Geek Daily EP199 : ทำไมผู้คนจึงเชื่อข่าวปลอมในรูปแบบวิดีโอมากกว่าข้อความและเสียงในเรื่องเดียวกัน

ทีมนักวิจัยจาก Pennsylvania State University ระบุว่าผู้คนมีแนวโน้มที่จะเชื่อข่าวปลอมในรูปแบบวิดีโอมากกว่าเมื่อเทียบกับรูปแบบข้อความและเสียงในเรื่องเดียวกัน โดยผู้คนเต็มใจที่จะแชร์วิดีโอเหล่านี้กับผู้คนในเครือข่ายของตนมากขึ้น

ในการศึกษา ผู้คนประมาณ 58% ที่ดูวิดีโอข่าวปลอมบนแอปสมาร์ทโฟนมักจะแชร์ส่งข้อความทันทีและเชื่อว่าวิดีโอนั้นเป็นเรื่องจริง เมื่อเทียบกับ 48% ของผู้ดูวิดีโอเรื่องเดียวกันในรูปแบบเสียง ส่วนเนื้อหาที่เป็นบทความนนั้นมีเพียงแค่ 33% ของผู้อ่านที่ที่เชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง

นักวิจัยกล่าวว่าแรงกระตุ้นที่จะ “เชื่อในสิ่งที่คุณเห็น” อาจทำให้วิดีโอข่าวปลอมกลายเป็นรูปแบบที่ซ่อนเร้นและอาจเป็นอันตรายมากขึ้นของการบิดเบือนข้อมูลบนโลกของโซเชียลมีเดีย

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/3rcp24je

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/532trfn5

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
https://tinyurl.com/448xved8

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/yuxvt539

🎧 ฟังผ่าน Youtube : 
https://youtu.be/Kweu8XgPzf8

Lithography Wars กับการต่อสู้ของ ASML สู่การผูกขาดเครื่องจักรในการผลิตชิป

ย้อนกลับไปในช่วงปี 1984 ในตอนนั้น ASML เป็นบริษัทที่เพิ่งเริ่มตั้งไข่ใหม่ ๆ ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใด ๆ แถมยังไม่มีเงินทุน ไม่ต้องคิดถึงการสร้างเครื่องจักรในการผลิตชิปรุ่นถัดไปของโลกที่คงเป็นแค่เรื่องในฝัน

ปีเดียวกันนั้นเองเป็นปีที่บริษัท Philips ซึ่งเป็นบริษัทผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ยักษ์ใหญ่จากเนเธอร์แลนด์ได้แยกแผนกในการสร้างเครื่องจักรผลิตชิปออกไป และก่อตั้งขึ้นเป็นบริษัทใหม่ในชื่อ ASML โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ Veldhoven ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ไม่ไกลจากชายแดนเนเธอร์แลนด์ที่ติดกับเบลเยียมมากนัก

มันดูจะไกลเกินฝันจริง ๆ สำหรับ ASML ที่จะกลายเป็นบริษัทระดับโลกในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ แม้ยุโรปในยุคนั้นจะเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ แต่เห็นได้ชัดว่ายังตามหลัง Silicon Valley และทางฝั่งญี่ปุ่นอยู่สุดกู่

ASML นั้นใช้แนวคิดที่แตกต่างจากบริษัทจากญี่ปุ่นหรืออเมริกา โดยตัดสินใจที่จะประกอบระบบจากส่วนประกอบที่ทำการจัดหามาอย่างพิถีพิถันจากซัพพลายเออร์ทั่วโลก มันเป็นการพึ่งพาบริษัทอื่นในการสร้างส่วนประกอบหลักของเครื่องจักร และดูเหมือนว่าแนวคิดดังกล่าวนี้จะเต็มไปด้วยความเสี่ยงมากมาย

แต่ ASML เรียนรู้ที่จะจัดการกับมัน ในขณะที่เหล่าคู่แข่งโดยเฉพาะจากญี่ปุ่นทั้ง Canon และ Nikon นั้นพยายามที่จะสร้างทุกอย่างภายในบริษัท

ASML สามารถซื้อส่วนประกอบที่ดีที่สุดในตลาดได้ และเมื่อพวกเขาเริ่มมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเครื่อง EUV ความสามารถในการรวมเอาส่วนประกอบชั้นยอดจากแหล่งต่าง ๆ ของพวกเขา กลายมาเป็นจุดแข็งที่เด็ดที่สุด

ตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ก็เป็นเรื่องสำคัญไม่ใช่น้อย เพราะในช่วงทศวรรษที่ 1980 และ 1990 ASML จากเนเธอร์แลนด์ถูกมองว่าเป็นกลางในข้อพิพาททางการค้าระหว่างญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา

Micron ที่เป็นบริษัทสตาร์ทอัพที่ผลิต DRAM สัญชาติอเมริกัน ต้องการซื้อเครื่องจักรในการผลิต จึงได้เลือก ASML แทนการพึ่งพา Canon หรือ Nikon ซึ่งมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับคู่แข่งของ Micron ในญี่ปุ่น

การที่ ASML แยกตัวออกมาจาก Philips นั้นช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับ TSMC จากไต้หวัน เพราะ Philips เองถือเป็นนักลงทุนรายสำคัญใน TSMC โดยถ่ายทอดเทคโนโลยีกระบวนการผลิตรวมถึงทรัพย์สินทางปัญญาให้กับทางฝั่งของ TSMC ในช่วงเริ่มต้น

ASML จึงได้ฐานลูกค้าจาก TSMC เพราะโรงงานของ TSMC นั้นได้รับการออกแบบตามกระบวนการผลิตของ Philips เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเมื่อโรงงานของ TSMC เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ในปี 1989 ทำให้ TSMC ต้องซื้อเครื่องจักรในการผลิตชิปเพิ่มอีก 19 เครื่อง และทั้งหมดถูกสั่งตรงมาจาก ASML

ASML และ TSMC เริ่มต้นจาการเป็นบริษัทเล็ก ๆ ที่แทบไม่มีใครสนใจในอุตสาหกรรมผลิตชิปในช่วงแรก ๆ แต่พวกเขาก็เติบโตไปด้วยกันและสร้างความร่วมมือกันอย่างแข็งขัน

ฝั่งอเมริกาเอง Andy Grove กำลังเตรียมที่จะอนุมัติการลงทุนครั้งใหญ่ครั้งแรกของ Intel ในการวิจัยเครื่องมืออย่าง EUV เช่นเดียวกับที่ ASML กำลังทำอยู่

Andy Grove กำลังเตรียมที่จะอนุมัติการลงทุนครั้งใหญ่ครั้งแรกของ Intel ในการวิจัยเครื่องมืออย่าง EUV (CR:MetaSwitch)
Andy Grove กำลังเตรียมที่จะอนุมัติการลงทุนครั้งใหญ่ครั้งแรกของ Intel ในการวิจัยเครื่องมืออย่าง EUV (CR:MetaSwitch)

ซึ่งในช่วงปี 1992-1996 นั้น Intel เองก็ได้สร้างความร่วมมือกับห้องปฏิบัติการหลายแห่งที่ดำเนินการโดยกระทรวงพลังงานของสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีความเชี่ยวชาญที่จำเป็นต่อการสร้างเครื่อง EUV มันดูเหมือนจะเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่าเพราะเหล่าห้องวิจัยของอเมริกาที่มีความเชี่ยวชาญในการสร้างต้นแบบระบบ EUV แต่พวกเขามุ่งเน้นไปที่เรื่องวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่การผลิตให้ได้จำนวนมาก ๆ ในสเกลอุตสาหกรรม

เป้าหมายของ Intel คือการสร้างสิ่งใหม่ๆ ไม่ใช่แค่การวัดผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ทำให้ Intel ต้องค้นหาบริษัทที่สามารถผลิตเครื่อง EUV ในปริมาณมาก ๆ ซึ่งเมื่อเหลียวมองไปยังบริษัทในอเมริกาแทบจะไม่มีบริษัทใดทำได้เลย

บริษัทที่สามารถสร้างเครื่องมือเหล่านี้ที่ใหญ่ที่สุดที่เหลืออยู่ในอเมริกาคือ Silicon Valley Group (SVG) ซึ่งมีความล้าหลังทางด้านเทคโนโลยี รัฐบาลสหรัฐเองยังคงอ่อนไหวจากสงครามทางการค้าในช่วงปี 1980 กับญี่ปุ่น จึงไม่ต้องการให้ Nikon และ Canon เข้ามามีส่วนร่วม แม้ว่า Nikon เองก็ไม่ได้คิดว่าเทคโนโลยี EUV มันจะใช้งานได้จริงก็ตาม ทำให้ ASML เป็นบริษัทเดียวที่เหลืออยู่ที่จะช่วยเหลือ Intel ได้

แต่แน่นอนว่าแนวคิดในการให้บริษัทต่างชาติเข้าถึงงานวิจัยที่ทันสมัยที่สุดจากห้องทดลองระดับชาติของอเมริกาทำให้เกิดความกังวลขึ้นในวอชิงตัน สถานการณ์ในตอนนั้นยังไม่มีการประยุกต์ใช้มันเพื่อใช้ในแวดวงทหาร และยังไม่ชัดเจนว่า EUV มันจะใช้งานได้จริง

แต่เหล่านักการเมืองอเมริกันเองมองว่า ASML และรัฐบาลเนเธอร์แลนด์เป็นพันธมิตรที่เชือถือได้ สิ่งที่สำคัญกว่าสำหรับนักการเมืองชาวอเมริกันคือผลกระทบต่อการสร้างงานไม่ใช่เรื่องของภูมิรัฐศาสตร์

รัฐบาลสหรัฐฯ ได้กำหนดให้ ASML สร้างโรงงานในสหรัฐฯ เพื่อผลิตชิ้นส่วนสำหรับสำหรับการสร้างเครื่อง EUV และว่าจ้างพนักงานชาวอเมริกัน แต่อย่างไรก็ตามการวิจัยและพัฒนาหลักของ ASML นั้นส่วนใหญ่เกิดขึ้นในประเทศเนเธอร์แลนด์

เมื่อถูกปิดกั้นไม่ให้ทำการวิจัยในห้องแล็บแห่งชาติของสหรัฐฯ Nikon และ Canon ก็ได้ตัดสินใจที่จะไม่สร้างเครื่องมือ EUV ของตนเอง ปล่อยให้ ASML เป็นผู้ผลิตเพียงรายเดียวในโลก

ในขณะเดียวกับในปี 2001 ASML ได้เข้าซื้อกิจการของ Silicon Valley Group ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเครื่องจักรในการผลิตชิปแห่งสุดท้ายของอเมริกา แต่ก็มีคำถามเกิดขึ้นอีกครั้งว่าดีลนี้มันเหมาะสมหรือไม่และจะส่งผลต่อเรื่องความมั่นคงของอเมริกาหรือไม่

ภายใน DARPA และกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ ซึ่งให้ทุนกับอุตสาหกรรมนี้มาอย่างยาวนาน เจ้าหน้าที่บางคนได้มีการคัดค้านดีลดังกล่าว สภาคองเกรสก็แสดงความกังวลเช่นเดียวกัน โดยวุฒิสมาชิกสามคนได้เขียนจดหมายถึงประธานาธิบดี George W. Bush ว่า “ASML จะครอบครองเทคโนโลยี EUV ทั้งหมดของรัฐบาลสหรัฐฯ”

วุฒิสมาชิกได้เขียนจดหมายถึงประธานาธิบดี George W. Bush ถึงภัยอันตรายที่จะเกิดขึ้นหาก ASML ครอบครองเทคโนโลยี EUV (CR:Flickr)
วุฒิสมาชิกได้เขียนจดหมายถึงประธานาธิบดี George W. Bush ถึงภัยอันตรายที่จะเกิดขึ้นหาก ASML ครอบครองเทคโนโลยี EUV (CR:Flickr)

ฝั่งของ Intel ก็ได้ออกมาโต้แย้งในเรื่องดังกล่าวว่าการขาย Silicon Valley Group ให้กับ ASML มีความสำคัญต่อการพัฒนา EUV และเป็นพื้นฐานสำหรับอนาคตของการประมวลผล ซึ่งหากไม่มีการควบรวมกิจการเส้นทางในการพัฒนาเครื่องมือใหม่ในสหรัฐอเมริกาจะล่าช้าออกไปอีก

ดังนั้นเครื่อง EUV ยุคถัดไปจึงได้ถูกประกอบในต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ แม้ว่าส่วนประกอบบางอย่างจะยังคงสร้างขึ้นในโรงงานในคอนเนตทิคัต เครือข่ายทางวิทยาศาสตร์ที่ผลิต EUV นั้นมีอยู่ทั่วทุกมุมโลก โดยรวบรวมนักวิทยาศาสตร์จากประเทศต่าง ๆ ทั้ง อเมริกา ญี่ปุ่น สโลวีเนียและกรีซ

แต่อย่างไรก็ตาม การผลิต EUV ไม่ได้มีการผลิตไปทั่วโลก แต่ถูกผูกขาดทั้งห่วงโซ่อุปทานที่จัดการโดยบริษัทเดียวนั่นก็คือ ASML ซึ่งสามารถที่จะควบคุมอนาคตของการผลิตชิปของโลกอย่างที่เราได้เห็นกันในทุกวันนี้นั่นเองครับผม

References :
เรียบเรียงจากหนังสือ Chip War: The Fight for the World’s Most Critical Technology โดย Chris Miller
https://en.wikipedia.org/wiki/ASML_Holding
https://thechipletter.substack.com/p/the-founding-of-asml-part-1-the-philips
https://www.referenceforbusiness.com/history2/76/ASML-Holding-N-V.html
https://www.asml.com/en/products/euv-lithography-systems

Geek Monday EP198 :  Canon กับความพยายามในการทำลายการผูกขาดของ ASML ในเครื่องมือการผลิตชิป

การทำลายอำนาจของ ASML ในห่วงโซ่อุปทานสำหรับการผลิตชิปที่ล้ำสมัยนั้นเป็นเรื่องที่น่าสนใจ ซึ่งต้องบอกว่า ASML ได้ผูกขาดในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์มายาวนาน ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดสามรายของโลก ได้แก่ Intel, Samsung และ TSMC ล้วนแต่พึ่งพาเทคโนโลยี EUV ของ ASML ในการผลิตชิปล้ำสมัยที่ใช้ในสมาร์ทโฟนหรือ Data Center สำหรับการประมวลผลแบบคลาวด์

ในวันที่ 13 ตุลาคม เมื่อ Canon เปิดตัวชุดอุปกรณ์ชิ้นใหม่ “nanoimprint” ซึ่งสามารถผลิตทรานซิสเตอร์ที่มีขนาดเล็กที่สุดที่จะใช้ในไมโครชิปที่ทันสมัยที่สุดได้ ซึ่ง Canon หวังว่าจะทำลายการผูกขาดธุรกิจของ ASML ด้วยการผลิตชิปขนาด 2 นาโนเมตรได้ในท้ายที่สุด

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/mrkh29ap

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/55kdvnu7

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
https://tinyurl.com/3pbpkhvw

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/2p969jrk

🎧 ฟังผ่าน Youtube : 
https://youtu.be/suha-wDhID4

เบื้องหลังความเรียบง่าย กับวัฒนธรรมการตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลเป็นหลักของ Google

บางครั้งสิ่งที่เราเห็นว่ามันเป็นอะไรที่มีความเรียบง่ายแบบสุด ๆ ตัวอย่างเช่นหน้าแรกของ Google ไม่ว่าจะเป็นองค์ประกอบสี ฟอนต์ หรือแม้กระทั่ง UX/UI ทั้งหมด แต่มันได้ถูกคิดค้นและตัดสินใจผ่านข้อมูลเป็นหลัก

เรื่องราวของการออกแบบโลโก้ Google ต้องย้อนกลับไปช่วงปี 2000 ที่ในตอนนั้น มาริสา เมเยอร์ เป็นหัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์การค้นหา

เมเยอร์ เข้าร่วมงานกับ Google หลังจากสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดในปี 1999 ในตอนนั้น Google ยังเพิ่งตั้งไข่เป็นบริษัทสตาร์ทอัพเล็ก ๆ ที่ไม่มีใครคิดว่าจะกลายมาเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่เหมือนอย่างที่เราได้เห็นกันในทุกวันนี้

เมเยอร์เริ่มต้นจากการเขียนโค้ดและดูแลทีมวิศวกรกลุ่มเล็ก ๆ โดยโฟกัสไปที่การพัฒนาและการออกแบบการค้นหาของ Google

แม้หัวใจเธอจะเป็นวิศวกรตัวยง แต่เมเยอร์มีบางสิ่งที่เพื่อนร่วมงานหลายคนไม่มีในช่วงแรก ๆ ในการทำงานที่ Google นั่นก็คือ ความเข้าใจในเรื่องสไตล์และการออกแบบ

หน้าจอ Google ที่เรียบง่ายที่เป็นบล็อกสีสันสดใสตัดกับพื้นหลังสีขาว เหมือนกับภาพพิมพ์ Marimekko ที่เคยแขวนไว้ในบ้านสมัยเด็กของเธอในเมืองวอซอ รัฐวิสคอนซิน หรือแม้กระทั่งเพนต์เฮาส์ในซานฟรานซิสโกของเธอเองก็มีความคล้ายกันแต่มีราคาแพงกว่าเท่านั้น

“เคยมีคนมาหาฉันที่อพาร์ทเมนต์แล้วพูดว่า ‘อพาร์ทเมนต์ของคุณดูเหมือน Google หรือ Google ดูเหมือนอพาร์ทเมนต์ของคุณหรือเปล่า”

ในฐานะรองประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์การค้นหาและประสบการณ์ผู้ใช้งาน เมเยอร์ได้ผสมผสานรสนิยมส่วนตัวเข้ากับความสามารถในนการจัดการเจ้านายของเธออย่าง เซอร์เกย์ บริน และ ลาร์รี่ เพจ

นับตั้งแต่ร่วมงานกับ Google เธอได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์และฟีเจอร์ต่าง ๆ มากกว่า 100 รายการ ซึ่งหลายอย่างประสบความสำเร็จ เช่น Google News , Gmail และ Image Search เป็นต้น

ในเช้าวันหนึ่ง ผู้จัดการด้านซอฟต์แวร์และผู้บริหารจำนวนหนึ่งรวมตัวกันรอบโต๊ะยาวในอาคาร 43 ที่วิทยาเขตของ Google ใน Mountain View เพื่อตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงในผลิตภัณฑ์ที่กำลังพัฒนา

เมเยอร์มาสายทีมแรกที่เตรียมนำเสนอพร้อมแล้ว หน้าเว็บสรุปรายงานความคืบหน้าพวกเขาฉายอยู่บนผนังสีขาวขนาดใหญ่

เมื่อเมเยอร์เข้ามาในห้องเพียงไม่กี่นาที ก็ได้เข้ามาขัดจังหวะการประชุมอย่างรวดเร็ว “ข้อความสีเทาบนพื้นเทานั้นอ่านยาก” เธอกล่าว “เราจะทำยังไงกับเรื่องนี้?”

“เราเปลี่ยนแปลงได้” ผู้จัดการทีมยอมรับ

ในระหว่างการนำเสนอครั้งถัดไป เมเยอร์รู้สึกไม่ประทับใจกับรูปแบบภาษาที่แสดงในหน้า Google Health ที่จะอนุญาตให้ผู้ใช้แชร์ข้อมูลทางการแพทย์

“ฉันไม่ชอบคำว่า ‘เชิญ’ และ ‘ดู'” เธอกล่าว “สองคำนี้มันให้ความรู้สึกไม่เป็นทางการ”

“เราใช้คำว่า ‘เชิญ’ เพราะเป็นคำแสดงการกระทำ ดังนั้นผู้ใช้จึงรู้ว่าต้องทำอะไรสักอย่าง” ผู้จัดการทีมระดับ Junior ตอบ

เมเยอร์ถึงกลับกลอกตา “มันไม่ใช่งานปาร์ตี้” เธอกล่าว

เมเยอร์ในการประชุมกับเหล่าทีมงาน Googler (CR:The New York Times)
เมเยอร์ในการประชุมกับเหล่าทีมงาน Googler (CR:The New York Times)

ซึ่งในท้ายที่สุดเมเยอร์ก็ให้แนวทางที่เป็นทิศทางเดียวกันกับเหล่าผู้จัดการเกี่ยวกับฟีเจอร์และผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของ Google ในการนำเสนออื่น ๆ ในวันนั้น เธอกล่าวว่า แนวทางดังกล่าวที่เธอคอมเมนต์ไปนั้นได้รับการคิดค้นขึ้นจากการทดลองภายในมากมายเพื่อวัดความพึงพอใจของผู้ใช้

การเลือกเฉดสีน้ำเงิน

เหตุการณ์ที่สำคัญที่เมเยอร์ได้เข้ามาตัดสินใจครั้งสำคัญก็คือ เฉดสีในการออกแบบระหว่าง 2 สี ที่ทีมออกแบบได้ทำการสร้างขึ้นมาเพื่อใช้สำหรับแถบเครื่องมือบนหน้าเว็บของ Google

เมเยอร์ได้ตัดสินใจโดยใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูล โดยให้ทีมสร้างสีน้ำเงินขึ้นมา 40 เฉดสี โดยการทดสอบแบบ A/B Testing อย่างถี่ถ้วน ซึ่งมีการแบ่งผู้ใช้ google เป็น 40 กลุ่ม แต่ละกลุ่มจะทดสอบร้อยละ 2.5 ของสีน้ำเงินทั้ง 40 เฉดนั้น

โดยเมื่อกลุ่มทดลองเข้ามาใช้เว็บคนละวัน หรือคนละเวลา จะเจอสีที่แตกต่างกัน จากนั้นก็เฝ้าดูพฤติกรรมการคลิก และปฏิสัมพันธ์กับหน้าจอของโปรแกรม ซึ่งจะได้ผลข้อมูลทางสถิติที่แม่นยำและละเอียดถี่ถ้วน

ซึ่งถ้าหากเธอทำงานอยู่ที่ Apple ทีมออกแบบคงทำงานได้อย่างสบายใจ เพราะจะอยู่บนพื้นฐานของความสวยงาม ตามความต้องการของผู้นำอย่าง สตีฟ จ็อบส์เป็นหลัก แต่ google นั้นพึ่งพาข้อมูลเบื้องหลังเหล่านี้ เพื่อให้เข้าถึงคนจำนวนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

Apple ที่ สตีฟ จ็อบส์ และ โจนาธาน ไอฟฟ์ หัวหน้าฝ่ายออกแบบเป็นคนตัดสินใจหลัก (CR:Apple Insider)
Apple ที่ สตีฟ จ็อบส์ และ โจนาธาน ไอฟฟ์ หัวหน้าฝ่ายออกแบบเป็นคนตัดสินใจหลัก (CR:Apple Insider)

ซึ่งการตัดสินใจต่าง ๆ ใน google นั้นจะต้องอิงอยู่บนพื้นฐานที่ว่า อะไรใช้ดีที่สุดกับคนจำนวนมากที่สุด เพียงแค่เรื่องเฉดสี ก็มีผลต่อจำนวนผู้ใช้งาน ลองจินตนาการว่า หากเป็นผู้ใช้หลักพันล้านคนเหมือนในปัจจุบัน รายละเอียดเล็กน้อยที่ทำให้คนใช้งานมากขึ้นเพียง 1% ก็มีสัดส่วนถึง 10 ล้านคน และจะสร้างรายได้เพิ่มขึ้นอีกมากมายนั่นเอง

ในขณะที่เมื่อเทียบกับยักษ์ใหญ่อีกรายอย่าง Microsoft ซึ่งซอฟต์แวร์ของพวกเขาเองก็มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนจำนวนมหาศาลเช่นกัน ผ่านผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทคือ Windows และ Microsoft Office ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ของ Desktop ทำให้ปรับแต่งเพิ่มเติมได้ไม่มีที่สิ้นสุด Microsoft จึงเลือกใช้วิธีการเอามันหมดทุกอย่างมาแก้ปัญหา โดยแทบจะไม่ตัดฟีเจอร์ใด ๆ ออกไปเลย โดยเฉพาะหากเป็นความต้องการของผู้ใช้งานจากบริษัทใหญ่ ๆ 

Microsoft นั้นไม่มีทางที่จะทิ้งฟีเจอร์เหล่านั้นไปเป็นเด็ดอันขาด ซึ่งแน่นอนว่า software ของ Microsoft นั้นทำให้คนจำนวนมากพอใจ เพราะรับรองว่ามีฟีเจอร์ทุกอย่างที่คุณต้องการ

แต่มันก็แถมมาด้วยอีกนับ 100 ฟีเจอร์ที่คุณไม่ต้องการด้วย ไม่เชื่อลองถามตัวคุณเองตอนนี้ว่า คุณใช้ฟีเจอร์ของชุด office ของ Microsoft เพียงกี่อย่าง แต่สิ่งที่ชุด office ของ Microsoft ทำได้นั้นมีมหาศาล

ซึ่งการเก็บองค์ประกอบทุกอย่างไว้แบบที่ Microsoft ทำนั้น มันขัดแย้งโดยสิ้นเชิงกับการออกแบบที่แท้จริง และขัดแย้งกับประสบการณ์ของผู้ใช้งานอีกด้วย ซึ่งวิธีนี้มันไม่เหมาะกับวิถีของ google อย่างแน่นอน และใช้ไม่ได้กับวิถีของ Apple ที่ทำตามแนวทางของ สตีฟ จ็อบส์ และ โจนาธาน ไอฟฟ์ หัวหน้าฝ่ายออกแบบมาหลายปีแล้ว ซึ่งสรุปก็คือ การออกแบบนั้นเป็นเรื่องของสิ่งที่ตัดทิ้ง ไม่ใช่สิ่งที่เก็บไว้นั่นเอง

ซึ่งวัฒนธรรมการคิดแบบ Engineer ของ google นี่เอง ที่ google ได้แย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดของการค้นหาอย่างรวดเร็ว

ซึ่งในปี 2000 ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของบริษัท มีคนเข้ามาค้นหาถึง 8 ล้านครั้งต่อวัน และเพิ่มเป็น 9 ล้านครั้งต่อวัน ในเพียงไม่กี่สัปดาห์ต่อมา มันเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดด จนทำให้พวกเขากลายมาเป็นเว็บไซต์ Search Engine อันดับหนึ่งตลอดมาอย่างที่เราได้เห็นกันในปัจจุบันนั่นเองครับ

References :
https://www.fastcompany.com/1403230/googles-marissa-mayer-assaults-designers-data
https://www.nytimes.com/2009/03/01/business/01marissa.html
https://www.firstpost.com/tech/news-analysis/from-google-to-yahoo-who-is-marissa-mayer-2-3603701.html

ไฮเออร์ เปิดตัวเครื่องทำน้ำอุ่น F1 series ผสมผสานความสง่างามและความทนทาน

ไฮเออร์ (ประเทศไทย) ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าระดับโลกและ    แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าอันดับ 1 ของโลกติดต่อกัน 14 ปีซ้อน ประกาศเปิดตัวนวัตกรรมใหม่ล่าสุด เครื่องทำน้ำอุ่น F1 series ด้วยการออกแบบที่โฉบเฉี่ยวและซับซ้อน ประสิทธิภาพที่โดดเด่น และคุณสมบัติด้านความปลอดภัยขั้นสูง F1 series ได้รับการออกแบบมาเพื่อปฏิวัติอุตสาหกรรมเครื่องทำน้ำอุ่น

คุณสมบัติโดดเด่นของ F1 series คือขดลวดทองแดงของท่อทำความร้อนแบบคู่ นวัตกรรมเทคโนโลยีทำความร้อนที่ผลิตจากวัสดุทองแดงบริสุทธิ์ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องทำน้ำอุ่น ทนทานต่อตะกรันและการกัดกร่อน ช่วยเร่งกระบวนการการทำความร้อนและรับประกันอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น

ในด้านของความปลอดภัย F1 series มาพร้อมกับเทคโนโลยี Shock Proof ระบบฉนวนล้ำสมัยที่ป้องกันกระแสไฟฟ้ารั่วไหล ผู้ใช้จึงมั่นใจได้ถึงประสบการณ์การอาบน้ำที่ปลอดภัย เทคโนโลยีจะปรับแรงดันไฟฟ้าจากสูงไปต่ำได้อย่างราบรื่น โดยให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้ใช้งาน

เครื่องทำน้ำอุ่น F1 series ยังมีหม้อต้มทองแดงแบบหนา ที่ผ่านการทดสอบแรงดันอย่างพิถีพิถันถึง 100,000 ครั้ง รับประกันความแข็งแกร่งและความทนทานต่อการกัดกร่อนเป็นพิเศษ สร้างความอุ่นใจให้กับผู้บริโภค

เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้ ไฮเออร์ได้รวมระบบ 4D AI Thermostat ไว้ใน F1 series ระบบอัจฉริยะนี้ประกอบด้วยเซ็นเซอร์วัดการไหลของน้ำ ส่งไปยัง Smart AI CPU คำนวณความร้อนที่ต้องที่อุณหภูมิที่ตั้งไว้ โดยเทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยให้ควบคุมอุณหภูมิของน้ำได้อย่างคงที่

ความมุ่งมั่นของไฮเออร์ในด้านสุขอนามัยจะเห็นได้จากผลิตภัณฑ์ใน F1 series ผ่านทางเทคโนโลยีต่อต้านแบคทีเรีย Ag+ (ABT) โดยนวัตกรรมที่ก้าวล้ำนี้จะปล่อยอนุภาค Ag+ เพื่อยับยั้งแบคทีเรียในน้ำอย่างมีประสิทธิภาพถึง 99.9% F1 series ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเพลิดเพลินกับน้ำที่สะอาดและปลอดภัยทุกครั้งที่อาบน้ำ

หัวฝักบัวอเนกประสงค์พร้อมก้านฝักบัวปรับระดับได้ตั้งแต่ 0-330 มม. ตอบสนองความต้องการในการอาบน้ำที่หลากหลาย การออกแบบท่อแบบเกลียวช่วยป้องกันไม่ให้สายฝักบัวพันกัน ช่วยให้ทำความสะอาดได้ ทำให้มั่นใจได้ถึงประสบการณ์ที่สบายและผ่อนคลาย นอกจากนี้ วาล์วควบคุมการไหลแบบกรองที่ทำจากวัสดุพลาสติก ABS ที่ทนทาน

ไฮเออร์ยืนหยัดอยู่เบื้องหลังคุณภาพและความน่าเชื่อถือของเครื่องทำน้ำอุ่น F1 series โดยนำเสนอ การรับประกันที่ครอบคลุม โดยตัวเครื่องรับประกัน 2 ปี และอุปกรณ์ทำความร้อนรับประกัน 5 ปี  การรับประกันนี้ช่วยให้ผู้บริโภคเพลิดเพลินกับเครื่องทำน้ำอุ่น F1 series ได้อย่างไร้กังวล

เครื่องทำน้ำอุ่น F1 series ประกอบด้วยทั้งหมด 6 รุ่น :

1. EI35M-F1W (กำลังไฟฟ้า 3500 วัตต์) สีขาว

2. EI45M-F1W (กำลังไฟฟ้า 4500 วัตต์) สีขาว

3. EI35M-F1CW (กำลังไฟฟ้า 3500 วัตต์) สีขาว-เทา

4. EI45M-F1CW (กำลังไฟฟ้า 4500 วัตต์) สีขาว-เทา

5. EI35M-F1CWB (กำลังไฟ 3500 วัตต์) สีขาว-ดำ

6. EI45M-F1CWB (กำลังไฟฟ้า 4500 วัตต์) สีขาว-ดำ

โดยเครื่องทำน้ำอุ่น F1 series วางจำหน่ายแล้วในช่วงกลางเดือนตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา สามารถซื้อได้ที่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ และตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไฮเออร์ทั่วประเทศไทย สอบถามรายละเอียดจุดจำหน่ายเพิ่มเติมได้ที่ Line OA : @haierthailand 

สามารถติดตามข้อมูลข่าวสาร โปรโมชัน และกิจกรรมต่าง ๆ จากไฮเออร์ได้ที่ Facebook : Haier Thailand, Instagram : @haierthailand_official, X (Twitter) : @ThailandHaier และ TikTok : @haier_thailand, Line OA : @haierthailand หรือดูรายละเอียดสินค้าเพิ่มเติม ได้ที่ https://www.haier.com/th