางใจและอิสระในการทำงานมากที่สุด 

แต่ผู้จัดการและองค์กรที่มีลำดับชั้นจำนวนมากเกินไปทำให้ทีมนักพัฒนาต้องประสบพบเจอกับความชะงักงันด้วยกระบวนการต่างๆ ที่มีความซับซ้อนหรืองานธุรการที่มากเกินกว่างานสร้างสรรค์ที่แท้จริงที่เป็นนจุดเด่นหลักของเหล่านักพัฒนา 

การเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้มีมากกว่าเพียงแค่ประโยชน์ต่อธุรกิจ ในทุกวันนี้นวัตกรรมคลื่นลูกใหม่ก้าวไปไกลกว่าความสะดวกสบายของผู้บริโภค เช่น การสตรีมวีดีโอหรือแอปส่งอาหาร แบตเตอรี่ที่มีพลังมากขึ้นสามารถช่วยบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การรักษาแบบไบโอเมตริกซ์อาจกำจัดมะเร็งบางชนิดได้ และอวัยวะที่พิมพ์ด้วยเทคโนโลยี 3 มิติอาจยืดอายุขัยของคนอีกจำนวนนับไม่ถ้วน

การขจัดงานหนักจากเส้นทางอาชีพของเหล่านักพัฒนา และการปลดล็อก supply chain ของนวัตกรรม จะช่วยให้โลกเราสามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็วขึ้น เมื่อภาระที่แบกบนไหล่ของเหล่านักพัฒนาทั่วโลกลดลงไปได้ พร้อมกับประสบการณ์ที่ดีขึ้นของพวกเขาเหล่านี้นั่นเองครับผม

References :
https://www.future-processing.com/blog/how-many-developers-are-there-in-the-world-in-2019/
https://sre.google/sre-book/eliminating-toil/
https://content.techgig.com/career-advice/5-types-of-computer-programming-jobs-to-look-out-for/articleshow/87363459.cms
https://www.fastcompany.com/90771120/why-developer-experience-is-holding-back-the-pace-of-global-innovation
https://codilime.com/blog/developer-experience-what-is-dx-and-why-you-should-care/

Elon Musk ประณามเงินเฟียต ที่เขียนด้วยโปรแกรมภาษาโบราณ แถมรัฐบาลยังแก้ไขฐานข้อมูลได้ทุกเมื่อ

Elon Musk ซีอีโอของ Tesla ได้โพสต์บน Twitter เพื่อประณามระบบเงินเฟียต ในปัจจุบัน Musk กล่าวว่าระบบเงินในปัจจุบันอาศัยภาษาการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์แบบ “โบราณ” ที่ใช้ภาษา cobol ในโหมด batch ซึ่งรัฐบาลสามารถแก้ไขฐานข้อมูลเงินได้ทุกเมื่อที่ต้องการ

Musk ทวีตนี้โดยเป็นการตอบกลับ Billy Markus, ผู้ร่วมก่อตั้งของ memecoin ซึ่ง Markus ทวีตว่าเขาเชื่อมั่นว่าน้อยกว่า 1% ของคนที่พูดถึง cryptocurrency รู้จริงเกี่ยวกับมัน 

จากนั้น Markus ได้อธิบายหลักการพื้นฐานของ cryptocurrencies ต่อไป เขากล่าวว่ามูลค่าของ cryptocurrencies และ NFTs ขึ้นอยู่กับผู้ที่ซื้อและขายในราคาที่แตกต่างกัน

การ reply ของ Elon Musk (CR:twitter)
การ reply ของ Elon Musk (CR:twitter)

Cryptocurrencies และ Fiat Money

เป็นเวลานานแล้วที่ผู้เชี่ยวชาญได้พูดคุยเกี่ยวกับข้อจำกัดและข้อบกพร่องของเงินเฟียต และผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจทั่วโลก  ซึ่งทำให้อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีที่ผ่านมา

และทำให้กำลังซื้อของเงินดอลลาร์ลดลง สิ่งนี้นำไปสู่แคมเปญที่มากขึ้นสำหรับการยอมรับสกุลเงินดิจิทัลทั่วโลก เนื่องจากผู้คนจำนวนมากคิดว่าดีกว่าระบบเงินเฟียต

ในการตอบสนองต่อทวีตของ Markus ทาง Michael Saylor ซีอีโอของ MicroStrategy กล่าวว่าจำเป็นต้องมีบัญชีแยกประเภทเดียว (single ledger) และมีอุปทานแบบคงที่ 

โดย MicroStrategy ของ Saylor เป็นเจ้าของคลัง Bitcoin ที่ใหญ่ที่สุดสำหรับบริษัทองค์กร และเขายังเป็นผู้สนับสนุน Bitcoin ที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว Saylor ได้ทวีตว่าการซื้อ Bitcoin น่าจะเป็นขั้นตอนต่อไปในแผนการหนีเงินเฟ้อและปกป้องมูลค่าของเงิน เขาทวีตนั้นหลังจากที่ Elon Musk ขอความคิดเห็นเกี่ยวกับการขายหุ้นเทสลาของเขาบางส่วน

การอภิปรายเกี่ยวกับ cryptocurrencies ที่ดีกว่าเงินเฟียต มีมานานนับทศวรรษแล้ว แต่ดูเหมือนว่าในสถานการณ์ปัจจุบัน cryptocurrencies จะชนะอย่างเด็ดขาด สิ่งนี้ทำให้บุคคลที่มีชื่อเสียงเช่น Saylor, Musk และ Markus ด้อยค่าเงินเฟียต และยกย่อง cryptocurrencies เป็นอย่างมาก

อนาคตของ Cryptocurrencies ?

แม้ว่า cryptocurrencies จะประสบความสำเร็จอย่างมากตั้งแต่ Bitcoin ที่สร้างขึ้นในปี 2009 และดูเหมือนตอนนี้อนาคตจะไปในทิศทางที่สดใสมากขึ้น นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะใช้เวลาไม่นานก่อนที่สถาบันการเงินจะเริ่มนำสกุลเงินดิจิทัลมาใช้

ยังคงมีประเด็นเรื่องกฎระเบียบและการควบคุมของรัฐบาล โดยคณะกรรมการรัฐสภาอินเดียด้านการเงินได้จัดรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัล เพื่อพยายามหาทางก้าวไปข้างหน้าสำหรับสกุลเงินดิจิทัลในประเทศ

ในสหรัฐอเมริกา ก.ล.ต. ของสหรัฐอเมริกาได้อนุมัติการใช้สกุลเงินดิจิทัลแล้วบางส่วนและคาดว่าจะอนุมัติเพิ่มเติม

เนื่องจากอุตสาหกรรม แบรนด์ และสถาบันต่างๆ ที่เริ่มหันมาใช้เทคโนโลยี blockchain ซึ่งคงใช้เวลาไม่นานก่อนที่สกุลเงินดิจิทัลจะเข้ามาแทนที่เงินเฟียต  แต่แน่นอนว่าปัญหาต่างๆ เช่น ความปลอดภัย ความแออัดของเครือข่าย และค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมที่สูงจะต้องได้รับการแก้ไขก่อนที่จะมีการใช้ในวงกว้างจริง ๆ

บทสรุป

ต้องบอกว่าการตอบกลับทวีตของ Elon Musk น่าสนใจมาก ๆ นะครับ ถ้าใครเป็นโปรแกรมเมอร์ หรือ เคยเขียนโปรแกรมน่าจะเห็นภาพได้ชัดเจน กับสิ่งที่ Elon Musk กำลังสื่อถึงความเสื่อมถอยของเงินเฟียต

แต่ถ้ามองอีกแง่มุมหนึ่งก็ต้องบอกว่า cryptocurrencies ก็ถือเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ถูกขีดเขียนมาด้วยการเขียนโปรแกรมเหมือนกัน วันนี้อาจจะเป็นวันที่รุ่งเรืองของเทคโนโลยีนี้

แต่ใครจะรู้อนาคต เพราะเทคโนโลยีขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วมากจนเราแทบตามไม่ทัน ซึ่งในอนาคต blockchain หรือ วิธีการแก้ปัญหา double spending ที่ cryptocurrencies ทำได้สำเร็จนั้น สุดท้ายก็อาจจะถูก disrupt โดยเทคโนโลยีใหม่ ๆ เหมือนที่เงินเฟียตกำลังจะถูก disrupt ในตอนนี้ก็เป็นได้เช่นกันครับผม

References : https://twitter.com/elonmusk/status/1460321290959704068
https://dogecoinnewshub.com/
https://marsmasters.com/elon-musk-only-a-fool-wouldnt-seek-non-fiat-investments/

Benyamin Ahmed หนูน้อยวัย 12 ขวบ ที่ทำรายได้มากกว่า 13 ล้านบาทจาก NFT ภายในสองเดือน

เรียกได้ว่าเป็นเทรนด์ใหม่ที่น่าสนใจเลยนะครับ สำหรับการสร้างรายได้จาก NFT ที่ตอนนี้กระแสเริ่มเป็นที่นิยมอย่างมากทั่วโลกไปแล้ว

ต้องเรียกได้ว่ามันเป็น skill ใหม่ที่น่าสนใจมาก ที่ประเทศเราควรเริ่มที่จะมาโฟกัสอย่างจริงจัง เพื่อบรรจุลงในหลักสูตรการเรียนการสอน กับการสร้างรายได้ด้วยเทคโนโลยีใหม่เช่น NFT ซึ่งในอนาคตมันจะใช้ในการดำรงชีพได้แทบไม่ต่างจากอาชีพอื่น ๆ อย่างแน่นอน

ตัวอย่างที่เกิดขึ้นกับหนูน้อย Benyamin Ahmed ถือว่าน่าสนใจเป็นอย่างมากครับ

โดยในวัยเพียงแค่ 5 ขวบ Ahmed เริ่มศึกษาการเขียนโปรแกรมจาก Imrom พ่อของเขา ที่ทำงานเป็นนักพัฒนาเว็บไซต์

Ahmed เริ่มต้นด้วยการเรียนภาษาง่าย ๆ อย่าง HTML และ CSS และได้เริ่มพัฒนาทักษะการเขียนโค้ดอย่างต่อเนื่อง ต่อมาได้เรียนรู้ JavaScript และโปรแกรมอื่น ๆ

Ahmed เริ่มศึกษาการเขียนโปรแกรมตั้งแต่ยังเด็ก

“ครั้งแรกที่ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับ NFTs คือเมื่อต้นปีที่ผ่านมา” Ahmed ซึ่งอาศัยอยู่ในลอนดอนกล่าว “ผมรู้สึกทึ่งกับ NFT เพราะคุณสามารถโอนความเป็นเจ้าของ NFT ได้อย่างง่ายดายด้วยเทคโนโลยี blockchain”

ต้องบอกว่า NFT เป็นสินทรัพย์ทางด้านดิจิทัล ที่มีลักษณะเฉพาะเอามาก ๆ ซึ่ง รวมถึงไฟล์รูปอย่าง jpeg และคลิปวีดีโอต่าง ๆ ซึ่งจะมีการแสดงด้วยรหัสที่บันทึกบน blockchain

โดย NFT สามารถนำมาซื้อขายได้ เช่นเดียวกับสินทรัพย์ชนิดอื่น ๆ ในโลกจริง ๆ ของเรา แต่ blockchain ช่วยให้สามารถ track ตามเจ้าของสินทรัพย์จริง ๆ นั้นได้

Ahmed เมื่อได้รู้จักกับ NFT ก็ทำให้เขาตื่นเต้นมาก ๆ และตัดสินใจที่จะสร้าง NFT ที่เป็นคอลเลกชั่น ของตนเองขึ้นมา

โดยคอลเลกชั่นชุดแรกของเขา นั้น เป็นอวตาร์ที่มีสีสันและเป็นรูปแบบของพิกเซล 40 ตัวที่ถูกเรียกว่า Minecraft Yee Haa

“ผมสร้างขึ้นหลังจากใช้เวลาหลายชั่วโมงในการเล่นเกม Minecraft” Ahmed กล่าว

แม้คอลเลกชั่นที่เขาทำ จะขายไม่ได้ในทันที แต่ Ahmed มองว่า มันเป็นการเรียนรู้เพื่อสั่งสมประสบการณ์ และเขาก็ได้พยายามทำมันต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ

ถัดมาในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เขาเริ่มเขียนโค้ด Weird Whales ซึ่งเป็นคอลเลกชั่น NFT ชุดที่สองของเขา ซึ่งมีตัวปลาวาฬ โดยแต่ละตัวมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน ซึ่งใช้เป็นมีมประเภทหนึ่ง ลักษณะคล้าย ๆ กับ CryptPunks แบบพิกเซล ที่ถือเป็นหนึ่งในคอลเลกชั่น NFT ชุดแรก ๆ ระดับตำนาน

มีมปลาวาฬ โดยแต่ละตัวมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน
มีมปลาวาฬ โดยแต่ละตัวมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน

โดยโครงการของ Ahmed นั้นมีต้นทุนอยู่ที่ประมาณ 300 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นค่าธรรมเนียมก๊าซ ซึ่งจะถูกเรียกเก็บจาก blockchain เพื่อตรวจสอบ NFT แต่ละรายการ

ซึ่งในช่วงเดียวกันนั้น Ahmed ได้เรียนรู้วิธีการเขียนโค้ดคอลเลกชั่นจากบทเรียนออนไลน์ และพี่เลี้ยงที่เขาได้พบเจอในชุมชน Discord ซึ่งเป็นหนึ่งในนักพัฒนาที่อยู่เบื้องหลังโปรเจ็ค NFT ที่ชื่อว่า Boring Bananas โดยได้ส่งสคริปต์เพื่อให้ Ahmed ใช้เป็นเทมเพลตสำหรับการสร้าง Weid Whales

หลังจากเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกรกฏาคม คอลเลกชั่นทั้งหมดขายเกลี้ยงภายใน 9 ชั่วโมงแรกเพียงเท่านั้น และ Ahmed สามารถขายไปได้กว่า 80 รายการในหนึ่งวัน

เนื่องจากเขาทำกำไรเป็นหน่วยสกุลเงินดิจิทัลอย่าง Ethereum (ETH) ซึ่งจำนวนเงินดังกล่าวมีมูลค่ามากกว่า 255,000 ดอลลาร์ จากนั้นเขาก็ขายได้อีก 30 ETH ซึ่งมีมูลค่า 95,000 ดอลลาร์จากตลาดขายต่อ โดย Ahmed จะได้ 2.5% จากการขายต่อแต่ละครั้ง

Ahmed ทำเงินไปแล้วกว่า 350,000 ดอลลาร์ จนถึงปัจจุบัน แลภายในสิ้นเดือนสิงหาคมคาดว่ารายรับรวมของเขาจะสูงถึง 400,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 13 ล้านบาท ซึ่งเขาใช้เวลาเพียง 2 เดือนเท่านั้น

ณ ตอนนี้ Ahmed ไม่มีแม้บัญชีธนาคารแบบดั้งเดิมแต่อย่างใด เขา มีแต่กระเป๋าเงินดิจิตอล

“ผมวางแผนที่จะเก็บ ETH ทั้งหมดของผมไว้ และจะไม่แปลงเป็นสกุลเงินดอลลาร์แต่อย่างใด” Ahmed กล่าว

นี่อาจจะเป็นจุดเล็ก ๆ ของเรื่องราวของหนุ่มน้อย Ahmed ที่เราได้เริ่มเห็นเทรนด์ที่ชัดเจนของคนรุ่นใหม่ ที่อาจจะไม่ต้องการบัญชีธนาคารแบบดั้งเดิมอีกต่อไป พวกเขาเพียงแค่ต้องการ ETH และกระเป๋าเงินดิจิตอลของพวกเขาเพียงเท่านั้น

“เมื่อผู้คนซื้อ Weird Whales พวกเขากำลังลงทุนในตัวผมและอนาคตของผม” Ahmed กล่าว “ถ้าผมทำแบบนี้ตั้งแต่เนิ่น ๆ เหมือนที่เคยทำมา ผมอาจจะมีอนาคตแบบเดียวกับเหล่าผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีชื่อดังของโลก อย่างเช่น Elon Musk และ Jeff Bezos”

ต้องบอกว่า มันเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจมาก ๆ ของเด็กรุ่นใหม่ คนรุ่นใหม่ generation ใหม่ ๆ ที่กำลังจะมาเปลี่ยนโลกเราแบบที่ไม่เป็นมาก่อน

คนรุ่นใหม่สามารถเลือกเส้นทางอาชีพได้อย่างหลากหลาย ที่ไม่ต้องยึดติดกับขนบธรรมเนียมเดิม ๆ ที่มีทางเลือกในการดำรงชีวิตไม่กี่อาชีพอีกต่อไป โลกได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว

เมื่อก่อน เราอาจจะตอบคำถามเวลาผู้ใหญ่ถามว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร ซึ่งคำตอบนั้นก็วนเวียนอยู่เพียงไม่กี่อาชีพ ครู ทหาร ตำรวจ รับราชการ วิศวกร ทนาย แพทย์ ฯลฯ แต่หากไปถามเด็ก ๆ ในยุคใหม่ เราคงได้คำตอบที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงแล้วในตอนนี้

ผมมองว่าประเทศเราก็ควรเริ่มที่จะปูพื้นฐานเรื่องเหล่านี้ไว้ให้กับเด็กรุ่นใหม่ได้แล้ว เพราะโลกในอนาคตของพวกเขา จะแตกต่างจากโลกที่เราอยู่ในอดีต หรือแม้กระทั่งจุดเปลี่ยนผ่านในตอนนี้อย่างสิ้นเชิง

ไม่ว่าจะเป็น เรื่องการเงิน การเดินทาง การขนส่ง หรือ อะไรต่าง ๆ อีกมากมายที่เหล่าเทคโนโลยีกำลังมาบรรจบกัน และสร้าง Impact อย่างมหาศาลในเวลาอันใกล้ที่จะถึงนี้

Ahmed แสดงให้เห็นว่าโลกแห่งอนาคตนั้นเปิดกว้างสำหรับทุกคน อย่างที่เขาทำได้สำเร็จ แม้จะเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น แต่ผมอยากให้จำชื่อหนูน้อย Benyamin Ahmed คนนี้ไว้

ในอนาคต เขาอาจจะมาสร้าง Impact ให้กับโลกเราผ่านเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้เหมือนกับไอดอลของเขาอย่าง Elon Musk หรือ Jeff Bezos ก็เป็นได้นั่นเองครับผม

References : https://futurism.com/the-byte/12-year-old-400000-selling-nfts-to-idiots
https://opensea.io/collection/weirdwhales
https://opensea.io/collection/minecraft-yee-haa
https://www.cnbc.com/2021/08/25/12-year-old-coder-made-6-figures-selling-weird-whales-nfts.html
https://www.telegraph.co.uk/news/2021/08/25/schoolboy-earns-nearly-300000-selling-digital-artwork-whales/