หลังจากขาย Paypal ได้สำเร็จ วันหนึ่ง มัสก์ และ อดีตเพื่อนร่วมหอพัก ที่ University of Pennsylvania อย่าง อาดีโอ เรสซี่ ได้ร่วมทริปไปยัง Long Island โดยร่วมกับ ภรรยาของ เรสซี่ และ ภรรยาของมัสก์ มันเป็นทริปพักผ่อนสำหรับคู่รักสองคู่ นอกเมืองนิวยอร์ก แต่มันกำลังจะเกิดสิ่งที่ยิ่งใหญ่หลังจบทริปนี้
เรสซี่ ก็ประสบความสำเร็จกลายเป็นมหาเศรษฐีเช่นเดียวกันมัสก์ เพราะเขาเพิ่งขายบริษัททางด้านอินเตอร์เน็ต Methodfive ให้กับ Xceed มูลค่ากว่า 88 ล้านเหรียญ ระหว่างขากลับจากทริปดังกล่าวท่ามกลางรถติดบนทางด่วนที่ Long Island ทั้งคู่ต่างคิดเหมือนกันว่าจะทำอะไรต่อไปหลังจากนี้ ซึ่งสิ่งที่พวกเขาจะทำมันต้องเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่แบบเปลี่ยนโลกได้เท่านั้น
ทั้งคู่นั้นมีความหลงไหลในเรื่องของอวกาศเช่นเดียวกัน เขาได้ถกเถียงกันเรื่องการเดินทางไปยังดาวอังคาร แต่มัสก์ นั้นคิดว่า NASA คงทำสิ่งเหล่านี้ได้ดีอยู่แล้ว และคงกำลังดำเนินการอยู่ในการพามนุษย์ไปสู่ดาวอังคารให้สำเร็จหลังเคยพามนุษย์ไปดวงจันทร์ได้มาแล้ว
แต่หลังจากกลับจากทริปดังกล่าว มัสก์ ที่เริ่มสนใจ ไอเดียเก่า ๆ ของเขา เริ่มค้นหาข้อมูลใน website ของ NASA เกี่ยวกับการเดินทางไปยังดาวอังคาร ซึ่งเขาพบว่าข้อมูลแทบจะไม่มีอะไรอัพเดทความคืบหน้าเลยด้วยซ้ำ
หลังจากพามนุษย์ไปดวงจันทร์ได้สำเร็จ มันแทบจะไม่มีความคืบหน้าในการไปดาวอังคารของมนุษย์เลยด้วยซ้ำ ตอนนี้มันไม่ได้มีแรงจูงใจ เหมือนยุคที่ต้องขับเคี่ยวกับ รัสเซีย ในการพามนุษย์ไปดวงจันทร์ และแน่นอน อเมริกาเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ แต่อยู่บนค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ๆ ในโครงการอวกาศเหล่านั้น
เที่ยวบินสู่อวกาศเที่ยวสุดท้ายของ โครงการ Apollo ต้องย้อนกลับไปถึงปี 1975 มันเป็นการสิ้นสุดการแข่งขันอย่างถาวร ของทั้งอเมริกาและรัสเซีย สงครามทุกอย่างมันจบลงแล้ว และตอนนี้รัฐบาลก็ไม่ได้สนับสนุนงบประมาณให้กับ NASA มากมายเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
อย่างที่มัสก์ ได้คิดไว้ตั้งแต่แรก สามสิ่งที่จะมีผลกระทบต่อชีวิตของมนุษย์โลกในอนาคต นั้น ส่วนของอินเตอร์เน็ตนั้นเขาสามารถทำได้สำเร็จแล้วถึงสองครั้ง ทั้งกับ Zip2 รวมถึง Paypal มันได้หมดซึ่งความท้าทายต่อมัสก์อีกต่อไปในเรื่องของโลกอินเตอร์เน็ต เขาอิ่มตัวกับเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตแล้วในตอนนั้น
ส่วนเรื่องพลังงานที่ยั่งยืนนั้น ณ ตอนนั้น มีคนที่สนใจเรื่องดังกล่าวที่กำลังพัฒนาและวิจัยอยู่แล้ว มันเหลือแค่เรื่องของการสำรวจอวกาศ ซึ่งตอนนี้ดูเหมือน NASA จะชะลอโครงการต่าง ๆ ไว้ชั่วคราว เพราะไม่มีแรงผลักดันทั้งเงินทุน และ เรื่องการแข่งขันเหมือนในยุค 70 ที่ขับเคี่ยวกันอย่างหนักกับรัสเซีย
มัสก์ และ เรสซี่ ต้องการหาวิธีที่จะทำให้เรื่องการสำรวจอวกาศ กลับมาเป็นเรื่องที่น่าสนใจอีกครั้ง ซึ่งแนวคิดแรกของทั้งสองคือ การส่งพืช ไปยังดาวอังคาร โดยโปรเจคนี้ถูกตั้งชื่อว่า Mars Oasis ซึ่งประเมินว่าต้องใช้เงินลงทุนกว่า 65 ล้านเหรียญเลยทีเดียว
ส่วนอีกแนวคิด เป็นเรื่องการส่งสิ่งมีชีวิตอย่าง หนู ไปยังดาวอังคาร เขาต้องการทดลองว่า หากส่งหนูไปแล้ว จะสามารถผสมพันธ์ ในสภาวะแวดล้อมบนดาวอังคารได้หรือไม่ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมัสก์ ก็คือ การจะพามนุษย์ไปใช้ชีวิตบนดาวอังคารนั่นเอง
ซึ่งเขาต้องพึ่งพาคนที่มีประสบการณ์ มัสก์ ได้พยายามติดต่อ วิศวกร ที่เป็นที่ปรึกษาด้านอวกาศอย่าง จิม แคนเทรล ซึ่งหลังจากได้พบและคุยกัน แคนเทรล นั้นตัดสินใจที่จะช่วยเหลือมัสก์ ในโปรเจคแรกอย่าง Mars Oasis โดยได้ติดต่อผู้ที่สามารถจัดการเรื่องกระสวยอวกาศที่มีราคาต้นทุนไม่สูงมากนัก
ซึ่งกระสวยอวกาศที่มีราคาถูกสุดในอเมริกาคือ Boeing’s Delta II ของบริษัท โบอิ้ง โดยต้องใช้เงินประมาณ 50 ล้านเหรียญ ซึ่งมันยังเป็นงบประมาณที่สูงเกินไป แคนเทรล ได้พยายามติดต่อ หากระสวยราคาถูก ทุก ๆ ที่ไม่ว่าจะเป็นในฝรั่งเศษ หรือ แม้กระทั่งรัสเซียเองก็ตาม
ในปลายเดือน ตุลาคมปี 2001 มัสก์ แคนเทรล และ เรสซี่ ได้จับเที่ยวบินไปมอสโก คนรวยสามารถที่จะซื้อกระสวยอวกาศได้ในตลาดเปิดอย่างรัสเซีย ซึ่ง เรสซี่นั้นมองว่าเป็นความคิดที่บ้า ที่มาบุกถึงรัสเซียเพื่อซื้อกระสวยอวกาศ
มัสก์ และ ทีม ต้องเดินทางไปมา ระหว่างรัสเซีย และ อเมริกาอยู่หลายครั้ง เพื่อเจรจา มันเป็นการเจรจา ที่ไม่คืบหน้าไปไหน พวกรัสเซีย ไม่ค่อยที่จะไว้ใจทีมของมัสก์ซักเท่าไหร่ และใช้มารยาทแบบรัสเซีย ในการเจรจาดีลธุรกิจนี้
สุดท้ายการเจรจาก็ล่มไม่เป็นท่า ด้วยการเจรจาต่อรองที่พลิกไปพลิกมาตลอดของทางฝั่งรัสเซีย ทำให้มัสก์หมดความอดทนในที่สุด ทุกคนต่างโล่งใจคิดว่ามัสก์คงเลิกล้มความตั้งใจในเรื่องนี้ไปแล้ว
แต่หารู้ไม่ ในช่วงเวลาเจรจาดังกล่าว มัสก์ ได้ไปยืมหนังสือจากแคนเทรลมาศึกษาเรื่องการสร้างกระสวยอวกาศด้วยตัวเอง เขายืมหนังสืออย่าง Rocket Propulsion Elements , Fundamentals of Astrodynamics และ Aerothermodynamics of Gas Turbine and Rocket รวมทั้งบทความต่าง ๆ อีกมากมาย เขาสวมจิตวิญญาณนักอ่านในวัยเด็กอีกครั้ง เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการที่จะสร้างจรวดด้วยตัวเอง
สุดท้าย เขาก็ตระหนักได้ว่าจรวดนั้นสามารถสร้างได้ถูกกว่าที่พวกรัสเซีย เสนอราคามาเสียอีก มันเป็นความอัจฉริยะของมัสก์อีกครั้ง ในการศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับการสร้างจรวดอย่างถ่องแท้ มัสก์ได้เริ่มจุดประกายให้คนคิดเรื่องการสำรวจอวกาศอีกครั้งโดยทำให้การสำรวจอวกาศราคาถูกลงกว่าเดิมเป็นอย่างมาก
แม้มัสก์ นั้นจะรู้ดีว่าการตั้งบริษัทจรวดนั้นมีความเสี่ยงเป็นอย่างมาก แต่มัสก์ ก็ได้บุคคลากรชั้นยอดอย่าง ทอม มึลเลอร์ วิศวกรผู้เป็นอัจฉริยะ ด้านการสร้างจรวดมาตั้งแต่เด็ก เขามีชื่อเสียงเรื่องดังกล่าวยาวเป็นหางว่าว มัสก์ได้มือดีมาอีกคนแล้ว ที่จะมาเติมเต็มความฝันของเขาให้จงได้
คอนเซ็ปต์ของจรวดของมัสก์นั้น จะเป็นจรวดที่เหมาะเจาะพอดีสำหรับกลุ่มสำภาระขนาดเล็ก มันสามารถลดราคาการปล่อยจรวดลงไปได้อย่างมหาศาล ซึ่งเป็นตลาดใหม่ที่ไม่เคยมีใครทำมันมาก่อนในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
และในที่สุด Space Exploration Technologies (SpaceX) ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นในเดือนมิถุนายนปี 2002 แถบชานเมืองลอสแอนเจลิส มัสก์ได้ซื้อโกดังเก่าแห่งหนึ่งไว้เป็นสถานที่ปฏิบัติงานหลักของ SpaceX
SpaceX นั้นถือเป็นความพยายามของอเมริกาที่จะเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ในธุรกิจจรวด หลังจากมันได้หยุดนิ่งมากว่า 50 ปีแล้ว มัสก์ประกาศว่าจรวดลำแรกของ SpaceX ต้องชื่อ ฟัลคอน 1 เพื่อระลึกถึงยานมิลเลนเนียมฟัลคอนในภาพยนต์เรื่อง สตาร์วอร์ส ที่เขาชื่นชอบ
เป้าหมายของ SpaceX นั้นจะสร้างเครื่องยนต์ตัวแรกให้เสร็จในเดือนพฤษภาคมปี 2003 และประกอบเสร็จสิ้นเดือนสิงหาคม และ มีกำหนดที่จะปล่อยจรวดครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายนปี 2003 หรือ ประมาณ 15 เดือนหลังจากบริษัทได้ก่อตั้ง และเป้าหมายสูงสุดคือ การไปยังดาวอังคารจะเกิดตามมาราว ๆ ปลายทศวรรษ ก่อนปี 2010
มัสก์ ได้เริ่มว่าจ้างเหล่าวิศวกรหัวกะทิ เข้ามาจากทั่วทั้งสหรัฐอเมริกา คนเก่ง ๆ ด้านวิศวกรรมในสาขาต่าง ๆที่เกี่ยวข้องกับการสร้างจรวด ไม่รอดพ้นสายตาของมัสก์ บางคนเขาก็โทรไปชักชวนด้วยตัวเองด้วยซ้ำ
เหล่าวิศวกรทำงานกันอย่างหนักหน่วง ไม่ต่ำกว่าสัปดาห์ละ 100 ชั่วโมง พวกเขากำลังสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ และแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาระหว่างการพัฒนา ทั้งเรื่อง เชื้อเพลิง การควบคุมความชื้น การเผาไหม้ของเครื่องยนต์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายเหล่าวิศวกรของมัสก์แทบจะทั้งสิ้น
มัสก์ อยากให้สาธารณชนเห็นว่าคนงานที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของเขาทำอะไรสำเร็จ และช่วยปลุกความตื่นเต้นไปทั่ว SpaceX เขาตัดสินใจจะเปิดตัวต้นแบบฟัลคอน 1 ให้คนทั่วไปได้เห็นในเดือน ธันวาคม ปี 2003 บริษัทจะลากจรวดฟัลคอน 1 สูงเท่าตึกเจ็ดชั้นไปทั่วประเทศบนแท่นที่สร้างขึ้นมาแบบพิเศษ และโชว์มันอย่างยิ่งใหญ่ที่สำนักงานใหญ่องค์การบริหารการบินแห่งชาติในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.
และงานในวอชิงตัน ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี SpaceX จึงประกาศที่จะสร้างจรวดลำที่สองแล้ว และมองไปถึงฟัลคอน 5 ไปพร้อมกันด้วย โดยตัวฟัลคอน 5 จะมีเครื่องยนต์ 5 ตัวตามชื่อของมัน
พนักงาน SpaceX ส่วนใหญ่ตื่นเต้นที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการผจญภัยของบริษัท และลืมเรื่องพฤติกรรมบางอย่างของมัสก์ที่บางครั้งดูหยาบกระด้างไปบ้าง กับพนักงานในบางครั้ง หลายครั้งมัสก์พยายามบอกกับสื่อว่าเขาเป็นคนออกแบบทั้งหมดของฟัลคอน 1 ซึ่งทำให้พนักงานบางส่วนไม่พอใจ
ปัญหาอีกอย่างก็คือ การที่ บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง โบอิ้ง หรือ ล็อกฮีด ต่างมอง SpaceX นั้นเป็นภัยคุกคามต่อธุรกิจของพวกเขา และที่สำคัญ SpaceXยังเป็นแขกที่ไม่เป็นที่ต้องการของฐานทัพอากาศที่ฟานเดนเบิร์ก ฐานปล่อยจรวดที่มัสก์จะใช้เป็นที่มั่นอีกด้วย
มันเป็นเรื่องที่ลำบากใจสำหรับมัสก์มาก ไม่มีใครสนับสนุนเขาเต็มที่แม้กระทั่งรัฐบาลเองก็ตาม เขากำลังพยายามทำงานที่ยากเข็ญที่สุดเท่าที่มนุษย์รู้จักให้เป็นผลสำเร็จ
มัสก์ จึงต้องหาที่ใหม่ ทีมงานเริ่มมองหาชื่อที่พวกเขารู้จักแถบเส้นศูนย์สูตร ซึ่งโลกหมุนเร็วกว่าและเสริมแรงส่งเพิ่มให้จรวดได้ ซึ่ง ชื่อที่ออกมาคือ เกาะควาเจเลน หรือ ควาจ เกาะใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะหินปะการังรูปวงแหวนระหว่างเกาะกวมกับฮาวายในมหาสมุทรแปซิฟิก
และในที่สุด วันที่ 24 มีนาคม 2006 ระบบทั้งหมดก็พร้อม ฟัลคอน 1 ตั้งบนแท่นปล่อยสี่เหลี่ยมและติดเครื่อง มันพุ่งสูงขึ้นไปบนฟ้า เปลี่ยนเกาะควาจให้กลายเป็นจุดสีเขียวท่ามกลางพื้นที่กว้างใหญ่ของท้องทะเลสีฟ้า
จากนั้นประมาณ 25 วินาทีก็ปรากฏชัดเจนว่าทุกอย่างไปได้ไม่สวย มีไฟลุกไหม้เหนือเครื่องยนต์ แล้วจู่ ๆ เครื่องที่กำลังบินตรงก็เริ่มหมุน จากนั้นก็ตกลงมายังพื้นโลกแบบควบคุมไม่อยู่ สุดท้าย ฟัลคอน 1 ดิ่งลงมากระแทกจุดปล่อยอย่างจัง
ปัญหาปรากฏว่า บี-นอตซึ่งเป็นส่วนประกอบที่สำคัญชิ้นหนึ่งของจรวดร้าวเกือบทั้งชิ้น เพราะการกัดกร่อนจากสภาพอากาศเค็มของเกาะควาจนานหลายเดือน
ซึ่งหลังจากนั้นเกือบหนึ่งปี SpaceX พร้อมลองปล่อยจรวดอีกครั้งในวันที่ 15 มีนาคม ปี 2007 การทดสอบติดเครื่องประสบความสำเร็จด้วยดี จากนั้นในวันที่ 21 มีนาคม ฟัลคอน 1 ก็ได้พุ่งขึ้นและมุ่งตรงสู่อวกาศจากแท่นปล่อยได้สำเร็จ ทุกอย่างเป็นไปตามแผน เครื่องยนต์สามารถทำงานตามที่วางแผนขึ้นสู่วงโคจรได้สำเร็จ
เหล่าวิศวกรต่างโห่ร้องด้วยความดีใจ มันเป็นช่วงเวลาห้านาทีอันแสนปลื้มปิติ แต่เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นอีก ขณะที่จรวดขึ้นสู่อวกาศตามแผน แต่แล้ว การส่ายไปมาจนนำมาสู่การตกอีกครั้ง เครื่องยนต์ดับวูบ เริ่มแตกเป็นชิ้น ๆ และตามมาด้วยการระเบิด อีกครั้งในที่สุด
ความล้มเหลวครั้งนี้ถือเป็นความปราชัยอีกครั้งหนึ่งของเหล่าวิศวกรของ SpaceX มันเป็นเวลาเกือบสองปีที่พวกเขาเฝ้าทุ่มเทพัฒนา มัน delayed จากเป้าหมายเดิมของมัสก์มากว่าสี่ปี และมันได้ผลาญเงินมัสก์ไปเป็นจำนวนมหาศาลแล้ว
แม้มัสก์ จะเครียดกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เขาก็จัดการกับสิ่งเหล่านี้ได้ดีมาก เขามองโลกในแง่ดีมาก ๆ การล้มเหลว ไม่อาจบั่นทอนวิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่ของมัสก์ที่มีต่ออนาคตหรือสร้างความกังขาในความสามารถของเขาได้เลย แม้ตอนนี้สถานการณ์ทางด้านการเงินนั้น SpaceX มีเงินพอให้พยายามได้อีกแค่ครั้งเดียวเท่านั้น มัสก์จะผ่านช่วงเวลานี้ไปได้อย่างไร โครงการ SpaceX ความฝันอันยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาจะเดินไปทางไหนต่อ โปรดติดตามตอนต่อไปครับผม
–> อ่านตอนที่ 9 : The Electric Stars
<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Sand Hill Road *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***