ประวัติ Vladimir Putin ตอนที่ 3 : Where’s the Money

การพยายามทำรัฐประหารโดยกลุ่มหัวรุนแรงคอมมิวนิสต์ที่พยายามรักษาอำนาจของสหภาพโซเวียตได้พังทลายลงด้วยความล้มเหลว

การเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาเพียงแค่ 4 วันสั้น ๆ นั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง Boris Yeltsin ผู้นำรัสเซียที่สนับสนุนประชาธิปไตยได้ลงนามในพระราชกฤษฎีกา ถ่ายทอดสด ระงับบทบาทของพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียต และยุติการปกครองนานหลายทศวรรษของพวกเขา

Yeltsin โทษพรรคคอมมิวนิสต์ว่าควรได้รับโทษฐานก่อรัฐประหารโดยผิดกฎหมาย Yeltsin จึงสั่งให้ปิดสำนักงานใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาไปทั่วรัสเซียของคณะกรรมการกลางของพรรคที่จตุรัสเก่าของมอสโกในทันที

ความลับของอาณาจักรการเงินอันกว้างใหญ่ไพศาลของสหภาพโซเวียตถูกจัดเก็บไว้ในห้องต่างๆ หลายร้อยห้อง เครือข่ายที่ครอบคลุมอาคาร โรงแรม และสถานพยาบาลหลายพันแห่ง เช่นเดียวกับบัญชีธนาคารของพรรคและบริษัทต่างชาตินับร้อยนับพันที่จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นกิจการร่วมค้าในช่วงที่ระบอบการปกครองกำลังเรืองอำนาจ

การดำเนินงานเชิงกลยุทธ์ของพรรคคอมมิวนิสต์ในต่างประเทศ และของพรรคการเมืองพันธมิตร ได้รับการสนับสนุนทางการเงินให้เป็นเครื่องมือในการต่อสู้ของโซเวียตเพื่อถ่วงดุลอำนาจกับตะวันตก

และนี่คืออาณาจักรที่ถูกดูแลโดย Nikolai Kruchina , Georgy Pavlov และ Dmitry Lissovolik ที่ Kruchina บริหารงานในฐานะหัวหน้าแผนกทรัพย์สินของพรรคคอมมิวนิสต์ตั้งแต่ปี 1983

โดย Pavlov และ Lissovolik เสียชีวิตอย่างปริศนาในหนึ่งเดือนถัดมาหลังการล่มสลายของพรรคคอมมิวนิสต์ ทั้งสองถูกระบุว่าได้ทำการฆ่าตัวตายที่บ้านพักของตนเอง

สิ่งที่เชื่อมโยงกันของชายทั้งสามคือ ความรู้ที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับระบบการเงินที่เป็นความลับของพรรคคอมมิวนิสต์ ในขณะที่ KGB กำลังเตรียมการสำหรับการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจแบบตลาดภายใต้การปฏิรูป perestroika ของ Gorbachev

แผนกทรัพย์สินที่ Kruchina และ Pavlov ดูแลนั้นเข้าใจกันว่ามีทรัพย์สินอยู่ที่ประมาณ 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ผู้ปกครองคนใหม่ของรัสเซียอย่าง Yeltsin รู้สึกงุนงงเมื่อพบว่ากองทุนของพรรคที่เหลืออยู่จริงนั้นแทบจะว่างเปล่า

มีข่าวลือมากมายว่า Kruchina ได้ทำการโอนเงินรูเบิลและสกุลเงินอื่น ๆ หลายพันล้านรูเบิลผ่านกองทุนการร่วมทุนจากต่างประเทศที่จัดตั้งขึ้นอย่างรวดเร็วในปีสุดท้ายของพรรคคอมมิวนิสต์ก่อนล่มสลาย

แต่เจ้าหน้าที่อัยการก็ได้ทำการขุดคุ้ยเอกสารจนพบหลักฐานของเงินที่รั่วไหลมากมายที่เกิดขึ้นก่อนการล่มสลายของพรรคคอมมิวนิสต์ ที่มีการติดต่อกับทั้งนายธนาคารในอิตาลี รวมถึงเครือข่ายบริษัทยักษ์ใหญ่ต่าง ๆ มากมายที่ทำงานร่วมกับสหภาพโซเวียต

บริษัทเหล่านั้นรวมถึงยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมยุโรป ไมว่าจะเป็น Fiat , Merloni , Olivetti , Siemens และ Thyssen บริษัทเหล่านี้ได้จัดหาสินค้าทางการทหารภายใต้การแอบอิงว่าเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ ซึ่งเบื้องหลังนั้นบริษัทเหล่านี้ได้ผลิตยุทโธปกรณ์ทางการทหารแบบจริงจังมาก ๆ

แม้จะมีการพยายามสอบสวนถึงเส้นทางการเงิน โดยมีการจ้างบริษัทจากต่างชาติเข้ามาร่วมสืบสวนสอบสวน แต่ดูเหมือนจะไม่มีความคืบหน้าเพราะไม่ได้รับความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ของรัสเซียเอง

หน่วยสืบราชการลับต่างประเทศของ KGB ซึ่งอยู่เบื้องหลังหลากหลายโครงการที่เกิดขึ้นในยุคคอมมิวนิสต์ ได้ถือกุญแจลับแห่งความมั่งคั่งที่ซ่อนอยู่ ซึ่งในท้ายที่สุด เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย ทุกอย่างเหมือนดูหยุดลง แต่สายลับ KGB เหล่านี้รู้ว่าเงินอยู่ที่ไหน

และ ในคืนสุดท้ายของ Kruchina ก่อนตายนั้นมีเรื่องที่น่าสนใจมาก ๆ เกิดขึ้นเมื่อเริ่มมีการโอนความมั่งคั่งของพรรคคอมมิวนิสต์ที่ถูกโอนไปยังชนชั้นสูงองค์กรใหม่ และแน่นอนว่าส่วนหนึ่งมันตกเป็นของหน่วยข่าวกรองต่างประเทศของ KGB นั่นเอง

Kruchina รู้ตัวดีว่ากำลังต่อสู้กับความสิ้นหวังที่ว่าต่อจากนี้คนที่จัดการกองทุนจะไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของเขาอีกต่อไป เขาอาจจะถูกฆ่าโดยกลุ่มคนเหล่านี้ เพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะไม่มีวันบอกเรื่องนี้ได้ เขาจึงตัดสินใจที่จะฆ่าตัวตาย

ซึ่งเรื่องราวของอัยการที่ค้นหาเงินที่หายไปนั้นถูกลืมไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางความโกลาหลของการล่มสลาย แต่สิ่งที่อัยการพบในตอนนั้นคือพิมพ์เขียวสำหรับทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นในภายหลัง

ไม่ว่าจะเป็นแผนการลักลอบนำเข้า บริษัทที่เป็นมิตร และผู้รับฝากทรัพย์สินที่สามารถไว้ใจได้ กลายเป็นแบบจำลองของระบอบการปกครองของ Putin ซึ่งระบอบใหม่นี้กำลังสร้างตัวขึ้นมาอย่างช้า ๆ

ต้องบอกว่าเศรษฐกิจของสหภาพโซเวียตเริ่มที่จะขาดแคลนทรัพยากรเนื่องจากในยุคคอมมิวนิสต์มีการผลักดันให้ผลิตเครื่องมือทางการทหารเพื่อแข่งขันกับโลกตะวันตกโดยแลกกับสิ่งอื่น ๆ

ในทางทฤษฎีแล้วนั้น รัฐคอมมิวนิสต์เดิมประสบความสำเร็จในการให้คำมั่นว่าจะให้การศึกษาและการรักษาพยาบาลกับคนงานทุกคนในประเทศโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ

แต่ในทางปฏิบัติ เศรษฐกิจที่วางแผนไว้ไม่ได้ผล ในทางกลับกัน กลับมีระบบที่เสียหายซึ่งประชาชนทั่วไปที่รัฐคอมมิวนิสต์ควรจะปกป้องกลับกลายเป็นคนที่แทบจะไม่มีอันจะกิน

รัฐคอมมิวนิสต์สามารถเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติมากมาย แต่ก็ล้มเหลวในการพัฒนาอุตสาหกรรมเพื่อผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคที่แข่งขันได้

ในทางกลับกันรัฐบาลได้มอบโควต้าการผลิตให้กับแต่ละองค์กร ควบคุมรายได้ทั้งหมดและกำหนดราคาที่คงที่สำหรับทุกสิ่ง ไม่มีแรงจูงใจให้เกิดการแข่งขันและระบบดังกล่าวก็ไม่สามารถใช้งานได้ ทำให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคตกต่ำอย่างไม่น่าเชื่อ

ด้วยเหตุนี้มันส่งผลให้เกิดการขาดแคลนทุกอย่างตั้งแต่ขนมปัง ไส้กรอก และอาหารอื่น ๆ ไปจนถึง รถยนต์ โทรทัศน์ ตู้เย็น หรือแม้แต่อพาร์ทเมนท์

อำนาจที่มากล้นเกินไปของระบบราชการของสหภาพโซเวียตได้สร้างการทุจริตอย่างลึกซึ้งในระบบ ในขณะที่ภายใต้เงื่อนไขเหล่านี้ ตลาดมืดกลับเจริญรุ่งเรือง

และนั่นเองที่กลายเป็นว่าเหล่าสมาชิกหน่วยข่าวกรองต่างประเทศนั้นมองเห็นจุดอ่อนของโครงสร้างเดิมเหล่านี้ที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลง พวกเขาเป็นคนที่สามารถเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ ทั่วโลกและมองเห็นว่าเศรษฐกิจตลาดดำเนินการอย่างไรในโลกตะวันตก ซึ่งระบบสังคมนิยมล้มเหลวในการติดตามความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของโลกตะวันตกโดยสิ้นเชิง

ซึ่งในขณะที่ Putin อยู่ในเดรสเดน กลุ่มหัวก้าวหน้าของ KGB ในมอสโกก็เริ่มขั้นตอนที่สองของการทดสอบตลาด พวกเขาเริ่มปลูกฝังและสร้างผู้ประกอบการของตนเองจากกลุ่มเยาวชนคอมมิวนิสต์รุ่นใหม่ (Komsomol )

แม้ว่าในเดือนตุลาคม 1991 Yeltsin ได้ลงนามในคำสั่งให้ยกเลิก KGB และแบ่งแยกองค์กรออกเป็นสี่องค์กรย่อยภายในประเทศ และได้แต่งตั้ง Vadim Bakatin ให้เป็นหัวหน้าองค์กรคนใหม่

แต่ Bakatin เป็นคนนอกที่ไม่มีประสบการณ์ เขาเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยในช่วงเวลาสั้น ๆ ในช่วงปีสุดท้ายของระบอบการปกครองของโซเวียต ซึ่งเขาก็ไม่สามารถที่จะควบคุม KGB ที่แท้จริงได้เลย

แม้บริการหน่วยข่าวกรองต่างประเทศที่ทรงพลังจะถูกกเปลี่ยนชื่อเป็น SVR ถึงขั้นที่ว่าเจ้าหน้าที่หลายหมื่นคนจะลาออกจากราชการ แต่ส่วนหนึ่งของระบบก็ลงไปอยู่ใต้ดินแทน เช่นเดียวกับที่ Putin ทำกับ Sobchak พวกเขาเข้าไปอยู่ในเงามืด

สุดท้ายมันแทบไม่ได้กำจัดอะไรเลยจริง ๆ พวกเขาแค่เปลี่ยนป้ายชื่อ แต่ข้างในไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยจริง ๆ แม้งบประมาณของ SVR จะถูกลดลงไปมาก แต่ในไม่ช้ามันก็มีแหล่งเงินทุนที่ไม่เป็นทางการที่เป็นปริศนาเข้ามาสวมแทน

แม้ว่ารัฐบาลรัสเซียกำลังดิ้นรนอยู่ในความโกลาหลของการล่มสลายของสหภาพโซเวียตเพื่อจ่ายเงินบำนาญและค่าจ้างของครู แพทย์ และเจ้าหน้าที่ของรัฐอื่น ๆ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ Yegor Gaidar ยังคงหาเงินทุนเพื่อรักษาด่านยุทธศาสตร์สำหรับข่าวกรองต่างประเทศ

Yegor Gaidar นายกรัฐมันตรีของรัสเซียในยุคของ Yeltsin (CR:Novinite.com)
Yegor Gaidar นายกรัฐมันตรีของรัสเซียในยุคของ Yeltsin (CR:Novinite.com)

หนึ่งในการจ่ายเงินดังกล่าวคือ การจ่ายเงินจำนวน 200 ล้านดอลลาร์ในปี 1992 ให้กับระบอบการปกครองของฟิเดล คาสโตรในคิวบาสำหรับหน่วยข่าวกรองต่างประเทศของรัสเซียเพื่อใช้เป็นสถานีดักฟังข้อมูลในสหรัฐอเมริกาต่อไป

ในช่วงครึ่งแรกของยุค 90 KGB ยังคงเป็นกำลังสำคัญอยู่เบื้องหลัง ผู้ปฏิบัติงานยังมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง เป็นที่ปรึกษาด้านการค้าหรือมีความสัมพันธ์กับรัฐบาล หรือเป็นหัวหน้าฝ่ายความมั่นคง ภาคน้ำมันส่วนใหญ่ก็ยังคงอยู่ในมือของรัฐ

เมื่อรัฐบาลของ Yeltsin ประกาศปล่อยราคาสินค้าอุปโภคบริโภคให้เป็นไปตามกลไกตลาดในวันที่ 1 มกราคม 1992 ซึ่งยกเลิกการควบคุมราคาของสินค้าที่สหภาพโซเวียตทำมานานหลายทศวรรษ

นั่นทำให้เกิดบรรดามหาเศรษฐีรุ่นใหม่ขึ้นมามากมาย ในขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่และรัฐบาลกำลังดิ้นรนเอาชีวิตรอด การยกเลิกการควบคุมราคาสินค้าทำให้เกิดการแข่งขันที่รุนแรง เกิดภาวะเงินเฟ้อที่รุนแรง เนื่องจากซัพพลายเออร์และผู้ผลิตพยายามดิ้นรนเพื่อเอาชนะปัญหาการขาดแคลนที่สร้างขึ้นมาเป็นเวลานานในเศรษฐกิจของสหภาพโซเวียต

มหาเศรษฐียังได้รับประโยชน์เต็ม ๆ จากการปฏิรูปตลาดครั้งต่อไป โดยนายกรัฐมนตรี Gaidar นั่นก็คือการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเฉพาะผู้ที่มีเงินทุนจะมีสิทธิ์ในการเข้าร่วมในการแปรรูปครั้งใหญ่นี้ ซึ่งก็คือกลุ่มชนชั้นนำที่ได้ควบคุมกระแสเงินสดขององค์กรส่วนใหญ่ภายใต้การปฏิรูป perestroika ของ Gorbachev ไม่ว่าจะเป็นนักธุรกิจหนุ่มจากเยาวชนคอมมิวนิสต์ , นักธุรกิจในตลาดมืด , องค์กรอาชญกรรม กลุ่ม KGB และเหล่าผู้อำนวยการของรัฐ

จุดเปลี่ยนที่แท้จริงเมื่อการควบคุมเศรษฐกิจดูเหมือนจะโอนไปอยู่ในมือของมหาเศรษฐีหน้าใหม่ คือในช่วงกลางปี 1995 รัสเซียกำลังเข้าสู่ช่วงปีสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งแรกในยุคหลังโซเวียต ซึ่งสถานการณ์ในตอนนั้นเงินทุนของรัฐบาลเริ่มร่อยหรอ

Vladimir Potanin ลูกชายที่พูดจาอย่างคล่องแคล่วของนักการทูตอาวุโสของสหภาพโซเวียต ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในนายธนาคารคนใหม่ที่สำคัญของประเทศได้คิดค้นสิ่งที่ดูเหมือนเป็นแผนการที่แยบยล

เขาเสนอช่วยรัฐบาล Yeltsin ด้วยการให้กู้ยืมเงินจำนวนหนึ่ง โดยมีหลักประกันคือ บรรดามหาเศรษฐีจะเลือกถือหุ้นในบริษัทที่ใหญ่ที่สุดของประเทศจำนวนหนึ่ง พวกเขาจะจัดการวิสาหกิจ และสามารถขายหุ้นออกได้หากรัฐบาลไม่สามารถชำระเงินกู้คืนได้

ซึ่งเหล่านักธุรกิจรุ่นเยาว์มีเพื่อนที่มีอำนาจในรัฐบาลของ Yeltsin นั่นก็คือ Anatoly Chubais รองนายกรัฐมนตรีผมสีแดงและเป็นคู่หูที่ใกล้ชิดของนายกรัฐมนตรี Gaidar เป็นหนึ่งในทีมงานคนสำคัญในโครงการแปรรูปรัฐวิสาหกิจมาก่อน

นั่นทำให้เหล่าผู้ประกอบการรุ่นเยาว์สามารถเอาชนะกลุ่ม KGB ซึ่งกองกำลังที่รวมกันของ KGB และอดีตกรรมการในยุคโซเวียตสามารถเอาชนะการประมูลเพื่อถือหุ้นในบริษัทน้ำมันได้เพียงสองแห่งเท่านั้น นั่นคือ 5% ของบริษัทน้ำมันชื่อ Lukoil และ 40% ของ Surgutneftegaz และส่วนใหญ่ผู้ชนะคือนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่มีสายสัมพันธ์กับ Chubais

นั่นทำให้อุตสาหกรรมที่เหลือส่วนใหญ่ตกอยู่ในมือนายธนาคารรุ่นเยาว์เหล่านี้ Potanin ได้ครอบครองสิ่งที่เขาอยากได้มานาน ซึ่งรวมถึง Norilsk Nickel ผู้ผลิตนิกเกิลและแพลตตินั่มที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยการให้เงินกู้กับรัฐเพียงแค่ 170 ล้านดอลลาร์เพียงเท่านั้น

รวมถึงพันธมิตรคนอื่น ๆ ของ Patanin ที่ได้ Yukos ผู้ผลิตน้ำมันในไซบีเรียตะวันตกซึ่งควบคุมแหล่งน้ำมันสำรองที่ใหญ่ที่สุดของรัสเซียมานานแล้ว โดยให้รัฐกู้ยืมเงิน 159 ล้านดอลลาร์สำหรับหุ้น 45% จากนั้นจ่ายเงินลงทุนเพิ่มอีก 150 ล้านดอลลาร์ เพื่อขอหุ้นเพิ่มอีก 33% ส่วน Sibneft บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่อีกรายตกเป็นของ Boris Berezovsky ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ในรัสเซีย โดยจ่ายเงินเพียงแค่ 100 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าถูกมาก ๆ

Vladimir Potanin หนึ่งในนายธนาคารคนใหม่ที่สำคัญของประเทศในยุคนั้น (CR:Business Insider)
Vladimir Potanin หนึ่งในนายธนาคารคนใหม่ที่สำคัญของประเทศในยุคนั้น (CR:Business Insider)

นายธนาคารรุ่นเยาว์เหล่านี้อายุยังไม่ถึงสามสิบปี แต่ด้วยความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่รัฐนั่นเองที่ทำให้ในไม่ช้า Berezovsky ได้ออกมากล่าวว่า กลุ่มนายธนาคารเจ็ดนายได้ควบคุมเศรษฐกิจของประเทศร้อยละ 50 พวกเขาสามารถสร้างอาณาจักรของอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่แห่งใหม่ที่ภายในระยะเวลาอีกไม่กี่ปีจะมีมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์

การปล่อยเงินกู้จากนายทุนธนาคารครั้งใหญ่นี้แลกกับบริษัทในอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ของประเทศรัสเซียซึ่งได้กลายเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในการควบคุมเศรษฐกิจ เป็นช่วงเวลาที่เหล่าผู้ประกอบการเปลี่ยนจากแค่นายธนาคารมาเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ

แต่ในมุมกลับกันฝั่งของ KGB มันคือความพ่ายแพ้ที่พวกเขาไม่มีวันให้อภัย แม้ในเงามืด เหล่า KGB ยังคงสามารถควบคุมกระแสเงินสดส่วนใหญ่ผ่านความมั่งคั่งจากน้ำมันของประเทศได้ แต่ตอนนี้พวกเขาถูกหลอก และถูกกลุ่มเด็กรุ่นใหม่แซงหน้า กระแสเงินสด เครื่องผลิตเงินส่วนใหญ่ถูกพรากไปจากมือของพวกเขาเสียแล้ว

แต่มหาเศรษฐีในระเบียบใหม่ของรัสเซียต่างวิตกกับความมั่งคั่งใหม่ของพวกเขา พวกเขากลายเป็นผู้มีอำนาจอย่างรวดเร็วซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากต่อรัฐบาลของ Yeltsin ที่อ่อนแอลงเรื่อย ๆ เหล่า KGB เก่าซึ่งเคยรับราชการในรัฐบาลถูกขับออกจากตำแหน่งเป็นจำนวนมาก

Potanin รับตำแหน่งเป็นรองนายกรัฐมนตรีของ Yeltsin ในขณะที่ Berezovsky ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคง Chubais เป็นเสนาธิการของ Yeltsin ดูเหมือนว่าตอนนี้ประเทศจะเป็นของพวกเขา และอิทธิพลของ KGB กำลังเริ่มถดถอย

แต่นั่นคือที่เฉพาะที่ศูนย์กลางอำนาจในเมืองหลวงอย่างมอสโก เหล่ามหาเศรษฐีหน้าใหม่ หลงระเริงกับอำนาจที่ได้มาแสนง่ายดาย พวกเขาไม่ได้สังเกตว่าบริเวณใกล้เคียงในเมืองเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก สิ่งต่าง ๆ กำลังดำเนินการในทางตรงกันข้ามที่นั่น

การแยกตัวออกจากความรุ่งโรจน์ของเศรษฐกิจที่เฟื่องฟูของมอสโก ทำให้กองกำลังของ KGB ได้ถอยทัพมาคุมเมืองเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก ในเมืองที่เศรษฐกิจเริ่มแข็งแกร่งขึ้น แต่เต็มไปด้วยความมืดมน ในการแย่งชิงทรัพยากรของชาติอย่างรุนแรง และที่สำคัญ ชายที่ชื่อ Vladimir Putin กำลังสะสมอำนาจแบบเงียบ ๆ ในเมืองทางตอนเหนือแห่งนี้และเตรียมพร้อมที่ก้าวขึ้นมาท้าทายศูนย์กลางอำนาจที่มอสโกอีกครั้ง

–> อ่านตอนที่ 4 : Submariner, Soldier, Trader and Spy

ย้อนไปอ่านตั้งแต่ตอนแรก & Credit แหล่งข้อมูลบทความ