Escape From Pretoria กับการเดินทางที่ไม่มีวันหวนกลับของ Elon Musk

หลาย ๆ ท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าตัว อีลอน มัสก์ นั้นได้เติบโตขึ้นในวัยเด็กในประเทศแอฟริกาใต้ซึ่งประเทศแอฟริกาใต้นี่เองเป็นที่ที่ มัสก์ นั้นได้หล่อหลอมเอาความคิดและนิสัยบางอย่างจากสภาพแวดล้อมรวมถึงวัฒนธรรม ที่สุดท้ายมันได้หล่อหลอมให้กลายเป็น อีลอน มัสก์ อย่างที่เราได้เห็นกันในทุกวันนี้

และหลายท่านอาจจะไม่รู้ว่า นามสกุลของ อีลอน มัสก์ นั้น นับเป็นหนึ่งในนามสกุลที่เก่าแก่ที่สุดนามสกุลนึงเลยก็ว่าได้ของประเทศอังกฤษ ซึ่งถือได้ว่า มัสก์ นั้นเป็นนามสกุลแรก ๆ ของอังกฤษ หลังจากประเทศอังกฤษได้เริ่มมีการปรับมาให้ใช้นามสกุลเพิ่มจากเดิมที่เหล่าประชากรจะมีแต่เพียงแค่ชื่อเพียงเท่านั้น ซึ่งการเกิดขึ้นของนามสกุลก็เพื่อใช้ในการจัดเก็บภาษีได้สะดวกขึ้นนั่นเอง

ถ้าจะย้อนไปถึงรากเหง้าจริง ๆ ของตระกูล มัสก์ นั้นมีข้อมูลว่าสามารถที่จะติดตามย้อนกลับไปได้ถึง ศตวรรษที่ 18 ต้นตระกูลจริง  ๆ นั้นคือ เฮนรี่ มัสก์ ที่ได้แต่งงานกับ Mary Faulkener ซึ่งทั้งสองใช้ชีวิตอยู่ในประเทศอังกฤษและมีลูกๆ  รวมทั้งสิ้น 4 คน และสืบเชื้อสายต่อเนื่องมาจนถึง อีลอน มัสก์ ในปัจจุบัน

มัสก์ มักจะถูกล้อเสมอ ๆ ในวัยเด็กเพราะชื่อที่แปลกประหลาดอย่าง อีลอน นั้นมีที่มาจากไหนซึ่งชื่อของเขามาจากคุณตาทวดที่ชื่อ จอห์น อีลอน ฮัลเดอมัน ซึ่งคุณตาทวดของมัสก์ นั้น ได้เสียชีวิตลงด้วยโรคเบาหวานซึ่งเป็นโรคร้ายแรงที่ไม่มียารักษาในขณะนั้นโดยเสียชีวิตในปี 1909

ภรรยาของ คุณตาทวด จอห์น อีลอน ฮัลเดอมัน คือ  อัลเมด้า ฮัลเดอมัน ต้องต่อสู้ดิ้นรนกับลูกชาย ซึ่งก็คือคุณตาของมัสก์ โจชัว ฮัลเดอมัน โดยหลังจากสามีได้เสียชีวิตไปก็ได้ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่ประเทศแคนาดาด้วยความเชื่อที่ว่าหากเป็นโรคเบาหวานจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้หากอยู่ในที่ที่หนาวพอซึ่งแคนาดาสามารถตอบสนองสิ่งดังกล่าวได้ดี

ซึ่งต้นแบบหลักของมัสก์ก็น่าจะเป็นคุณตาของเขาอย่าง โจชัว ฮัลเดอมัน นี่เองที่เป็นผู้ชายแหวกแนวที่มีความโดดเด่นอย่างมากซึ่งเป็นต้นแบบที่สำคัญของมัสก์ต่อมา

โจชัว ฮัลเดอมัน คุณตาผู้เป็นต้นแบบนิสัยหลายอย่างของ มัสก์ (CR:Bloomberg)
โจชัว ฮัลเดอมัน คุณตาผู้เป็นต้นแบบนิสัยหลายอย่างของ มัสก์ (CR:Bloomberg)

โจชัว คุณตาของมัสก์ นั้นทำงานได้หลายอย่างและยังมีทักษะในหลาย ๆ เรื่องเช่น การต่อยมวย การเล่นมวยปล้ำ การยิงปืน การไต่เชือก เรียกได้ว่าเป็นคนที่มีความสามารถหลากหลายเลยทีเดียวในขณะนั้น 

คุณตา โจชัว ได้แต่งงานกับ วีน ครูสอนในสตูดิโอเต้นรำชาวแคนาดาในปี 1948 โดยมีลูกด้วยกัน 5 คน และสองในห้า นี้เป็นฝาแฝดคือ เคย์ และ เมย์ ซึ่งก็คือแม่บังเกิดเกล้าของอีลอน มัสก์ ในภายหลังนั่นเอง

คุณตา โจชัว เป็นคนโลดโผนและใช้แนวคิดแบบเสรีนิยมในการเลี้ยงลูก ๆ ของเขา เขาชอบขับเครื่องบินในตอนนั้นเขาได้เปิดคลินิกไคโรแพรกติกซึ่งเป็นคลินิกแพทย์ทางเลือกที่มีความนิยมในสมัยนั้นเป็นอย่างมาก

แต่ในปี 1950 ชีวิตของคุณตา โจชัว และครอบครัวก็ต้องออกผจญภัยอีกครั้งเพราะคุณตาเบื่อกับระบบราชการแคนาดาที่ชอบมาก้าวก่ายชีวิตการทำงานของเขาและนิสัยรักการผจญภัยของเขารวมถึงเขาก็มีแนวคิดที่จะนำเอาคลินิกไคโรแพรกติกไปเผยแพร่ในประเทศอย่างแอฟริกาใต้อีกด้วย เขาจึงพาครอบครัวทั้งหมดออกเดินทางไปแอฟริกาใต้ ที่ๆ พวกเขาไม่เคยไปมาก่อนเลยด้วยซ้ำ

วีรบุรุษ วินสตัน เชอร์ชิล

สำหรับเมืองในแอฟริกาใต้ ที่ โจชัว ต้องการจะไปอาศัยนั้นเขายังไม่ได้ตัดสินใจตั้งแต่แรกเขาทำการบินด้วยเครื่องบินส่วนตัวของเขาสำรวจดูเมืองต่าง ๆ ทั่วแอฟริกาใต้ จนสุดท้ายมาปักหลักอยู่ที่เมือง พริทอเรีย นอกกรุงโจฮันเนสเบิร์ก 

ถ้าเปรียบเทียบชีวิตของอีลอน มัสก์ ตอนเด็กสมัยที่อาศัยอยู่ในเมือง พริทอเรีย ของแอฟริกาใต้ เขาแทบดูจะไม่มีความสุขกับการใช้ชีวิตในเมืองนี้เลยด้วยซ้ำอาจจะกล่าวได้ว่าเมืองแห่งนี้มันเหมือนคุกสำหรับกักขัง อีลอน มัสก์ ให้เขาแทบจะต้องเก็บตัวอยู่คนเดียว แต่เมืองแห่งนี้มันได้หล่อหลอมนิสัยบางอย่างของเขาซึ่งเป็นคุณลักษณะสำคัญของผู้ที่ประสบความสำเร็จมากมายนั่นคือนิสัยรักการอ่าน

อดีตนายกรัฐมนตรีผู้ยิ่งใหญ่ของอังกฤษอย่าง วินสตัน เชอร์ชิล  เมื่อเขาหันเหชีวิตเข้าสู่การเมืองครั้งแรกเขาลงสมัครรับเลือกตั้งในตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง

ทั้งนี้เชอร์ชิลเพิ่งมีอายุ 25 ปี และไม่มีใครรู้จัก เขาจึงได้หันกลับมาสู่ปืนและปากกาอีกครั้งหนึ่ง ในปีนั้นเองสงครามบัวร์ได้เริ่มปะทุขึ้น สงครามดังกล่าวเป็นการรบระหว่างกองทัพอังกฤษและชาวดัตช์ผู้ไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในดินแดนแอฟริกาใต้

ฉนวนสงครามเกิดขึ้นเมื่อมีการค้นพบแหล่งแร่มีค่า เช่น ทองคำและเพชร รัฐบาลอังกฤษจึงได้มีความคิดที่จะเข้าครอบครองดินแดนดังกล่าว เขามองเห็นช่องทางในการที่จะทำในสิ่งที่ตนรักคือการเขียนหนังสือ เขาจึงตกลงกับหนังสือพิมพ์ Morning Post เพื่อที่จะติดตามข่าวเรื่องนี้โดยเขาได้นั่งรถไฟไปกับกองทหารอังกฤษแต่ขบวนรถไฟดังกล่าวถูกโจมตีอย่างหนักจากทหารชาวบัวร์

เมื่อเกิดวิกฤตเช่นนี้เขาก็ได้สร้างวีรกรรมคือรับอาสาฝ่ากระสุนปืนของพวกบัวร์ไปเคลื่อนย้ายตู้รถไฟที่ขวางทางอยู่ ทำให้ขบวนรถที่เต็มไปด้วยทหารที่บาดเจ็บสามารถผ่านออกจากสนามรบไปได้อย่างปลอดภัย อย่างไรก็ดีทหารอังกฤษอีก 52 นาย รวมทั้งตัวเขาเองถูกจับเป็นเชลยทั้งหมด

เขาถูกคุมขังประมาณ 1 เดือนด้วยความอัดอั้นตันใจแม้เขาจะไม่ได้ถูกทรมานใดๆ แต่การต้องมาทนอยู่เฉยๆ เป็นเหมือนการทำให้เขาเสียเวลาในการแสวงหาชื่อเสียงไปโดยเปล่าโดยที่เขายังไม่รู้ว่าขณะเดียวกันนั้นหนังสือพิมพ์พากันประโคมข่าวถึงเขาและคนอังกฤษกำลังสวดมนต์อ้อนวอนขอให้พระเจ้าคุ้มครองให้แก่วีรบุรษเชอร์ชิลผู้ซึ่งอยู่ระหว่างการคุมขัง

ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1899 เขาได้หลบหนีออกมาจากที่คุมขัง ท่ามกลางกองกำลังพลของทหารชาวบัวร์จำนวนมากมายมหาศาล เขาสามารถหนีกลับมาที่กองทัพอังกฤษได้อย่างปลอดภัย และเมื่อกองทหารอังกฤษบุกเข้ายึดกรุงพริทอเรีย เชอร์ชิลก็ได้เป็นผู้ขี่ม้านำหน้าใครๆ เข้าไปฉีกธงของพวกบัวร์ที่ปักไว้หน้าคุกที่เคยกักขังเขาไว้ทิ้ง

เชอร์ชิล ในสมัยที่หนีออกจากคุกในเมือง พริทอเรีย ได้สำเร็จ (CR:All About History)
เชอร์ชิล ในสมัยที่หนีออกจากคุกในเมือง พริทอเรีย ได้สำเร็จ (CR:All About History)

หลังจากนั้นเขาได้เดินทางกลับมายังประเทศอังกฤษ และได้รับการต้อนรับอย่างใหญ่โตในฐานะวีรบุรุษของชาติ เขาได้เข้าสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้งและประสบความสำเร็จ โดยได้รับเลือกให้เป็นผู้แทนราษฎรนับว่าเป็นจุดเริ่มต้นในชีวิตบนเส้นทางการเมืองอันยาวนานและยิ่งใหญ่ของเขานั่นเอง

ซึ่งจะว่าไปแล้วเส้นทางชีวิตของ วินสตัน เชอร์ชิล ในเมืองพริทอเรียมันก็แทบจะคล้ายกับ อีลอน มัสก์ ประสบพบเจอตอนใช้ชีวิตอยู่ในเมืองพริทอเรียแห่งแอฟริกาใต้

ในวัย 6 ขวบ ในงานปาร์ตี้ครั้งนึงที่บ้านของญาติเขาในเมือง พริทอเรีย ด้วยความที่ มัสก์ นั้นได้ถูกห้ามจากแม่ของเขาไม่ให้ไปงานปาร์ตี้ที่บ้านญาติของเขา

เขาไม่เห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าวเขาจึงได้วางแผนที่จะหนีไปจากบ้านเพื่อไปยังงานปาร์ตี้ ซึ่งความคิดแรกของ มัสก์นั้นเขาก็อยากที่จะปั่นจักรยานไปแทนที่จะเดินซึ่งเป็นระยะทางที่ยาวไกล 

แต่ เมย์ แม่ของมัสก์ ได้หลอกกับเขาว่าการที่จะขับรถจักรยานได้นั้นต้องมีใบขับขี่และตำรวจจะจับหากยังดื้อด้านที่จะขับรถจักรยานออกไปข้างนอกซึ่ง มัสก์ นั้นมีทางเลือกเดียวที่ต้องเดินข้ามเมือง พริทอเรีย ที่ต้องใช้ระยะทางกว่า 10 ไมล์ ( 16 km) เพื่อไปยังที่จัดงานปาร์ตี้

มันเป็นเส้นทางเดียวกับที่ เชอร์ชิล หนีออกจากคุก ซึ่งเชอร์ชิล นั้นได้แต่เฝ้ามองทิศผ่านดวงดาวเพื่อหนีออกไปจาก พริทอเรีย ให้ได้แต่มัสก์เด็กน้อยวัย 6 ขวบ ที่ตอนนั้นถือได้ว่าเป็นนักอ่านตัวยง

มัสก์ ได้อ่านสัญญาณจราจรบนถนนเพื่อเดินทางไปยังปาร์ตี้ให้ได้ เขาเดินผ่านตึกยุคโบราณที่มีอยู่เต็มเมืองพริทอเรีย ซึ่งต้องใช้เวลากว่า 4 ชม. กว่าจะถึงสถานที่จัดงานปาร์ตี้ดังกล่าว

และมันเป็นจังหวะที่ เมย์ แม่ของเขาเห็นเข้าพอดีซึ่งมัสก์นั้นไม่ได้รับอนุญาติให้มางานดังกล่าว ทางเดียวที่เขาทำได้ในตอนนั้นคือ หนี!!! และมัสก์ ก็หนีโดยการปีนต้นไม้ขึ้นไปอย่างรวดเร็วซึ่งเป็นทางเลือกที่หนูน้อยมัสก์คิดออก ณ ขณะนั้น 

เมย์ แม่บังเกิดเกล้าของ อีลอน มัสก์ (CR:Reddit)
เมย์ แม่บังเกิดเกล้าของ อีลอน มัสก์ (CR:Reddit)

มัสก์ อยู่บนต้นไม้ไม่ยอมลงมาจนแม่เขาต้องสัญญาว่าจะไม่ทำโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้น เขาลงมาพร้อมความรู้สึกเบื่อหน่ายและต้องกลับบ้านเหมือนที่เขาต้องทำทุก ๆ ครั้ง เพราะที่พริทอเรียมันคือคุกดี ๆ สำหรับมัสก์นั่นเอง

ที่ พริทอเรีย มัสก์ แทบจะไม่มีเพื่อน เวลาส่วนใหญ่ในการใช้ชีวิตที่แอฟริกาใต้ คือ เล่นกับลูกพี่ลูกน้องของเขา หรือ อ่านหนังสือ หรือสิ่งสุดท้ายที่เขาจะทำก็คือการดูทีวีเพราะเขาเกลียดรายการทีวีที่นี่เป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้มัสก์มีนิสัยเบื่อง่ายเป็นอย่างมาก

นักอ่านตัวยง

แต่สิ่งนึงที่เขาชอบที่สุด ก็คือ การอ่านหนังสือ มัสก์อ่านทุกอย่างที่อ่านได้เพื่อเป็นการแก้เบื่อของเขาในการใช้ชีวิตที่นี่ เขาสามารถใช้เวลากับหนังสือเล่มโปรดกว่า 10 ชม.ต่อวัน เขาอ่านหนังสือได้มากมาย บางครั้งสามารถอ่านหนังสือเล่มใหญ่ ๆ ได้ 2 เล่มภายในวันเดียวเลยด้วยซ้ำ

เขามักจะไปฝังตัวอยู่ที่ร้านหนังสือเป็นประจำ มันเหมือนโลกทั้งใบของเขาคือโลกของการอ่านหนังสือนี่เอง  บางครั้งการไปฝังตัวที่ร้านหนังสือของเขานานจนเจ้าของร้านต้องมาไล่ให้เขากลับบ้าน แม้กระทั่งยามที่ทานอาหารมือค่ำหากมีอาหารที่ไม่น่าสนใจนักเขาก็มักจะพกหนังสือมานั่งอ่านบนโต๊ะอาหารด้วย

หนังสือที่เขาชอบนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องราวของฮีโร่ที่มากอบกู้โลกหรือหนังสือที่เกี่ยวข้องกับการผจญภัย มีหลาย ๆ เล่มที่น่าสนใจ มัสก์ ได้อ่านมาหมดแล้วไม่ว่าจะเป็น The Lord of the Rings by J.R.R Tolkien , everything by Jules Verne , the Foundation Series by Isaac Asimov หรือ everything by Robert Heinlein และอีกมากมาย

หนังสืออย่าง everything by Jules Verne นั้นทำให้ มัสก์ สนใจเรื่องฟิสิกส์รวมถึงเรื่องของสิ่งที่เป็นอนาคต เช่น เรือดำน้ำ , ยานอวกาศ  การเดินทางไปในอวกาศ ซึ่งล้วนแล้วเป็นที่มาในความสนใจของเขาที่สุดท้ายแล้วมาสร้างบริษัท SpaceX แทบจะทั้งสิ้น

ซึ่งหลายปีต่อมาเขาก็ชอบอ่านประวัติบุคคลสำคัญไม่ว่าจะเป็น Benjamin Franklin หรือแม่กระทั่งประวัติของ สตีฟ จ็อบส์ เขาก็สนใจเรื่องจิตวิญญาณในการเป็นผู้ประกอบการของผู้ที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจเหล่านี้

การ์ตูนก็เป็นสิ่งที่เด็กทุกคนสนใจซึ่งมัสก์เองก็เหมือนเด็กทั่ว ๆ ไป เขาไล่อ่านการ์ตูนหลาย  ๆ เรื่องตั้งแต่ Batman ไปจนถึง Iron Man ซึ่งสุดท้ายหลายๆ สื่อได้ยกเขาเปรียบเสมือน Iron Man ในโลกแห่งความจริงเลยด้วยซ้ำ

ซึ่งหลังจากอ่านการ์ตูนจนไม่มีอะไรจะให้เขาอ่านแล้วนั้น เขาก็เริ่มสนใจไปอ่านหนังสืออย่าง Encyclopedia Britannica ซึ่งแม่ของเขายังตกใจว่า มัสก์ นั้นสามารถจดจำเนื้อหาส่วนใหญ่ของ encyclopedia หลังจากอ่านจบ พี่สาวของเขาทอสก้าได้ให้ฉายากับมัสก์ว่า “genius boy” เพราะทึ่งในความสามารถในการจดจำทุกสิ่งทุกอย่างของมัสก์

ครูของมัสก์นั้นก็คิดไม่ต่างจากพี่สาวของเขา  แม้มัสก์จะเป็นคนเงียบแต่ก็มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร เป็นอัจฉริยะด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ และเป็นคนที่รักคอมพิวเตอร์มาตั้งแต่เด็ก

แต่ตัวมัสก์เองนั้นก็ไม่ได้เป็นที่รักของเพื่อน ๆ ร่วมชั้นเสียทีเดียว เพราะเขาต้องการที่จะพิสูจน์ตัวเองว่าเขานั้นฉลาดกว่าใครเพื่อน และความฉลาดของเขานั้น เขาก็ต้องการจะช่วยเพื่อน ๆ ด้วย แต่ส่วนใหญ่เพื่อน ๆ จะไม่ค่อยเข้าใจกับความหวังดีของมัสก์ในลักษณะนี้มันทำให้เขาดูแปลกในสายตาเพื่อน ๆ ตั้งแต่เด็ก

เขาไม่ค่อยสุงสิงกับเพื่อนสักเท่าไหร่มักจะไปขลุกอยู่ในห้องสมุดของโรงเรียนเสียมากกว่า ในขณะที่เพื่อน ๆ ต่างเล่นสนุกกันซึ่งนิสัยเหล่านี้นั้น จะเห็นได้ว่าจะคล้ายกับเหล่านักธุรกิจทางด้านเทคโนโลยีที่ประสบความสำเร็จมาแล้วทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น สตีฟ จ็อบส์ หรือ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก

มันเป็นช่วงเวลาที่ใช้ชีวิตได้ลำบากมาก ๆ สำหรับเด็กน้อยยอดอัจฉริยะอย่าง อีลอน มัสก์ ซึ่งชีวิตในวัยเด็กก็ส่งผลสำคัญต่อมัสก์เป็นอย่างมาก มันเป็นชีวิตที่น่าเบื่อของเขามาก ๆ กับการใช้ชีวิตในแอฟริกาเขามักถูกรังแกจากเพื่อนร่วมชั้นอยู่เสมอ แต่มันไม่มีทางเลือกสำหรับเด็กที่ต้องตื่นเช้าและไปโรงเรียนเขาเกลียดชีวิตในวัยเด็กของตัวเองเป็นอย่างมาก

และมันได้ส่งผลต่อชีวิตในครอบครัวของเขา การที่เขาเป็นเด็กที่ฉลาดมากบางครั้งทำให้ไม่ค่อยเชื่อฟังสิ่งที่พ่อแม่พูด เขามักจะถามหาเหตุผลในทุก ๆ เรื่อง คำว่า Why? นั้นคือประโยคที่เขามักพูดกับแม่เขาบ่อย ๆ เพราะเขาเป็นคนที่รู้เยอะมากจากการอ่าน บางครั้งหากพ่อแม่สอนอะไรผิด ๆ เขาก็มักจะสวนกลับไปทันทีและไม่มีท่าทีรดราวาศอกเขาจะเถียงจนกว่าแม่เขาจะยอมแพ้ไปเท่านั้น

มัสก์ในวัยเด็กที่เมืองพริทอเรีย (CR:ilovetesla)
มัสก์ในวัยเด็กที่เมืองพริทอเรีย (CR:ilovetesla)

สู่โลกคอมพิวเตอร์

จุดเปลี่ยนที่สำคัญของ มัสก์ คือ การได้พบเจอกับโลกใหม่คือคอมพิวเตอร์ เขาได้พยายามสะสมเงินเพื่อซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนตัวเครื่องแรกของเขาอย่าง Commodore VIC-20 ซึ่งแน่นอนสำหรับเด็ก ๆ มันใช้สำหรับเล่นเกมส์นั่นเอง

มัสก์ต้องการสร้างเกมส์ของตัวเอง เขาจึงได้พยายามเรียนรู้ที่จะทำการฝึกเขียนโปรแกรม เขาจึงได้ไปลงเรียนในคลาส computer programming ซึ่งในปี 1983 ในขณะที่เขาอายุได้ 12 ปีนั้น เขาสามารถสร้างเกมส์และขายไปยังนิตยสารที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ได้ถึง 500 เหรียญ เขาติดต่อผา่น mail ง่าย ๆ ไปยังนิตยสารเพื่อต้องการขายเกมส์ที่เขาสร้างขึ้นมา ซึ่งเกมส์แรกที่เขาสร้างขึ้นคือ “Blaster” 

เป็นการเอาแนวคิดเกมส์อาเขต ที่เขาชอบอย่าง Asteroids และ Space Invaders มารวมร่างกันซึ่งจากผลงานชิ้นแรก นั้นทำให้เขาเป็นที่ยอมรับจากนิตยสาร เขาก็สามารถสร้างเกมส์อื่น ๆ ขายได้อีกในภายหลัง

ตอนอายุได้ 17 ปี มัสก์ ต้องการที่จะออกจากแอฟริกาไปยังแคนาดา หนึ่งในเหตุผลหลักคือเขาไม่ต้องการที่จะเข้าไปเกณฑ์ทหาร มัสก์นั้นอยากเข้าเรียนมหาลัยให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ 

เขาต้องการหนีจากแอฟริกาใต้มานานมากแล้ว ที่นี่เปรียบไปก็ไม่ต่างจากคุกสำหรับคนอย่างเขา ความหลงไหลในคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยี และความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของเขาเป็นแรกผลักให้เขาต้องออกจากแอฟริกา แคนาดานั้นเป็นแค่ที่พักชั่วคราวเท่านั้นเพราะเขามีบรรพบุรุษเป็นชาวแคนาดา 

เขาเริ่มเติบโตขึ้นอีกขั้น เขาเป็นผู้ใหญ่ที่พร้อมที่จะไปแสวงโชคที่ดินแดนแห่งเสรีภาพ เป้าหมายอันแรงกล้าของเขาคือ  ซิลิกอน วัลเลย์ สถานที่บ่มเพาะผู้ประกอบการหน้าใหม่ มันชัดเจนว่าเขามีจิตวิญญาณที่จะเป็นผู้ประกอบการที่ยิ่งใหญ่ได้ บวกกับความฉลาดเป็นกรด เขาแค่ต้องเรียนให้จบมหาลัยเท่านั้น และตั๋วเดินทางไปแคนาดามันพร้อมแล้วซึ่งมันจะเป็นการเดินทางจากบ้านไปอย่างไม่มีวันหวนกลับสำหรับชายที่ชื่อ อีลอน มัสก์ ในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม

References :
หนังสือ Elon Musk Tesla ,SpaceX , and the Quest for a Fantastic Future เขียนโดย Ashlee Vance
หนังสือ The Engineer : Follow Elon Musk on a journey from South Africa to Mars โดย Erik Nordeus
หนังสือ จากรถยนต์ไฟฟ้า Tesla สู่อาณาจักรนิคมบนดาวอังคาร เรื่องราวชีวิตของผู้ประกอบการที่อาจหาญที่สุดในยุคของเรา!
ผู้เขียน Ashley Vance (แอชลี แวนซ์)
ผู้แปล จินดารัตน์
https://www.ndtv.com/offbeat/at-17-elon-musk-had-to-be-retested-for-computer-aptitude-because-2382598

FLS Group ฉลองความสำเร็จครบรอบ 30 ปีในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์

FLS Group ผู้นำด้านโซลูชันซัพพลายเชนระดับโลก ได้มีการประกาศถึงความสำเร็จตลอด 30 ปี โดยที่บริษัทเริ่มต้นมาจากไอเดียเล็กๆ กลายมาเป็นสำนักงานเล็กๆ ที่กรุงเทพ ในปี พ.ศ. 2536 และเติบโตมาเป็นองค์กรที่ได้รับการยอมรับและเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์

โดยจุดแข็งที่ทำให้บริษัทเติบโตอย่างมั่นคงได้ก็คือการไม่หยุดพัฒนาบริษัทและด้วยความมุ่งมั่นที่แน่วแน่ในการที่จะเป็นผู้นำของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์  FLS Group มีคำสัญญาจากว่า “We keep the world moving” หรือ “เราจะขับเคลื่อนโลกของเรา” ถือเป็นพันธกิจในการจัดหาโซลูชันซัพพลายเชนที่ดี ซึ่งออกแบบตามความต้องการของลูกค้า และโซลูชันระดับเฟิร์สคลาส แม้จะเป็นพื้นที่ที่ดูว่าจะเป็นไปไม่ได้

คุณ Martin Haeberli ประธานบริษัท FLS Group กล่าวว่า: ตอนที่ผมเริ่มก่อตั้ง FLS ผมมาในฐานะผู้สืบทอดโครงการเมื่อปี พ.ศ. 2536 โดยความท้าทายที่ต้องเผชิญในช่วงนั้น คือการที่บริษัทยังมีลูกค้ามาใช้บริการน้อย แม้โดยส่วนตัวผมมีประสบการณ์ด้านนี้มากว่า 20 ปีแล้วก็ตาม แต่สถานการณ์ตอนนั้นทำให้ผมรู้สึกท้อแท้และคิดว่าอาจจะต้องใช้เวลานานมากในการสร้างคอนเนคชันตั้งแต่ต้นกับ ลูกค้า ตัวแทน และซัพพลายเออร์

หลักจากผ่านการลองผิดลองถูกและล้มเหลวมาแล้วมากมาย แต่ในช่วงเวลานั้นเราก็ค่อยๆ สร้างให้ตัวเรากลายเป็นคู่แข่งในตลาดที่แข็งแกร่งได้ และด้วยทัศนคติที่เรายึดมั่นอย่างจริงจังคือการไม่ยอมแพ้ หลังจากฝ่าฟันอุปสรรคมาหลายปี ทางเราก็ประสบความสำเร็จในสิ่งที่เราเฝ้าตามหามาตลอดในปี พ.ศ. 2541 ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ที่ทำให้เราไม่กลับไปอยู่ในจุดเดิมอีกเลย

การทำธุรกิจของเราหลังจากนั้นเต็มไปด้วยความตื่นตาตื่นใจ ปริมาณสินค้า รายได้ และผลกำไรต่างพุ่งสูงขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน จนมาปี พ.ศ. 2550 ผมรู้งานกำลังเข้ามาเยอะมากและล้นมือแล้วผมจึงได้ชักชวนคุณ Torbjörn Larisch มาเป็นมือขวาของผม และนั่นนับว่าเป็นการตัดสินใจที่ดีมากๆ ครั้งหนึ่งในชีวิตของผมเลย ด้วยศักยภาพของคุณ Torbjörn ผมให้มาเป็นหุ้นส่วนของบริษัท และก็กลายมาเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทถึงปัจจุบัน

คุณ Torbjörn Larisch ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท FLS Group กล่าว “ย้อนกลับไปในตอนนั้นเมื่อ คุณ Martin ขอให้ผมเข้าร่วมงานที่ FLS  ผมก็ตอบกลับไปทันทีว่า ได้อยู่แล้ว ซึ่งจริงๆ ผมเองก็ประทับใจ คุณ Martin มานานแล้ว ทั้งความกระตือรือร้นของเขาและสไตล์การบริหารที่ลงมือปฎิบัติจริง

แน่นอนผมมองเห็นอะไรบางอย่างในตัวเขา จึงทำให้ผมสามารถตอบตกลงได้ทันทีกับการร่วมมือทำงานกับบริษัทขนาดเล็กที่เต็มไปด้วยแพชชันแห่งนี้ เราพบเจอกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทำให้รู้ว่าเราจำเป็นต้องกระจายความเสี่ยง โดยการขยายธุรกิจเพื่อที่จะทำให้ธุรกิจพร้อมรับกับทุกสถานการณ์

ดังนั้นในที่สุด เราได้พัฒนาแผนกส่งต่อ คลังสินค้า และการค้า ซึ่งนอกเหนือจากธุรกิจเดิมและเราได้เปิดสำนักงานใหม่และได้สำรวจตลาดใหม่ทั่วโลกอีกด้วย ผมต้องขอขอบคุณทีม FLS มาก ที่สนับสนุนผมมาโดยตลอด ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นอะไรที่สำคัญของความสำเร็จของเรา เมื่อมองไปข้างหน้า เรายังคงยึดมั่นในค่านิยมหลัก ซึ่งก็คือเราจะทุ่มเทเพื่อแก้ไขปัญหาด้านโลจิสติกส์ และรู้สึกดีใจที่จะขยายธุรกิจของเราต่อไป ไม่มีอะไรที่จะหยุดยั้งไม่ให้สำเร็จได้”

เนื่องในโอกาสครบรอบ 30 ปีของ FLS Group ทางบริษัทได้สนับสนุนชุมชนในประเทศไทยผ่านมูลนิธิช้างเพชร ซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร องค์กรนี้ก่อตั้งเมื่อ 6 ปีที่แล้ว โดยคุณ Martin และ คุณ Torbjörn ซึ่งมูลนิธิยังคงระดมทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อเด็กที่ด้อยโอกาส โดยมีความมุ่งมั่นที่จะช่วยสถานสงเคราะห์เด็กวัดทุ่งเหียงในจังหวัดชลบุรี ประเทศไทย เพื่อมอบบ้านที่ดีให้กับเด็กด้อยโอกาสจำนวน 300 คน ทั้งนี้ เงินทุนทั้งหมดที่ได้มาจะถูกจัดสรรอย่างถูกต้อง เพราะว่าโครงสร้างพื้นฐานหรือสิ่งที่ FLS Group ทำได้นั้น ทาง FLS Group จะเป็นผู้จัดการตรงนี้ให้เองโดยไม่มีค่าใช้จ่าย

นอกจากนี้ ปัญหาสภาวะแวดล้อมของโลกก็เป็นสิ่งที่ FLS Group ให้ความสำคัญ โดยทางบริษัทภูมิใจที่ประกาศการร่วมมือที่กำลังจะเกิดขึ้นกับ Ecomatcher ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำการปลูกต้นไม้ทั่วโลก โดยโครงการนี้ได้สะท้อนถึงแนวคิดการดำเนินธุรกิจของทาง FLS Group ในการมีความรับผิดชอบต่อสังคม หรือ Corporate Social Responsibility

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ FLS Group รวมถึงนวัตกรรมและกิจกรรม www.fls-group.com/news.

Geek Daily EP200 : เจาะลึกแผนของ Google เพื่อหยุดยั้ง Apple ไม่ให้จริงจังกับธุรกิจการค้นหา

เป็นเวลาหลายปีแล้วที่ Google กำลังจับตามองด้วยความกังวลที่เพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ Apple กำลังปรับปรุงเทคโนโลยีการค้นหาของตนเอง โดยพวกเขาแทบไม่รู้ว่าในที่สุดพันธมิตรที่เก่าแก่และบางครั้งเองก็เป็นคู่แข่งที่สำคัญจะสร้างเครื่องมือค้นหาของตัวเองหรือไม่

ความกังวลเหล่านี้เริ่มทวีความรุนแรงขึ้นในปี 2021 เมื่อ Google ต้องจ่ายเงินให้ Apple ประมาณ 18 พันล้านดอลลาร์เพื่อให้เครื่องมือค้นหาของ Google เป็นตัวเลือกเริ่มต้นบน iPhone  และในปีเดียวกันนั้นเอง Spotlight เครื่องมือค้นหาในผลิตภัณฑ์เรือธงอย่าง iPhone ของ Apple ได้เริ่มแสดงผลการค้นหาเว็บที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้นแก่ผู้ใช้ เช่นเดียวกับที่พวกเขาคุ้นเคยใน Google

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/4cm7rr3s

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/mvw53bwv

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
https://tinyurl.com/ydjuwbfu

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/2ub4dwue

🎧 ฟังผ่าน Youtube : 
https://youtu.be/bCSJmCofbK0

มาสด้าเผยโฉม ‘MAZDA ICONIC SP’ รถต้นแบบสปอร์ตคอมแพ็คคาร์

มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น เผยโฉมรถ MAZDA ICONIC SP หรือคอนเซ็ปต์คาร์รุ่นใหม่ล่าสุดเป็นครั้งแรกในงาน Japan Mobility Show 2023*

MAZDA ICONIC SP เป็นรถต้นแบบใหม่ล่าสุด ภายใต้สปอร์ตคอมแพ็คคาร์คอนเซ็ปต์ ที่ได้รับการออกแบบเพื่อให้เข้ากับยุคสมัยใหม่และตอบโจทย์ลูกค้าที่ “รักในรถยนต์” และ “ปรารถนาที่จะครอบครองรถยนต์ที่สามารถถ่ายทอดความสุขในการขับขี่”

โดยคอนเซ็ปต์คาร์รุ่นนี้มาพร้อมกับเครื่องยนต์โรตารี แบบ 2 โรเตอร์ พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า (Two-rotor Rotary EV System) อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะมาสด้าที่ยังคงมีขนาดกะทัดรัด จึงทำให้มีความยืดหยุ่นสูงในเรื่องการจัดวางพื้นที่ของห้องเครื่องยนต์ ซึ่งช่วยให้รถต้นแบบคันนี้มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำและให้สมรรถนะในการขับขี่ดีขึ้น

โดยแบตเตอร์รี่จะถูกชาร์จด้วยพลังงานแบบย้อนกลับและจากเครื่องยนต์โรตารีแบบ 2 โรเตอร์ ที่ใช้ในการผลิตพลังงาน ซึ่งเป็นพลังงานที่ไม่ก่อให้เกิดคาร์บอน นอกจากนี้ ภายนอกของตัวรถยังมาพร้อมกับสีแดง VIOLA ซึ่งเป็นสีต้นแบบใหม่ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นจากปรัชญาของมาสด้าในการ “ยกระดับประสบการณ์ความสุขในการขับขี่และการใช้ชีวิตในทุกด้านให้กับลูกค้าทุกคน” ซึ่งเป็นความปรารถนาในการเชิดชูสีแดงอันเป็นสีเอกลักษณ์เฉพาะของมาสด้า

มร. มาซาฮิโระ โมโร่ ผู้อำนวยการตัวแทนจากมาสด้า, ประธาน และ CEO กล่าวว่า “มาสด้าจะส่งมอบรถยนต์ที่เป็นเสมือนสิ่งย้ำเตือนให้กับผู้คนอยู่เสมอว่า รถยนต์คือความสุขที่แท้จริงและเป็นส่วนสำคัญในชีวิตของพวกเขา

นอกจากนี้ ในฐานะที่มาสด้าเป็นบริษัทที่รักในรถยนต์ และต้องการเสริมสร้างประสบการณ์ในการเดินทางให้กับผู้คนอย่างไม่รู้จบ เราจึงมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์อนาคตร่วมกับพันธมิตร และแฟนๆ ของเราที่มีจุดมุ่งหมายร่วมกัน เพื่อให้ทุกคนสามารถพูดได้อย่างภาคภูมิใจว่า ‘เรารักรถยนต์’ และเพื่อตอบสนองต่อความปรารถนานี้ มาสด้าจึงมุ่งมั่นที่จะยกระดับประสบการณ์ความสุขในทุกการขับขี่ และการใช้ชีวิตในทุกด้านให้กับลูกค้าทุกคน”

มาสด้าจะยังคงส่งมอบ ‘ความสุขในการขับขี่’ ต่อไป ภายใต้คุณค่าหลักในการให้ความสำคัญกับยึดมั่นปรัชญา ‘มนุษย์เป็นศูนย์กลาง’ และยังคงงมั่นที่จะส่งมอบ ‘ความสุขในการใช้ชีวิต’ ด้วยการสร้างสรรค์ประสบการณ์การขับขี่ในชีวิตประจำวันให้กับลูกค้าทุกคน

  • ข้อมูลสรุปเกี่ยวกับ MAZDA ICONIC SP
  • มาสด้าสร้าง “เฟรมเวิร์ค” ซึ่งเป็นพื้นฐานของการสร้างแบบจำลองให้ได้สัดส่วนที่มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ เพื่อให้รถรุ่นนี้มีสมรรถนะการขับขี่ที่ยอดเยี่ยม โดยแนวคิดในการติดตั้งเครื่องยนต์โรตารีที่มีน้ำหนักเบาและมีขนาดกะทัดรัดไว้ตรงกลางตัวรถนั้นช่วยส่งผลให้ได้ฝากระโปรงหน้าต่ำลง
  • เครื่องยนต์โรตารีแบบ 2 โรเตอร์ พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า (Two-rotor Rotary EV System) เป็นเครื่องยนต์โรตารีประสิทธิภาพสูงแบบ Scalable สามารถเผาไหม้เชื้อเพลิงได้หลากหลายประเภท เช่น ไฮโดรเจน และสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยเชื้อเพลิงที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน นอกจากนี้ เมื่อชาร์จแบตเตอรี่ด้วยพลังงานแบบย้อนกลับ ก็จะทำให้สามารถขับขี่ได้ในสภาวะที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน
  • พละกำลังการขับเคลื่อนที่มีประสิทธิภาพสูงเกิดจากเครื่องยนต์โรตารี แบบ 2 โรเตอร์ พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า (Two-rotor Rotary EV System) มีสัดส่วนของจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำกว่า และมีการกระจายน้ำหนักแบบ 50:50 ทำให้ได้สมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยม แม้ว่าคอนเซ็ปต์คาร์รุ่นนี้จะเป็นรถสปอร์ตแต่ก็สามารถจ่ายพลังงานได้อย่างเต็มที่ ในขณะที่ผู้ขับขี่ยังคงเพลิดเพลินกับกิจกรรมกลางแจ้ง หรือแม้กระทั่งในสถานการณ์ฉุกเฉิน
  • สีภายนอก “VIOLA RED” ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นตามความปรารถนาของมาสด้าที่จะ “เชิดชูสีแดง” และสอดคล้องกับปรัชญาในการ “ยกระดับประสบการณ์ความสุขในการขับขี่ และการใช้ชีวิตในทุกด้านให้กับลูกค้าทุกคน” โดยมุ่งเน้นไปที่สีสันที่สดใส แต่ในขณะเดียวกันก็ให้เน้นให้เห็นถึงความสง่างามของมิติของตัวรถ ที่เกิดจากการตกกระทบของแสงและเงาที่ถ่ายทอดลงบนตัวรถ

ข้อมูลจำเพาะเบื้องต้นของ MAZDA ICONIC SP

ความยาว x ความกว้าง x ความสูง (mm)4,180 × 1,850 × 1,150
ระยะฐานล้อ (mm)2,590
อัตราส่วน แรงม้า น้ำหนัก3.9
แรงม้าสูงสุด (PS)370
น้ำหนัก (kg)1,450

*1 Japan Mobility Show 2023 จัดขึ้นโดย สมาคมผู้ผลิตรถยนต์แห่งประเทศญี่ปุ่น โดยรอบสื่อมวลชนถูกจัดขึ้นในวันพุธที่ 25 ตุลาคม 2566 (08:00-18:00) และวันพฤหัสบดีที่ 26 ตุลาคม 2566 (08:00-13:00) และรอบบุคคลทั่วไป จัดขึ้นตั้งแต่วันเสาร์ที่ 28 ตุลาคม 2566 จนถึงวันอาทิตย์ที่ 5 พฤศจิกายน 2566

Mazda’s JAPAN MOBILITY SHOW 2023 website

https://www.mazda.co.jp/experience/event/japanmobilityshow2023/en/

ต้นกำเนิดโมเดล Freemium จากงานวิจัยมหาวิทยาลัยสู่เส้นทางธุรกิจพันล้านของ NetScape

ช่วงทศวรรษ 1990 แม้ว่าตลาดหุ้น Wallstreet นั้นจะตอบรับบริษัทเทคโนโลยีอย่างดียิ่งเป็นหุ้นกลุ่มที่ร้อนแรงที่สุดของตลาดในขณะนั้น แต่นักวิเคราะห์หลาย ๆ คนก็คิดว่ามันกำลังเริ่มที่จะร้อนแรงเกินไปเสียแล้ว มันกำลังจะเข้าสู่ภาวะฟองสบู่ เหมือนกับหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา

วันที่ 9 สิงหาคม 1995 เป็นวันที่ หุ้นของ NetScape จะถูกนำมา IPO เปิดขายให้กับสาธารณชนเป็นครั้งแรกในตลาดหุ้น Nasdaq ของอเมริกา โดย NetScape ที่สร้างโดย Marc Andreessen และ Jim Clark ที่ร่วมกันสร้างขึ้นมาจะกลายเป็นธุรกิจพันล้านใหม่ในตลาดหุ้นในวันนั้น

สิ่งที่ NetScape ได้สร้างมาเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่เปลี่ยนทุกอย่างของโลกเราไปตลอดกาล โปรแกรม Nevigator ที่ช่วยให้ผู้คนเข้าสู่ Internet นั้นถือเป็นสิ่งประดิษฐ์ชิ้นใหม่ ที่ไม่มีใครเคยได้พบเจอมาก่อน

ต้องบอกว่าในยุคนั้น หลังจาก Tim berners-lee ได้สร้างแนวคิดของ World Wide Web (WWW) ที่ให้บุคคลทั่วไปเข้ามาใช้งานได้ฟรี แต่อุปสรรคที่สำคัญก็คือ ในตอนนั้นมันยังส่งผ่านข้อมูลได้เฉพาะรูปแบบของข้อความเท่านั้น ยังไม่สามารถใช้กับภาพที่เป็น Graphic ได้

Mosaic Killer

ในช่วงปลายปี 1992 Marc และเพื่อนนักวิจัยของเขาที่ทำงานร่วมกันในศูนย์ National Center for Supercomputing Applications (NCSA) ใน University of Illinois at Urbana–Champaign ได้พัฒนาต่อยอดสิ่งที่ Tim berners-lee สร้างไว้ โดยพวกเขาได้เพิ่มส่วนที่เป็นรูปภาพและส่วนต่าง ๆ ที่จะทำให้ข้อมูลข่าวสารทาง internet สามารถเข้าได้ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งนั่นก็คือ Mosaic โปรแกรม Web Browser ตัวแรกของโลกนั่นเอง

และเมื่อ Marc เรียนจบในเดือนธันวาคมปี 1993 เขาก็ได้ถูกชักชวนให้ทำงานต่อกับ NCSA แต่ทางสถาบันดันมีข้อแม้ว่า ให้ Marc นั้นเลิกยุ่งกับโครงการ Mosaic ซึ่งเป็นแนวคิดที่ต้องการที่จะแยกตัว Marc ออกจากสิ่งประดิษฐ์ และยกความสำเร็จผลงานที่ได้ให้กับสถาบันแทนที่จะเป็นตัวผู้ประดิษฐ์นั่นเอง

และ Marc ก็ได้ปิ๊งไอเดียที่จะสร้าง Mosaic Killer ขึ้นมาซึ่งก็คือ โปรแกรม Browser ตัวใหม่ที่ดีกว่าโปรแกรม Mosaic ของเขาที่สร้างไว้ให้กับ NCSA ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับ Mosaic แล้ว และทาง NCSA ก็ต้องการสร้างธุรกิจบางอย่างจาก Mosaic อยู่ ทำให้ Marc ต้องการพิสูจน์ตัวเขาเองอีกครั้งด้วยการเอาชนะ Mosaic ให้ได้

Mosaic โปรแกรม Web Browser ตัวแรกของโลก (CR:Wired)
Mosaic โปรแกรม Web Browser ตัวแรกของโลก (CR:Wired)

แน่นอนว่าทั้ง Jim และ Marc นั้นมีเส้นทางเดินที่คล้ายคลึงกัน ที่ถูกปลดออกจากงานสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ที่พวกเขาได้คิดค้นขึ้นมา และสิ่งนี้นี่เองที่เป็นแรงผลักดันให้ทั้งสองเข้ามาสู่เส้นทางเดียวกันได้ในที่สุด

และนั่นทำให้ทั้งสองได้เริ่มต้นบริษัทใหม่กันในท้ายที่สุด แผนของ Marc คือ การว่าจ้างเพื่อนร่วมงานของเขาที่เคยร่วมเขียนโปรแกรม Mosaic เข้ามาทำงาน ซึ่งกำลังใกล้ที่จะจบการศึกษาในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่กำลังจะถึง

แต่ทั้งคู่ก็ยังไม่แน่ใจว่าบริษัทใหม่ของพวกเขาจะทำอะไรซึ่งทั้งสองรู้เพียงแค่ว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับ internet ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเพราะกระแสมันเริ่มมาแล้วในขณะนั้น

และที่สำคัญเหล่าบริษัทยักษ์ใหญ่ในขณะนั้นกำลังสนุกกับการทำเงินจากคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล Microsoft และบริษัทเทคโนโลยีอื่น ๆ ก็ยังแทบจะไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ กับเทคโนโลยีใหม่อย่าง internet เพราะตอนนั้นต้องบอกว่ายังมีคำถามอยู่มากมายว่าจะหาเงินจาก internet ได้อย่างไร

มันเป็นความแตกต่างที่ชัดเจนของอุตสาหกรรมทางด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะทางด้านคอมพิวเตอร์ที่เรื่องของประสบการณ์นั้นไม่ได้เป็นข้อได้เปรียบทางธุรกิจเสมอไป เนื่องจากบริษัทด้านเทคโนโลยีส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่ถูกผลักดันด้วยพลังของคนอายุน้อย ๆ ที่ มีมันสมอง และพลังงานที่เหลือล้น

และทีมงานคนรุ่นใหม่เหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับบริษัทเกิดใหม่ของ Jim และ Marc โดยทั้งสองได้บินด่วนไปที่ อิลลินอยส์ เพื่อไปดึงตัวเหล่าทีมงานเก่าที่เคยร่วมงานกับ Marc ที่ NCSA เพื่อรีบจูงใจทีมงานให้ได้เร็วที่สุด ก่อนที่พวกเขาจะถูกดึงตัวโดยบริษัทยักษ์ใหญ่อื่น ๆ

แม้ทีมบริหารของศูนย์ NCSA นั้นจะพยายามบอกว่ามีทีมงานที่ร่วมกันพัฒนาโปรแกรม Mosaic กว่า 40 คน แต่เมื่อ Jim ได้พบกับเพื่อน ๆ ของ Marc ก็รู้ได้ทันทีว่ามีเพียงกลุ่มคนไม่กี่คนเท่านั้นที่เป็นตัวหลักในการพัฒนาโปรแกรม Mosaic ที่ NCSA

Jim และ Marc ได้ปรึกษากันและตกลงที่จะยื่นข้อเสนอให้กับเหล่าเพื่อน ๆ ของเขา 7 คน โดยเสนอรายได้ 65,000 เหรียญ/ปี บวกกับหุ้นของบริษัทจำนวน 1 แสนหุ้น เพื่อชักจูงพวกเขาให้กลายเป็นผู้ร่วมก่อตั้งของบริษัทใหม่นี้

ทีมงานยุคก่อตั้งของ NetScape (CR:internethistorypodcast)
ทีมงานยุคก่อตั้งของ NetScape (CR:internethistorypodcast)

ซึ่งรูปแบบ Model ทางด้านการบริหารบริษัทใหม่นั้น Jim เสนอให้มูลค่าโปรแกรมจากทีมงานของ Marc ที่ 3 ล้านเหรียญ ซึ่งจะเป็นมูลค่าซอฟต์แวร์ที่มีอายุ 1 ปี ออกแบบและพัฒนาโดยทีมงาน 7 คน จากนั้นก็นำเงินจำนวน 3 ล้านเหรียญเข้ามาในบริษัทเพื่อแลกกับหุ้นจำนวน 50% ของบริษัท ซึ่งทั้งสองส่วนนี้จะถูกลดสัดส่วนลงเรื่อย ๆ เมื่อมีการจ้างงานพนักงานคนอื่น ๆ เข้ามาเพิ่มในภายหลัง

Jim มั่นใจว่าทีมงานยอดอัจฉริยะของเขาสามารถสร้างโปรแกรม Browser ที่ดีกว่า Mosaic ได้ จึงได้เลือกเช่าสำนักงานขนาดใหญ่เพื่อรองรับการขยายตัว โดยเลือกห้องเช่าขนาด 11,699 ตร.ฟุต บนชั้น 4 ของตึกแห่งหนึ่งบนถนนแคสโตร ใน Moutain View ซึ่งเป็นห้องเรียบ ๆ ง่าย ๆ มีฉากกั้นที่เคลื่อนย้ายได้ ปูด้วยพรมตลอดทั้งห้อง

โดยสถานการณ์ในตอนนั้น ศูนย์ NCSA ได้ให้ลิขสิทธิ์โปรแกรม Mosaic ไปกับบริษัทต่าง ๆ ถึง 9 ราย และผู้ใช้งาน internet กำลังเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ทีมงานของ Jim ก็ต้องเร่งทุกอย่างให้ทันก่อนที่ยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft จะมองเห็นถึงความเคลื่อนไหวในธุรกิจนี้

ต้องบอกว่าโอกาสทางธุรกิจคราวนี้ไม่ใช่แค่เพียงจุดเล็ก ๆ แต่เป็นมุมมองที่กว้างใหญ่ไพศาลมาก ๆ ของ internet ที่สถานการณ์ในตอนนั้น มีเหล่า Geek ทางด้านคอมพิวเตอร์รวมถึงนักวิทยาศาสตร์ที่ได้เคยใช้ internet เพื่อการสื่อสารมาแล้วและเริ่มเห็นถึงศักยภาพของมัน

ถือกำเนิด NetScape

เมื่อถึงเดือนกันยายน ปี 1994 ซึ่งเป็นเวลาเพียงแค่ 3 เดือนครึ่งหลังจากที่ทีมโปรแกรมเมอร์ของ Marc เริ่มทำงานในการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างจริงจัง ต้องบอกว่าเป็นช่วงเวลาที่ทีมงานของ Marc แทบจะไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน พวกเขาคุ้นเคยกับอาหารเช้ากลางดึกและการใช้บริการ Delivery สั่งพิซซ่าเข้ามาทานกันในออฟฟิศ

แน่นอนว่างานของพวกเขาเป็นงานที่หนักต้องใช้ความทุ่มเทและความอดทนค่อนข้างสูงแถมยังต้องแบกรับความกดดันเพื่อผลิตซอฟต์แวร์ให้ได้ตามความคาดหวังของทุก ๆ คนในบริษัท

ตัว Marc เองก็ยังจุดยืนเดิมของโปรแกรมที่ต้องแจกให้ผู้ใช้งานได้ใช้กันฟรี ๆ ซึ่งเป็น trend ที่เริ่มเกิดขึ้นบนโลก internet แต่ตัว Jim นั้น ก็ยังคงกังวลอยู่ว่าแล้วบริษัทจะสร้างรายได้จากโปรแกรมนี้ได้อย่างไร

แต่เขาก็ได้คิดถึงแผนการคร่าว ๆ ไว้แล้วเพราะเขามอง Browser ตัวใหม่นี้เปรียบเสมือนสื่อที่อาจจะสร้างรายได้จากค่าโฆษณา ชซึ่งหากโปรแกรมกลายเป็นที่นิยมและมีผู้ใช้งานมหาศาลก็น่าจะมีความเป็นไปได้ว่าจะขายพื้นที่โฆษณาได้ ซึ่งต้องบอกว่าในยุคนั้นการขายโฆษณาบน internet ยังไม่เคยมีปรากฏขึ้นมาก่อน

ในเดือนกันยายนนี้เองที่ Jim ได้ไปเข้าร่วมงานสัมนา inter-ops ในเมือง ลาสเวกัส และประกาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์ตัวแรกอย่างเป็นทางการ นั่นก็คือ โปรแกรม Browser ที่ถูกเรียกชื่อว่า “NetScape”

สำหรับ NetScape รุ่นแรกจะเป็น NetScape 0.9 ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ผลิตขึ้นมาใหม่แทบจะทั้งหมด และมีความสามารถรวมถึงประสิทธิภาพที่สูงกว่าโปรแกรม Mosaic เดิมมาก

ซึ่งทำให้เหล่าโปรแกรมเมอร์ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บนจอคอมพิวเตอร์ กดแป้น Keyboard และลาก Mouse ทำอย่างงี้วนเวียนไปตลอดช่วงหน้าร้อน มีการประชุมสั้นๆ 10 นาทีทุกครั้งที่มีใครเจอปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ และทีมงานก็จะเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาก่อนที่จะแยกย้ายกลับไปทำงานในส่วนของตัวเอง

แน่นอนว่าความตื่นเต้นทั้งหมดอยู่ในช่วงที่บริษัทกำลังจะเผยแพร่โปรแกรม NetScape 0.9 ออกสู่สายตาโลก มีการทำงานอย่างหนักทั้งเรื่องความคิด การแก้ไข Bug และผู้ที่จะทดสอบโปรแกรมได้ดีที่สุดก็คือสาธารณชน

เมื่อโปรแกรมถูกปล่อยออกไปนั่นเองซึ่งคนเหล่านี้จะให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์หลังจากได้ใช้งานจริง ๆ เพื่อมาปรับปรุงแลพัฒนาโปรแกรมให้ดียิ่งขึ้น

NetScape 0.9 ที่เตรียมปล่อยให้ทดลองใช้งาน (CR:Youtube)
NetScape 0.9 ที่เตรียมปล่อยให้ทดลองใช้งาน (CR:Youtube)

แผนการสุดท้ายที่จะปล่อยโปรแกรมออกไปคือ ช่วงกลางเดือนตุลาคมและสำหรับเหล่าทีมงานโปรแกรมเมอร์แล้วถือเป็นช่วงเวลาที่มีความหมายกับพวกเขาเป็นอย่างยิ่งเป็นช่วงเวลาที่จะพิสูจน์ว่าโปรแกรมของพวกเขาจะสร้างธุรกิจหลายล้านเหรียญสหรัฐได้อย่างที่คาดหวังไว้หรือไม่

มีการนำเอาจอคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ที่ติดตั้งไว้กับเครื่อง Server มาไว้ในห้องประชุม เพื่อแสดงข้อมูลการดาวน์โหลดโปรแกรมรวมถึง tracking ข้อมูลต่าง ๆ ว่ามีการดาวน์โหลดเกิดขึ้นที่ไหนอย่างไร

เหล่าโปรแกรมเมอร์เข้ามามุงดูเหมือนการถ่ายทอดสดกีฬาครั้งสำคัญ เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืน ณ ฝั่งตะวันตกของสหรัฐ NetScape ก็ได้ถูกปล่อยให้ดาวน์โหลดอย่างเป็นทางการ

แทบจะทันทีทันใดหลังจากปล่อยโปรแกรมออกมา มีการดาวน์โหลดเข้ามาแบบทันทีราวกับว่าพวกเขากำลังรอโปรแกรมนี้อยู่มีผู้ใช้งานจากญี่ปุ่นเป็นคนแรกที่เข้ามาดาวน์โหลดโปรแกรมเพราะว่าเวลาในช่วงนั้นของญี่ปุ่นคือช่วงบ่าย

เรื่องประสิทธิภาพการใช้งานนั้น ทีมงานโปรแกรมเมอร์ของ Marc ไม่กังวัลแต่อย่างใดเพราะมันดีกว่า Mosaic อย่างแน่นอนมันทำงานได้เร็วกว่าเชื่อมต่อกับ internet ได้เร็วกว่า และมีรูปแบบลักษณะการใช้งานที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น เป็นช่วงเวลาที่สำคัญมาก ๆ ของโลกมนุษย์เราที่ถือเป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญไปสู่อนาคตของ World Wide Web

มันทำให้ผู้คนสามารถเข้าสู่โลกของ World Wide Web ได้อย่างง่ายดาย NetScape ได้ฉีกแนวธุรกิจใหม่ขึ้น เมื่อสร้างสินค้าที่เผยแพร่ไปบน Internet ไปสู่ผู้ใช้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านชั้นวางสินค้า ซึ่งใช้เวลาเพียงแค่ 6 เดือนหลังจาก่อตั้งมีผู้ดาวน์โหลดไปใช้งานกว่า 6 ล้านชุด

โมเดลธุรกิจแบบ Freemium

แน่นอนว่าในตอนแรก พวกเขาก็ยังไม่มี Business Model ที่ชัดเจนนักว่าจะสร้างรายได้จาก NetScape Navigator นี้อย่างไร และต้องบอกว่ามันเป็นครั้งแรก ๆ ที่มีการคิดโมเดลธุรกิจแบบ Freemium โดยปล่อยให้ใช้ฟรีก่อนแล้วค่อยมาทำเงินจากมันในภายหลังให้เกิดขึ้นบนโลกของเทคโนโลยีก่อนที่จะกลายเป็นเรื่องปรกติในยุคปัจจุบันนั่นเอง

แน่นอนว่ามันเป็นการพนันครั้งยิ่งใหญ่ของ Marc Andreessen และ Jim Clark สองผู้ก่อตั้ง ที่จะไม่ขายให้ผู้ใช้โดยตรงตั้งแต่ครั้งแรก แต่พวกเขามองว่ารายได้จะเข้ามาเองเมื่อผู้ใช้เหล่านั้นพอใจกับสินค้าที่พวกเขาเสนอซึ่งถือเป็นแนวคิดใหม่มาก ๆ ในยุคนั้น

James Barksdale หนึ่งในผู้บริหารของ NetScape ในขณะนั้นก็ยังมองว่าเป็นเรื่องที่เสี่ยงเกินไปที่จะนำเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ เพราะสถานการณ์ในขณะนั้น NetScape แทบจะยังไม่สามารถสร้างกำไรจากธุรกิจได้เลยด้วยซ้ำ

แต่ตัวเร่งที่สำคัญที่ทำให้ NetScape ต้องลุยเข้า IPO โดยด่วนก็คือ บริษัทอย่าง Spyglass ที่เป็นบริษัทขนาดเล็กในอิลลินอยส์เช่นเดียวกัน และได้รับลิขสิทธิ์จากมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ในการเผยแพร่โปรแกรม Mosaic ซึ่งเป็นโปรแกรมที่พัฒนาโดย Marc Andreessen และเพื่อนร่วมงานของเขา (สมัยที่ยังศึกษาอยู่) และสามารถระดมเงินทุนได้ถึง 200 ล้านเหรียญ และกำลังจะกลายมาเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ NetScape อีกด้วย

แน่นอนว่า Spyglass เองพยายามพูดถึง NetScape ในแง่ลบ ว่ามีการขโมยความคิดมาจากหน่วยงาน National Center of Supercomputer Application (NCSA) แห่งมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ในขณะนั้น ซึ่ง Marc Andreessen ผู้ร่วมก่อตั้ง NetScape เคยทำงานวิจัยอยู่ที่นั่น

Billion Dollar Company

และในที่สุดเวลาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึงในเวลา 11.30 ของเช้าวันที่ 9 สิงหาคม 1995 ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่จะมีการเปิดตัวหุ้น NetScape นั้น ราคาหุ้นได้ปรับตัวสูงขึ้นกว่า 1 เท่าตัว ได้เกิดบันทึกหน้าใหม่ให้กับตลาดหุ้น Wallstreet เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

และนั่นเอง มันได้ทำให้ NetScape ที่ยังแทบจะไม่มี model ในการสร้างรายได้ในระยะยาวและไม่ต้องพูดถึงกำไรที่ยังแทบจะไม่มี ได้กลายเป็นบริษัทที่มูลค่าตลาดพุ่งไปสูงกว่า 1 พันล้านเหรียญได้สำเร็จ

ทำให้ Jim Clark สามารถที่จะปั้นบริษัทที่สองของเขาให้กลายเป็นบริษัทพันล้านเหรียญได้สำเร็จ และหุ้นที่เขาถืออยู่ในมือก็กำลังมีมูลค่าสูงถึง 663 ล้านเหรียญด้วยเช่นเดียวกัน

ซึ่งการพุ่งทะยานอย่างรวดเร็วของหุ้น NetScape นี่เอง เรียกได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของตลาดหุ้น Wallstreet และสร้างความประทับใจให้กับสื่อมวลชนเป็นอย่างยิ่ง มีการพาดหัวในหนังสือพิมพ์ Newyorktime ว่า “ด้วยกระแสของ internet แม้จะไม่มีกำไรหุ้นของบริษัทใหม่ก็เป็นที่ต้องการของ Wallstreet”

และเพียงแค่วันแรกของการเปิดตลาด IPO ของ NetScape นั้น เมื่อสิ้นสุดวันราคาหุ้นของพวกเขาก็ได้ปรับตัวขึ้นไปสูงถึง 58.25 เหรียญ และนี่คือจุดเริ่มต้นครั้งยิ่งใหญ่ของพวกเขา ที่ทำให้เหล่าพนักงาน รวมถึงผู้ก่อตั้งกลายเป็นเศรษฐีเงินล้านไปได้ในชั่วข้ามคืนในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม

Refererences :
https://www.internethistorypodcast.com/2015/08/20-years-on-why-netscapes-ipo-was-the-big-bang-of-the-internet-era/
https://en.wikipedia.org/wiki/Mosaic_(web_browser)
https://en.wikipedia.org/wiki/Marc_Andreessen
https://www.popularmechanics.com/culture/web/a27033147/netscape-navigator-history/
https://www.viaempresa.cat/es/afterwork/netscape-monopolio-microsoft_1933403_102.html
หนังสือ NetScape Time โดย JIM CLARK