โดยจุดแข็งที่ทำให้บริษัทเติบโตอย่างมั่นคงได้ก็คือการไม่หยุดพัฒนาบริษัทและด้วยความมุ่งมั่นที่แน่วแน่ในการที่จะเป็นผู้นำของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ FLS Group มีคำสัญญาจากว่า “We keep the world moving” หรือ “เราจะขับเคลื่อนโลกของเรา” ถือเป็นพันธกิจในการจัดหาโซลูชันซัพพลายเชนที่ดี ซึ่งออกแบบตามความต้องการของลูกค้า และโซลูชันระดับเฟิร์สคลาส แม้จะเป็นพื้นที่ที่ดูว่าจะเป็นไปไม่ได้
เป็นเวลาหลายปีแล้วที่ Google กำลังจับตามองด้วยความกังวลที่เพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ Apple กำลังปรับปรุงเทคโนโลยีการค้นหาของตนเอง โดยพวกเขาแทบไม่รู้ว่าในที่สุดพันธมิตรที่เก่าแก่และบางครั้งเองก็เป็นคู่แข่งที่สำคัญจะสร้างเครื่องมือค้นหาของตัวเองหรือไม่
ความกังวลเหล่านี้เริ่มทวีความรุนแรงขึ้นในปี 2021 เมื่อ Google ต้องจ่ายเงินให้ Apple ประมาณ 18 พันล้านดอลลาร์เพื่อให้เครื่องมือค้นหาของ Google เป็นตัวเลือกเริ่มต้นบน iPhone และในปีเดียวกันนั้นเอง Spotlight เครื่องมือค้นหาในผลิตภัณฑ์เรือธงอย่าง iPhone ของ Apple ได้เริ่มแสดงผลการค้นหาเว็บที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้นแก่ผู้ใช้ เช่นเดียวกับที่พวกเขาคุ้นเคยใน Google
วันที่ 9 สิงหาคม 1995 เป็นวันที่ หุ้นของ NetScape จะถูกนำมา IPO เปิดขายให้กับสาธารณชนเป็นครั้งแรกในตลาดหุ้น Nasdaq ของอเมริกา โดย NetScape ที่สร้างโดย Marc Andreessen และ Jim Clark ที่ร่วมกันสร้างขึ้นมาจะกลายเป็นธุรกิจพันล้านใหม่ในตลาดหุ้นในวันนั้น
สิ่งที่ NetScape ได้สร้างมาเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่เปลี่ยนทุกอย่างของโลกเราไปตลอดกาล โปรแกรม Nevigator ที่ช่วยให้ผู้คนเข้าสู่ Internet นั้นถือเป็นสิ่งประดิษฐ์ชิ้นใหม่ ที่ไม่มีใครเคยได้พบเจอมาก่อน
ต้องบอกว่าในยุคนั้น หลังจาก Tim berners-lee ได้สร้างแนวคิดของ World Wide Web (WWW) ที่ให้บุคคลทั่วไปเข้ามาใช้งานได้ฟรี แต่อุปสรรคที่สำคัญก็คือ ในตอนนั้นมันยังส่งผ่านข้อมูลได้เฉพาะรูปแบบของข้อความเท่านั้น ยังไม่สามารถใช้กับภาพที่เป็น Graphic ได้
Mosaic Killer
ในช่วงปลายปี 1992 Marc และเพื่อนนักวิจัยของเขาที่ทำงานร่วมกันในศูนย์ National Center for Supercomputing Applications (NCSA) ใน University of Illinois at Urbana–Champaign ได้พัฒนาต่อยอดสิ่งที่ Tim berners-lee สร้างไว้ โดยพวกเขาได้เพิ่มส่วนที่เป็นรูปภาพและส่วนต่าง ๆ ที่จะทำให้ข้อมูลข่าวสารทาง internet สามารถเข้าได้ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งนั่นก็คือ Mosaic โปรแกรม Web Browser ตัวแรกของโลกนั่นเอง
และเมื่อ Marc เรียนจบในเดือนธันวาคมปี 1993 เขาก็ได้ถูกชักชวนให้ทำงานต่อกับ NCSA แต่ทางสถาบันดันมีข้อแม้ว่า ให้ Marc นั้นเลิกยุ่งกับโครงการ Mosaic ซึ่งเป็นแนวคิดที่ต้องการที่จะแยกตัว Marc ออกจากสิ่งประดิษฐ์ และยกความสำเร็จผลงานที่ได้ให้กับสถาบันแทนที่จะเป็นตัวผู้ประดิษฐ์นั่นเอง
Mosaic โปรแกรม Web Browser ตัวแรกของโลก (CR:Wired)
แน่นอนว่าทั้ง Jim และ Marc นั้นมีเส้นทางเดินที่คล้ายคลึงกัน ที่ถูกปลดออกจากงานสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ที่พวกเขาได้คิดค้นขึ้นมา และสิ่งนี้นี่เองที่เป็นแรงผลักดันให้ทั้งสองเข้ามาสู่เส้นทางเดียวกันได้ในที่สุด
และนั่นทำให้ทั้งสองได้เริ่มต้นบริษัทใหม่กันในท้ายที่สุด แผนของ Marc คือ การว่าจ้างเพื่อนร่วมงานของเขาที่เคยร่วมเขียนโปรแกรม Mosaic เข้ามาทำงาน ซึ่งกำลังใกล้ที่จะจบการศึกษาในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่กำลังจะถึง
แต่ทั้งคู่ก็ยังไม่แน่ใจว่าบริษัทใหม่ของพวกเขาจะทำอะไรซึ่งทั้งสองรู้เพียงแค่ว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับ internet ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเพราะกระแสมันเริ่มมาแล้วในขณะนั้น
และที่สำคัญเหล่าบริษัทยักษ์ใหญ่ในขณะนั้นกำลังสนุกกับการทำเงินจากคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล Microsoft และบริษัทเทคโนโลยีอื่น ๆ ก็ยังแทบจะไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ กับเทคโนโลยีใหม่อย่าง internet เพราะตอนนั้นต้องบอกว่ายังมีคำถามอยู่มากมายว่าจะหาเงินจาก internet ได้อย่างไร
และทีมงานคนรุ่นใหม่เหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับบริษัทเกิดใหม่ของ Jim และ Marc โดยทั้งสองได้บินด่วนไปที่ อิลลินอยส์ เพื่อไปดึงตัวเหล่าทีมงานเก่าที่เคยร่วมงานกับ Marc ที่ NCSA เพื่อรีบจูงใจทีมงานให้ได้เร็วที่สุด ก่อนที่พวกเขาจะถูกดึงตัวโดยบริษัทยักษ์ใหญ่อื่น ๆ
แม้ทีมบริหารของศูนย์ NCSA นั้นจะพยายามบอกว่ามีทีมงานที่ร่วมกันพัฒนาโปรแกรม Mosaic กว่า 40 คน แต่เมื่อ Jim ได้พบกับเพื่อน ๆ ของ Marc ก็รู้ได้ทันทีว่ามีเพียงกลุ่มคนไม่กี่คนเท่านั้นที่เป็นตัวหลักในการพัฒนาโปรแกรม Mosaic ที่ NCSA
Jim และ Marc ได้ปรึกษากันและตกลงที่จะยื่นข้อเสนอให้กับเหล่าเพื่อน ๆ ของเขา 7 คน โดยเสนอรายได้ 65,000 เหรียญ/ปี บวกกับหุ้นของบริษัทจำนวน 1 แสนหุ้น เพื่อชักจูงพวกเขาให้กลายเป็นผู้ร่วมก่อตั้งของบริษัทใหม่นี้
ตัว Marc เองก็ยังจุดยืนเดิมของโปรแกรมที่ต้องแจกให้ผู้ใช้งานได้ใช้กันฟรี ๆ ซึ่งเป็น trend ที่เริ่มเกิดขึ้นบนโลก internet แต่ตัว Jim นั้น ก็ยังคงกังวลอยู่ว่าแล้วบริษัทจะสร้างรายได้จากโปรแกรมนี้ได้อย่างไร
แต่เขาก็ได้คิดถึงแผนการคร่าว ๆ ไว้แล้วเพราะเขามอง Browser ตัวใหม่นี้เปรียบเสมือนสื่อที่อาจจะสร้างรายได้จากค่าโฆษณา ชซึ่งหากโปรแกรมกลายเป็นที่นิยมและมีผู้ใช้งานมหาศาลก็น่าจะมีความเป็นไปได้ว่าจะขายพื้นที่โฆษณาได้ ซึ่งต้องบอกว่าในยุคนั้นการขายโฆษณาบน internet ยังไม่เคยมีปรากฏขึ้นมาก่อน
เรื่องประสิทธิภาพการใช้งานนั้น ทีมงานโปรแกรมเมอร์ของ Marc ไม่กังวัลแต่อย่างใดเพราะมันดีกว่า Mosaic อย่างแน่นอนมันทำงานได้เร็วกว่าเชื่อมต่อกับ internet ได้เร็วกว่า และมีรูปแบบลักษณะการใช้งานที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น เป็นช่วงเวลาที่สำคัญมาก ๆ ของโลกมนุษย์เราที่ถือเป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญไปสู่อนาคตของ World Wide Web
มันทำให้ผู้คนสามารถเข้าสู่โลกของ World Wide Web ได้อย่างง่ายดาย NetScape ได้ฉีกแนวธุรกิจใหม่ขึ้น เมื่อสร้างสินค้าที่เผยแพร่ไปบน Internet ไปสู่ผู้ใช้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านชั้นวางสินค้า ซึ่งใช้เวลาเพียงแค่ 6 เดือนหลังจาก่อตั้งมีผู้ดาวน์โหลดไปใช้งานกว่า 6 ล้านชุด
โมเดลธุรกิจแบบ Freemium
แน่นอนว่าในตอนแรก พวกเขาก็ยังไม่มี Business Model ที่ชัดเจนนักว่าจะสร้างรายได้จาก NetScape Navigator นี้อย่างไร และต้องบอกว่ามันเป็นครั้งแรก ๆ ที่มีการคิดโมเดลธุรกิจแบบ Freemium โดยปล่อยให้ใช้ฟรีก่อนแล้วค่อยมาทำเงินจากมันในภายหลังให้เกิดขึ้นบนโลกของเทคโนโลยีก่อนที่จะกลายเป็นเรื่องปรกติในยุคปัจจุบันนั่นเอง
แน่นอนว่ามันเป็นการพนันครั้งยิ่งใหญ่ของ Marc Andreessen และ Jim Clark สองผู้ก่อตั้ง ที่จะไม่ขายให้ผู้ใช้โดยตรงตั้งแต่ครั้งแรก แต่พวกเขามองว่ารายได้จะเข้ามาเองเมื่อผู้ใช้เหล่านั้นพอใจกับสินค้าที่พวกเขาเสนอซึ่งถือเป็นแนวคิดใหม่มาก ๆ ในยุคนั้น
James Barksdale หนึ่งในผู้บริหารของ NetScape ในขณะนั้นก็ยังมองว่าเป็นเรื่องที่เสี่ยงเกินไปที่จะนำเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ เพราะสถานการณ์ในขณะนั้น NetScape แทบจะยังไม่สามารถสร้างกำไรจากธุรกิจได้เลยด้วยซ้ำ
แน่นอนว่า Spyglass เองพยายามพูดถึง NetScape ในแง่ลบ ว่ามีการขโมยความคิดมาจากหน่วยงาน National Center of Supercomputer Application (NCSA) แห่งมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ในขณะนั้น ซึ่ง Marc Andreessen ผู้ร่วมก่อตั้ง NetScape เคยทำงานวิจัยอยู่ที่นั่น
และนั่นเอง มันได้ทำให้ NetScape ที่ยังแทบจะไม่มี model ในการสร้างรายได้ในระยะยาวและไม่ต้องพูดถึงกำไรที่ยังแทบจะไม่มี ได้กลายเป็นบริษัทที่มูลค่าตลาดพุ่งไปสูงกว่า 1 พันล้านเหรียญได้สำเร็จ
ทำให้ Jim Clark สามารถที่จะปั้นบริษัทที่สองของเขาให้กลายเป็นบริษัทพันล้านเหรียญได้สำเร็จ และหุ้นที่เขาถืออยู่ในมือก็กำลังมีมูลค่าสูงถึง 663 ล้านเหรียญด้วยเช่นเดียวกัน
ทีมนักวิจัยจาก Pennsylvania State University ระบุว่าผู้คนมีแนวโน้มที่จะเชื่อข่าวปลอมในรูปแบบวิดีโอมากกว่าเมื่อเทียบกับรูปแบบข้อความและเสียงในเรื่องเดียวกัน โดยผู้คนเต็มใจที่จะแชร์วิดีโอเหล่านี้กับผู้คนในเครือข่ายของตนมากขึ้น