ความเทพของพี่มาร์ค กับการปรับกลยุทธ์ธุรกิจอย่างรวดเร็วเพื่อชดเชยสิ่งที่ผิดพลาดจาก Metaverse

หากเรามองผ่านหน้าสื่อ Mark Zuckerberg มักไม่ค่อยได้รับเครดิตในเรื่องการบริหารธุรกิจของเขาซักเท่าไหร่ เพราะดูเหมือนว่าสื่อจะมองเขาไปในสิ่งอื่น ๆ รอบตัวเขามากกว่า

ไม่ว่าจะเป็นความหลงใหลในศิลปะการต่อสู้ล่าสุดของเขา การทะเลาะกับ Elon Musk เรื่องปัญหาต่าง ๆ ที่ถาโถม Facebook ในช่วงหลัง ทั้งการฟ้องร้องจากรัฐในอเมริกาหลายแห่งที่กล่าวหาว่า Meta มีเจตนาที่จะทำให้ผู้ใช้โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นติด Facebook และ Instagram อย่างงอมแงม

ถ้าไม่นับเรื่องราวที่ครีเอเตอร์หลาย ๆ คนอาจจะสาปส่งแพลตฟอร์มของ Mark Zuckerberg ทั้งการลด Reach การปรับเปลี่ยนอัลกอริธึมอยู่แทบจะตลอดเวลา หรือ การผลักดันให้ผู้คนเสียเงินในการโฆษณาเพิ่มมากขึ้น

ย้อนกลับไปในช่วงปีที่แล้ว Zuckerberg เองก็โดนถล่มอย่างหนักจากเหล่านักลงทุน โดยกล่าวหาว่าเขาทำลายธุรกิจหลักไปพร้อม ๆ กับใช้จ่ายเงินอย่างฟุ่มเฟือยไปกับความฝันลม ๆ แล้ง ๆ ของเขาสำหรับโลก Metaversee

ซึ่งหากมองในแง่มุมของธุรกิจล้วน ๆ ความสามารถของ Zuckerberg จากผลงานที่ผ่านมานั้นแทบไม่ได้ต่างจาก Satya Nadella ทำกับ Microsoft หรือ Tim Cook สามารถทำได้กับ Apple เลยด้วยซ้ำ

แม้จะดูภาพลักษณ์เป็นเด็กเนิร์ด แต่การบริหารธุรกิจของ Mark นั้นเรียกได้ว่าระดับเทพอย่างยิ่ง ในช่วงเวลาไม่กี่เดือนของช่วงปลายปีที่แล้ว เขาได้ตัดสินใจทางธุรกิจครั้งสำคัญ ซึ่งเมื่อเขาเองมีสิทธิ์ในการลงคะแนนเสียงโดยรวมของบริษัทสูงถึง 58% เขาจึงสามารถแก้ไขปัญหาทางธุรกิจโดยแทบไม่ต้องฟังเสียงของผู้ถือหุ้นเลย

Zuckerberg ได้ทำการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์บริษัททางด้านเทคโนโลยี ภายในสองสัปดาห์ของไตรมาสที่สาม เขาได้ลดค่าใช้จ่ายของ Meta และปลดพนักงานออกจำนวนมาก

และเพื่อให้ทันต่อโลกที่เปลี่ยนไป เทคโนโลยีอย่าง ChatGPT ของ OpenAI ที่สร้างความตื่นเต้นให้กับแวดวงเทคโนโลยี เขาได้ปฏิวัติองค์กรใหม่โดยมุ่งเป้าไปที่เทคโนโลยีเพื่อใช้ในการกระตุ้นธุรกิจหลักของบริษัท

Nick Clegg ที่เป็นที่ปรึกษาที่มีความใกล้ชิดกับ Zuckerberg ได้อธิบายไว้อย่างน่าสนใจว่า เจ้านายของเขาไม่ชอบให้คนรอบตัวมาตะโกนด่าเขา เช่นเดียวกับเหล่าวิศวกร เขาชอบที่จะแยกแยะปัญหาที่เกิดขึ้นกับส่วนประกอบต่าง ๆ และตัดสินใจเกี่ยวกับแนวทางที่จะใช้ในการปฏิบัติจริง

จะเห็นได้ว่าปัญหาที่ผ่านมา Meta ได้ผลาญเงินไปมากมายกับโครงการที่เกี่ยวข้องกับ Metaverse สิ่งนี้ Zuckerberg เข้าใจอย่างดีเพราะมันเป็นแผนระยะยาวของเขา แต่มันส่งผลต่อแผนการระยะสั้นของบริษัท เขาจึงต้องตัดสินใจเปลี่ยนแปลงองค์กรครั้งสำคัญ

การปรับแผนการลงทุนระยะยาวโดยเน้นที่เกี่ยวข้องกับ AI เป็นหลัก ไม่ใช่ Metaverse มันเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญที่ถูกต้องมาก ๆ ของ Zuckerberg เมื่อ ChatGPT ได้รับความนิยมอย่างก้าวกระโดดในภายหลัง

ซึ่งผลจากการทำงานอย่างหนักของ Zuckerberg มันก็เห็นผลเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน เมื่อรายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุดออกมา ที่รายรับเพิ่มขึ้น 23% เป็น 34.15 พันล้านดอลลาร์ สร้างกำไร 11.6 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าจาก 4.4 พันล้านดอลลาร์เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

Meta ใช้เวลาหลายปีมาแล้วในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ซึ่งแทนที่จะสร้างแชทบอท Zuckerberg ได้มองหาวิธีการใช้ AI เเพื่อปรับปรุงการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งานในแพลตฟอร์ม และทำให้ธุรกิจโฆษณามีประสิทธิภาพมากขึ้น

ภายในเดือนกรกฎาคม Meta ได้จัดทำโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Model) อย่าง Llama 2 ให้นักพัฒนาใช้งานได้ฟรี และการทำให้ Llama เป็นโอเพ่นซอร์สช่วยเปลี่ยน Zuckerberg จากผู้ร้ายใน Silicon Valley ให้กลายเป็นฮีโร่ทันที

Leigh Marie Braswell จาก Kleiner Perkins ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนกล่าวว่า บริษัทสตาร์ทอัพต่างชื่นชนการเคลื่อนไหวดังกล่าวของ Meta เป็นอย่างมาก ซึ่งช่วยให้หลาย ๆ คนพัฒนาธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ AI ได้ ซึ่งเผลอ ๆ เทคโนโลยีอย่าง Generative AI เองอาจจะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้ Meta ได้มากกว่า Microsoft หรือ Google เสียอีก

อย่างแรกในเรื่องการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งานในแพลตฟอร์ม โดยขณะนี้ Meta กำลังสร้างแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียด้วยอวาตาร์แชทบอทซึ่งหวังว่าจะเพิ่มระยะเวลาที่ผู้คนใช้ฟีดของตน และช่วยให้ธุรกิจโต้ตอบกับลูกค้าบนแอปส่งข้อความได้

สิ่งที่น่าสนใจมากขึ้นในระยะสั้นคือศักยภาพของ AI ในเรื่องการโฆษณา เนื่องจาก Apple จำกัดความสามารถของ Meta ในการติดตามข้อมูลผู้ใช้ในแอปบน iPhone นั่นเป็นการเปลี่ยนกระบวนการทางความคิดของ Meta แบบยกเครื่องใหม่ทั้งหมด แทนที่จะติดตามหลอกหลอนพฤติกรรมของผู้ใช้งานเหมือนเดิม จะมีการใช้ AI ในการจำลองพฤติกรรมของผู้ใช้แทน

ปีที่แล้ว Meta ได้เปิดตัวเทคโนโลยีโฆษณาที่เรียกว่า Advantage+ ซึ่งใช้ AI เพื่อสร้างแคมเปญโฆษณาโดยอัตโนมัติ ซึ่ง Brent Thill แห่ง Jefferies ธนาคารเพื่อการลงทุนกล่าวว่าผู้ลงโฆษณารู้สึกประทับใจ ตัวอย่าง J.Crew Factory ผู้ค้าปลีกเสื้อผ้าได้บอกกับ Meta ว่าฟีเจอร์ดังกล่าวช่วยเพิ่มผลตอบแทนจากการใช้จ่ายโฆษณาเกือบเจ็ดเท่า

Generative AI สามารถยกระดับระบบอัตโนมัติใน ecosystem ของ Meta ได้อีกมากมาย ในเดือนที่ผ่านมา Meta ได้เปิดตัวเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ลงโฆษณาแบบ doodle ด้วยพื้นหลังและถ้อยคำที่แตกต่างกัน

แม้สิ่งเหล่านี้อาจจะยังเป็นก้าวเล็ก ๆ ของ Meta แต่ Andy Wu จาก Harvard Business School เปรียบเสมือนจุดเริ่มต้นของการตื่นทอง เขากล่าวว่าการสร้างแคมเปญโฆษณาที่ใช้ Generative AI จะทำให้ Meta สามารถได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้ได้มากเท่ากับ Nividia ซึ่งเป็นผู้ผลิต GPU ชั้นนำ

แม้ว่านักลงทุนบางคนยังคงสงสัยในเรื่อง Metaverse และอยากให้ Zuckerberg ลดค่าใช้จ่ายกับเรื่องของ Metaverse และระมัดระวังในเรื่องการลงทุนกับผลิตภัณฑ์ที่เป็นฮาร์ดแวร์ที่ดูเหมือนจะไม่ใช่สิ่งที่ถนัดของ Meta เช่น VR Head Set ซึ่งมีแนวโน้มที่จะสร้างอัตรากำไรที่ต่ำกว่าผลิตภัณฑ์ทางด้านดิจิทัล

แต่ดูเหมือนว่า Zuckerberg เองยังไม่ยอมแพ้ในโลกของ Metaverse ซึ่งเขามองว่า AI จะเป็นผู้กอบกู้ Metaverse โดยช่วยในการพัฒนาเทคโนโลยี hand-tracking และทำให้การสร้างโลกสามมิติมีราคาถูกลง

แว่นตาอัจฉริยะของ Meta ที่ผสานรวมเข้ากับแชทบอท Meta AI และสร้างโดย Ray-Ban นำเสนอสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต มันเป็นโลกใหม่ในจินตานาการของ Zuckerberg ที่จะเหล่าผู้ใช้งานสามารถบันทึกสิ่งที่พวกเขาเห็น สามารถสตรีมสดบนโซเชียลมีเดีย และมีแชทบอทคอยช่วยตอบคำถามต่าง ๆ ได้ ซึ่งจะเป็นการเดิมพันครั้งสำคัญกับ Meta ในแผนการระยะยาวของบริษัทนั่นเองครับผม

References :
https://www.economist.com/business/2023/10/26/ai-has-rescued-mark-zuckerberg-from-a-metaverse-size-hole
https://www.nytimes.com/2023/10/25/technology/meta-facebook-quarterly-earnings.html

J&T Express จดทะเบียนเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (HKEX) ตอกย้ำก้าวสำคัญสู่การเป็นผู้นำด้านโลจิสติกส์ระดับโลก

J&T Global Express Limited (“J&T Express” หรือ “J&T” หรือ “บริษัทฯ”) บริษัทขนส่งระดับโลกผู้มอบบริการหลักด้านการขนส่งพัสดุด่วนและการขนส่งข้ามพรมแดน ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง หรือ HKEX อย่างเป็นทางการ ภายใต้รหัสหลักทรัพย์ “1519” โดยเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะอยู่ที่ราคา 12.00 ดอลลาร์ฮ่องกงต่อหุ้น

โดยจะมีรายได้สุทธิจากการเสนอขายทั่วโลกมูลค่าทั้งหมดกว่า 3.528 พันล้านดอลลาร์ฮ่องกง (ยังไม่มีกำหนดการสำหรับตัวเลือกการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน) โดยการจดทะเบียน ณ ตลาดฮ่องกงในครั้งนี้ นับเป็นการตอกย้ำก้าวสําคัญของ J&T Express สู่การเป็นผู้นําด้านโลจิสติกส์ระดับโลก

J&T Express วางแผนที่จะใช้เงินทุนจากการเสนอขายหุ้น IPO เพื่อขยายเครือข่ายโลจิสติกส์ให้มากขึ้น พร้อมแผนการปรับปรุงโครงสร้างระบบพื้นฐานที่มีอยู่ อีกทั้งยังเสริมสร้างขีดความสามารถของระบบการคัดแยกและระบบคลังสินค้าของบริษัทฯ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตลาดอื่น ๆ

นอกจากนี้ J&T Express จะใช้เงินทุนนี้ในการหมุนเวียน ขยายไปสู่ตลาดใหม่ ๆ รวมถึงสร้างการบริการต่าง ๆ ที่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยี ให้ตอบโจทย์การบริการโลจิสติกส์ที่สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้นต่อผู้ใช้บริการทั่วโลก

จากข้อมูลของ Frost & Sullivan เผยว่า J&T Express ก่อตั้งขึ้นในประเทศอินโดนีเซีย เมื่อปี 2558 และขยายธุรกิจอย่างรวดเร็วไปยัง 6 ประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก่อนเข้าสู่ตลาดจีนในปี 2563 และจากสถิติพบอีกว่า J&T Express เป็นผู้ให้บริการจัดส่งด่วนอันดับหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อพิจารณาจากปริมาณพัสดุในปี 2565 รวมถึงเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ประกอบการชั้นนำในประเทศจีนตามส่วนแบ่งตลาด

ด้วยการเติบโตที่แข็งแกร่งของธุรกิจในประเทศจีนและในกลุ่มประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงทำให้ในปี 2565 สามารถขยายธุรกิจต่อไปยังอีกกว่า 5 ประเทศในละตินอเมริกา ตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือ ปัจจุบันการดำเนินงานจัดส่งพัสดุของ J&T Express ครอบคลุมไปแล้วกว่า 13 ประเทศทั่วโลก

ในพิธีการจดทะเบียนเพื่อเข้าสู่ตลาดหุ้นครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ด่านหน้าของ J&T Express จาก 13 ประเทศ อันประกอบด้วยตัวแทนพนักงานส่งพัสดุ เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการในศูนย์กระจายสินค้า และพนักงานคอลเซ็นเตอร์ ได้ร่วมกันเป็นสักขีพยานในช่วงเวลาอันน่าประทับใจดังกล่าว เพื่อเฉลิมฉลองการจดทะเบียนหุ้นบริษัทฯ เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงร่วมกัน

(ภาพพิธีการจดทะเบียนเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง)

นายชาร์ลส์ โฮว (Mr. Charles Hou) รองประธานกรรมการ J&T Express กล่าวว่า “นับตั้งแต่ก่อตั้งเมื่อปี 2558 J&T Express ได้ขยายตัวไปอย่างรวดเร็วและได้สร้างความแข็งแกร่งในการให้บริการมาอย่างต่อเนื่อง การที่เราเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงในวันนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการเติบโตไปอีกขั้นของบริษัทฯ

เราขอขอบคุณครอบครัว J&T Express ทุกคน ที่ทำงานอย่างหนักและทุ่มเทมาโดยตลอด ขอบคุณพันธมิตรที่ให้การสนับสนุนเราเสมอมา และขอขอบคุณลูกค้าที่ให้ความไว้วางใจมาอย่างยาวนาน เรายังคงยึดมั่นในพันธกิจ มุ่งเน้นที่ลูกค้า โดยมีประสิทธิภาพเป็นรากฐาน เพื่อสร้างคุณประโยชน์ทางโลจิสติกส์สู่สังคมโลก”

นายดีแลน เทย์ (Mr. Dylan Tey) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน J&T Express กล่าวว่า “ฮ่องกงเป็นศูนย์กลางทางการเงินระหว่างประเทศชั้นนำมากมาย และเป็นที่ตั้งของตลาดทุนที่มีการไหลเวียนของเงินมากที่สุดในเอเชีย เราภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง

ซึ่งรวบรวมผู้ออกตราสารและนักลงทุนจากทั่วทุกมุมโลก เราจะยังคงทำงานอย่างใกล้ชิดกับพันธมิตรของเราเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญต่ออุตสาหกรรมโลจิสติกส์ทั่วโลก สิ่งนี้ไม่เพียงช่วยให้เราสามารถมอบบริการจัดส่งพัสดุด่วนที่ดียิ่งขึ้นแก่ลูกค้าได้เท่านั้น แต่ยังสร้างมูลค่าที่มากขึ้นให้กับนักลงทุนของเราอีกด้วย”