Geek Daily EP308 : สรุปมหากาพย์ดราม่า Windsurf กลยุทธ์ซื้อตัวสุดโหด ที่ทำให้ 250 ชีวิตต้องถูกลอยแพ

เคยจินตนาการไหมครับว่า วันหนึ่งบริษัทที่คุณทำงานอยู่ ซึ่งมีมูลค่ามหาศาลระดับแสนล้านบาท กำลังจะถูกยักษ์ใหญ่ของวงการเทคโนโลยีเข้าซื้อกิจการ ทุกคนในบริษัทกำลังจะกลายเป็นเศรษฐีในชั่วข้ามคืน… แต่แล้วเรื่องกลับตาลปัตร ดีลล่มไม่เป็นท่า และที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือ ผู้ก่อตั้งบริษัทของคุณกลับหอบเงินหลายหมื่นล้านบาทไปกับบริษัทคู่แข่ง ทิ้งคุณและเพื่อนพนักงานอีก 250 ชีวิตไว้ข้างหลังโดยไม่เหลืออะไรเลย

เรื่องราวนี้ไม่ใช่พล็อตหนังฮอลลีวูดครับ แต่มันคือเรื่องจริงที่เพิ่งเกิดขึ้นในใจกลาง Silicon Valley กับบริษัท AI สุดร้อนแรงที่ชื่อว่า Windsurf นี่คือมหากาพย์ธุรกิจที่เต็มไปด้วยการหักเหลี่ยมเฉือนคม การทรยศ และเงินจำนวนมหาศาลที่สะท้อนภาพของสงครามแย่งชิงบุคลากรในโลก AI ได้อย่างดุเดือดที่สุด

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/3stpaau5

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/yekz3rer

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/2s3pv9nr

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/FhOl1km1T0U

อวสานยุค “Made in Japan”? กับ 3 ทหารเสือจีนโค่นบัลลังก์เครื่องใช้ไฟฟ้าญี่ปุ่น-เกาหลี

เคยมีอยู่ยุคหนึ่ง ที่คำว่า “Made in Japan” เปรียบเสมือนเครื่องหมายรับประกันคุณภาพสูงสุดในโลกของเครื่องใช้ไฟฟ้า แบรนด์อย่าง Sony, Panasonic, หรือ Sharp คือเจ้าแห่งนวัตกรรมที่ทุกคนต่างให้การยอมรับและหมายปอง

บัลลังก์ของพวกเขาดูแข็งแกร่งและไม่มีวันสั่นคลอน แต่แล้วเมื่อกาลเวลาผ่านไป ยักษ์ใหญ่จากเกาหลีใต้อย่าง Samsung และ LG ก็ก้าวขึ้นมาท้าชิงบัลลังก์นั้นอย่างสมศักดิ์ศรี สงครามเครื่องใช้ไฟฟ้าดูเหมือนจะเป็นการขับเคี่ยวกันของสองมหาอำนาจนี้ไปอีกนานแสนนาน

แต่ใครจะไปคาดคิดว่า ท่ามกลางสมรภูมิรบอันดุเดือด จะมีม้ามืดสามตัวจากแผ่นดินจีน ค่อยๆ ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาอย่างเงียบๆ รอวันที่จะพลิกกระดานและเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ไปตลอดกาล

นี่คือเรื่องราวของ Haier, Midea และ TCL สามทหารเสือผู้เขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ด้วยกลยุทธ์ที่พลิกตำราและบทเรียนทางธุรกิจมูลค่าหลายล้านล้านบาท ที่จะทำให้เราต้องหันกลับมามองยักษ์ใหญ่จากจีนด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป

เรื่องราวทั้งหมดต้องย้อนกลับไปในทศวรรษ 1980 ช่วงเวลาที่ญี่ปุ่นกำลังครองโลก แต่แล้วจุดเปลี่ยนที่ไม่มีใครคาดฝันก็เกิดขึ้นในปี 1985 เมื่อข้อตกลงที่ชื่อว่า Plaza Accord ได้บังคับให้ค่าเงินเยนของญี่ปุ่นแข็งค่าขึ้นอย่างมหาศาล

ผลลัพธ์คือสินค้าญี่ปุ่นที่เคยว่าแพงอยู่แล้ว กลับมีราคาพุ่งสูงขึ้นไปอีกจนคนธรรมดาแทบจะเอื้อมไม่ถึง และณ จุดนี้เอง ที่บริษัทยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นได้ตัดสินใจเดินหมากที่ผิดพลาดที่สุดในประวัติศาสตร์

พวกเขาทอดทิ้งตลาดระดับกลางและล่างทั้งหมด แล้วหันไปมุ่งเน้นการทำของ “พรีเมียม” สุดหรูสำหรับลูกค้าระดับบนเท่านั้น พวกเขามองว่าตลาดล่างเป็นเรื่องไร้สาระและไม่คุ้มค่าที่จะเสียเวลาด้วย

ความผิดพลาดครั้งประวัติศาสตร์นี้ ได้เปิดประตูต้อนรับผู้เล่นหน้าใหม่จากประเทศจีนอย่างไม่รู้ตัว

ที่เมืองชิงเต่า มีโรงงานตู้เย็นของรัฐที่ใกล้จะล้มละลายอยู่แห่งหนึ่ง จนกระทั่งชายที่ชื่อ Zhang Ruimin เข้ามารับตำแหน่ง เขาได้ทำในสิ่งที่โลกต้องจดจำ เมื่อเขาสั่งให้คนงานนำตู้เย็นที่มีตำหนิ 76 เครื่องมาทุบทิ้งต่อหน้าพนักงานทุกคน

การกระทำที่ดูบ้าบิ่นนี้ คือการประกาศก้องว่าแบรนด์ที่ชื่อว่า Haier จะไม่ยอมประนีประนอมกับเรื่องคุณภาพเด็ดขาด แม้จะต้องเจ็บปวดในตอนเริ่มต้นก็ตาม

ในเวลาไล่เลี่ยกัน ที่เมืองกว่างโจว ชายชื่อ He Xiangjian กำลังก่อตั้งโรงงานเล็กๆ ที่ชื่อว่า Midea เพื่อผลิตฝาขวดพลาสติก พวกเขาไม่มีเทคโนโลยีล้ำสมัย แต่มีสัญชาตญาณที่เฉียบคมในการมองหาว่า “ตลาดต้องการอะไร” และทำมันออกมาในราคาที่ทุกคนเข้าถึงได้

และที่เมืองฮุ่ยโจว รัฐวิสาหกิจชื่อ TTK ที่ผลิตเทปคาสเซ็ท กำลังถูกบริษัทญี่ปุ่นอย่าง TDK ฟ้องร้องเรื่องชื่อที่คล้ายกันเกินไป พวกเขาจึงต้องเปลี่ยนชื่อเป็น TCL และหันไปทำธุรกิจโทรศัพท์บ้านแทน การโดนฟ้องร้องในวันนั้น กลายเป็นบทเรียนที่บังคับให้พวกเขาต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวในเวทีโลกตั้งแต่เนิ่นๆ

ในขณะที่ยักษ์ใหญ่ญี่ปุ่นกำลังหลงระเริงอยู่บนยอดเขา มีมดงานสามกลุ่มกำลังก่อร่างสร้างตัวจากตีนเขาอย่างเงียบๆ กลุ่มหนึ่งเน้นคุณภาพ, กลุ่มหนึ่งเน้นความคุ้มค่า, และอีกกลุ่มเน้นการปรับตัว รอวันที่จะปีนขึ้นไปโค่นบัลลังก์ของยักษ์ที่กำลังหลับใหล

เมื่อก้าวเข้าสู่ทศวรรษ 1990 และ 2000 สามทหารเสือจากจีนก็เริ่มเปิดฉากสงครามด้วยกลยุทธ์ที่แยบยลและแตกต่างกันไป แต่มีหัวใจเดียวกันคือการทำในสิ่งที่ยักษ์ใหญ่ละเลย

อาวุธสำคัญอย่างแรกที่พวกเขาใช้เหมือนกันคือ “วิศวกรรมย้อนกลับ” หรือ Reverse Engineering พวกเขาไม่ได้ทุ่มเงินมหาศาลเพื่อวิจัยเทคโนโลยีใหม่ แต่เลือกที่จะซื้อสินค้าของคู่แข่งมาหนึ่งชิ้น แล้วชำแหละมันออกมาเพื่อศึกษาและเรียนรู้

พวกเขาค้นหาว่าอะไรคือส่วนที่ดี อะไรคือส่วนที่แพงเกินความจำเป็น แล้วจึงสร้างผลิตภัณฑ์เวอร์ชันของตัวเองขึ้นมา โดยตัดทอนสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป เพื่อให้ได้สินค้าที่มีคุณภาพดีพอในราคาที่ถูกจนน่าตกใจ

TCL ได้ยกระดับเกมนี้ไปอีกขั้นด้วยอาวุธลับที่สอง นั่นคือ “การบูรณาการในแนวดิ่ง” หรือ Vertical Integration

ในขณะที่แบรนด์อื่นๆ เลือกที่จะซื้อชิ้นส่วนจากหลายๆ ที่มาประกอบเป็นสินค้า แต่ TCL เลือกที่จะ “ทำเองทั้งหมด” ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ

พวกเขาไม่ได้เป็นแค่โรงงานประกอบทีวี แต่ยังมีบริษัทลูกชื่อว่า CSOT ซึ่งเป็นโรงงานผลิต “หน้าจอ” ที่ใหญ่และทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และเรื่องที่น่าทึ่งที่สุดคือ โรงงานแห่งนี้ยังผลิตและส่งหน้าจอให้กับแบรนด์คู่แข่งอื่นๆ อีกด้วย

ความได้เปรียบในการควบคุมต้นทุนและซัพพลายเชนนี้เอง ที่ทำให้ TCL สามารถตั้งราคาที่น่าดึงดูดใจได้โดยไม่ต้องลดทอนคุณภาพในส่วนที่สำคัญ

ในขณะเดียวกัน Haier ก็สร้างความแตกต่างด้วยอาวุธที่ไม่เหมือนใคร นั่นคือ “นวัตกรรมการจัดการ” Zhang Ruimin ได้สร้างโมเดลการบริหารที่ชื่อว่า “เหรินตันเหออี” ขึ้นมา

โมเดลนี้คือการทลายโครงสร้างบริษัทขนาดใหญ่ แล้วแบ่งพนักงานหลายหมื่นคนออกเป็นองค์กรขนาดเล็กๆ นับพันแห่ง แต่ละแห่งมีอิสระในการตัดสินใจและรับผิดชอบผลกำไรขาดทุนของตัวเอง นี่คือการเปลี่ยนพนักงานให้กลายเป็น “ผู้ประกอบการ” ที่มีความรับผิดชอบและกระตือรือร้น

ส่วน Midea เลือกใช้กลยุทธ์ที่ดุดันและรวดเร็วที่สุด นั่นคือ “การเติบโตผ่านการซื้อกิจการ” พวกเขาไล่ซื้อคู่แข่งในประเทศจนกลายเป็นยักษ์ใหญ่เครื่องใช้ไฟฟ้าครบวงจร และก้าวไปอีกขั้นด้วยการซื้อ KUKA บริษัทหุ่นยนต์อันดับหนึ่งของเยอรมนี

การเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นการส่งสัญญาณว่า Midea ไม่ได้มองแค่ธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าอีกต่อไป แต่มองไปถึงอนาคตของโลกอุตสาหกรรม หรือ Industry 4.0

และแล้ว จุดเปลี่ยนสำคัญที่ส่งให้ม้ามืดทั้งสามตัวนี้พุ่งทะยานขึ้นมาอย่างฉุดไม่อยู่ก็มาถึง นั่นคือ “วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ปี 2008”

วิกฤตเศรษฐกิจโลกครั้งนั้นได้เปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคไปตลอดกาล ผู้คนทั่วโลกเริ่มมองหาความ “คุ้มค่า” มากกว่าความหรูหรา สินค้าราคาแพงจากญี่ปุ่นกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีใครต้องการ

แต่นี่คือนาทีทองของแบรนด์จีน สินค้าคุณภาพดีพอใช้ในราคาที่จับต้องได้ของพวกเขากลายเป็นพระเอกขี่ม้าขาวที่ทุกคนตามหา มันคือช่วงเวลาที่โลกได้รับรู้ว่า… ยุคสมัยของยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่นได้จบสิ้นลงแล้วอย่างแท้จริง

เมื่อยักษ์ญี่ปุ่นล้มลง สมรภูมิจึงเหลือแค่ยักษ์เกาหลีกับมังกรจีน แต่ดูเหมือนว่ามังกรจากจีนจะเติบโตเร็วกว่าที่ใครจะคาดคิด

Haier ได้สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วโลกในปี 2016 ด้วยการประกาศเข้าซื้อกิจการเครื่องใช้ไฟฟ้าของ General Electric หรือ GE ในอเมริกา… แบรนด์ในตำนานที่ครั้งหนึ่ง Zhang Ruimin เคยยกให้เป็นต้นแบบ บัดนี้กลับถูกลูกศิษย์จากจีนซื้อกิจการไปอย่างสมบูรณ์แบบ

TCL ก็ผงาดขึ้นมาอย่างไม่หยุดยั้ง พวกเขาใช้ความได้เปรียบด้านต้นทุนและคุณภาพที่พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนสามารถโค่น LG ลงจากตำแหน่งผู้ผลิตทีวีอันดับสองของโลกได้สำเร็จในปี 2022 และตอนนี้กำลังหายใจรดต้นคอเบอร์หนึ่งอย่าง Samsung

ส่วน Midea ก็ได้กลายเป็นผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลกไปแล้ว อาณาจักรของพวกเขาไม่ได้มีแค่แอร์หรือตู้เย็น แต่ยังครอบคลุมไปถึงอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติที่ล้ำสมัย

ยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่นล้มลงเพราะความหยิ่งทะนง การยึดติดกับภาพความสำเร็จเก่าๆ และการไม่ยอมปรับตัวเข้าหาความต้องการที่แท้จริงของตลาดส่วนใหญ่

ในขณะที่สามทหารเสือจากจีนเริ่มต้นจากศูนย์ พวกเขาไม่มีอะไรจะเสีย พวกเขาจึงต้องรับฟังลูกค้า ต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว และต้องทำงานหนักกว่าคนอื่นร้อยเท่าพันเท่า

พวกเขาไม่ได้ชนะเพราะเป็นผู้คิดค้นเทคโนโลยีที่เก่งกาจที่สุด แต่พวกเขาชนะเพราะเป็น “ผู้บูรณาการที่ฉลาดที่สุด” พวกเขารู้วิธีนำเทคโนโลยีที่มีอยู่ มาทำให้มันดีพอและเข้าถึงได้สำหรับคนส่วนใหญ่

พวกเขาชนะเพราะเป็น “ผู้ที่เข้าใจลูกค้าได้ดีที่สุด” พวกเขามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่จับต้องได้อย่าง “ความคุ้มค่า” และ “การใช้งานได้จริง” ไม่ใช่ลูกเล่นที่หวือหวาหรือนวัตกรรมที่ไกลเกินเอื้อม

เรื่องราวของ Haier, Midea, และ TCL คือมหากาพย์การต่อสู้ทางธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ มันคือบทเรียนที่สอนให้เรารู้ว่า ไม่ว่าคุณจะเริ่มต้นจากจุดที่เล็กแค่ไหน แต่ด้วยวิสัยทัศน์ที่ถูกต้อง กลยุทธ์ที่เฉียบคม และความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมแพ้… คุณก็สามารถโค่นยักษ์ใหญ่และเปลี่ยนแปลงโลกได้เช่นกัน

References : [hbr, forbes, reuters, bloomberg, lcdtvthailand]

Geek Story EP422 : ทำไม WM Motor ถึงเจ๊ง? ถอดรหัสหายนะสตาร์ทอัพที่เคยจะโค่น Tesla

บริษัทที่เคยถูกยกย่องให้เป็น ‘ดาวรุ่งพุ่งแรง’ เป็นความหวังของวงการ และมีนักลงทุนระดับยักษ์ใหญ่หนุนหลัง ล้มครืนลงมาต่อหน้าต่อตาได้ในเวลาไม่กี่ปี เรื่องราวที่ครั้งหนึ่งเคยถูกคาดการณ์ว่าจะเป็น “The Next Tesla” กลับกลายเป็นเพียงตำนานบทหนึ่งที่ถูกลืม วันนี้เราจะมาเจาะลึกเรื่องราวของ WM Motor สตาร์ทอัพรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีน ที่เคยทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุด และดิ่งลงสู่การล้มละลายอย่างน่าใจหาย

เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของบริษัทเดียวที่ล้มเหลวครับ แต่มันสะท้อนภาพใหญ่ของสงครามรถยนต์ไฟฟ้าในจีนที่ดุเดือดเลือดพล่าน และเป็นบทเรียนราคาแพงสำหรับนักลงทุนทั่วโลกที่ฝันอยากจะเจอหุ้น “ยูนิคอร์น” ตัวต่อไป… และที่สำคัญที่สุดคือ กลโกงทางการเงินที่เกือบจะทำให้บริษัทนี้ระดมเงินหลายพันล้านดอลลาร์จากนักลงทุนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ได้สำเร็จ

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify :
https://tinyurl.com/2un7wk54

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/bz2rtk5n

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/2a3ah84x

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/WRkpz7z3BUg

“In China, for China” กลยุทธ์ใหม่ที่ Volkswagen ต้องยอมกลืนเลือด

ถ้าพูดถึงรถยนต์ที่เป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่ง ทนทาน และวิศวกรรมชั้นเลิศจากเยอรมนี ชื่อแรกที่หลายคนนึกถึงคงหนีไม่พ้น Volkswagen ที่มีภาพจำของรถเต่าสุดคลาสสิก หรือรถตู้ที่เป็นไอคอนของวัฒนธรรมฮิปปี้

Volkswagen ไม่ใช่แค่บริษัทรถยนต์ แต่เป็นเสาหลักแห่งความภาคภูมิใจของชาติเยอรมัน เป็นสัญลักษณ์แห่งการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลังสงคราม และเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับสองของโลกที่ดูเหมือนจะไม่มีวันสั่นคลอน

แต่จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าผมบอกคุณว่าวันนี้ ยักษ์ใหญ่ที่ดูเหมือนจะไม่มีวันล้มตนนี้ กำลังเผชิญหน้ากับพายุลูกใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท… วิกฤตที่ไม่ได้มาจากที่เดียว แต่ถาโถมเข้ามาจากทุกทิศทางพร้อมกัน

นี่คือเรื่องราวการดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดของ Volkswagen ที่เดิมพันด้วยอนาคตทั้งหมดของบริษัท

เรื่องราวของเราต้องย้อนกลับไปในโลกที่ทุกอย่างดูเหมือนจะเข้าข้าง Volkswagen พวกเขาคือนิยามของความสำเร็จในอุตสาหกรรมยานยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน และที่สำคัญที่สุดคือการเป็นเจ้าตลาดเบอร์หนึ่งในจีนมานานหลายทศวรรษ

ในยุค 80 การได้ครอบครองรถ Volkswagen Santana สักคันในประเทศจีน ถือเป็นเครื่องหมายแห่งความสำเร็จและสถานะทางสังคม

VW ไม่ได้เป็นแค่ผู้ขายรถ แต่เป็นผู้บุกเบิกและร่วมสร้างตลาดรถยนต์ในจีนให้เติบโตขึ้นมากับมือ ความสำเร็จนี้มันยิ่งใหญ่เสียจนอาจทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “Hubris” หรือความหยิ่งทะนง ว่าความรุ่งโรจน์นี้จะคงอยู่ตลอดไป

แต่แล้วโลกก็เริ่มหมุนเปลี่ยนทิศทาง… จุดเปลี่ยนแรกที่สั่นสะเทือนบัลลังก์ของราชาเครื่องยนต์สันดาปก็คือ การประกาศของสหภาพยุโรปที่จะสั่งห้ามการขายรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปใหม่ทั้งหมดภายในปี 2035

นั่นไม่ต่างอะไรกับการขีดเส้นตายให้กับเทคโนโลยีที่เป็นหัวใจและจิตวิญญาณของ Volkswagen มาเกือบร้อยปี การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ไม่ใช่แค่เรื่องของการเปลี่ยนชิ้นส่วน แต่มันคือการรื้อสร้างทุกอย่างใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่กระบวนการผลิตไปจนถึงทักษะของบุคลากร

มันคือภาระต้นทุนสองต่อที่หนักอึ้ง เพราะพวกเขาต้องพยายามรักษายอดขายรถยนต์แบบเดิมที่ยังคงทำกำไร ในขณะเดียวกันก็ต้องทุ่มเงินมหาศาลเพื่อไล่ตามโลกของ EV ที่กำลังวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

ในขณะเดียวกัน ที่อีกฟากหนึ่งของโลก พายุอีกลูกก็กำลังก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ แต่รุนแรงยิ่งกว่า นั่นคือการผงาดขึ้นมาของคู่แข่งสัญชาติจีน รัฐบาลจีนมองการณ์ไกลกว่าการเป็นแค่ลูกค้า พวกเขาทุ่มเงินอุดหนุนมหาศาลเพื่อสร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าของตนเอง

สิ่งนี้ทำให้เกิดสตาร์ทอัพ EV หน้าใหม่นับร้อยราย เช่น BYD, Nio และ Xpeng บริษัทเหล่านี้ไม่เพียงแต่คล่องตัวและกล้าได้กล้าเสีย แต่ที่สำคัญที่สุดคือ พวกเขารู้ใจผู้บริโภคชาวจีนยุคใหม่ดีกว่าใคร

พายุทั้งสองลูกนี้ได้พัดมาบรรจบกันในเวลาที่เลวร้ายที่สุดสำหรับ Volkswagen ยักษ์ใหญ่จากเยอรมันที่กำลังง่วนอยู่กับการเปลี่ยนผ่านที่แสนแพงและอุ้ยอ้าย ก็ต้องมาเผชิญหน้ากับคู่แข่งจีนที่บุกเข้ามาในสนามรบด้วยอาวุธที่พวกเขาไม่มี นั่นคือรถยนต์ไฟฟ้าที่ “ฉลาดกว่า” และ “น่าตื่นเต้นกว่า”

แต่ปัญหายังไม่หมดแค่นั้น ภายในบ้านของ Volkswagen เองก็มีรอยร้าวที่ซ่อนอยู่ใต้พรมมานาน ทั้งโครงสร้างองค์กรที่ซับซ้อน การตัดสินใจที่ล่าช้าเพราะต้องผ่านความเห็นชอบจากหลายฝ่าย ทั้งตระกูล Porsche-Piëch, รัฐโลเวอร์แซกโซนี และสหภาพแรงงานที่ทรงอิทธิพล

ทั้งหมดนี้ คือฉากแรกของมหากาพย์การต่อสู้ครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Volkswagen คำถามคือ ยักษ์ใหญ่ตนนี้จะปรับตัวและเอาชีวิตรอดจากพายุที่กำลังโหมกระหน่ำนี้ได้อย่างไร?

เมื่อพายุมาถึง Volkswagen ก็ต้องลุกขึ้นสู้ แต่การต่อสู้ครั้งนี้มันคือสงครามหลายสมรภูมิที่ต้องรบไปพร้อมๆ กันอย่างบอบช้ำ

สมรภูมิแรกและอาจจะเจ็บปวดที่สุด คือการต่อสู้กับ “ตัวเอง” จุดแข็งที่สุดของ Volkswagen อย่างความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมเครื่องยนต์สันดาป กลับกลายเป็นโซ่ตรวนที่ทำให้การก้าวเข้าสู่โลกของ EV เป็นไปอย่างเชื่องช้าและติดขัด

เหตุการณ์ที่ตอกย้ำความผิดพลาดและเปรียบเสมือนการกระตุกขาตัวเองให้ล้มดังๆ ก็คือเรื่องอื้อฉาว “Dieselgate” ในปี 2015 การโกงผลการทดสอบมลพิษไม่เพียงทำลายชื่อเสียงที่สั่งสมมานาน แต่ยังบีบให้บริษัทต้องหันหัวเรือไปสู่ EV อย่างจริงจังและรวดเร็ว… ซึ่งอาจจะเร็วเกินกว่าที่พวกเขาจะพร้อมรับมือ

ผลลัพธ์คือ รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกๆ อย่างตระกูล ID กลับไม่สามารถสร้างความประทับใจได้เท่าที่ควร มันถูกวิจารณ์ว่ามีราคาแพงเกินไป ระยะทางวิ่งไม่น่าพอใจ และที่สำคัญที่สุดซึ่งเป็นจุดตายในยุคนี้ก็คือ “ซอฟต์แวร์” ที่ทำงานได้ไม่ดีนัก

ในยุคที่รถยนต์เปรียบเสมือน “สมาร์ทโฟนติดล้อ” ซอฟต์แวร์คือหัวใจสำคัญ Volkswagen ทุ่มเงินมหาศาลกว่า 1.2 หมื่นล้านยูโร เพื่อตั้งบริษัทลูกอย่าง Cariad ขึ้นมาพัฒนาซอฟต์แวร์ของตัวเอง แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นหายนะ

ซอฟต์แวร์เต็มไปด้วยข้อบกพร่อง ทำงานช้า และล่าช้ากว่ากำหนดการไปมาก มันคือบทเรียนราคาแพงที่ว่า การสร้างรถยนต์ที่ยอดเยี่ยม ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถสร้างซอฟต์แวร์ที่ยอดเยี่ยมได้เสมอไป

สมรภูมิต่อมาคือ “จีน” ตลาดที่เคยเป็นเหมือนบ้านหลังที่สองและเครื่องจักรทำเงินที่สำคัญที่สุด บัดนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นสมรภูมิที่พวกเขาพ่ายแพ่อย่างหมดรูป

ผู้บริโภคชาวจีนยุคใหม่ไม่ได้ต้องการแค่รถยนต์ที่ขับขี่ดีอีกต่อไป พวกเขาต้องการประสบการณ์ดิจิทัลที่ไร้รอยต่อ พวกเขาต้องการผู้ช่วยอัจฉริยะในรถที่สามารถพูดคุยโต้ตอบได้ ต้องการแอปพลิเคชันที่หลากหลาย ต้องการความบันเทิงครบวงจร ซึ่งเป็นสิ่งที่รถยนต์ไฟฟ้าจีนมอบให้ได้อย่างเหนือกว่า

ผลลัพธ์ที่น่าตกใจคือ ในปี 2023 Volkswagen ได้เสียตำแหน่งแบรนด์รถยนต์ที่ขายดีที่สุดในจีนให้กับ BYD เป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี มันคือสัญญาณเตือนภัยที่ดังที่สุดที่บ่งบอกว่า ยุคทองของพวกเขาในแดนมังกรได้สิ้นสุดลงแล้ว

และสมรภูมิสุดท้าย คือ “ศึกในบ้าน” โครงสร้างการบริหารที่สลับซับซ้อน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นจุดเด่นที่สร้างความสมดุลและมั่นคง บัดนี้กลับกลายเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้การตัดสินใจล่าช้า

ในโลกที่คู่แข่งอย่าง Tesla หรือบริษัทจีนสามารถเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ได้ภายในเวลาไม่กี่เดือน Volkswagen ยังคงต้องติดอยู่กับการเจรจาต่อรองที่ยืดเยื้อ

เมื่อฝ่ายบริหารเสนอแผนการปรับโครงสร้างเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ก็ต้องเผชิญหน้ากับกำแพงเหล็กของสภาแรงงานและสหภาพ ที่ให้ความสำคัญกับการปกป้องตำแหน่งงานของคนเยอรมันเป็นอันดับแรกเสมอ

มันคือการชักเย่อกันระหว่างความจำเป็นในการอยู่รอดในตลาดโลก กับการรักษาสวัสดิภาพและธรรมเนียมปฏิบัติที่สืบทอดกันมายาวนาน

การเผชิญหน้ากับสงครามทั้งสามด้านนี้ ทำให้ Volkswagen ตกอยู่ในสภาพบอบช้ำและหลงทิศทาง คำถามคือพวกเขาจะหาทางออกจากวงล้อมแห่งวิกฤตนี้ได้อย่างไร?

เมื่อถูกบีบจนหลังชนฝา Volkswagen ก็รู้ตัวดีว่าพวกเขาไม่สามารถต่อสู้ด้วยวิธีการเดิมๆ ได้อีกต่อไป ถึงเวลาที่ต้องยอมรับความจริงอันเจ็บปวด และวางเดิมพันครั้งใหม่เพื่อกำหนดอนาคตของตัวเอง

จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุด คือการยอมรับความพ่ายแพ้และทลายกำแพงแห่งความหยิ่งทะนงของตัวเองลง การประกาศจับมือกับ Rivian สตาร์ทอัพ EV จากอเมริกา และที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือการเข้าไปซื้อหุ้นและร่วมมือกับคู่แข่งตัวฉกาจในจีนอย่าง Xpeng

นี่คือการส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปทั่วโลกว่า “เราทำทุกอย่างเองคนเดียวไม่ได้อีกต่อไป” โดยเฉพาะเรื่องซอฟต์แวร์ที่พวกเขายอมรับว่าตามหลังอยู่ไกล มันคือการตัดสินใจที่ต้องกลืนเลือด แต่ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งเพื่อความอยู่รอด

พร้อมกันนั้น กลยุทธ์ในจีนก็ถูกยกเครื่องใหม่ทั้งหมด จากเดิมที่เคยใช้โมเดลเดียวขายทั่วโลก ก็เปลี่ยนมาเป็น “In China, for China” หรือ “ในจีน เพื่อจีน” โดยเฉพาะ มีการตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาแห่งใหม่ในจีน เพื่อออกแบบรถยนต์ให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคชาวจีนโดยตรง

ส่วนศึกในบ้าน แม้จะผ่านการเจรจาที่ตึงเครียด ในที่สุดฝ่ายบริหารก็สามารถบรรลุข้อตกลงกับสภาแรงงานได้ แม้จะเป็นการประนีประนอม แต่ก็มีการลดตำแหน่งงานลงจำนวนมากผ่านโครงการลาออกโดยสมัครใจ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของโรงงานในเยอรมนีให้สามารถแข่งขันต่อไปได้

และอาวุธสำคัญที่สุดในเดิมพันครั้งสุดท้ายนี้ก็คือ “ผลิตภัณฑ์ใหม่” ที่จะกลับมาทวงจิตวิญญาณ “รถของมหาชน” คืนมา

Volkswagen ประกาศแผนที่จะเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่ราคาเข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยมีไฮไลท์คือรุ่น ID.1 ที่ตั้งเป้าจะเปิดตัวในปี 2027 ด้วยราคาเริ่มต้นเพียง 20,000 ยูโร หรือประมาณ 7 แสนกว่าบาท

แล้วผลลัพธ์ของการเดิมพันครั้งนี้จะเป็นอย่างไร?

เรื่องราวของ Volkswagen ยังไม่ได้จบลงแบบสวยหรู และอาจจะไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีก อนาคตของพวกเขาต่อจากนี้คือการเข้าสู่ “New Normal”

Volkswagen จะยังคงอยู่รอดต่อไป ด้วยขนาดที่ใหญ่เกินกว่าจะล้มและสถานะการเป็นสัญลักษณ์ของชาติเยอรมัน แต่บทบาทของ “ราชาผู้ไร้เทียมทาน” ได้จบสิ้นลงแล้ว พวกเขาจะกลายเป็นเพียงหนึ่งในผู้เล่นหลายๆ คนในสนามรบที่ดุเดือด ต้องแข่งขันอย่างหนักเพื่อชิงส่วนแบ่งการตลาดจากคู่แข่งที่เก่งกาจและปราดเปรียวกว่า

บทสรุปของเรื่องนี้จึงไม่ใช่ชัยชนะที่งดงาม แต่คือการปรับตัวเพื่อความอยู่รอด และเป็นกรณีศึกษาที่สำคัญสำหรับทุกธุรกิจในโลก ที่สอนให้รู้ว่าไม่มีใครที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะล้มได้ หากไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ทันโลกที่หมุนไปข้างหน้าเสมอ.

References : [ft, reuters, bloomberg, autonews, carscoops]

Geek Story EP421 : Sam Altman อัจฉริยะหรือนักบงการ? ผู้กุมชะตาโลก AI

ถ้าผมบอกว่า ชายผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก AI ในวันนี้ ไม่ใช่วิศวกรอัจฉริยะ ไม่ใช่โปรแกรมเมอร์ระดับเทพ แต่เป็นคนที่เคยล้มเหลวกับสตาร์ทอัพแรกของตัวเอง และถูกคนใกล้ชิดขนานนามว่าเป็น “นักบงการระดับปรมาจารย์” คุณจะเชื่อไหมครับ

เรื่องราวของชายคนนี้ซับซ้อนและน่าทึ่ง ยิ่งกว่าบทภาพยนตร์ฮอลลีวูดเสียอีก เขาคือ Sam Altman CEO ของ OpenAI บริษัทผู้สร้าง ChatGPT ที่เปลี่ยนโลกไปตลอดกาล

วันนี้เราจะมาเจาะลึกชีวิตและกลยุทธ์ของ Sam Altman ชายผู้ที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรโดดเด่น แต่กลับก้าวขึ้นมาเป็นราชาแห่งวงการ AI เขาทำได้อย่างไร? และเบื้องหลังรอยยิ้มที่เป็นมิตรนั้น ซ่อนอะไรไว้กันแน่

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify :
https://tinyurl.com/2p8xvmbf

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/mpuxs9c7

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/eww7n6zn

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/yoTx6Ee5EHI