ประวัติ Vladimir Putin ตอนที่ 6 : The Inner Circle

มันคือวันที่ 7 พฤษภาคม 2000 อดีตเจ้าหน้าที่ KGB ซึ่งเมื่อแปดเดือนก่อนเป็นเพียงข้าราชการที่แทบจะไม่มีใครรู้จักคนหนึ่งกำลังจะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีรัสเซีย ทองคำที่หยดลงมาจากผนังและโคมระย้าเป็นเครื่องยืนยันถึงแผนการของ KGB ในการฟื้นคืนชีพของจักรพรรดิ์รัสเซียได้สำเร็จอีกครั้ง

ประวัติศาสตร์ของอาณาจักรรัสเซีย ไม่เคยมีความสง่างามเช่นนี้มาก่อนในการสถาปนาเครมลิน เพราะส่วนใหญ่แล้วในอดีตที่ผ่านมาการเปลี่ยนผ่านผู้นำแต่ละครั้งเต็มไปด้วยการนองเลือด

ในแถวหน้าของบรรดาผู้ที่ปรบมือให้ Vladimir Putin ประธานาธิบดีคนใหม่ในวันนั้นคือเจ้าหน้าที่ของตระกูล Yeltsin ที่ช่วยให้เขาได้ขึ้นสู่อำนาจสูงสุด

คนแรกในหมู่พวกเขาคือ Alexander Voloshin อดีตนักเศรษฐศาสตร์ที่เคยดำรงตำแหน่งเสนาธิการของ Yeltsin ถัดจากเขาคือ Mikhail Kasyanov ที่ไต่ขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในยุคของ Yeltsin

สิ่งที่ Putin เคยรับปากไว้กับตระกูล Yeltsin สิ่งแรกที่เขาทำในฐานะประธานาธิบดีคือการแต่งตั้ง Kasyanov เป็นนายกรัฐมนตรี และต่อมาได้เรียก Voloshin กลับมาเป็นเสนาธิการเครมลิน

ในหมู่พวกเขามีนักธุรกิจที่เชื่อมโยงกับ KGB เช่น Yury Kovalchuk อดีตนักฟิสิกส์ที่กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน Bank Rossiya ซึ่งเป็นธนาคารในเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กที่สร้างขึ้นโดยพรรคคอมมิวนิสต์ในยุครุ่งเรืองของสหภาพโซเวียต

นอกจากนี้ยังมี Gennady Timchenko ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ KGB ที่เคยทำงานใกล้ชิดกับ Putin เพื่อควบคุมการส่งออกน้ำมันของเมือง คนเหล่านี้ต่อสู้เพื่อเงินและสูบเอาสินทรัพย์จากเมืองเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กมาแทบหมดสิ้น ตอนนี้พวกเขากำลังหิวโหยกับความมั่งคั่งของมอสโกที่กำลังรอพวกเขาอยู่

ต้องบอกว่าในช่วงสองสามปีแรกในการเป็นประธานาธิบดีของ Putin กลุ่มเลนินกราด KGB เหล่านี้ คือทีมงานวงในที่สำคัญที่สืบทอดมาจากระบอบของ Yeltsin

Putin ได้ประกาศปฏิรูปแบบเสรีนิยมหลายครั้ง ซึ่งทำให้เขาได้รับเสียงชื่นชนจากนักเศรษฐศาสตร์ทั่วโลกและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน เขาปฏิรูปภาษีเงินได้ที่ทำให้รัสเซียกลายเป็นประเทศที่มีความสามารถในการแข่งขันแห่งหนึ่งของโลก

Putin ได้เริ่มดำเนินการในการปฏิรูปที่ดินที่อนุญาติให้มีการซื้อและขายทรัพย์สินส่วนตัว รวมถึงได้ว่าจ้าง Andrei Illarionov ซึ่งได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในนักเศรษฐศาสตร์เสรีที่มีหลักการมากที่สุดของประเทศ เข้ามาร่วมทีมเศรษฐกิจ

ด้วยการส่งออกน้ำมันที่เป็นฐานรายได้หลักของประเทศ เมื่อราคาน้ำมันถีบตัวสูงขึ้น รัฐบาลของ Putin จึงเริ่มจ่ายหนี้จำนวนมหาศาลจากกองทุนที่ฝ่ายบริหารของ Yeltsin ยืมมาจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือ IMF ได้สำเร็จ ความไม่มั่นคงและความโกลาหลในยุคของ Yeltsin ดูเหมือนจะสิ้นสุดลงเสียที

โลกยังส่งเสียงเชียร์จากความพยายามของ Putin ในการสร้างความสัมพันธ์กับตะวันตก หนึ่งในนโยบายสานสัมพันธ์แรก ๆ ก็คือการปิดสถานีดักฟัง Lourdes ในคิวบา

เขาพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุชของสหรัฐฯ และเป็นผู้นำระดับโลกคนแรก ๆ ที่โทรแจ้งและแสดงความเสียใจภายหลังการโจมตีเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001

เขายังฝ่าฝืนคำแนะนำของรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมของเขาเอง และอนุญาติให้สหรัฐฯ เข้าถึงฐานทัพทหารในเอเชียกลาง ซึ่งจะทำให้สามารถเริ่มโจมตีในประเทศเพื่อนบ้านของอัฟกานิสถานได้

ในช่วงแรกดูเหมือนว่า DNA ของอดีต KGB ของ Putin นั้นจะถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง ขณะที่ จอร์จ ดับเบิลยู บุช กล่าวว่าเมื่อมองลึกเข้าไปในดวงตาของเขา (Putin) บุช สัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณลึก ๆ ของ Putin

แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นแค่ช่วงเวลาฮันนีมูนสั้นๆ เพียงเท่านั้น สมัยแรก ๆ ในการเป็นประธานาธิบดีของ Putin เป็นยุคแห่งการคิดใคร่ครวญและความไร้เดียงสาตามประสามือใหม่ ความพยายามในการสร้างสายสัมพันธ์กับตะวันตกไม่ได้เกิดจากความจริงใจใด ๆ แต่เนื่องจาก Putin คาดหวังอะไรบางอย่างเป็นการตอบแทน

ในเดือนมิถุนายน 2002 จอร์จ ดับเบิลยู บุช ประกาศว่าสหรัฐฯ จะถอนตัวจากสนธิสัญญาต่อต้านขีปนาวุธ ซึ่งเป็นข้อตกลงด้านอาวุธที่สำคัญที่สืบเนื่องมาจากสงครามเย็น

Putin รู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกหักหลัง การถอนตัวจากสนธิสัญญาจะทำให้สหรัฐฯ เริ่มทดสอบระบบป้องกันขีปนาวุธที่เสนอให้ติดตั้งในอดีตรัฐของสหภาพโซเวียตที่อยู่ในสนธิสัญญาวอร์ซอ

มันเป็นเล่ห์เหลี่ยมของสหรัฐฯ ที่ทำให้ Putin รู้สึกเหมือนโดนดูถูก ซึ่งสหรัฐฯ อ้างว่ามีจุดประสงค์เพื่อป้องกันขีปนาวุธของอิหร่าน แต่ฝ่ายบริหารของ Putin มองว่ามันมีจุดมุ่งหมายโดยตรงมาที่รัสเซียเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

Voloshin ที่เป็นเสนาธิการของเครมลินถึงกับกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า “เจ้าหน้าที่ชาวอเมริกันยังคงหลงเหลือแมลงสาบที่ตกทอดมาจากสงครามเย็น”

Voloshin (ซ้าย) ที่เป็นเสนาธิการของเครมลินออกมาประนามสหรัฐฯ(CR:Wikipedia.org)

ในเวลาเดียวกัน NATO ก็ยังคงเดินทัพไปทางตะวันตกอย่างไม่หยุดยั้ง คำสัญญาจากผู้นำตะวันตกที่มีต่อ Gorbachev อดีตประธานาธิบดีของสหภาพโซเวียต ถูกเหยียบย่ำอย่างไม่ใยดี มันเป็นความโสมมของโลกตะวันตก

ปีสุดท้ายของการปกครองของ Boris Yeltsin ในช่วงสุขภาพที่ย่ำแย่ ตะวันตกทำการย่ำยีด้วยการทำให้ NATO เข้ามากลืนกินโปแลนด์ ฮังการี และสาธารณรัฐเช็ก

ในปี 2000 NATO ได้เชิญอีกเจ็ดประเทศในยุโรปกลางและยุโรปตะวันออกให้เข้าร่วม มันเป็นการขยายอำนาจอย่างบ้าคลั่งของตะวันตกในช่วงที่รัสเซียกำลังอ่อนแอ

ในช่วงแรกของการบริหาร Putin พยายามกระชับอำนาจต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น และได้พยายามสร้างความสมดุลระหว่างทีมงานของครอบครัว Yeltsin ที่มีแนวคิดเสรี และค่อนข้างชอบตะวันตก กับทีมงาน KGB ของเขา

แต่ในท้ายที่สุดอิทธิพลของ KGB เริ่มมากลบสิ่งอื่นแทบจะทั้งหมด โลกทัศน์ของเขาเต็มไปด้วยตรรกะของสงครามเย็น และค่อย ๆ เข้ามากำหนดและหล่อหลอม Putin อย่างช้า ๆ เพื่อพยายามฟื้นฟูอำนาจรัสเซีย เพื่อต่อสู้กับตะวันตกที่ขยายอำนาจเข้ามาใกล้ชิดมากขึ้นเรื่อย ๆ

ฝั่งของ Pugachev เขาพยายามอยู่ในเงามืด เฝ้าดูลูกน้องของเขาเหมือนเหยี่ยว พยายามสร้างสมดุลระหว่างอิทธิพลของกองกำลังที่เป็นปฏิปักษ์ ทั้งฝั่งตระกูล Yeltsin และ KGB

ในช่วงปีแรกที่ Putin ดำรงตำแหน่ง Pugachev ใช้เงิน 50 ล้านดอลลาร์ เพื่อตอบสนองทุกความต้องการของครอบครัว Putin เขาได้ซื้ออพาร์ทเมนท์สำหรับอัยการของรัฐเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาเหล่านี้อยู่ภายใต้การควบคุมของ Putin และตัวเขาเอง

Boris Berezovsky ได้กลายเป็นตัวแทนผู้มีอำนาจตามแบบฉบับของยุค Yeltsin เขาเป็นบุคคลตัวอย่างที่ดีของการติดต่อกับคนวงในของ Yeltsin เมื่อกลุ่มนักธุรกิจเล็ก ๆ ต่อรองกันเบื้องหลังเพื่อแย่งชิงทรัพย์สินระดับเกรด A รวมถึงตำแหน่งข้าราชการสูง ๆ

แต่ความผูกพันที่เขาปลูกฝังกับผู้นำกลุ่มแบ่งแยกดินแดนของเชชเนียทำให้เขากลายเป็นคนทรยศในสายตาของกลุ่ม KGB

คนที่รายรอบตัว Putin จะกลัวสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือสื่อ แม้ว่าช่อง ORT TV จะถูกควบคุมโดยรัฐซึ่งถือหุ้น 51% แต่ Berezovsky ซึ่งเป็นเจ้าของส่วนที่เหลือ และกรรมการและผู้บริหารในสื่อก็เป็นคนของ Berezovsky

ในช่วงต้นเดือนสิงหาคม Berezovsky ได้ออกมาต่อต้าน Putin อย่างชัดเจนครั้งแรก วันรุ่งขึ้นหลังจากผู้ก่อการร้ายวางระเบิดผ่านอุโมงค์ใต้ดินใจกลางมอสโก มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ 90 ราย

เขาได้จัดงานแถลงข่าวเพื่อประกาศว่าเขากำลังสร้างกลุ่มต่อต้านเพื่อต่อสู้กับสิ่งที่เขาเรียกว่าลัทธิอำนาจนิยมของ Putin ที่กำลังเพิ่มขึ้น เขาได้เตือนว่าระเบิดดังกล่าวอาจเกิดขึ้นได้อีกหากเครมลินยังคงคิดจะทำลายกลุ่มกบฎในเชชเนีย มันแทบจะเป็นการจุดฉนวนระเบิดไปยัง Putin อย่างชัดเจน

Boris Berezovsky ที่ออกมาเดินหน้าท้าชน Putin (CR:Wikipedia.org)
Boris Berezovsky ที่ออกมาเดินหน้าท้าชน Putin (CR:Wikipedia.org)

Putin ต้องเผชิญวิกฤติครั้งสำคัญครั้งแรกของเขาในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เมื่อตอร์ปิโดบนเรือดำน้ำนิวเคลียร์ Kursk ลำหนึ่งของประเทศได้ถูกจุดฉนวนขึ้น ทำให้เกิดระเบิดอย่างรุนแรง และทำให้ลูกเรือจมหายไปใต้ท้องทะเล

Berezovsky ใช้ช่อง ORT TV อย่างเต็มกำลังเพื่อวิจารณ์ว่า Putin จะจัดการกับโศกนาฎกรรมที่เกิดขึ้นอย่างไร

มันได้เกิดความสับสนเข้าครอบงำเป็นเวลาหกวัน ในขณะที่ประธานาธิบดีของประเทศกลับซ่อนตัวอยู่ในบ้านพักฤดูร้อนของเขาใกล้โซซีบนชายฝั่งทะเลดำ

Putin นิ่งเงียบโดยสิ้นเชิงในขณะที่กองทัพเรือต่างงงงวยกับสิ่งที่เกิดขึ้น ครอบครัวของลูกเรือต่างตกอยู่ในความสิ้นหวัง ที่สำคัญรัสเซียยังปฏิเสธข้อเสนอความช่วยเหลือจากต่างประเทศ เนื่องจากกลัวว่าจะมีการเปิดเผยความลับเกี่ยวกับสถานะของกองเรือนิวเคลียร์ของตน

ในช่วงแรกนั้น Putin เป็นผู้นำที่ไม่มีประสบการณ์มากนัก แม้ว่าเขาทำงานมาหลายปีในการจัดการกับตะวันตกและปฏิบัติการทางทหารที่เด็ดขาดในเชชเนีย แต่เรื่องดังกล่าว ปูติน กลับตกอยู่ในความกลัว เขาแทบไม่รู้ว่าจะจัดการกับเรื่องดังกล่าวอย่างไร

ผ่านไปถึงวันที่เจ็ด Putin บินกลับมอสโกอย่างเงียบ ๆ แต่เพียงสามวันต่อมาเขาก็ปรากฎตัวต่อสาธารณะ เขาบินไป Vidyayevo เมืองที่อยู่เหนืออาร์กติกเซอร์เคิล ที่ตั้งของท่าเรือ Kursk

มีญาติของลูกเรือได้มารวมตัวกันด้วยความสิ้นหวัง พร้อมความโกรธในตัวผู้นำของพวกเขา ทางการรัสเซียอมรับในที่สุดว่าลูกเรือทั้งหมด 118 คนเสียชึวิต

สื่ออย่าง ORT TV ของ Berezovsky กล่าวหา Putin มีการสัมภาษณ์ญาติผู้โศกเศร้าและชี้ให้เห็นว่า Putin ขาดความเป็นผู้นำ Putin ต้องเผชิญกับความโกรธแค้นของภรรยาและญาติ ๆ ของผู้เสียชีวิตที่เข้ามาด่าทอเขา และถูกถ่ายทอดสดออกทีวี

นั่นทำให้ Putin เดือดดาลกับสื่อเป็นอย่างมาก และพุ่งเป้าไปที่ Berezovsky ที่ Putin มองว่าพยายามนำการเมืองเข้ามาหากินบนความโศกเศร้าของโศกนาฎกรรมที่เกิดขึ้น

ในช่วงกลางเดือนตุลาคม Putin เล่นงานกลับ โดยให้อัยการ เปิดคดีที่กล่าวหาว่า Berezovsky ใช้เงินหลายร้อยล้านดอลลาร์ผ่านบริษัทสวิสจาก Aeroflot สายการบินของรัสเซียที่เขาเป็นเจ้าของ และพร้อมที่จะตั้งข้อกลาวหากับ Berezovsky ซึ่งทำให้เขาได้หนีออกจากรัสเซียและประกาศว่าจะไม่กลับมาเหยียบแผ่นดินรัสเซียอีก

Putin และคนของเขากกำลังใช้กลวิธีที่ได้รับการทดสอบและทดลองในสมัยที่อยู่ในเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก ซึ่งในตอนนั้นสิ่งที่พวกเขาทำเพื่อเข้ายึดท่าเรือของเมืองและกองเรือบอลติกคือการส่งผู้อำนวยการคนเก่าเข้าคุก

แต่ในช่วงเริ่มการปกครอง พวกเขาทำอะไรได้เพียงเล็กน้อย เพราะต้องได้รับความช่วยเหลือจากกลุ่ม Yeltsin ที่ยังหลงเหลืออยู่ในเครมลิน และกลุ่มของ Putin ก็ใช้แผนการเดียวกันกับการยึดท่าเรือที่เซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก ในการยึดสื่อทั้งหมดให้มาตกอยู่ในมือของรัฐ

เขาให้ Gazprom เข้ามาถือหุ้นใหญ่ในสื่ออย่าง NTV และตั้งทีมผู้บริหารใหม่ หน่วย KGB ได้เข้าไปในอาคารสำนักข่าวอย่างเงียบ ๆ และทำหน้าที่แทนยามรักษาการณ์ชุดเดิมของอาคาร

นักข่าวที่มาถึงที่ทำงานในเช้าวันนั้นจะได้รับอนุญาติให้เข้ามาได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อผู้บริหารคนใหม่ นักข่าวอาวุโสลาออกเพื่อประท้วงการยึดเอาอิสรภาพที่ได้มาอย่างยากเย็นของพวกเขา

“รัฐประหารกำลังเกิดขึ้นในประเทศ” Igor Malashenko ผู้ร่วมก่อตั้งสำนักข่าว NTV กล่าว

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในการเข้ามาจัดการสื่อในประเทศแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของ Putin

เครมลินของ Putin ได้ควบคุมทุกสื่อไว้สำเร็จแล้ว ความอิสระของสื่อในยุคของ Yeltsin นั้นจบลงแล้ว

–> อ่านตอนที่ 7 : Operation Energy

ย้อนไปอ่านตั้งแต่ตอนแรก & Credit แหล่งข้อมูลบทความ