Escape From Pretoria กับการเดินทางที่ไม่มีวันหวนกลับของ Elon Musk

หลาย ๆ ท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าตัว อีลอน มัสก์ นั้นได้เติบโตขึ้นในวัยเด็กในประเทศแอฟริกาใต้ซึ่งประเทศแอฟริกาใต้นี่เองเป็นที่ที่ มัสก์ นั้นได้หล่อหลอมเอาความคิดและนิสัยบางอย่างจากสภาพแวดล้อมรวมถึงวัฒนธรรม ที่สุดท้ายมันได้หล่อหลอมให้กลายเป็น อีลอน มัสก์ อย่างที่เราได้เห็นกันในทุกวันนี้

และหลายท่านอาจจะไม่รู้ว่า นามสกุลของ อีลอน มัสก์ นั้น นับเป็นหนึ่งในนามสกุลที่เก่าแก่ที่สุดนามสกุลนึงเลยก็ว่าได้ของประเทศอังกฤษ ซึ่งถือได้ว่า มัสก์ นั้นเป็นนามสกุลแรก ๆ ของอังกฤษ หลังจากประเทศอังกฤษได้เริ่มมีการปรับมาให้ใช้นามสกุลเพิ่มจากเดิมที่เหล่าประชากรจะมีแต่เพียงแค่ชื่อเพียงเท่านั้น ซึ่งการเกิดขึ้นของนามสกุลก็เพื่อใช้ในการจัดเก็บภาษีได้สะดวกขึ้นนั่นเอง

ถ้าจะย้อนไปถึงรากเหง้าจริง ๆ ของตระกูล มัสก์ นั้นมีข้อมูลว่าสามารถที่จะติดตามย้อนกลับไปได้ถึง ศตวรรษที่ 18 ต้นตระกูลจริง  ๆ นั้นคือ เฮนรี่ มัสก์ ที่ได้แต่งงานกับ Mary Faulkener ซึ่งทั้งสองใช้ชีวิตอยู่ในประเทศอังกฤษและมีลูกๆ  รวมทั้งสิ้น 4 คน และสืบเชื้อสายต่อเนื่องมาจนถึง อีลอน มัสก์ ในปัจจุบัน

มัสก์ มักจะถูกล้อเสมอ ๆ ในวัยเด็กเพราะชื่อที่แปลกประหลาดอย่าง อีลอน นั้นมีที่มาจากไหนซึ่งชื่อของเขามาจากคุณตาทวดที่ชื่อ จอห์น อีลอน ฮัลเดอมัน ซึ่งคุณตาทวดของมัสก์ นั้น ได้เสียชีวิตลงด้วยโรคเบาหวานซึ่งเป็นโรคร้ายแรงที่ไม่มียารักษาในขณะนั้นโดยเสียชีวิตในปี 1909

ภรรยาของ คุณตาทวด จอห์น อีลอน ฮัลเดอมัน คือ  อัลเมด้า ฮัลเดอมัน ต้องต่อสู้ดิ้นรนกับลูกชาย ซึ่งก็คือคุณตาของมัสก์ โจชัว ฮัลเดอมัน โดยหลังจากสามีได้เสียชีวิตไปก็ได้ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่ประเทศแคนาดาด้วยความเชื่อที่ว่าหากเป็นโรคเบาหวานจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้หากอยู่ในที่ที่หนาวพอซึ่งแคนาดาสามารถตอบสนองสิ่งดังกล่าวได้ดี

ซึ่งต้นแบบหลักของมัสก์ก็น่าจะเป็นคุณตาของเขาอย่าง โจชัว ฮัลเดอมัน นี่เองที่เป็นผู้ชายแหวกแนวที่มีความโดดเด่นอย่างมากซึ่งเป็นต้นแบบที่สำคัญของมัสก์ต่อมา

โจชัว ฮัลเดอมัน คุณตาผู้เป็นต้นแบบนิสัยหลายอย่างของ มัสก์ (CR:Bloomberg)
โจชัว ฮัลเดอมัน คุณตาผู้เป็นต้นแบบนิสัยหลายอย่างของ มัสก์ (CR:Bloomberg)

โจชัว คุณตาของมัสก์ นั้นทำงานได้หลายอย่างและยังมีทักษะในหลาย ๆ เรื่องเช่น การต่อยมวย การเล่นมวยปล้ำ การยิงปืน การไต่เชือก เรียกได้ว่าเป็นคนที่มีความสามารถหลากหลายเลยทีเดียวในขณะนั้น 

คุณตา โจชัว ได้แต่งงานกับ วีน ครูสอนในสตูดิโอเต้นรำชาวแคนาดาในปี 1948 โดยมีลูกด้วยกัน 5 คน และสองในห้า นี้เป็นฝาแฝดคือ เคย์ และ เมย์ ซึ่งก็คือแม่บังเกิดเกล้าของอีลอน มัสก์ ในภายหลังนั่นเอง

คุณตา โจชัว เป็นคนโลดโผนและใช้แนวคิดแบบเสรีนิยมในการเลี้ยงลูก ๆ ของเขา เขาชอบขับเครื่องบินในตอนนั้นเขาได้เปิดคลินิกไคโรแพรกติกซึ่งเป็นคลินิกแพทย์ทางเลือกที่มีความนิยมในสมัยนั้นเป็นอย่างมาก

แต่ในปี 1950 ชีวิตของคุณตา โจชัว และครอบครัวก็ต้องออกผจญภัยอีกครั้งเพราะคุณตาเบื่อกับระบบราชการแคนาดาที่ชอบมาก้าวก่ายชีวิตการทำงานของเขาและนิสัยรักการผจญภัยของเขารวมถึงเขาก็มีแนวคิดที่จะนำเอาคลินิกไคโรแพรกติกไปเผยแพร่ในประเทศอย่างแอฟริกาใต้อีกด้วย เขาจึงพาครอบครัวทั้งหมดออกเดินทางไปแอฟริกาใต้ ที่ๆ พวกเขาไม่เคยไปมาก่อนเลยด้วยซ้ำ

วีรบุรุษ วินสตัน เชอร์ชิล

สำหรับเมืองในแอฟริกาใต้ ที่ โจชัว ต้องการจะไปอาศัยนั้นเขายังไม่ได้ตัดสินใจตั้งแต่แรกเขาทำการบินด้วยเครื่องบินส่วนตัวของเขาสำรวจดูเมืองต่าง ๆ ทั่วแอฟริกาใต้ จนสุดท้ายมาปักหลักอยู่ที่เมือง พริทอเรีย นอกกรุงโจฮันเนสเบิร์ก 

ถ้าเปรียบเทียบชีวิตของอีลอน มัสก์ ตอนเด็กสมัยที่อาศัยอยู่ในเมือง พริทอเรีย ของแอฟริกาใต้ เขาแทบดูจะไม่มีความสุขกับการใช้ชีวิตในเมืองนี้เลยด้วยซ้ำอาจจะกล่าวได้ว่าเมืองแห่งนี้มันเหมือนคุกสำหรับกักขัง อีลอน มัสก์ ให้เขาแทบจะต้องเก็บตัวอยู่คนเดียว แต่เมืองแห่งนี้มันได้หล่อหลอมนิสัยบางอย่างของเขาซึ่งเป็นคุณลักษณะสำคัญของผู้ที่ประสบความสำเร็จมากมายนั่นคือนิสัยรักการอ่าน

อดีตนายกรัฐมนตรีผู้ยิ่งใหญ่ของอังกฤษอย่าง วินสตัน เชอร์ชิล  เมื่อเขาหันเหชีวิตเข้าสู่การเมืองครั้งแรกเขาลงสมัครรับเลือกตั้งในตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง

ทั้งนี้เชอร์ชิลเพิ่งมีอายุ 25 ปี และไม่มีใครรู้จัก เขาจึงได้หันกลับมาสู่ปืนและปากกาอีกครั้งหนึ่ง ในปีนั้นเองสงครามบัวร์ได้เริ่มปะทุขึ้น สงครามดังกล่าวเป็นการรบระหว่างกองทัพอังกฤษและชาวดัตช์ผู้ไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในดินแดนแอฟริกาใต้

ฉนวนสงครามเกิดขึ้นเมื่อมีการค้นพบแหล่งแร่มีค่า เช่น ทองคำและเพชร รัฐบาลอังกฤษจึงได้มีความคิดที่จะเข้าครอบครองดินแดนดังกล่าว เขามองเห็นช่องทางในการที่จะทำในสิ่งที่ตนรักคือการเขียนหนังสือ เขาจึงตกลงกับหนังสือพิมพ์ Morning Post เพื่อที่จะติดตามข่าวเรื่องนี้โดยเขาได้นั่งรถไฟไปกับกองทหารอังกฤษแต่ขบวนรถไฟดังกล่าวถูกโจมตีอย่างหนักจากทหารชาวบัวร์

เมื่อเกิดวิกฤตเช่นนี้เขาก็ได้สร้างวีรกรรมคือรับอาสาฝ่ากระสุนปืนของพวกบัวร์ไปเคลื่อนย้ายตู้รถไฟที่ขวางทางอยู่ ทำให้ขบวนรถที่เต็มไปด้วยทหารที่บาดเจ็บสามารถผ่านออกจากสนามรบไปได้อย่างปลอดภัย อย่างไรก็ดีทหารอังกฤษอีก 52 นาย รวมทั้งตัวเขาเองถูกจับเป็นเชลยทั้งหมด

เขาถูกคุมขังประมาณ 1 เดือนด้วยความอัดอั้นตันใจแม้เขาจะไม่ได้ถูกทรมานใดๆ แต่การต้องมาทนอยู่เฉยๆ เป็นเหมือนการทำให้เขาเสียเวลาในการแสวงหาชื่อเสียงไปโดยเปล่าโดยที่เขายังไม่รู้ว่าขณะเดียวกันนั้นหนังสือพิมพ์พากันประโคมข่าวถึงเขาและคนอังกฤษกำลังสวดมนต์อ้อนวอนขอให้พระเจ้าคุ้มครองให้แก่วีรบุรษเชอร์ชิลผู้ซึ่งอยู่ระหว่างการคุมขัง

ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1899 เขาได้หลบหนีออกมาจากที่คุมขัง ท่ามกลางกองกำลังพลของทหารชาวบัวร์จำนวนมากมายมหาศาล เขาสามารถหนีกลับมาที่กองทัพอังกฤษได้อย่างปลอดภัย และเมื่อกองทหารอังกฤษบุกเข้ายึดกรุงพริทอเรีย เชอร์ชิลก็ได้เป็นผู้ขี่ม้านำหน้าใครๆ เข้าไปฉีกธงของพวกบัวร์ที่ปักไว้หน้าคุกที่เคยกักขังเขาไว้ทิ้ง

เชอร์ชิล ในสมัยที่หนีออกจากคุกในเมือง พริทอเรีย ได้สำเร็จ (CR:All About History)
เชอร์ชิล ในสมัยที่หนีออกจากคุกในเมือง พริทอเรีย ได้สำเร็จ (CR:All About History)

หลังจากนั้นเขาได้เดินทางกลับมายังประเทศอังกฤษ และได้รับการต้อนรับอย่างใหญ่โตในฐานะวีรบุรุษของชาติ เขาได้เข้าสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้งและประสบความสำเร็จ โดยได้รับเลือกให้เป็นผู้แทนราษฎรนับว่าเป็นจุดเริ่มต้นในชีวิตบนเส้นทางการเมืองอันยาวนานและยิ่งใหญ่ของเขานั่นเอง

ซึ่งจะว่าไปแล้วเส้นทางชีวิตของ วินสตัน เชอร์ชิล ในเมืองพริทอเรียมันก็แทบจะคล้ายกับ อีลอน มัสก์ ประสบพบเจอตอนใช้ชีวิตอยู่ในเมืองพริทอเรียแห่งแอฟริกาใต้

ในวัย 6 ขวบ ในงานปาร์ตี้ครั้งนึงที่บ้านของญาติเขาในเมือง พริทอเรีย ด้วยความที่ มัสก์ นั้นได้ถูกห้ามจากแม่ของเขาไม่ให้ไปงานปาร์ตี้ที่บ้านญาติของเขา

เขาไม่เห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าวเขาจึงได้วางแผนที่จะหนีไปจากบ้านเพื่อไปยังงานปาร์ตี้ ซึ่งความคิดแรกของ มัสก์นั้นเขาก็อยากที่จะปั่นจักรยานไปแทนที่จะเดินซึ่งเป็นระยะทางที่ยาวไกล 

แต่ เมย์ แม่ของมัสก์ ได้หลอกกับเขาว่าการที่จะขับรถจักรยานได้นั้นต้องมีใบขับขี่และตำรวจจะจับหากยังดื้อด้านที่จะขับรถจักรยานออกไปข้างนอกซึ่ง มัสก์ นั้นมีทางเลือกเดียวที่ต้องเดินข้ามเมือง พริทอเรีย ที่ต้องใช้ระยะทางกว่า 10 ไมล์ ( 16 km) เพื่อไปยังที่จัดงานปาร์ตี้

มันเป็นเส้นทางเดียวกับที่ เชอร์ชิล หนีออกจากคุก ซึ่งเชอร์ชิล นั้นได้แต่เฝ้ามองทิศผ่านดวงดาวเพื่อหนีออกไปจาก พริทอเรีย ให้ได้แต่มัสก์เด็กน้อยวัย 6 ขวบ ที่ตอนนั้นถือได้ว่าเป็นนักอ่านตัวยง

มัสก์ ได้อ่านสัญญาณจราจรบนถนนเพื่อเดินทางไปยังปาร์ตี้ให้ได้ เขาเดินผ่านตึกยุคโบราณที่มีอยู่เต็มเมืองพริทอเรีย ซึ่งต้องใช้เวลากว่า 4 ชม. กว่าจะถึงสถานที่จัดงานปาร์ตี้ดังกล่าว

และมันเป็นจังหวะที่ เมย์ แม่ของเขาเห็นเข้าพอดีซึ่งมัสก์นั้นไม่ได้รับอนุญาติให้มางานดังกล่าว ทางเดียวที่เขาทำได้ในตอนนั้นคือ หนี!!! และมัสก์ ก็หนีโดยการปีนต้นไม้ขึ้นไปอย่างรวดเร็วซึ่งเป็นทางเลือกที่หนูน้อยมัสก์คิดออก ณ ขณะนั้น 

เมย์ แม่บังเกิดเกล้าของ อีลอน มัสก์ (CR:Reddit)
เมย์ แม่บังเกิดเกล้าของ อีลอน มัสก์ (CR:Reddit)

มัสก์ อยู่บนต้นไม้ไม่ยอมลงมาจนแม่เขาต้องสัญญาว่าจะไม่ทำโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้น เขาลงมาพร้อมความรู้สึกเบื่อหน่ายและต้องกลับบ้านเหมือนที่เขาต้องทำทุก ๆ ครั้ง เพราะที่พริทอเรียมันคือคุกดี ๆ สำหรับมัสก์นั่นเอง

ที่ พริทอเรีย มัสก์ แทบจะไม่มีเพื่อน เวลาส่วนใหญ่ในการใช้ชีวิตที่แอฟริกาใต้ คือ เล่นกับลูกพี่ลูกน้องของเขา หรือ อ่านหนังสือ หรือสิ่งสุดท้ายที่เขาจะทำก็คือการดูทีวีเพราะเขาเกลียดรายการทีวีที่นี่เป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้มัสก์มีนิสัยเบื่อง่ายเป็นอย่างมาก

นักอ่านตัวยง

แต่สิ่งนึงที่เขาชอบที่สุด ก็คือ การอ่านหนังสือ มัสก์อ่านทุกอย่างที่อ่านได้เพื่อเป็นการแก้เบื่อของเขาในการใช้ชีวิตที่นี่ เขาสามารถใช้เวลากับหนังสือเล่มโปรดกว่า 10 ชม.ต่อวัน เขาอ่านหนังสือได้มากมาย บางครั้งสามารถอ่านหนังสือเล่มใหญ่ ๆ ได้ 2 เล่มภายในวันเดียวเลยด้วยซ้ำ

เขามักจะไปฝังตัวอยู่ที่ร้านหนังสือเป็นประจำ มันเหมือนโลกทั้งใบของเขาคือโลกของการอ่านหนังสือนี่เอง  บางครั้งการไปฝังตัวที่ร้านหนังสือของเขานานจนเจ้าของร้านต้องมาไล่ให้เขากลับบ้าน แม้กระทั่งยามที่ทานอาหารมือค่ำหากมีอาหารที่ไม่น่าสนใจนักเขาก็มักจะพกหนังสือมานั่งอ่านบนโต๊ะอาหารด้วย

หนังสือที่เขาชอบนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องราวของฮีโร่ที่มากอบกู้โลกหรือหนังสือที่เกี่ยวข้องกับการผจญภัย มีหลาย ๆ เล่มที่น่าสนใจ มัสก์ ได้อ่านมาหมดแล้วไม่ว่าจะเป็น The Lord of the Rings by J.R.R Tolkien , everything by Jules Verne , the Foundation Series by Isaac Asimov หรือ everything by Robert Heinlein และอีกมากมาย

หนังสืออย่าง everything by Jules Verne นั้นทำให้ มัสก์ สนใจเรื่องฟิสิกส์รวมถึงเรื่องของสิ่งที่เป็นอนาคต เช่น เรือดำน้ำ , ยานอวกาศ  การเดินทางไปในอวกาศ ซึ่งล้วนแล้วเป็นที่มาในความสนใจของเขาที่สุดท้ายแล้วมาสร้างบริษัท SpaceX แทบจะทั้งสิ้น

ซึ่งหลายปีต่อมาเขาก็ชอบอ่านประวัติบุคคลสำคัญไม่ว่าจะเป็น Benjamin Franklin หรือแม่กระทั่งประวัติของ สตีฟ จ็อบส์ เขาก็สนใจเรื่องจิตวิญญาณในการเป็นผู้ประกอบการของผู้ที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจเหล่านี้

การ์ตูนก็เป็นสิ่งที่เด็กทุกคนสนใจซึ่งมัสก์เองก็เหมือนเด็กทั่ว ๆ ไป เขาไล่อ่านการ์ตูนหลาย  ๆ เรื่องตั้งแต่ Batman ไปจนถึง Iron Man ซึ่งสุดท้ายหลายๆ สื่อได้ยกเขาเปรียบเสมือน Iron Man ในโลกแห่งความจริงเลยด้วยซ้ำ

ซึ่งหลังจากอ่านการ์ตูนจนไม่มีอะไรจะให้เขาอ่านแล้วนั้น เขาก็เริ่มสนใจไปอ่านหนังสืออย่าง Encyclopedia Britannica ซึ่งแม่ของเขายังตกใจว่า มัสก์ นั้นสามารถจดจำเนื้อหาส่วนใหญ่ของ encyclopedia หลังจากอ่านจบ พี่สาวของเขาทอสก้าได้ให้ฉายากับมัสก์ว่า “genius boy” เพราะทึ่งในความสามารถในการจดจำทุกสิ่งทุกอย่างของมัสก์

ครูของมัสก์นั้นก็คิดไม่ต่างจากพี่สาวของเขา  แม้มัสก์จะเป็นคนเงียบแต่ก็มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร เป็นอัจฉริยะด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ และเป็นคนที่รักคอมพิวเตอร์มาตั้งแต่เด็ก

แต่ตัวมัสก์เองนั้นก็ไม่ได้เป็นที่รักของเพื่อน ๆ ร่วมชั้นเสียทีเดียว เพราะเขาต้องการที่จะพิสูจน์ตัวเองว่าเขานั้นฉลาดกว่าใครเพื่อน และความฉลาดของเขานั้น เขาก็ต้องการจะช่วยเพื่อน ๆ ด้วย แต่ส่วนใหญ่เพื่อน ๆ จะไม่ค่อยเข้าใจกับความหวังดีของมัสก์ในลักษณะนี้มันทำให้เขาดูแปลกในสายตาเพื่อน ๆ ตั้งแต่เด็ก

เขาไม่ค่อยสุงสิงกับเพื่อนสักเท่าไหร่มักจะไปขลุกอยู่ในห้องสมุดของโรงเรียนเสียมากกว่า ในขณะที่เพื่อน ๆ ต่างเล่นสนุกกันซึ่งนิสัยเหล่านี้นั้น จะเห็นได้ว่าจะคล้ายกับเหล่านักธุรกิจทางด้านเทคโนโลยีที่ประสบความสำเร็จมาแล้วทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น สตีฟ จ็อบส์ หรือ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก

มันเป็นช่วงเวลาที่ใช้ชีวิตได้ลำบากมาก ๆ สำหรับเด็กน้อยยอดอัจฉริยะอย่าง อีลอน มัสก์ ซึ่งชีวิตในวัยเด็กก็ส่งผลสำคัญต่อมัสก์เป็นอย่างมาก มันเป็นชีวิตที่น่าเบื่อของเขามาก ๆ กับการใช้ชีวิตในแอฟริกาเขามักถูกรังแกจากเพื่อนร่วมชั้นอยู่เสมอ แต่มันไม่มีทางเลือกสำหรับเด็กที่ต้องตื่นเช้าและไปโรงเรียนเขาเกลียดชีวิตในวัยเด็กของตัวเองเป็นอย่างมาก

และมันได้ส่งผลต่อชีวิตในครอบครัวของเขา การที่เขาเป็นเด็กที่ฉลาดมากบางครั้งทำให้ไม่ค่อยเชื่อฟังสิ่งที่พ่อแม่พูด เขามักจะถามหาเหตุผลในทุก ๆ เรื่อง คำว่า Why? นั้นคือประโยคที่เขามักพูดกับแม่เขาบ่อย ๆ เพราะเขาเป็นคนที่รู้เยอะมากจากการอ่าน บางครั้งหากพ่อแม่สอนอะไรผิด ๆ เขาก็มักจะสวนกลับไปทันทีและไม่มีท่าทีรดราวาศอกเขาจะเถียงจนกว่าแม่เขาจะยอมแพ้ไปเท่านั้น

มัสก์ในวัยเด็กที่เมืองพริทอเรีย (CR:ilovetesla)
มัสก์ในวัยเด็กที่เมืองพริทอเรีย (CR:ilovetesla)

สู่โลกคอมพิวเตอร์

จุดเปลี่ยนที่สำคัญของ มัสก์ คือ การได้พบเจอกับโลกใหม่คือคอมพิวเตอร์ เขาได้พยายามสะสมเงินเพื่อซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนตัวเครื่องแรกของเขาอย่าง Commodore VIC-20 ซึ่งแน่นอนสำหรับเด็ก ๆ มันใช้สำหรับเล่นเกมส์นั่นเอง

มัสก์ต้องการสร้างเกมส์ของตัวเอง เขาจึงได้พยายามเรียนรู้ที่จะทำการฝึกเขียนโปรแกรม เขาจึงได้ไปลงเรียนในคลาส computer programming ซึ่งในปี 1983 ในขณะที่เขาอายุได้ 12 ปีนั้น เขาสามารถสร้างเกมส์และขายไปยังนิตยสารที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ได้ถึง 500 เหรียญ เขาติดต่อผา่น mail ง่าย ๆ ไปยังนิตยสารเพื่อต้องการขายเกมส์ที่เขาสร้างขึ้นมา ซึ่งเกมส์แรกที่เขาสร้างขึ้นคือ “Blaster” 

เป็นการเอาแนวคิดเกมส์อาเขต ที่เขาชอบอย่าง Asteroids และ Space Invaders มารวมร่างกันซึ่งจากผลงานชิ้นแรก นั้นทำให้เขาเป็นที่ยอมรับจากนิตยสาร เขาก็สามารถสร้างเกมส์อื่น ๆ ขายได้อีกในภายหลัง

ตอนอายุได้ 17 ปี มัสก์ ต้องการที่จะออกจากแอฟริกาไปยังแคนาดา หนึ่งในเหตุผลหลักคือเขาไม่ต้องการที่จะเข้าไปเกณฑ์ทหาร มัสก์นั้นอยากเข้าเรียนมหาลัยให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ 

เขาต้องการหนีจากแอฟริกาใต้มานานมากแล้ว ที่นี่เปรียบไปก็ไม่ต่างจากคุกสำหรับคนอย่างเขา ความหลงไหลในคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยี และความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของเขาเป็นแรกผลักให้เขาต้องออกจากแอฟริกา แคนาดานั้นเป็นแค่ที่พักชั่วคราวเท่านั้นเพราะเขามีบรรพบุรุษเป็นชาวแคนาดา 

เขาเริ่มเติบโตขึ้นอีกขั้น เขาเป็นผู้ใหญ่ที่พร้อมที่จะไปแสวงโชคที่ดินแดนแห่งเสรีภาพ เป้าหมายอันแรงกล้าของเขาคือ  ซิลิกอน วัลเลย์ สถานที่บ่มเพาะผู้ประกอบการหน้าใหม่ มันชัดเจนว่าเขามีจิตวิญญาณที่จะเป็นผู้ประกอบการที่ยิ่งใหญ่ได้ บวกกับความฉลาดเป็นกรด เขาแค่ต้องเรียนให้จบมหาลัยเท่านั้น และตั๋วเดินทางไปแคนาดามันพร้อมแล้วซึ่งมันจะเป็นการเดินทางจากบ้านไปอย่างไม่มีวันหวนกลับสำหรับชายที่ชื่อ อีลอน มัสก์ ในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม

References :
หนังสือ Elon Musk Tesla ,SpaceX , and the Quest for a Fantastic Future เขียนโดย Ashlee Vance
หนังสือ The Engineer : Follow Elon Musk on a journey from South Africa to Mars โดย Erik Nordeus
หนังสือ จากรถยนต์ไฟฟ้า Tesla สู่อาณาจักรนิคมบนดาวอังคาร เรื่องราวชีวิตของผู้ประกอบการที่อาจหาญที่สุดในยุคของเรา!
ผู้เขียน Ashley Vance (แอชลี แวนซ์)
ผู้แปล จินดารัตน์
https://www.ndtv.com/offbeat/at-17-elon-musk-had-to-be-retested-for-computer-aptitude-because-2382598

FLS Group ฉลองความสำเร็จครบรอบ 30 ปีในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์

FLS Group ผู้นำด้านโซลูชันซัพพลายเชนระดับโลก ได้มีการประกาศถึงความสำเร็จตลอด 30 ปี โดยที่บริษัทเริ่มต้นมาจากไอเดียเล็กๆ กลายมาเป็นสำนักงานเล็กๆ ที่กรุงเทพ ในปี พ.ศ. 2536 และเติบโตมาเป็นองค์กรที่ได้รับการยอมรับและเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์

โดยจุดแข็งที่ทำให้บริษัทเติบโตอย่างมั่นคงได้ก็คือการไม่หยุดพัฒนาบริษัทและด้วยความมุ่งมั่นที่แน่วแน่ในการที่จะเป็นผู้นำของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์  FLS Group มีคำสัญญาจากว่า “We keep the world moving” หรือ “เราจะขับเคลื่อนโลกของเรา” ถือเป็นพันธกิจในการจัดหาโซลูชันซัพพลายเชนที่ดี ซึ่งออกแบบตามความต้องการของลูกค้า และโซลูชันระดับเฟิร์สคลาส แม้จะเป็นพื้นที่ที่ดูว่าจะเป็นไปไม่ได้

คุณ Martin Haeberli ประธานบริษัท FLS Group กล่าวว่า: ตอนที่ผมเริ่มก่อตั้ง FLS ผมมาในฐานะผู้สืบทอดโครงการเมื่อปี พ.ศ. 2536 โดยความท้าทายที่ต้องเผชิญในช่วงนั้น คือการที่บริษัทยังมีลูกค้ามาใช้บริการน้อย แม้โดยส่วนตัวผมมีประสบการณ์ด้านนี้มากว่า 20 ปีแล้วก็ตาม แต่สถานการณ์ตอนนั้นทำให้ผมรู้สึกท้อแท้และคิดว่าอาจจะต้องใช้เวลานานมากในการสร้างคอนเนคชันตั้งแต่ต้นกับ ลูกค้า ตัวแทน และซัพพลายเออร์

หลักจากผ่านการลองผิดลองถูกและล้มเหลวมาแล้วมากมาย แต่ในช่วงเวลานั้นเราก็ค่อยๆ สร้างให้ตัวเรากลายเป็นคู่แข่งในตลาดที่แข็งแกร่งได้ และด้วยทัศนคติที่เรายึดมั่นอย่างจริงจังคือการไม่ยอมแพ้ หลังจากฝ่าฟันอุปสรรคมาหลายปี ทางเราก็ประสบความสำเร็จในสิ่งที่เราเฝ้าตามหามาตลอดในปี พ.ศ. 2541 ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ที่ทำให้เราไม่กลับไปอยู่ในจุดเดิมอีกเลย

การทำธุรกิจของเราหลังจากนั้นเต็มไปด้วยความตื่นตาตื่นใจ ปริมาณสินค้า รายได้ และผลกำไรต่างพุ่งสูงขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน จนมาปี พ.ศ. 2550 ผมรู้งานกำลังเข้ามาเยอะมากและล้นมือแล้วผมจึงได้ชักชวนคุณ Torbjörn Larisch มาเป็นมือขวาของผม และนั่นนับว่าเป็นการตัดสินใจที่ดีมากๆ ครั้งหนึ่งในชีวิตของผมเลย ด้วยศักยภาพของคุณ Torbjörn ผมให้มาเป็นหุ้นส่วนของบริษัท และก็กลายมาเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทถึงปัจจุบัน

คุณ Torbjörn Larisch ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท FLS Group กล่าว “ย้อนกลับไปในตอนนั้นเมื่อ คุณ Martin ขอให้ผมเข้าร่วมงานที่ FLS  ผมก็ตอบกลับไปทันทีว่า ได้อยู่แล้ว ซึ่งจริงๆ ผมเองก็ประทับใจ คุณ Martin มานานแล้ว ทั้งความกระตือรือร้นของเขาและสไตล์การบริหารที่ลงมือปฎิบัติจริง

แน่นอนผมมองเห็นอะไรบางอย่างในตัวเขา จึงทำให้ผมสามารถตอบตกลงได้ทันทีกับการร่วมมือทำงานกับบริษัทขนาดเล็กที่เต็มไปด้วยแพชชันแห่งนี้ เราพบเจอกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทำให้รู้ว่าเราจำเป็นต้องกระจายความเสี่ยง โดยการขยายธุรกิจเพื่อที่จะทำให้ธุรกิจพร้อมรับกับทุกสถานการณ์

ดังนั้นในที่สุด เราได้พัฒนาแผนกส่งต่อ คลังสินค้า และการค้า ซึ่งนอกเหนือจากธุรกิจเดิมและเราได้เปิดสำนักงานใหม่และได้สำรวจตลาดใหม่ทั่วโลกอีกด้วย ผมต้องขอขอบคุณทีม FLS มาก ที่สนับสนุนผมมาโดยตลอด ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นอะไรที่สำคัญของความสำเร็จของเรา เมื่อมองไปข้างหน้า เรายังคงยึดมั่นในค่านิยมหลัก ซึ่งก็คือเราจะทุ่มเทเพื่อแก้ไขปัญหาด้านโลจิสติกส์ และรู้สึกดีใจที่จะขยายธุรกิจของเราต่อไป ไม่มีอะไรที่จะหยุดยั้งไม่ให้สำเร็จได้”

เนื่องในโอกาสครบรอบ 30 ปีของ FLS Group ทางบริษัทได้สนับสนุนชุมชนในประเทศไทยผ่านมูลนิธิช้างเพชร ซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร องค์กรนี้ก่อตั้งเมื่อ 6 ปีที่แล้ว โดยคุณ Martin และ คุณ Torbjörn ซึ่งมูลนิธิยังคงระดมทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อเด็กที่ด้อยโอกาส โดยมีความมุ่งมั่นที่จะช่วยสถานสงเคราะห์เด็กวัดทุ่งเหียงในจังหวัดชลบุรี ประเทศไทย เพื่อมอบบ้านที่ดีให้กับเด็กด้อยโอกาสจำนวน 300 คน ทั้งนี้ เงินทุนทั้งหมดที่ได้มาจะถูกจัดสรรอย่างถูกต้อง เพราะว่าโครงสร้างพื้นฐานหรือสิ่งที่ FLS Group ทำได้นั้น ทาง FLS Group จะเป็นผู้จัดการตรงนี้ให้เองโดยไม่มีค่าใช้จ่าย

นอกจากนี้ ปัญหาสภาวะแวดล้อมของโลกก็เป็นสิ่งที่ FLS Group ให้ความสำคัญ โดยทางบริษัทภูมิใจที่ประกาศการร่วมมือที่กำลังจะเกิดขึ้นกับ Ecomatcher ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำการปลูกต้นไม้ทั่วโลก โดยโครงการนี้ได้สะท้อนถึงแนวคิดการดำเนินธุรกิจของทาง FLS Group ในการมีความรับผิดชอบต่อสังคม หรือ Corporate Social Responsibility

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ FLS Group รวมถึงนวัตกรรมและกิจกรรม www.fls-group.com/news.