ราคาน้ำมันพุ่ง เมื่ออเมริกาโทษปูติน แต่เหตุผลหลักกลับอยู่ที่ตัวไบเดนเองจริงหรือไม่?

ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนเมื่อเร็วๆ นี้เป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุที่ราคาน้ำมันในสหรัฐอเมริกาสูงมาก แต่การตัดสินใจของไบเดนในช่วงสองปีที่ผ่านมาก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญกับสิ่งที่เกิดขึ้น

จากสถิติของศูนย์ข้อมูลพลังงานสหรัฐ (EIA) ราคาเฉลี่ยของน้ำมันเบนซินในสหรัฐในช่วงกลางเดือนมีนาคมอยู่ที่ 4.25 ดอลลาร์ต่อแกลลอน เทียบเท่ากับ 1.12 ดอลลาร์ต่อลิตร ตัวเลขนี้ต่ำกว่าช่วงสงครามเวียดนาม แต่เป็นสถิติสูงสุดตลอดกาลของสหรัฐฯ แซงหน้าจุดสูงสุดเดิมระหว่างปี 2008 ถึง 2011

อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐในเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ 7.9% ซึ่งสูงที่สุดในรอบ 4 ทศวรรษที่ผ่านมา สาเหตุหลักมาจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ราคาน้ำมันเบนซินในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างมากตามราคาน้ำมันระหว่างประเทศ หลังจากที่รัสเซียเริ่มปฏิบัติการทางทหารในยูเครนเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์

เมื่อวันที่ 4 มีนาคม โฆษกทำเนียบขาว Jen Psaki กล่าวโทษประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน และยืนยันว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ทำในสิ่งที่ถูกต้อง:

“ราคาน้ำมันเบนซินที่เพิ่มขึ้นไม่ใช่เพราะนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่เพราะประธานาธิบดีรัสเซียบุกยูเครน สงครามครั้งนี้ทำให้เกิดความไม่แน่นอนอย่างมากในตลาดโลก” Psaki กล่าวกับผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาว

ไบเดน ยังได้ออกแถลงการณ์ที่คล้ายกัน: “ราคาน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 1.05 ดอลลาร์/แกลลอน. เหตุผลหลักคือปูตินรวบรวมกำลังทหารของเขาตามแนวชายแดนของยูเครนแล้วบุกโจมตี ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจในทุกวันนี้ สาเหตุหลักมาจากความผิดของวลาดิมีร์ ปูติน” 

ประธานาธิบดีสหรัฐยังพยายามที่จะหันเหความสนใจของสาธารณชนไปที่บริษัทพลังงาน ในช่วงประมาณหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบดิ่งลงจาก 130 ดอลลาร์/บาร์เรล เหลือต่ำกว่า 100 ดอลลาร์/บาร์เรล และไบเดนกล่าวว่าธุรกิจต่างๆ จำเป็นต้องลดราคาน้ำมันด้วยเช่นกัน

เมื่อวันที่ 16 มีนาคม ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เขียนบน Facebook ว่า “ราคาน้ำมันดิบกำลังตก ราคาน้ำมันเบนซินก็ควรเช่นกัน ก่อนหน้านี้เมื่อราคาน้ำมันดิบอยู่ที่ 96 ดอลลาร์/บาร์เรล น้ำมันเบนซินอยู่ที่ 3.62 ดอลลาร์/แกลลอน ตอนนี้ก็เช่นเดียวกันสำหรับน้ำมันดิบราคาลดลง แต่ราคาน้ำมันเบนซินอยู่ที่ 4.31 ดอลลาร์/แกลลอน”

แถลงการณ์เหล่านี้จากทำเนียบขาวเพิกเฉยต่อข้อเท็จจริงที่ว่าราคาน้ำมันโดยเฉพาะอย่างยิ่งอัตราเงินเฟ้อได้เพิ่มขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ก่อนที่ความขัดแย้งในยูเครนจะส่งผลกระทบต่อตลาดเสียอีก

ความผิดพลาดของไบเดน

ตั้งแต่วันแรกที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ไบเดนได้เปิดนโยบายหลายอย่างที่ทำให้ราคาเชื้อเพลิงมีราคาแพงขึ้น

หนึ่งในคำสั่งแรกของไบเดน หลังจากเข้าสู่ทำเนียบขาวในเดือนมกราคม 2020 คือการทำลายโครงการท่อส่งน้ำมัน Keystone XL ที่ โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้บุกเบิก ซึ่งท่อส่งนี้มีความยาวมากกว่า 3,300 กม. ซึ่งวิ่งจากแคนาดาไปยังรัฐเท็กซัส หากนำไปใช้งาน ท่อส่งน้ำมันมูลค่า 8 พันล้านดอลลาร์ดังกล่าวนี้จะขนส่งน้ำมันได้ 800,000 บาร์เรลต่อวัน

โครงการท่อส่งน้ำมัน Keystone XL ที่ โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้บุกเบิก (CR:Toronto Star)
โครงการท่อส่งน้ำมัน Keystone XL ที่ โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้บุกเบิก (CR:Toronto Star)

ในเดือนมกราคม 2021 ไบเดนได้หยุดออกใบอนุญาตการสำรวจและผลิตน้ำมันและก๊าซของสหรัฐอีกครั้งทั้งบนบกและในน้ำ การตัดสินใจของไบเดนตรงกันข้ามกับนโยบายของทรัมป์อย่างสิ้นเชิง และออกแบบมาเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ในช่วงปี 2016-2020 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์และพรรครีพับลิกันคลายมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมและให้ความสำคัญกับการแสวงหาผลประโยชน์จากน้ำมันและก๊าซเพื่อเพิ่มความเป็นอิสระด้านพลังงาน

ไบเดนได้ให้ความสำคัญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมอีกครั้ง และด้วยเหตุนี้ กำลังการผลิตน้ำมันและก๊าซของสหรัฐฯ จึงลดลง วอชิงตันจึงต้องเรียกร้องให้กลุ่ม OPEC + เพิ่มการผลิต สมาชิกหลักสองประเท่ศของ OPEC + ไม่ใช่ใครอื่น เพราะนั่นคือรัสเซียและซาอุดีอาระเบีย

เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2021 ทำเนียบขาวได้โพสต์คำแถลงจากที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ เจค ซัลลิแวน ซึ่งกล่าวว่า: “แม้ว่ากลุ่ม OPEC + จะตกลงที่จะเพิ่มการผลิต แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะชดเชยในช่วงการระบาดครั้งใหญ่ ในช่วงเวลาวิกฤติกับการฟื้นตัวของโลก การดำเนินการนี้ยังไม่เพียงพอ”

แทนที่จะพึ่งพาซัพพลายจากรัสเซียและกลุ่ม OPEC รัฐบาลสหรัฐฯ สามารถพยายามเพิ่มการผลิตน้ำมันของสหรัฐ แต่ไบเดนไม่ได้ทำ ส่งผลให้ราคาน้ำมันเบนซินเฉลี่ยในสหรัฐอเมริกาในปี 2021 เพิ่มขึ้นเป็นระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี

ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนปะทุขึ้นเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2022 และเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุที่ราคาพลังงานทั่วโลกพุ่งสูงขึ้นเมื่อต้นปีนี้ แต่สหรัฐฯ ไม่อาจกล่าวโทษประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซียได้ทั้งหมด เมื่อราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นอย่างมากจากปี 2021 มาก่อนแล้ว

ในเดือนธันวาคม 2021 คริสโตเฟอร์ วูด ผู้อำนวยการด้านกลยุทธ์การลงทุนระดับโลกของเจฟฟรีส์ คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันอาจพุ่งขึ้นถึง 150 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลเนื่องจากการกลับมาของเศรษฐกิจโลกหลังการแพร่ระบาดเริ่มลดลงอีกครั้งและขีดจำกัดของอุปทานที่ลดลง

ข้อเท็จจริงที่ว่าอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลได้รับผลกระทบจาก “การโจมตีทางการเมือง” ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้การลงทุนครั้งใหม่มีแรงจูงใจน้อยลงที่จะนำเม็ดเงินจะอัดฉีดเข้าสู่ธุรกิจน้ำมันและก๊าซ วูดกล่าว

ทำเนียบขาวต้องการให้คนอื่นๆ เชื่อว่าราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นเป็นเพราะประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย แต่นโยบายของไบเดนได้ทำให้อุตสาหกรรมพลังงานอ่อนแอลงมานานแล้ว และทำให้สหรัฐฯ ต้องพึ่งพาการนำเข้ามากขึ้น

สหรัฐฯ ไม่ค่อยซื้อน้ำมันจากรัสเซีย ทำไมราคาน้ำมันยังขึ้นอีก?

เมื่อวันที่ 8 มีนาคม ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ประกาศว่าสหรัฐฯ จะหยุดนำเข้าพลังงานจากรัสเซีย “วันนี้ ผมขอประกาศว่าสหรัฐฯ จะโจมตีเส้นเลือดใหญ่ (น้ำมันและก๊าซ) ของเศรษฐกิจรัสเซีย เราจะห้ามการนำเข้าน้ำมันและก๊าซจากรัสเซียทั้งหมด” ไบเดนกล่าวที่ทำเนียบขาว

เหตุผลที่ไบเดนสามารถพูดจาฉะฉานเช่นนี้ได้ก็เพราะว่าน้ำมันดิบจากรัสเซียมีสัดส่วนเพียง 3% ของการนำเข้าของสหรัฐฯ ทั้งหมด ในขณะที่ยุโรปยังไม่กล้าเคลื่อนไหวในลักษณะเดียวกัน เนื่องจากทวีปนี้พึ่งพาพลังงานของรัสเซียเป็นอย่างมาก

หากระดับการพึ่งพาอาศัยกันของสหรัฐฯ มีมากเท่ากับยุโรป ไบเดนคงไม่กล้าโจมตีเส้นเหลือดใหญ่ (น้ำมันและก๊าซ) ของเศรษฐกิจรัสเซียอย่างแน่นอน

แม้ว่าการค้าน้ำมันและก๊าซระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซียจะมีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่หลังจากประกาศของไบเดน ราคาน้ำมันดิบยังคงพุ่งขึ้น 7% และราคาน้ำมันเบนซินของสหรัฐฯ ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในสัปดาห์หน้า

เหตุผลก็คือธรรมชาติของตลาดพลังงานทั่วโลก ความตื่นตระหนกในภูมิภาคหนึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อราคาในอีกครึ่งหนึ่งของโลก เมื่อไม่ซื้อน้ำมันรัสเซีย สหรัฐฯ จะต้องหาแหล่งอื่น เช่น กลุ่มประเทศ OPEC

ความต้องการใช้น้ำมันของกลุ่ม OPEC เพิ่มขึ้น ทำให้องค์กรของพวกเขาต้องมีการปรับขึ้นราคา

ในปี 2021 รัสเซียผลิตน้ำมันได้ 9.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน เป็นอันดับ 2 ของโลก ส่วนสหรัฐฯ อยู่ที่ 10.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน อย่างไรก็ตาม ธุรกิจในสหรัฐอเมริกาใช้กำลังการผลิตเกือบเต็มอัตราและยังมีปัญหาในการเพิ่มกำลังการผลิต

บริษัทพลังงานของสหรัฐหลายแห่งล้มละลายเมื่อราคาน้ำมันดิ่งลงสู่ระดับติดลบในเดือนเมษายน 2020 และนโยบายของไบเดนเป็นปัจจัยสำคัญในการจำกัดเชื้อเพลิงฟอสซิลให้ได้รับแรงจูงใจในการลงทุนใหม่

ปัญหาที่แท้จริง: บริษัทน้ำมันกำลังพยายามดึงกำไรของพวกเขาคืน

เหตุผลที่แท้จริงที่การผลิตน้ำมันของสหรัฐที่ไม่ได้กลับสู่ระดับการผลิตสูงสุดนั้นไม่เกี่ยวข้องกับนโยบายพลังงานของไบเดน มากไปกว่าความต้องการของอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ต้องการหารายได้

เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันกลับมาฟื้นตัวจากระดับต่ำสุดในช่วงกลางปี ​​2020 ผู้ผลิตจึงอยู่ภายใต้แรงกดดันจากผู้ถือหุ้นให้ “ทำกำไรเหนือการเพิ่มการผลิต” และ “คืนเงินสดให้ผู้ถือหุ้นแทนที่จะดึงเงินกลับเพื่อไปลงทุนในการขุดเจาะ” ตามรายงานของ Financial Times and Wall สตรีทเจอร์นัล ส่งผลให้บริษัทต่างๆ ขยายการผลิตได้ล่าช้า

“ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน 150 ดอลลาร์ น้ำมัน 200 ดอลลาร์ หรือน้ำมัน 100 ดอลลาร์ เราจะไม่เปลี่ยนแผนการเติบโตของเรา” ซีอีโอของไพโอเนียร์ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในลุ่มน้ำเพอร์เมียน ซึ่งเป็นพื้นที่ผลิตน้ำมันที่สำคัญของภาคตะวันตกเฉียงใต้ กล่าวในงาน Bloomberg เมื่อเดือนที่แล้ว 

Vicki Hollub ซีอีโอของ Occidental Petroleum กล่าวในทำนองเดียวกันว่า บริษัทของเธอมุ่งเน้นไปที่การจ่ายเงินคืนให้กับนักลงทุน: “ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าเราจำเป็นต้องคืนเงินสดให้ผู้ถือหุ้นในรูปของเงินปันผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลานี้”

Vicki Hollub ซีอีโอของ Occidental Petroleum (CR:GettyImage)
Vicki Hollub ซีอีโอของ Occidental Petroleum (CR:GettyImage)

แรงจูงใจในการทำกำไรได้ส่งผลต่อกำลังการผลิตน้ำมันนอกสหรัฐอเมริกาด้วยเช่นกัน ประเทศในกลุ่ม OPEC ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากภาวะถดถอยยังคงจำกัดกำลังการผลิตเมื่อฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้วแม้ว่าจะมีแรงกดดันจากสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และอินเดียให้ผลิตมากขึ้นก็ตาม

เพื่อสร้างรายได้ของพวกเขา พวกเขาเพิ่งเริ่มผ่อนปรนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เมื่อสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ประกาศว่าจะเพิ่มกำลังการผลิต ส่งผลให้ราคาปรับตัวลดลงเล็กน้อย  ซึ่งในขณะที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มีกำลังการผลิตน้ำมันสำรองอยู่ในมือและไม่ต้องการให้ราคาสูงอย่างต่อเนื่องเพื่อไปกดดันอุปสงค์ทั่วโลก

บริษัทพลังงานในตะวันออกกลางที่ร่ำรวยด้วยน้ำมันไม่ใช่บริษัทเดียวที่ล่ำซำ รายงาน ของ LA Times ระบุว่าปั๊มน้ำมันในแคลิฟอร์เนียบางแห่งที่เรียกเก็บ 7 ดอลลาร์ต่อแกลลอน ซึ่งเป็นการตั้งราคาที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของรัฐและระดับประเทศมาก เนื่องจากพบว่า คนขับยินดีจ่าย แม้ว่าพวกเขาจะเจ็บปวดมากเพียงใดก็ตาม

References : https://thehill.com/opinion/white-house/595706-biden-not-putin-to-blame-for-higher-gas-prices
https://www.nytimes.com/2022/03/10/us/politics/biden-putin-inflation.html
https://www.nytimes.com/2022/03/09/us/politics/fact-check-republicans-biden-gas.html
https://slate.com/news-and-politics/2022/03/dont-blame-biden-for-gas-prices.html
https://www.express.co.uk/news/science/1542279/joe-biden-gas-prices-us-outmanoeuvres-vladimir-putin-eu-gas-crisis-nord-stream-2

Geek Monday EP125 : กรณีศึกษา iPod กับนวัตกรรมที่ดีที่สุดของ Apple

หลาย ๆ ท่านอาจจะคิดว่า iPhone เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของบริษัท apple ให้กลายมาเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ของโลกได้จวบจนถึงทุกวันนี้ แต่นั่นเป็นเพียงส่วนนึงเท่านั้น แนวคิดของ apple รูปแบบใหม่ ที่หันมาสร้างนวัตกรรม และ เปลี่ยนจากบริษัทคอมพิวเตอร์ ให้กลายมาเป็นบริษัทที่จำหน่าย สินค้า consumer product มันเริ่มมาจาก iPod 

มันเป็นนวัตกรรม ชิ้นเอกของ apple ในศตวรรษที่ 21 เลยก็ว่าได้ แม้เวลาจะร่วงเลยมาทำให้ตัว iPod เองได้สูญหายไปตามกาลเวลา แต่เรื่องราวสตอรี่ ของการสร้างมันขึ้นมานั้น ถือว่าเป็นเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันเต็มไปด้วยอุปสรรคต่าง ๆ มากมาย กับการที่จะสร้างเครื่องเล่น Mp3 ขึ้นมา แล้วสามารถบรรจุเพลงได้ถึง 1,000 เพลง ถือว่าในตอนนั้นมันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมาก ๆ ที่ apple สามารถสร้างมันขึ้นมาและกลายเป็นสินค้า hot hit ติดตลาดโลกได้อย่างรวดเร็ว

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/3CXOD3N

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/3IrQajN

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
https://bit.ly/3CUxesO

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/3qlOiTs

🎧 ฟังผ่าน Youtube : 
https://youtu.be/6M-MTHZyTJU

Geek Daily EP114 : รัสเซียกำลังเสี่ยงที่จะสร้าง “splinternet” ที่จะแยกอินเทอร์เน็ตของพวกเขาออกจากโลกภายนอก

การเคลื่อนไหวใหม่ของรัสเซียทำให้เกิดความกลัวต่อ “splinternet” ซึ่งแทนที่จะเป็นอินเทอร์เน็ตเดียวทั่วโลกที่เรามีในปัจจุบัน จะมีการสร้างเครือข่ายระดับชาติหรือระดับภูมิภาคจำนวนหนึ่งที่ไม่ได้พูดคุยกันและอาจใช้งานโดยใช้เทคโนโลยีที่เข้ากันไม่ได้ 

นั่นอาจจะเป็นจุดสิ้นสุดของอินเทอร์เน็ตว่าเป็นเทคโนโลยีการสื่อสารระดับโลกเพียงแห่งเดียว จีนและอิหร่านยังคงใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตเดียวกันกับสหรัฐอเมริกาและยุโรป แม้ว่าจะเข้าถึงได้เพียงบริการบางส่วนเท่านั้น หากประเทศดังกล่าวจัดตั้งหน่วยงานกำกับดูแลที่เป็นคู่แข่งกัน มีเพียงความตกลงร่วมกันของประเทศสำคัญๆ ทั้งหมดของโลกเท่านั้นที่สามารถสร้างขึ้นมาใหม่ได้ ยุคของโลกที่เชื่อมต่อกันจะสิ้นสุดลง

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/3ufvjv3

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/3N6E3w7

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
https://bit.ly/3N434YJ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/36xX7Cn

🎧 ฟังผ่าน Youtube : 
https://youtu.be/nRe7KgymNVM

Credit Image : https://www.businessinsider.com/splinternet-in-pictures-what-russian-internet-looks-like-right-now-2022-3

ประวัติ Vladimir Putin ตอนที่ 13 : Russia’s Revenge

ต้องบอกว่าหลังจากขึ้นครองตำแหน่งประธานาธิบดีของ Donald Trump เหล่า KGB ต่างชื่มชมยินดีในชัยชนะของ Trump ซึ่งสำหรับหลายๆ คน มันดูเหมือนเป็นการแก้แค้นให้กับการล่มสลายของสหภาพโซเวียตเลยด้วยซ้ำ

Putin ก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความยินดี เหล่าผู้นำที่ใช้นโยบายประชานิยมก็เพิ่มจำนวนขึ้นทั่วทั้งยุโรป ไม่มีอะไรจะดีกว่านี้สำหรับ Putin ที่ชัยชนะของ Trump มาพร้อม ๆ กับการออกจากสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร

‘แนวคิดเสรีนิยมมันล้าสมัยไปแล้ว มันขัดแย้งกับประชากรส่วนใหญ่อย่างท่วมท้น’ Putin กล่าวกับ Financial Times ในเดือนมิถุนายน 2019

เขากล่าวว่า ‘พวกเสรีนิยม ถึงคราวต้องตกต่ำ สถานการณ์ในตอนนี้มันไม่เหมือนกับที่พวกเขาพยายามทำมาตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา’

ในที่สุดมันก็กลายเป็นชัยชนะของรัสเซีย ที่ใช้ความสามารถในทางลับของตนเองเพื่อใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนที่มีอยู่ในตะวันตก เพราะหน่วยข่าวกรองทั้งหมดของรัสเซียที่กำลังดำเนินมาตรการเชิงรุกโต้กลับตะวันตก

มาตรการเชิงรุกดังกล่าว ได้นำไปสู่ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในอเมริกา ข้อกล่าวหาที่ว่ารัสเซียมีส่วนสนับสนุน Trump นั้นอยู่ภายใต้การสอบสวน

การเปิดเผยโดยไม่เจตนาโดยที่ปรึกษานโยบายต่างประเทศของ Trump ซึ่งเขารู้ล่วงหน้าว่ารัสเซียเข้าถึงอีเมล์ของ Hillary clinton ทำให้ FBI เปิดการสอบสวนในเรื่องดังกล่าว และกลายเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก ๆ ของแวดวงการเมืองอเมริกา

ซึ่งหน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ มีข้อสรุปอย่างชัดเจนว่าหน่วยข่าวกรองของกองทัพรัสเซียได้แฮ็กเซิร์ฟเวอร์ของคณะกรรมการประชาธิปไตยแห่งชาติ และพยายามโน้มน้าวความคิดเห็นของสาธารณชนที่มีต่อ Trump ผ่านการรณรงค์ทางโซเชียลมีเดีย

ซึ่งแม้จะมีนโยบายคว่ำบาตรใหม่ที่กำหนดโดยฝ่ายบริหารของ Trump ก็ตาม แต่ Trump เองก็ยังเป็นประธานาธิบดีในฝันของกลุ่ม KGB และ Putin ซึ่ง Trump แสดงความเคารพต่อ Putin และคนในแวดวงของเขาอย่างรวดเร็ว

ในการประชุมสำนักงานรูปไข่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในช่วงเริ่มต้นตำแหน่งประธานาธิบดี เขาบอกกับรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย Sergei Lavrov และ เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำสหรัฐอเมริกา Sergei Kislyak ว่าเขาไม่ได้กังวลเกี่ยวกับการเรียกร้องของหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ เรื่องการแทรกแซงของรัสเซียในการเลือกตั้งประธานาธิบดี เนื่องจากอเมริกาเองก็ทำแบบเดียวกันในที่อื่น ๆ ของโลก

ในระหว่างการหาเสียง Trump ได้โต้แย้งว่า NATO นัั้นล้าสมัย ในขณะที่บอกว่าเขาอาจยอมรับการผนวกไครเมียของรัสเซีย

หลังการเลือกตั้งเขาสนับสนุนอย่างแข็งขันให้นายกรัฐมนตรี Theresa May ของอังกฤษและตามด้วย Boris Johnson ผู้สืบทอดตำแหน่งของเธอ ให้ขยายความแตกแยกของสหราชอาณาจักรเพื่อออกจากสหภาพยุโรป โดยขู่ว่าจะระงับข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ

เขาประณามประเทศสมาชิก NATO อย่างต่อเนื่องด้วยการร้องเรียนว่าพวกเขาไม่ได้จ่ายค่าธรรมเนียมใด ๆ เลย ความสัมพันธ์ของเขากับนายกรัฐมนตรีเยอรมนี Angela Merkel ก็ย่ำแย่

ในปี 2019 เขาจะถอนทหารสหรัฐออกจากซีเรีย การเคลื่อนไหวที่จะละทิ้งพันธมิตรชาวเคิร์ดของสหรัฐฯ และทิ้งรัสเซียและอิหร่านเพื่อสร้างสุญญากาศให้เป็นผล

เขาเป็นคนเอาแน่เอานอนไม่ได้ คาดเดาไม่ได้ และทุกคำพูดของเขาดูเหมือนจะบ่อนทำลายความเป็นผู้นำของอเมริกาภายใต้การดูแลของเขา

สถาบันประชาธิปไตยในสหรัฐฯ ถูกกัดเซาะ และสังคมของสหรัฐฯ ก็มีความแตกแยกเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

เมื่อ Trump พบกับ Putin ในการประชุมสุดยอดครั้งแรกของพวกเขาที่เฮลซิงกิ ในเดือนกรกฎาคม 2018 ได้เห็นภาพของ Trump ที่แซว Putin และเต็มไปด้วยความชื่นชมยินดีกับวิธีที่เขาจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกที่เพิ่งจบลงไป

โดยยกย่องผู้นำรัสเซียว่าเป็นคู่แข่งที่ดี และเมื่อถูกถามเกี่ยวกับความพยายามของรัสเซียที่จะโน้มน้าวการเลือกตั้งสหรัฐฯ เขายักไหล่ว่าเป็นการกระทำส่วนบุคคล

โดยได้ชี้ไปที่คำฟ้องของอัยการสหรัฐฯ เกี่ยวกับพันธมิตรที่ใกล้ชิดของเขา ซึ่งเป็นอดีตพนักงานเสิร์ฟอาหารที่มีฉายาว่า “Putin’s Chef” อย่าง Yevgeny Prigozhin

Putin's Chef
Putin’s Chef” Yevgeny Prigozhin (ขวา) (CR:Commond.wikimedia.com)

ซึ่ง บริษัท Concord Management ของ Prigozhin ถูกกล่าวหาว่าดำเนินกิจการสร้างโทรลล์ทางอินเทอร์เน็ตซึ่งอยู่เบื้องหลังความพยายามออนไลน์เพื่อโน้มน้าวผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวอเมริกันให้สนับสนุน Trump

“พวกเขาไม่ใช่ตัวแทนของรัสเซีย” Putin กล่าว “นี่เป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล ไม่ใช่ของรัฐ เป็นสิ่งเดียวกับที่อเมริกาก็ทำ โดยอ้างว่าไม่ใช่เรื่องของรัฐ เช่นการกระทำของ จอร์จ โซรอส ที่ให้เงินสนับสนุนองค์กรที่ปั่นป่วนการเมืองไปทั่วโลก ทำไมคุณถึงทำได้ล่ะ? สิ่งที่โซรอสทำมันก็เป็นเรื่องส่วนบุคคลเหมือนกัน”

Putin มีท่าทีเยาะเย้ย กับการใช้คำว่า ‘เรื่องส่วนบุคคล’ เพราะมันเป็นสิ่งที่สหรัฐฯ ทำมานานแล้ว และ Trump ก็รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นที่อเมริกาทำกับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกมานานมากแล้ว

ซึ่งแน่นอนว่ามันก็เป็นส่วนหนึ่งของกลวิธีทั่วไปที่ KGB ปฏิเสธสำหรับการมีส่วนร่วมของเครมลิน เหมือนที่อเมริกาปฏิเสธการมีส่วนร่วม เมื่อโซรอส ให้เงินทุนไปทำอะไรบางอย่างในทางการเมืองกับประเทศต่างๆ ทั่วโลก

ภายใต้ระบบทุนนิยม KGB ของเขา นักธุรกิจที่รายล้อมตัว Putin ได้กลายเป็นตัวแทนของรัฐ นับตั้งแต่ Mikkhail Khodorkovsky ถูกจับกุมในปี 2003

วิกฤติทางการเงินในปี 2008 ได้ทำให้กระบวนการเหล่านี้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยเศรษฐีพันล้านหลายคนของประเทศต้องพึ่งพาเงินช่วยเหลือจากรัฐ

บรรดามหาเศรษฐีที่เคยรู้จักในนามผู้มีอำนาจของรัสเซีย บัดนี้ได้กลายเป็นข้าราชบริพารแห่งเครมลินของ Putin ทุกการเคลื่อนไหวถูกติดตามอย่างใกล้ชิด โทรศัพท์ส่วนใหญ่ของพวกเขาถูกดักฟัง

พวกเขาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบศักดินาซึ่งบทบาทของ Putin ในฐานะผู้ตัดสินขั้นสุดท้ายระหว่างคู่แข่งที่ต่อสู้ในธุรกิจ เกือบทุกข้อตกลงที่มีมูลค่าสูง บางคนกล่าวว่ามากกว่า 50 ล้านดอลลาร์ จำเป็นต้องมีการอนุมัติจาก Putin

มันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะจินตนาการว่านักธุรกิจชาวรัสเซียอาสาที่จะปลูกฝังนักการเมืองต่างชาติในนามของเครมลิน เพื่อแลกกับการที่ Putin อนุมัติใบอนุญาติมูลค่าหลายร้อยล้านดอลลาร์ หรือเพียงเพื่อให้เขาไม่ต้องติดคุก

เครือข่ายเงินสดสีดำ ของรัสเซียดูเหมือนจะแทรกซึมไปทั่วโลกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กิจกรรมของพวกเขารวมกับการเพิกเฉยต่อสถาบันและหลักจรรยาบรรณของสหรัฐฯ ที่ Trump แทบจะไม่ใส่ใจอีกต่อไป

เมื่อ Trump ถูกจับได้ทางโทรศัพท์เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2019 เพื่อขอให้ประธานาธิบดีคนใหม่ของยูเครน Volodomyr Zelensky พบกับ Giuliani และดำเนินการสอบสวน Biden

การกระทำหลายอย่างของ Trump แสดงให้เห็นถึงการละเมิดตำแหน่ง Trump ได้ขอร้องโดยตรงจากต่างประเทศเพื่อช่วยเหลือเขาในการเลือกตั้งปีประธานาธิบดีในปี 2020

Trump ดูเหมือนจะแนะนำว่าความช่วยเหลือทางทหารของสหรัฐฯ สำหรับยูเครนนั้นขึ้นอยู่กับเขา

สำหรับหลายๆ คน การกระทำดังกล่าวแสดงถึงความเสื่อมโทรมของระบอบประชาธิปไตย และการบ่อนทำลาย ทุกอย่างที่นักการทูตสหรัฐฯ พยายามจะยืนหยัดต่อสู้อยู่ตลอดเวลานับตั้งแต่การล่มสลายของสหภาพโซเวียต

รัฐบาลสหรัฐฯ พยายามที่จะสนับสนุนระบอบประชาธิปไตยในยูเครนมาเป็นเวลานานและปกป้องมันจากการครอบงำของรัสเซีย

แต่สำหรับรัสเซียแล้วนั้น ดูจะยินดีกับความโกลาหลที่เกิดขึ้น มันฉายให้เห็นถึงความเปราะบางของระบบการเมืองของอเมริกาและการสึกกร่อนที่เกิดขึ้นจากภายใน

ตั้งแต่เริ่มแรก เครือข่ายเงินสดสีดำ ของรัสเซีย ได้ถูกฝังไว้เพื่อกัดเซาะระบบ และทำให้การทุจริตรุนแรงขึ้นในตะวันตก มันชี้ให้เห็นว่ารัสเซียของ Putin ได้กลายเป็นภัยคุกคามต่อระบอบเสรีประชาธิปไตยแบบตะวันตกมากมายเพียงใด

Putin เข้าใจดีว่า รัสเซียสามารถใช้จ่ายเงินจำนวนเท่าใดก็ได้ตามต้องการ ในการสร้างความโกลาหลในโลกตะวันตก เขาแทบไม่เคยแคร์กับการคว่ำบาตร เพราะเขาได้เตรียมรับมือสิ่งเหล่านี้มานานมากแล้ว และสิ่งที่เขาทำมันก็คือสิ่งเดียวกันกับที่สหรัฐอเมริกาเคยทำมาในอดีตผ่านระบบทุนนิยมเสรี

แต่ดูเหมือนว่าเมื่อมาถึงตอนนี้ ระบบอำนาจแบบรวมศูนย์อย่างที่รัสเซียทำ และรัฐที่ทำหน้าที่คอยจัดการทุกอย่างนั้น กำลังจะเอาชนะอุดมการณ์ด้านประชาธิปไตยในโลกเสรีไปเสียแล้วนั่นเองครับผม

แล้วเราได้อะไรจากการเรื่องราวของ Vladimir Putin จาก Blog Series ชุดนี้

แน่นอนว่าหากมองในอีกมุมหนึ่ง ระบบการปกครองในรูปแบบดังกล่าว การยึดอำนาจแบบรวมศูนย์ สิ่งที่รัสเซียทำมันก็คล้ายๆ กับที่ประเทศจีนทำอยู่ มันสามารถพัฒนาประเทศได้อย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งอเมริกาที่ว่ากันว่าเสรีนิยมแบบสุดโต่งก็ตาม สุดท้ายก็กำลังจะโดนประเทศอย่างจีนแซงด้วยสปีดที่เร่งการพัฒนาได้รวดเร็วมาก ๆ ด้วยการเติบโตของ GDP แบบก้าวกระโดด

ต้องเรียกได้ว่ามันมีทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวมันเอง ประชาธิปไตยแบบเสรีทุนนิยมแบบโลกตะวันตก ทุกคนมีเสรีภาพ แต่การจะผลักดันเรื่องต่าง ๆ ในการพัฒนาประเทศนั้นมันก็ช้ากว่าเมื่อเทียบกับการมีอำนาจแบบรวมศูนย์ เพราะต้องแบ่งผลประโยชน์ให้กลุ่มต่างๆ ที่เท่าเทียมกัน ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง

รวมถึงปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำ มันเป็นสิ่งที่ชัดเจนมาก ๆ ยิ่งหลังเกิดภาวะเศรษฐกิจในปี 2008 ความเหลื่อมล้ำในโลกเสรีประชาธิปไตยมันยิ่งเกิดช่องว่างเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ คนรวยก็ยิ่งรวยขึ้นจากเข้าถึงแหล่งเงินทุนต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย นักลงทุนจาก Wallstreet ต้นตอของการเกิดวิกฤติก็ล้มลงบนกองเงินกองทอง แทบจะไม่มีใครรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น ต่างจากประชาชนคนรากหญ้าที่ต้องสูญเสียทรัพย์สินอย่างมหาศาลจากวิกฤติครั้งนั้น

รวมถึงเรื่องการจัดการนักธุรกิจในแบบที่จีนหรือรัสเซียทำ มันก็คือการตัดแบ่งเค้กความรวยของพวกเขามาช่วยเหลือคนหมู่มาก ซึ่งมันเป็นแนวคิดแบบอุดมคติ ซึ่งผสมผสานระหว่างทุนนิยมแบบโลกตะวันตก กับการใช้อำนาจแบบรวมศูนย์แล้วจัดการขั้นเด็ดขาดให้เหล่านักธุรกิจมาอยู่ใต้อาณัติของรัฐ

สถานการณ์ในปัจจุบันจากสงครามที่เกิดขึ้นในประเทศยูเครนที่ถูกรุกรานจากรัสเซีย มันก็ชี้ให้เห็นถึงภัยที่กำลังคุกคามเสรีนิยมตะวันตกเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ แน่นอนว่าระบบทุนนิยม KGB ที่เกิดขึ้น มันอาจเป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืน ระบบที่ควบคุมอย่างเข้มงวดและการคอร์รัปชั่นได้แทรกซึมไปทุก ๆ หนแห่งในสังคม

ทุกการตัดสินใจทางด้านการเมือง และทุกข้อตกลงทางธุรกิจ กลุ่มคนวงในที่รายรอบอยู่ใกล้ตัวผู้นำตัวอย่างเช่น Putin มีอำนาจเหนือนักธุรกิจเกือบทุกคน การใช้กฎหมายที่เป็นสองมาตรฐาน การต่อสู้เพื่อแย่งชิงความมั่งคั่งของประเทศโดยเฉพาะจากทรัพยากรหลักอย่างน้ำมัน ที่เปรียบเสมือนเครื่องจักรหล่อเลี้ยงให้ทุกสิ่งมันเกิดขึ้นอย่างที่เราได้เห็นในทุกวันนี้

เช่นเดียวกับในสมัยโซเวียต รัสเซียของ Putin กำลังมุ่งเน้นไปที่การดำเนินงานที่มีอิทธิพลและฟื้นฟูอิทธิพลของรัสเซียในต่างประเทศ ในขณะที่เริ่มละเลยที่จะพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศ รัฐบาลของ Putin ใช้จ่ายเงินอย่างเปิดเผยมากยิ่งขึ้นในการแสดงอำนาจทางทหารในตะวันออกกลาง และสนับสนุนทางการเมืองสำหรับประเทศที่เป็นมิตร

ความท้าทายที่สำคัญของรัสเซียก็คือ เมื่อเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านอำนาจใหม่ ซึ่งรอบหน้าจะเกิดขึ้นในปี 2024 ซึ่งเป็นการสิ้นสุดวาระที่สองติดต่อกันในฐานะประธานาธิบดีของ Putin ตั้งแต่ที่เขากลับมาในปี 2012 เมื่อรัฐธรรมนูญกำหนดให้เขาลงจากตำแหน่ง แม้จะมีความพยายามในการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญเพื่อต่ออำนาจของ Putin แต่สุดท้ายเมื่อถึงจุดหนึ่งเขาก็ต้องจากไปและทิ้งบางสิ่งบางอย่างไว้เบื้องหลัง

ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นว่าใครจะมาแทนที่เขา การต่อสู้แย่งชิงอำนาจภายในจะทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อแย่งชิงอำนาจในหมู่ชนชั้นสูง มันเคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้วในช่วงการเปลี่ยนผ่านจากตระกูล Yeltsin ที่ไม่ได้มีความราบรื่นนัก และประเทศที่ผูกระบอบไว้กับคนก็จะตกอยู่ในความเสี่ยงอีกครั้ง

แต่ก็ต้องบอกว่าโลกของเราผ่านการพัฒนามามากมายผ่านระบอบการปกครองมาหลายรูปแบบ ไล่มาตั้งแต่การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในระยะแรกของการตั้งรัฐชาติในยุโรป ที่แต่ละรัฐต้องเผชิญกับปัญหาภายในทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง มีความจำเป็นต้องแก้ไขโดยผู้มีอำนาจอย่างเร่งด่วน ด้วยเหตุนี้จึงเปิดโอกาสให้กษัตริย์มีอำนาจโดยสมบูรณ์ โดยอ้างว่ากษัตริย์ปกครองประเทศในรูปแบบผู้แทนโดยชอบธรรมของพระเจ้า

การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์รุ่งเรืองมากในคริสตศตวรรษที่ 17 และเริ่มเสื่อมลงในคริสตศตวรรษที่ 18 เนื่องจากการขยายตัวทางการค้าทำให้ชนชั้นกลางที่มั่งคั่งทางเศรษฐกิจแต่ไม่มีส่วนร่วมในการปกครองประเทศได้เรียกร้องสิทธิทางการเมือง การปกครอง ผลการเรียกร้องดังกล่าวทำให้เกิดการพัฒนาไปสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตย

หรือแม้กระทั่งระบอบคอมมิวนิสต์ของโซเวียตที่ได้ล่มสลายไป เพราะไม่อาจต้านทานกระแสของโลกทุนนิยมจากฝั่งตะวันตกได้ จนเป็นที่มาของระบอบกึ่งทุนนิยมแต่อำนาจรวมศูนย์เหมือนที่รัสเซียและจีนกำลังทำอยู่ในตอนนี้

ซึ่งในอนาคต มันก็ไม่มีอะไรแน่นอน อะไร ๆ มันก็เกิดขึ้นได้เมื่อระเบียบโลกต่าง ๆ ถึงเวลาเปลี่ยนไปตามกาลสมัย อาจจะเป็นโลกเสรีประชาธิปไตยที่นำโดยสหรัฐอเมริกาและยุโรป หรือ อีกฝั่งอุดมการณ์อีกแบบหนึ่งที่นำโดยจีนและรัสเซีย ซึ่งสุดท้ายเวลาจะเป็นคำตอบของทุกสิ่งนั่นเองครับผม

ย้อนไปอ่านตั้งแต่ตอนแรก & Credit แหล่งข้อมูลบทความ

Geek Daily EP113 : เมื่อ ‘เปโตรหยวน’ กำลังเขย่าอำนาจการครอบงำของเปโตรดอลลาร์

ในสัญญาณล่าสุด ระบบการเงินโลกที่เน้นค่าเงินดอลลาร์อยู่ภายใต้ความตึงเครียดมหาศาล จีนและซาอุดีอาระเบียได้ “เร่ง” การเจรจาอย่างต่อเนื่องกับสัญญาราคาน้ำมันเป็นเงินหยวนแทนที่จะเป็นดอลลาร์ ตามรายงานของ Wall Street Journal

ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องในฐานะเครื่องมือซื้อขายและเงินสำรองทั่วโลกมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และอาจทำให้เครือข่ายการเงินที่ไร้ศูนย์กลางหรือไม่ใช่ของรัฐมีประโยชน์มากขึ้น

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/3KT8gN0

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/3IiGA2z

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
https://bit.ly/3u4bkza

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/3tl58U8

🎧 ฟังผ่าน Youtube : 
https://youtu.be/1c1zsmz_wec

References : https://www.coindesk.com/layer2/2022/03/16/a-petroyuan-could-further-shake-the-dollars-dominance
https://www.wsj.com/articles/saudi-arabia-considers-accepting-yuan-instead-of-dollars-for-chinese-oil-sales-11647351541
https://bit.ly/3qdx8Hk