Movie Review : The Invisible Man มนุษย์ล่องหน

ได้โอกาสกลับเข้าสู่โรงภาพยนตร์อีกครั้ง หลังจากห่างหายไปนาน ต้องบอกว่าบรรยากาศเปลี่ยนไปพอสมควร สำหรับเรื่อง The Invisible Man มนุษย์ล่องหน นั้น ถือเป็นหนังค้างเก่าที่รอเข้าตั้งแต่ช่วง COVID ซึ่งผมก็ได้เล็งเรื่องนี้ไว้ก่อนแล้ว จึงถือโอกาสเข้าโรงภาพยนตร์ครั้งแรกหลัง COVID ด้วยเรื่องนี้

สำหรับ The Invisible Man นั้น เป็นเรื่องราวที่ กล่าวถึง เซซิเลีย แคสส์ (เอลิซาเบธ มอสส์) หญิงสาวที่มีความสัมพันธ์กับนักวิทยาศาสตร์ที่ทั้งร่ำรวยและฉลาดล้ำเลิศ แต่ความสัมพันธ์นี้มีทั้งความรุนแรงและเธอเป็นฝ่ายที่ถูกควบคุม

และแล้วในคืนอันเงียบสงัด คืนหนึง เธอจึงได้หนีออกมาและหลบซ่อนตัว โดยได้รับความช่วยเหลือจากน้องสาว (แฮร์เรียต ไดเออร์ จาก In Between), เพื่อนสมัยเด็ก (อัลดิส ฮอดจ์ จาก Straight Outta Compton) และลูกสาววัยรุ่นของเขา (สตอร์ม รีด จาก Euphoria)

เมื่อแฟนเก่าสุดเลวทรามของเซซิเลีย (โอลิเวอร์ แจ็คสัน-โคเฮน จาก The Haunting of Hill House) ตัดสินใจฆ่าตัวตาย และทิ้งทรัพย์สมบัติจำนวนมากให้เธอ เซซิเลีย สงสัยว่าการตายของเขาเป็นเรื่องหลอกลวง

ในขณะที่เหตุการณ์อันน่าขนลุกกลายเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย เกิดการขู่เอาชีวิตบุคคลที่เธอรัก เซซิเลียเริ่มเกิดอาการสติหลุด เธอพยายามพิสูจน์ว่าเธอถูกไล่ล่าจากใครบางคนที่ไม่มีใครเห็น

เจสัน บลัม กูรูผู้สร้างภาพยนตร์เขย่าขวัญในยุคปัจจุบัน รับหน้าที่อำนวยการสร้าง The Invisible Man ให้กับบลัมเฮาส์ โปรดักชั่นส์ The Invisible Man เขียนบทและกำกับโดย ลี วานเนลล์ หนึ่งในผู้ให้กำเนิดแฟรนไชส์ Saw ซึ่งมีผลงานกำกับภาพยนตร์ Upgrade และ Insidious: Chapter 3.

เรียกได้ว่า เป็นหนังที่เล่นกับอารมณ์ของคนดูได้อย่างน่าสนใจเลยทีเดียวสำหรับ The Invisible Man เพราะแค่เปิดเรื่องมา มันก็เริ่มต้นด้วยปริศนา ที่ทำให้เราคอยติดตามว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ในบ้านหลังงามแห่งนั้น

ด้วยความที่เป็นหนังที่เล่นกับ ความไร้ตัวตนของตัวร้าย ทำให้ทุกฉากนั้น ทำให้เราก็ลุ้นตามไปตลอดว่า แฟนเก่าของ เซซิเลีย นั้น จะอยู่ในจุดใดของฉาก ซึ่งส่วนนี้ก็ทำให้หนัง ดูน่าระทึก คอยลุ้นไปตาม ๆ กัน เพราะเราไม่รู้เลยว่าตัวร้ายจะโผล่มาตอนไหนผ่านการล่องหนนั่นเอง

ผมค่อนข้างประทับใจกับผลงานของ ลี วานเนลล์ โดยเฉพาะใน Saw ภาค 3 ถือเป็นอีกหนึ่งหนังในดวงใจ และแน่นอนว่า เรื่องนี้ ก็จะได้กลิ่นอายสไตล์ของ ลี วานเนลล์ จากทั้งในเรื่อง Saw และ Insidious : Chapter 3 ที่เขาเป็นคนกำกับ

ต้องบอกว่าคนที่รับบทหนักสุดก็คือนางเองของเรื่องอย่าง เซซิเลีย แคสส์ (เอลิซาเบธ มอสส์) ที่เรียกได้ว่า เธอแบกรับหนังทั้งเรื่อง ที่ต้องแสดงสีหน้า ท่าทาง อารมณ์ หวั่นวิตก แบบสุด ๆ เพราะไม่มีใครเชื่อเธอในเรื่องดังกล่าวที่อดีตแฟนของเธอนั้นล่องหนได้ และเธอก็ทำมันออกมาได้ดีมาก ๆ เสียด้วย เรียกว่าไม่ห่วงความสวยกันเลยทีเดียวสำหรับการแสดงของเธอในหนังเรื่องนี้

และสิ่งที่เพิ่มพลังให้เราลุ้นไปตลอดเรื่องของหนังเรื่องนี้คือ Sound Effect ที่อยู่เบื้องหลังนั่นเอง ต้องบอกว่าทำ Sound ออกมาได้ลุ้นระทึกมาก ๆ แม้บางทีจะใส่ Sound ที่เว่อร์เกินไปหน่อยก็ตามที แต่มันทำให้บรรยากาศของหนังมันดูน่าลุ้นเพิ่มมากขึ้น

คือเรื่องนี้ เป็นหนังที่ทุกคนดูได้ ไม่มีฉาก กระตุก เหมือนหนังผี หรือ หนังสยองขวัญ สั่นประสาทเรื่องอื่น ๆ เล่นกับความรู้สึกคนดูมากกว่า กับสิ่งที่มองไม่เห็น และมีปริศนาที่ค่อย ๆ คลี่คลายไปจนมีการหักมุมในตอนท้ายเรื่องได้อย่างน่าสนใจ

ถือว่า เป็นหนึ่งในหนังที่เป็นตัวเลือกที่ไม่มากนักในยุคหลัง COVID ที่โรงหนังเริ่มเปิดให้ชมกัน เพราะ ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นหนังเก่าซะส่วนใหญ่ เรื่องนี้ถือว่าไม่ผิดหวัง สำหรับแฟน ๆ หนังแนวนี้ก็ไม่ควรพลาดไปชมกันนะครับ แนะนำเลย

Movie Review : Low Season สุขสันต์วันโสด

ถือเป็นหนังที่ไม่ได้ดู review หรือคำวิจารณ์ใด ๆ มาก่อนเลยสำหรับ หนัง Low Season สุขสันต์วันโสด ที่ได้รอบที่ลงตัวพอดี เลยขอแวะเข้าไปชมผลงานหนังไทยเสียหน่อย หลังจากห่างหายไปหลายอาทิตย์

การเข้าดูหนังแบบ ไม่ดูข้อมูลอะไรมาก่อน ถือเป็นอีกหนึ่งอรรถรสที่ดีในการเสพหนังสำหรับตัวผมเอง เพราะเราได้เข้าไปแบบไม่มีความคาดหวังใด ๆ ทั้งสิ้น เรียกได้ว่า เป็นการไปตายเอาดาบหน้าที่หน้าโรงหนังนั่นเอง แต่หลาย ๆ ครั้งก็ให้ประสบการณ์ที่ดีมาก ๆ กับผมเลยทีเดียว

สำหรับ Low Season สุขสันต์วันโสด เป็นเรื่องราวที่เริ่มต้นด้วย คำว่า “เริ่มที่ไหนจบที่นั่น” ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ “หลิน” ( พลอย-พลอยไพลิน ตั้งประภาพร ) ได้ทำการลุยเดี่ยวจัดทริปรักษาแผลใจ ณ กิ่วแม่ปาน ในดินแดนภาคเหนือของไทย

ซึ่งที่นี่เธอได้เจอกับ “พุธ” (มาริโอ้ เมาเร่อ) นักเขียนบทไอเดียตัน ที่ทั้งรักคุด-งานสะดุดจนต้องออกมาหาแรงบันดาลใจเพื่อโปรเจกต์หนังผีเรื่องใหม่ของเขา ที่จำเป็นต้องใช้ “คนเห็นผี” มาช่วย

หนังเรื่องนี้เป็นการกลับมาแท็กทีมกันระหว่าง “มาริโอ้ เมาเร่อ” กับ “เป้-นฤบดี เวชกรรม” (สาระแนห้าวเป้ง,สาระแนเห็นผี) ผู้กำกับคนแรกที่ดึงเสน่ห์โรแมนติกคอเมดี้ของมาริโอ้ออกมาและประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยมใน “สาระแนสิบล้อ”

เนื้อเรื่องตอนต้นเรื่อง ต้องบอกว่าเปิดมา นึกว่าจะเป็นหนังที่ผิดหวังเสียแล้ว กับการนำเรื่องผีมาเล่นแบบ หนังผีตลกทั่วไป ซึ่งมันดูไม่น่าสนใจเลยด้วยซ้ำ กับการเล่นแนว ๆ นี้ เหมือนละครเสียมากกว่า

แต่พอเนื้อเรื่องดำเนินไปเรื่อย ๆ พบความลงตัวหลาย ๆ อย่างกับหนังเรื่องนี้ ตัวอย่างเช่น เรื่องของมุกตลก ต้องบอกว่าเป็นหนังที่สร้างมุกตลก แบบธรรมชาติ ได้อย่างลงตัวมาก ๆ มันไม่ใช่มุกตลกหยาบคายเหมือนหนังตลกส่วนใหญ่เล่นกัน

คือตลอดเรื่องจะมีฉากเรียกเสียงฮาตลอดทั้งเรื่อง เป็นตลก ที่เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดี ไม่มีการเล่นอะไรหยาบคาย ซึ่งยกระดับจากหนังอย่าง สาระแนสิบล้อ ขึ้นมาอีกระดับนึง ซึ่งในสาระแนสิบล้อ มันดูตลกแบบฮาร์ดคอร์เกินไป

เอาตรง ๆ ผมดูเรื่องนี้ มันได้เอกลักษณ์ใหม่ ๆ ที่ไม่ค่อยได้เคยเจอมาก่อนกับหนังไทย ซึ่งจะว่าเป็นหนัง Feel Good แบบ GDH ก็ไม่ใช่ แต่มันเป็นการผสมผสานระหว่างเรื่องราวของความเป็น โรแมนติก-คอมเมดี้ ได้แบบมีจุดเด่นที่แตกต่างจากหนังของ GDH อย่างเห็นได้ชัด

ผมไม่ได้หมายความว่าหนังเรื่องนี้ทำหนัง Feel Good ได้ดีกว่า GDH แต่มันได้เห็นถึงความต่าง รสชาติที่แตกต่าง เมื่อเทียบกับหนังของ GDH ที่ไม่ว่าจะเป็นหนังเรื่องไหน รสชาติมันจะคล้าย ๆ เดิมอยู่ มันมีกลิ่นอายของความเป็น GDH แต่เรื่องนี้มันดูรสชาติใหม่กว่า กับหนังแนวนี้อย่างเห็นได้ชัด

ซึ่งการได้มาริโอ้ มาเล่นกับทีมงานชุดเดิมของ สาระแนสิบล้อ มันก็ทำให้หนังดู smooth มาก ๆ คือ หนังสร้างสีสัน ได้ตลอดแทบจะทั้งเรื่อง มีการตัดอารมณ์ ระหว่างหนังรัก หนังตลก หรือฉากโรแมนติก ได้อย่างลงตัวเลยทีเดียว

อีกอย่างที่ผมชอบจากหนังเรื่องนี้คือ เรื่องของดนตรี ที่นำมาประกอบ ที่เข้ากับบรรยากาศของโลเกชั่นในภาคเหนือได้อย่างดีเยี่ยม และจังหวะของเพลงที่ปล่อยออกมานั้น ทำได้อย่างลื่นไหล ไปกับ ฉากนั้น ๆ ได้อย่างลงตัว

ณ ตอนที่เขียน ผมก็ยังไม่ได้อ่านว่ากระแสเรื่องนี้ มันดีแค่ไหน แต่โดยส่วนตัว ถือเป็นหนังไทย ที่ไม่ผิดหวังเรื่องหนึ่ง เป็นหนังที่เราจะมีอารมณ์ ร่วมกันกับ ทั้งมาริโอ้ และน้องพลอย ไปตลอดทั้งเรื่อง ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งในหนัง Feel Good ที่ทำได้ลงตัวเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว มีแทบทุกอารมณ์ ในหนังเรื่องเดียว ทั้งความตื่นเต้นเรื่องผี ความดราม่า และเรื่องความตลก ที่ทำได้อย่างธรรมชาติที่สุด ถือว่าเป็นตัวเลือกหนึ่งในหนังไทย ที่ไม่ควรพลาดเลยครับ สำหรับเรื่องนี้

Movie Review : Dark Waters พลิกน้ำเน่าคดีฉาวโลก

เป็นหนึ่งในหนังที่ผมรอคอยเลยทีเดียวสำหรับ Dark Waters พลิกน้ำเน่าคดีฉาวโลก ที่เป็นการสร้างมาจากเรื่องจริง กับคดีฉาว ของบริษัทเคมีภัณฑ์ยักษ์ใหญ่ของประเทศสหรัฐอเมริกาอย่าง ดูปองท์

ต้องบอกว่า Dark Waters เป็นภาพยนตร์แนวดราม่าเข้มข้นที่สร้างมาจากเรื่องจริง ผ่านการนำแสดงโดยนักแสดงคุณภาพ “มาร์ก รัฟฟาโล” ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง 3 รางวัลออสการ์ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งนักแสดงคุณภาพที่ผมเป็นแฟนพันธุ์แท้ติดตามผลงานของเขาแทบจะทุกเรื่อง

ในเรื่องนี้เขาได้รับการแปลงโฉมพลิกคาแร็กเตอร์มารับบทเป็น “โรเบิร์ต บิลอตตา” ทนายความดีเดือดผู้ที่ต้องมาเล่นกับคดีที่เสี่ยงต่อทั้งชีวิตตนเองและครอบครัวเพื่อเดินหน้ากัดไม่ปล่อยต่อคดีความของบริษัทยักษ์ใหญ่ “ดูปองท์” ผู้ผลิตสารเคมีในรัฐเวสต์เวอร์จิเนียที่ซ่อนความลับดำมืดอันเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของผู้บริสุทธิ์ภายในเมืองหลายคน เนื่องด้วยสาเหตุการรั่วไหลของสารเคมีอันตรายร้ายแรงสู่ย่านที่พักอาศัย

แน่นอนว่าเรื่องนี้ สร้างจากเรื่องจริง ทำให้ไม่สามารถพลิกบทของเนื้อเรื่องอะไรได้มาก ทำให้อาจจะดูน่าเบื่อในบางจุด เพราะเป็นการเล่าเรื่องราวจริง และคดีดังกล่าวก็ใช้เวลาดำเนินการที่นานมาก ๆ

แต่ผมไม่เคยผิดหวังผลงานของ มาร์ก รัฟฟาโล เลย เพราะเค้าสามารถพลิกบทบาทมาเล่นอะไร ก็ดูเนียนตาไปเสียหมด ไม่ว่าจะเป็น super heroes , นักข่าว , เกย์ หรือ บทบาททนายความในหนังเรื่องนี้

ต้องถือเป็นอีกหนึ่งนักแสดงคุณภาพที่สุดของวงการ Hollywood ในขณะนี้เลยทีเดียวสำหรับตัว มาร์ก รัฟฟาโล แน่นอนว่าเรื่องนี้เค้าแบกหนังไว้ทั้งเรื่อง เพราะเป็นการเล่าผ่านตัวละครหลักที่เป็นตัวแทนของทนายความ โรเบิร์ต บิลอตตา

ส่วน แอนน์ แฮททาเวย์ ก็ถือว่าแม้บทจะน้อยไปหน่อย แต่แสดงให้เห็นถึงหน้าที่ภรรยาที่ต้องแบกรับภาระของชีวิตครอบครัว และคอยส่งเสริมสามีที่ทำคดีที่ต้องสู้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ ได้อย่างน่าสนใจเลยทีเดียว เป็นบท ที่เธอเล่นเป็นผู้ใหญ่ได้ดี ซึ่งเราจะไม่ค่อยเจอเธอที่รับบทหนักแบบนี้มาก่อน

ข้อด้อยของหนังเรื่องนี้ผมมองว่า เนื่องจาก เป็น Timeline ที่ยาวนานมาก ๆ ทำให้ต้องตัดเรื่องราวแต่ละช่วงให้น้อยที่สุด ซึ่งมันทำให้บางจุด เรื่องราวมันดูไม่ smooth มีการตัดแบบกระโดดมากเกินไป ทำให้หนังขาดอรรถรสในบางส่วนไปเลยทีเดียว

หนังเรื่องนี้ เป็นหนังกึ่งสารคดี ที่แสดงให้เห็นถึงการต่อสู้ ระหว่าง ชาวบ้าน กับ บริษัทยักษ์ใหญ่ ที่ทำเรื่องฉาวในระดับโลก ซึ่งแน่นอนว่า ดูปองท์ นั้นไม่ใช่ผลิตให้แค่ในประเทศอเมริกาเท่านั้น แต่ผลผลิตของสารเคมีของ ดูปองท์ มีอยู่ในสินค้าทั่วโลก ที่เราใช้ในชีวิตประจำวันแทบจะทั้งสิ้น ซึ่งเรียกได้ว่า

มันไม่ใช่แค่เรื่องส่งผลกระทบต่อชีวิตชาวอเมริกันเท่านั้น แต่ มันสื่อให้เห็นถึง ผลกระทบต่อคนทั้งโลก ผ่านสินค้าที่ต้องใช้สารเคมี ซึ่งแน่นอนว่า มันแทบจะ 99% ของสินค้าที่เราใช้อยู่ในชีวิตประจำวันนั่นเอง

แม้คดีนี้จะยังไม่จบสิ้น ยังต่อสู้กันอีกยาวนาน แต่ดูเหมือนหนังเรื่องนี้จะทำให้เรา ต้องมาตระหนักถึงสารพิษอันตรายเหล่านี้ ที่มันอยู่ใกล้ตัวเรา กว่าที่คิด ให้มากขึ้นนั่นเองครับ

Movie Review : Better Day ไม่มีวัน ไม่มีฉัน ไม่มีเธอ

ภาพยนต์เรื่องนี้ต้องบอกว่าเป็นเหตุบังเอิญของผมเลยทีเดียว สำหรับ Better Days ไม่มีวัน ไม่มีฉัน ไม่มีเธอ ซึ่งเป็นหนังที่แทบไม่ได้ตั้งใจดู เพราะเป้าหมายของผมในสัปดาห์นี้ อยู่ที่หนังที่ถ่ายทอดมาจากเรื่องจริงอย่าง Dark Water

แต่เนื่องจาก มาถึงโรงก่อนเวลา และมีเวลาเหลือ รวมถึงรอบที่ลงตัวพอดีระหว่างรอดูหนังเรื่อง Dark Water จึงขอแวะเข้าไปชมเสียหน่อย เป็นการฆ่าเวลา

สำหรับเรื่องราวของ Better Days ไม่มีวัน ไม่มีฉัน ไม่มีเธอ นั้น เล่าถึงช่วงเวลาสมัยเรียนของนักเรียนมัธยมฯ ในประเทศจีน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วนั้นเป็นช่วงเวลาอันแสนสุขสำหรับคนจำนวนมาก แต่สำหรับ เฉินเหนียน (โจวตงหยู) มันแทบไม่ต่างอะไรกับการตกนรกทั้งเป็น

เพราะหลังจากเพื่อนสนิทเสียชีวิตโดยมีต้นเหตุมาจากการกลั่นแกล้งในโรงเรียน เธอก็กลายเป็นเป้าหมายใหม่ โดนใครต่อใครทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจเสมอ จนกระทั่ง เสี่ยวเป่ย (แจ็คสัน หยี) ก้าวเข้ามาในชีวิต

ซึ่งหากมองจากภายนอก เสี่ยวเป่ย อาจดูเป็นผู้ชายแบดบอยมาดร้าย แต่ภายในเขามีจิตใจดีงาม และยังปฏิบัติต่อ เฉินเหนียน อย่างให้เกียรติที่สุด ท่ามกลางผู้คนและสภาพสังคมอันโหดร้าย โดยเขาเป็นคนที่คอยอยู่เคียงข้างคือกำลังใจในการใช้ชีวิตอยู่ต่อ พร้อมกับความหวังถึงอนาคตภายหน้าที่ดีกว่าวันนี้ ซึ่งเป็นที่มาของ Better Days นั่นเอง

ต้องบอกว่า Better Days ได้ทำการออกฉายในอเมริกา พร้อมเสียงวิจารณ์ด้านบวก คะแนนจากเวปรีวิว Rotten Tomatoes 100% เต็ม นักวิจารณ์ฝั่งอเมริกา ต่างพร้อมใจกันยกให้ “โจวตงหยู” และ “ อี้หยางเชียนสี่ ” คือนักแสดงคนสำคัญที่ถ่ายทอดอารมณ์ของตัวละครออกมาใด้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งต้องยอมรับจริง ๆ หลังจากที่ได้ดูว่าเป็นอย่างงั้นจริง ๆ

ต้องบอกว่าหลังจากดูจบนั้น เรียกได้เซอร์ไพรซ์มาก ๆ กับหนังเรื่องนี้ เพราะเป็นหนังที่ดีมาก ๆ เรื่องหนึ่งเลยทีเดียว และที่สำคัญเป็นหนังที่ถ่ายทอดเรื่องราวของการ Bully ในโรงเรียนออกมาได้อย่างน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง

แม้ดูจากพล็อตเรื่องจะไม่มีอะไรที่ซับซ้อน แต่ต้องบอกว่า เฉินเหนียน (รับบท โจวตงหยู) แสดงได้อย่างสุดยอดมาก เธอถ่ายทอดเรื่องราวที่ถูกสังคมในโรงเรียน Bully เธอ ซึ่งเรื่องนี้มีการถ่ายทอดมาจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในโรงเรียนมัธยมของประเทศจีน

แน่นอนการเชื่อมโยงกับประเด็นของการสอบ เกาเข่า (Gaokao) การแข่งขันสอบเข้าสู่มหาวิทลัยของประเทศจีน ที่มีการขับเคี่ยวแย่งชิงกัน อย่างหนักมาก ๆ ประเทศหนึ่งในโลก เพราะพวกเขาสามารถเปลี่ยนชีวิตได้จากสนามสอบครั้งนี้นั่นเอง

เรียกได้ว่า เป็นการเล่นประเด็นที่หนักมาก ๆ ของประเทศจีน รวมถึงการเรื่องราวของความรักที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ที่ทั้งสองตัวนำอย่าง โจวตงหยู และ แจ็คสัน หยี ถ่ายทอดออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมมาก ๆ

ทั้งสีหน้า แววตา ทุกอย่างนั้นเรียกได้ว่า ทำได้สมบูรณ์แบบ เทียบชั้นได้กับหนังระดับ Hollywood เลยทีเดียว ไม่แปลกใจเลยที่ Rotten Tomatoes ให้ 100% ซึ่งเป็นหนังน้อยเรื่องที่จะได้คะแนนมากถึงเพียงนี้

โดยเฉพาะ โจวตงหยู นั้นต้องบอกว่า เธอถ่ายทอดอารมณ์ ของนักเรียนมัธยมที่ถูก Bully ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมมาก ๆ เลย คือ ถ้าเป็นคนที่มีอารมณ์อ่อนไหว หนังเรื่องนี้จะทำให้คุณบ่อน้ำตาแตกได้อย่างแน่นอน

และที่สำคัญ บทของหนังที่ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ถ่ายทอดความดาร์กของการถูก Bully จากเพื่อนนักเรียน มีส่วนผสมของเรื่อง Drama รักโรแมนติก ความหดหู่ของสังคม ความเศร้า และเรื่อง Thriller ออกมาได้อย่างลงตัวมาก ๆ และมีจุดจบที่หักมุม เรียกได้ว่าเรื่องนี้ให้ความรู้สึกครบรสชาติของหนังที่หาได้ยากมาก ๆ

ส่วนอีกเรื่องที่ขอชื่นชมเลยก็คือเรื่อง sound ประกอบของหนังเรื่องนี้ ทำได้ระดับมาตรฐาน Hollywood เลยทีเดียว การร้อยเรื่องราวกับ sound ที่สวยงามนั้น ทำให้หนังเรื่องนี้ดู perfect ยิ่งขึ้น

สุดท้าย ก็ยังงง ว่า ทำไหม หนังที่ดีขนาดนี้ มันไม่ได้มีกระแสออกมาเลย ก็น่าเสียดายมาก ๆ ที่มีคนดูน้อยไปหน่อย ถ้าใครยังหาหนังที่น่าสนใจไม่ได้ในอาทิตย์นี้ ผมก็ของ Highly Recommended เรื่องนี้เลยครับ รับประกันว่าคุณจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน

Movie Review : 1917

ต้องบอกว่าผมเป็นหนึ่งในคอหนังแนวสงครามโลก ที่เรียกได้ว่าเป็นแฟนระดับฮาร์ดคอร์ ที่ติดตามแทบจะทุกเรื่อง หากมีหนังที่เกี่ยวกับสงครามโลกเข้าฉาย และสนใจในเรื่องประวัติศาสตร์ของโลกเราในช่วงการเกิดสงครามเป็นอย่างมาก

สำหรับ 1917 นั้น เป็นหนังใหม่อีกหนึ่งเรื่องที่ถ่ายทอดอีกมุมหนึ่งของสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่จะเห็นได้ว่ามีหนังน้อยเรื่องที่จะนำเรื่องราวของสงครามโลกครั้งที่ 1 มาถ่ายทอดลงบน แผ่นฟิล์ม ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นไปที่สงครามโลกครั้งที่สองมากเสียกว่า

สำหรับ 1917 นั้นเป็นผลงานของ แชม เมนเดส ผู้กำกับรางวัลออสการ์ที่เคยมีผลงานอย่าง Skyfall, Spectre และ American Beauty โดยในเรื่องนี้นั้นได้นำเสนอมุมมองที่แตกต่างในภาพยนตร์เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 1

ซึ่งภาพยนตร์ 1917 ได้ โรเจอร์ ดีกินส์ ผู้กำกับภาพเจ้าของรางวัลออสการ์ รับหน้าที่ผู้กำกับภาพ ภาพยนตร์ถ่ายทอดมุมมองของสงครามโดยใช้การเล่าเรื่องราวแบบเรียลไทม์ เป็นภาพยนตร์เล่าเรื่องแบบช็อตเดียว ซึ่งจะทำให้ผู้ชมรู้สึกเสมือนอยู่ในสนามรบ ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1

ผ่านตัวละครหลักที่เป็นทหารอังกฤษ ซึ่งประกอบด้วย สคอฟิลด์ (จอร์จ แมคเคย์ จาก Captain Fantastic) และ เบลก ( ดีน-ชาร์ลส์ แชปแมน จาก Game of Thrones) ได้รับมอบหมายให้ไปร่วมปฏิบัติการที่ดูเหมือนว่าอาจไม่มีทางสำเร็จ พวกเขาต้องข้ามเขตแดนของข้าศึก เพื่อส่งสารเพื่อให้หยุดการโจมตีทหารนับพันที่อยู่ในแนวหน้า

ต้องบอกว่า ภาพยนต์เรื่องนี้ แสดงให้เห็นภาพที่เหมือนจริงของเรื่องราวที่น่าทึ่งในสงครามโลกครั้งที่ 1 ผ่านการเดินทางสุดระทึกของทหารสองคนที่ต้องส่งสารไปยังทหารแนวหน้าเพื่อยกเลิกการโจมตีเยอรมัน

ความยอดเยี่ยมที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดของ 1917 คือเรื่องของเทคนิคการถ่ายทำ การใช้กล้องติดตามตัวละครหลักของเรื่องทั้งสองด้วยการถ่ายภาพต่อเนื่องที่ดูราบรื่นเป็นเวลา 110 นาที

แม้ว่าความจริงแล้วมันจะไม่ใช่ฉาก Long Take จริง ๆ ทั้งหมด แต่การใช้เทคนิคเนียน ๆ ทำให้สามารถหลอกตาผู้ชมได้ ให้เราเหมือนเข้าไปอยู่ในเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบเหมือนอยู่ในเหตุการณ์จริง ๆ เลยก็ว่าได้

และที่สำคัญ เรื่องของดนตรีประกอบ ก็ทำได้ยอดเยี่ยมเป็นอย่างมากในการที่จะเพิ่มความรู้สึกของสงครามที่รุนแรงและให้ความรู้สึกว่าทุกฉากนั้น การสร้างสรรค์ของดนตรีประกอบทำได้อย่างยอดเยี่ยมมาก ๆ

เอกลักษณ์เด่นอีกอย่างคือ  มีภาพโคลสอัพที่สำคัญมากมายที่แสดงให้เห็นถึงเรื่องราวของทหารสองคน(ตัวเอก) เกี่ยวกับอดีตและผลกระทบทางอารมณ์จากสงครามโลกครั้งที่ 1 เพื่อเปิดเผยความน่ากลัวและความน่าตกใจของสนามรบจริง ๆ ที่เกิดขึ้นนั่นเอง

รวมถึงการแสดงของ จอร์จ แมคเคย์ & ดีน-ชาร์ลส์ แชปแมน นั้นยอดเยี่ยม พวกเขาแสดงออกถึงอารมณ์แบบดิบ ๆ ของทั้งคู่ได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะ จอร์จ แมคเคย์ ที่รับบท สคอฟิลด์ ตัวเอกหลักของเรื่อง ที่ต้องบอกว่า สามารถทำการแสดงออกมาได้อย่างสุดยอดมาก ๆ ทั้งสีหน้า ท่าทาง แววตา ทุกอย่าง มันดูสมจริง

และเมื่อมาผสมกับเทคนิคฉาก Long Take มันยิ่งทำให้เราเหมือนเข้าไปอยู่ในสถานการณ์จริง คล้าย ๆ เราเป็นส่วนหนึ่งของตัวละครในหนังเรื่องนี้ อารมณ์ต่าง ๆ ที่ส่งจากตัวละคร มันจึงส่งผลโดยตรงต่อผู้รับชมอย่างชัดเจนมาก ๆ

ต้องบอกว่าเป็นอีกหนึ่งในหนังสงครามคุณภาพ ที่ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่งครับ สำหรับ 1917 และเป็นหนังที่กล่าวถึงสงครามโลกครั้งที่ 1 ในแง่มุมที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน จากหนังสงครามที่เราเคยดูมาอย่างแน่นอนครับ ที่ให้ความรู้สึกดื่มด่ำและตื่นเต้นกับภาพยนตร์ เนื่องจากภาพยนตร์ทั้งเรื่องถ่ายทอดประสบการณ์ที่แปลกใหม่ ที่คุณจะไม่เคยได้พบเจอมาก่อนนั่นเองครับ