เมื่อเด็กนักเรียนของจีนเอาชนะนักเรียนอเมริกันได้จากการทดสอบของ PISA ในทุกสาขาวิชา

นักศึกษาจีนมีความสามารถมากกว่าใคร ในการทดสอบระหว่างประเทศของการทดสอบการอ่าน คณิตศาสตร์ และทักษะทางวิทยาศาสตร์ จากผลของโปรแกรมสำหรับการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ

การทดสอบนี้ดำเนินการโดยองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) กับเด็กอายุ 15 ปี 600,000 คนใน 79 ประเทศ มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นเครื่องมือวัดระดับโลกสำหรับระบบการศึกษาในส่วนต่างๆของโลกและภายใต้เงื่อนไขทางเศรษฐกิจและสังคมที่แตกต่างกัน

ผลการวิจัยพบว่านักเรียนจาก 4 จังหวัดของจีน ได้แก่ ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และมณฑลทางตะวันออกของมณฑลเจียงซูและเจ้อเจียงได้รับคะแนนสูงสุดระดับ 4 จากทั้งสามประเภท นักเรียนในสหรัฐอเมริกาอยู่ในอันดับที่ 3 ในด้านการอ่านและวิทยาศาสตร์และระดับ 2 ในวิชาคณิตศาสตร์

Angel Gurria เลขาธิการ OECD กล่าวว่าผลการดำเนินงานในปัจจุบันของนักเรียนในประเทศทำนายศักยภาพทางเศรษฐกิจในอนาคต

“คุณภาพของโรงเรียนในวันนี้จะเติบโตไปสู่ความเข้มแข็งของเศรษฐกิจในวันหน้า”

อย่างไรก็ตามประเทศที่พัฒนาแล้วหลายประเทศไม่สามารถปรับปรุงคุณภาพการศึกษาได้ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมาแม้ว่า “ค่าใช้จ่ายในการศึกษาเพิ่มขึ้นมากกว่า 15% ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาเพียงอย่างเดียว” รายงานระบุ

“เป็นที่น่าผิดหวังที่ประเทศ OECD ส่วนใหญ่ ไม่มีผลการเรียนของนักเรียนที่ดีขึ้นเลยนับตั้งแต่ PISA ดำเนินการทดสอบครั้งแรกในปี 2000” Gurria กล่าว

ภูมิหลังทางเศรษฐกิจและสังคมมีบทบาทในคะแนนการทดสอบซึ่งคิดเป็น 12 เปอร์เซ็นต์ของการเปลี่ยนแปลงประสิทธิภาพการอ่านในแต่ละประเทศโดยเฉลี่ย 

แต่ผลการวิจัยยังแสดงให้เห็นว่า “นักเรียนที่ยากจนที่สุด 10 เปอร์เซ็นต์ในจีนยังคงมีประสิทธิภาพสูงกว่าค่าเฉลี่ยของ OECD” อาจเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจสำหรับประเทศที่มีรายได้สุทธิจากครัวเรือนโดยเฉลี่ยต่อหัวประชากรซึ่งน้อยกว่าค่าเฉลี่ย OECD ประมาณ 3 เท่าที่ประมาณ 30,500 ดอลลาร์ เพียงเท่านั้น

ปัญหาการอ่านในสหรัฐอเมริกา

ผลการศึกษาของ PISA พบว่า 20 เปอร์เซ็นต์ของเด็กอายุ 15 ปีชาวอเมริกันอ่านหนังสือได้ไม่ดีเท่าที่ควร นอกจากนี้ผลการวิจัยยังแสดงให้เห็นว่าประสิทธิภาพการอ่านและทักษะด้านคณิตศาสตร์ของชาวอเมริกันยังคงอยู่ในระดับคงที่นับตั้งแต่ปี 2000

นั่นแสดงให้เห็นว่าโครงการของรัฐบาลกลางซึ่งมีค่าใช้จ่ายหลายพันล้านดอลลาร์ของรัฐบาลกลางยังไม่ได้ปรับปรุงคุณภาพการศึกษาในสหรัฐอเมริกา

หนึ่งในผลการวิจัยที่น่าประหลาดใจที่สุดคือมีนักเรียนอเมริกันเพียง 14 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่สามารถแยกแยะข้อเท็จจริงจากความคิดเห็นในการทดสอบการอ่านได้อย่างน่าเชื่อถือ

ตัวอย่าง เช่น แบบฝึกหัดหนึ่งขอให้นักเรียนอ่านงานเขียนสองชิ้น ได้แก่ บทความข่าวที่ครอบคลุมงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับนม และรายงานจาก International Dairy Foods Association จากนั้นนักเรียนจะนำเสนอข้อความต่างๆเกี่ยวกับนม และขอให้ตัดสินว่าพวกเขากำลังอ่านข้อเท็จจริงหรือความคิดเห็น ตัวอย่างเช่น:

“การดื่มนมเป็นวิธีลดน้ำหนักที่ดีที่สุด”

นักเรียนอเมริกันส่วนใหญ่ไม่สามารถบอกได้ว่าข้อความเช่นนี้แสดงถึงความคิดเห็นไม่ใช่ข้อเท็จจริง แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับนักเรียนชาวอเมริกาัน? ปัจจัยหลักประการหนึ่งคือเรื่องของเทคโนโลยี รายงานกล่าว

“ในอดีตนักเรียนสามารถค้นหาคำตอบที่ชัดเจน สำหรับคำถามของพวกเขาได้ในหนังสือเรียนที่ได้รับการดูแลอย่างดีและได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลและพวกเขาสามารถเชื่อว่าคำตอบเหล่านั้นเป็นความจริง แต่ในวันนี้พวกเขาจะได้พบกับคำตอบหลายแสนคำตอบสำหรับคำถามของพวกเขาทางออนไลน์และ มันขึ้นอยู่กับพวกเขาที่จะคิดให้ออกว่า อะไรจริง อะไรเท็จ อะไรถูก อะไรผิด “รายงานกล่าว “การอ่านไม่ได้เป็นข้อมูลเป็นหลักอีกต่อไป แต่เป็นการสร้างความรู้การคิดวิเคราะห์และการใช้วิจารณญาณที่ดี”

Elizabeth อดีตครูจากพอร์ตแลนด์ รัฐเมน บอกกับ New York Times ว่าเธอเชื่อว่าเทคโนโลยีใหม่ ๆ ทำให้ความสนใจของนักเรียนสั้นลงในช่วงสองสามทศวรรษที่ผ่านมา

“ข้อสรุปของฉัน: เทคโนโลยีไม่ใช่เพื่อนของเราเสมอไป” เธอกล่าว “แล็ปท็อปและมือถือที่เพิ่งเข้ามาใหม่ในโรงเรียนของเราเป็นสิ่งที่ทำให้เด็กนักเรียนไขว้เขวจากการเรียน”

ระบบการศึกษาอเมริกัน 50 ระบบ

แน่นอนว่ามีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อผลการเรียนที่ค่อนข้างแย่ของนักเรียนอเมริกัน ได้แก่ สภาพเศรษฐกิจและสังคม หรือความแตกต่างทางวัฒนธรรม

สาเหตุหนึ่งที่ยากที่จะบอกได้ว่าทำไมนักเรียนอเมริกันถึงเป็นฝ่ายพ่ายแก้นักเรียนจากจีนเนื่องจากในอเมริกาไม่เหมือนกับประเทศอื่น ๆ ที่อเมริกาไม่มีหน่วยงานการศึกษาแบบรวมศูนย์ซึ่งหมายความว่ามีระบบการศึกษาที่แตกต่างกัน 50 ระบบ ความไม่เท่าเทียมกันในระบบเหล่านั้นย่อมเกิดขึ้น, Henry Braun ศาสตราจารย์นโยบายการศึกษาที่วิทยาลัยบอสตันบอก Politifact

“เหตุผลที่เราทำผลงานได้ไม่ดีโดยรวมก็คือเรามีนักเรียนจำนวนมากขึ้นในชั้นที่ต่ำกว่าซึ่งโดยปกติแล้วจะมีผลการเรียนที่ไม่ดีมากกว่า” Braun กล่าว “นั่นเป็นข้อกล่าวหาเกี่ยวกับความไม่เท่าเทียมกันในระบบสังคมของเรามากกว่าระบบการศึกษาของเรา”

ความน่าสนใจของประเด็นเรื่องเทคโนโลยีกับอนาคตของการศึกษา

ต้องบอกว่าความน่าสนใจของเรื่องนี้ ในประเด็นนึงก็คือเรื่องของเทคโนโลยีที่กำลังมีบทบาทอย่างมากกับโลกเราในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะแพล็ตฟอร์ม Social Network ต่าง ๆ ที่เด็กยุคใหม่ ๆ ได้เติบโตมากับแพล็ตฟอร์มเหล่านี้

ความแตกต่างที่สำคัญของจีน กับ อเมริกา ก็คือ การที่แพล็ตฟอร์มต่าง ๆ ของจีนนั้นเป็นระบบปิดที่ถูก เซ็นเซอร์ผ่านทาง The Great Firewall ซึ่งทำให้เป็นเรื่องยากที่จะมีการปั่นกระแสข่าวปลอมต่าง ๆ ในโลกออนไลน์ของจีน เพราะถูกรัฐบาลควบคุมอยู่อีกชั้นนึง

ซึ่งก็เป็นเรื่องน่าสนใจว่า โลกเราในวันนี้ พวกเราทุกคนเริ่มมีปัญหากับการแยกแยะ เรื่องจริงกับ เรื่องเท็จ ในโลกออนไลน์ได้อย่างแท้จริง และมันเริ่มส่งผลกระทบต่อเรื่องของการศึกษาอย่างชัดเจน อย่างที่เห็นได้จากผลการทดสอบของ PISA

มันก็เป็นเรื่องที่น่าคิดจริง ๆ ว่า โลกแบบ Free Speech ที่เราได้เห็นในแพล็ตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ ของอเมริกา หรือ โลกแบบปิด ที่เนื้อหาถูกกลั่นกรองโดยรัฐบาลเหมือนประเทศจีน แบบไหน ที่ดีต่ออนาคตของประเทศกว่ากันแน่

แล้วคุณล่ะ คิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้ครับ ?

References : https://www.scmp.com/economy/china-economy/article/3114652/china-strikes-triumphal-note-over-economic-recovery-it-looks
https://edtechchina.medium.com/china-1-on-2018-pisa-is-the-country-really-an-education-powerhouse-as-the-rankings-suggest-8b626cc1ae92
https://www.norrag.org/how-unrepresentative-are-chinas-stellar-pisa-results-by-rob-j-gruijters/
https://www.nytimes.com/2019/12/03/us/pisa-results-us.html

Geek China EP14 : China Internet Landscape and Digital Giants Part 9

สำหรับใน EP 14 นี้จะมาย้อยเล่าเรื่องราวของยักษ์ใหญ่อย่าง Tencent 腾讯 (HKG: 0700) ในช่วงเวลาปี 2009-2015

ในยุคนี้มีการถือกำเนิดของตัวละครสำคัญในวงการ Digital ของจีน อย่าง Weixin (微信 เวย ซิ่น) หรือ WeChat ที่กลายเป็น Super App สำคัญของคนจีน
EP นี้ จะมาชำแหละการกำเนิดและวิวัฒนาการการกำเนิดของ 微信 WeChat ในยุคนี้อย่างละเอียด

• จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่ทำให้ 微信 WeChat กลายมาเป็นปัจจัยที่ 5 ในการดำรงชีวิตของคนจีน จุดปฏิวัติวงการของ WeChat สิ่งนั้นเป็นอะไร
• ผลิตภัณฑ์ชูธงด้าน social network ของ Tencent ที่เกิดมาในยุคก่อนหน้าอย่าง QQ, QQ 空间 (Q Zone) จะตายไปในยุคนี้หรือไม่

ทั้งหมดติดตามได้ใน EP ที่ 14

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/36GyFfK

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/2lEqPPg

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
http://bit.ly/2kxHtQ3

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/2m0PTzR

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/dAG_IQFu0DQ

Geek Story EP61 : Cyberbullying กับจุดจบ Social Network น้องใหม่ไฟแรงอย่าง Yik Yak

ต้องบอกว่ามาด้วย concept ง่าย ๆ เลยสำหรับ social network น้องใหม่ในขณะนั้นอย่าง Yik Yak โดยใช้ concept ง่าย ๆ คือ “a location-based social network that helps you connect with the people around you”

ซึ่งในกระแสที่ social network เจ้าใหญ่ได้ยึดครองตลาดไปแทบจะหมดแล้ว ก็ได้เกิดบริการที่ simple คือ ช่วยคุณติดต่อคนรอบกายคุณ ซึ่งเหมือนจะ idea ที่ดีนะ เพราะ facebook ก็เน้นไปในแนว social ขนาดใหญ่ ทั้งครอบครัว เพื่อน เพื่อนร่วมงาน ซึ่งเป็นสังคมใหญ่รอบตัวเรามากกว่า แต่ Yik Yak focus ที่ community ขนาดเล็ก ๆ แต่อยู่ใกล้ตัวเราจริง  ๆ ผ่าน location based

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/37futCR

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/2lEqPPg

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
http://bit.ly/2kxHtQ3

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/3mj6Qzs

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/Z6zi5Gx37U0

References : en.wikipedia.org,startuphook.com,hyunjinp.wordpress.com,www.wyff4.com,www.slideshare.net

TikTok กับการสูญเสียอธิปไตยทาง Data ครั้งแรกของอเมริกา

กลายเป็นข่าวใหญ่เลยทีเดียวสำหรับข่าว ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เตรียมออกคำสั่งแบนการดำเนินการของ TikTok ในสหรัฐอเมริกา หลังจากบริการดังกล่าวกำลังฮิตติดลมบนอยู่ในสหรัฐอเมริกาในขณะนี้

โดยทางรัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาอย่าง Mike Pompeo ก็ได้ออกมาสนับสนุนการแบนในครั้งนี้เช่นกัน โดย Mike ได้เปิดเผยว่าตอนนี้ทางรัฐนั้นกำลังมีการพิจารณาการแบนแอปพลิเคชันโซเชียลมีเดียจากประเทศจีน โดยอ้างว่าแอปเหล่านี้นั้นมีการแบ่งปันข้อมูลให้กับทางรัฐบาลจีน

ซึ่งถือเป็นการบุกเข้าไปในอเมริกาได้เป็นครั้งแรกสำหรับ app แนว social media ของจีนอย่าง TikTok ที่เราจะเห็นได้ว่าบริการของจีนส่วนใหญ่นั้นจะดังอยู่แค่ในประเทศจีนเท่านั้น น้อยนักที่จะบุกออกมายังต่างประเทศ โดยเฉพาะการบุกเข้าไปในประเทศยักษ์ใหญ่อย่างอเมริกาถือเป็นเรื่องน่าสนใจอย่างยิ่ง

แน่นอนว่าปัญหาของ TikTok มันมาจากเรื่องของประเด็นข้อมูลส่วนตัว รวมถึงข้อมูลทางธุรกิจต่าง ๆ ที่ทางอเมริกาเกรงว่าจะมีการส่งกลับไปยังรัฐบาลจีน ซึ่งข้อมูลหลายตัวนั้นเป็นสิ่งที่ Sensitive มาก ๆ แต่ข้อมูลพวกนี้กลายเป็นขุมทองคำของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ทั้งจาก ซิลิกอน วัลเลย์ หรือแม้กระทั่ง TikTok จากจีนเองก็ตาม

บริการเหล่านี้ กำลังดูดข้อมูลของเราไป ผ่านบริการต่าง ๆ ที่อาจจะใช้ฟรีบ้างหรือไม่ฟรีบ้าง ซึ่งแน่นอนว่า ทุกอย่างมันมีต้นทุน บริการเหล่านี้ไม่เคยให้เราใช้ฟรี ๆ เราต้องจ่ายไม่ว่าจะผ่านเงินค่าโฆษณาหรือ แลกเปลี่ยนกับข้อมูลส่วนตัวของเราที่ต้องเสียไปให้บริการยักษ์ใหญ่เหล่านี้

ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลด้านพฤติกรรมผ่าน Social Network ต่าง ๆ อย่าง facebook , instagram หรือ TikTok จากจีนเองก็ตาม รวมถึงข้อมูลด้านธุรกิจอย่างการส่งข้อมูลผ่าน email ที่ให้บริการฟรีอย่าง google gmail , yahoo , microsoft hotmail,outlook

ซึ่งเช่นเดียวกับสิ่งที่รัฐบาลอเมริกาทำ ทางรัฐบาลจีนก็มี The Great Firewall ที่ทำให้บริการออนไลน์จากอเมริกาเหล่านี้นั้นไม่สามารถเจาะตลาดจีนได้เลย หากเป็นบริการที่จะเป็นการล้วงข้อมูลทางดิจิตอลของประชาชนชาวจีน โดยที่ประเทศจีนจะเกิดบริการแบบเดียวกันขึ้นมาเพื่อใช้กันในจีนโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็น weibo , youkou , alibaba หรืออื่น ๆ อีกมากมายที่เป็นบริษัทอินเตอร์เน็ตของประเทศจีน

Great Firewall ที่เซ็นเซอร์เนื้อหาทุกอย่าง
Great Firewall ที่เซ็นเซอร์เนื้อหาทุกอย่าง (Credit : https://globalvoices.org)

ซึ่งส่วนนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะสินค้า และ บริการอื่นๆ  ที่ไม่ใช่บริการที่ใช้ข้อมูลดิจิตอลของคนจีน นั้น จีนได้เปิดเสรีเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็น Brand สินค้าอุปโภคบริโภค หรือ เชน ร้านอาหาร fastfood ชื่อดังของสหรัฐไม่ว่าจะเป็น KFC , McDonald , Starbuck ฯลฯ 

เราจะเห็นได้ชัดว่าบริการเหล่านี้นั้น ไม่ได้ถูกปิดกั้นแต่อย่างใด เหมือนกับบริการที่เป็น ข้อมูลเชิงลึกของพฤติกรรมต่าง ๆ ของผู้ใช้งานชาวจีนที่เป็นดิจิตอล

ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องหนึ่งที่สำคัญก็คือ อุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกัน เพราะจีนเป็นคอมมิวนิสต์ ส่วนอเมริกา นั้นเป็นประชาธิปไตย การปล่อยให้บริการต่าง ๆ ที่เป็นบริการออนไลน์เข้าไปสู่จีนได้นั้น น่าจะเป็นเรื่องไม่ปลอดภัยเท่าไหร่กับแนวคิดของเหล่านักการเมืองชาวจีน ส่วนฝั่งอเมริกา ก็เกรงกลัวข้อมูลที่จะหลุดรั่วไปยังรัฐบาลจีนเช่นเดียวกันผ่านบริการอย่าง TikTok

ซึ่งปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับ TikTok นั้นต้องบอกว่าน่าสนใจมาก ๆ ที่ จีนสามารถสร้างบริการที่สามารถเข้าถึงผู้คนได้ทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการเกิดขึ้นของการระบาดของไวรัส COVID-19 นั้นทำให้ TikTok แพร่กระจายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น รวมถึงในอเมริกาเองที่ต้องบอกว่า เป็นครั้งแรก ๆ ที่อเมริกาต้องสูญเสียอธิปไตยทางด้าน Data ให้กับแอปจากประเทศจีนผ่านบริการอย่าง TikTok นั่นเองครับ

References : https://www.cnet.com/news/trump-plans-to-ban-tiktok-in-the-us-report-says/

Lasso เมื่อกลยุทธ์แรกในการกำจัด TikTok ของ Facebook ประสบความล้มเหลว

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา Facebook มีการเปิดเผยว่ากำลังปิดแอปทดลองสองแอป หนึ่งในนั้นคือการโคลนนิ่ง TikTok ที่มีชื่อว่า Lasso ส่วน แอปอย่าง Hobbi ที่ออกมามาชนกับ Pinterest ก็ประสบกับความล้มเหลวเช่นเดียวกัน

โดยเฉพาะทั้งสองแอปพลิเคชันของ Facebook ที่จะปิดตัวลง , Lasso ที่ทำการโคลน TikTok และ Hobbi ที่ถูกสร้างมาเลียนแบบ Pinterest ทั้งคู่ได้รับการพัฒนาโดยทีมทดสอบผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Facebook และได้ถูกเปิดตัวภายในไม่กี่ปีที่ผ่านมา 

โดยแอปทั้งสองต่างก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นการเลียนแบบแอปอื่น ๆ แม้กระทั่ง Review เชิงบวกสำหรับ Lasso ก็ถูกนำมาเปรียบเทียบกับ TikTok

แต่แน่นอนว่า เราไม่สามารถตัดสิน Facebook ว่าผิด กับความพยายามที่สูญเปล่าในการเลียนแบบลูกเล่นของแพลตฟอร์มอื่น ๆ เพราะกลยุทธ์นี้มันทำสำเร็จมาแล้ว ในกรณีของ Instagram และ Snapchat ไม่น่าแปลกใจที่ Facebook พยายามทำแบบเดียวกันอีกครั้ง 

TikTok ที่กำลังเข้ามาแย่งส่วนแบ่งผู้ใช้งานคนรุ่นใหม่จาก Facebook
TikTok ที่กำลังเข้ามาแย่งส่วนแบ่งผู้ใช้งานคนรุ่นใหม่จาก Facebook

แต่ Facebook ดูเหมือนจะมีการปรับกลยุทธ์ใหม่ โดยทุ่มเททรัพยากรไปใช้ใน Instagram แทน ตาม TikTok คู่แข่งสำคัญ โดยกลยุทธ์ใหม่ของ Facebook จะไม่ใช่แอปแยกต่างหากอีกต่อไป แต่จะสร้างคุณสมบัติใหม่ภายใน Instagram ที่อนุญาตให้ผู้ใช้ถ่ายทำวิดีโอรูปแบบสั้น ๆ ที่กำหนดให้เป็นเพลงได้ 

ซึ่ง Facebook ไม่ได้เป็นเพียงแพลตฟอร์มเดียวที่มองว่า TikTok กำลังเป็นภัยคุกคาม YouTube กำลังเปิดตัวคุณลักษณะที่คล้ายกันในความพยายามอย่างโจ่งแจ้งเพื่อดึงดูดผู้ใช้งานของ TikTok

ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเทคโนโลยีหลายคนรวมถึง Sheryl Sandberg COO ของ Facebook แสดงความไม่ชอบ TikTok และ บริษัทแม่อย่าง Bytedance เป็นอย่างมาก

ในขณะที่พวกเขาหลายคนพยายามที่จะสร้างภาพความน่ากลัวในเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ สำหรับแอป ที่มีบริษัทแม่อยู่ในประเทศจีน

Sandberg  ให้สัมภาษณ์ในสิ่งที่น่าจะเป็นแหล่งที่มาของความเป็นศัตรูที่แท้จริงกับ TikTok ว่า การเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วของ TikTok ทำให้คนรุ่นใหม่ถูกดึงดูดไปใช้งานแพล็ตฟอร์มใหม่นี้ Sandberg ยอมรับว่าลูก ๆ ของเธอยังเป็นผู้ใช้ TikTok คนสำคัญอีกด้วย

Sandberg COO ของ Facebook ที่ไม่ชอบใจ TikTok
Sandberg COO ของ Facebook ที่ไม่ชอบใจ TikTok

ในขณะที่รัฐบาลทั่วโลกเริ่มที่จะออกมาปราบปรามแอป TikTok โดยแอปถูกแบนในอินเดียในขณะที่ TikTok นั้นถูกกล่าวหาว่าอยู่ภายใต้การตรวจสอบความปลอดภัยจากองค์กรของรัฐในประเทศสหรัฐอเมริกา 

แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้ ผู้ใช้ส่วนใหญ่จะประทับใจกับแอป TikTok ที่คุ้นเคยแทนที่จะต้องใช้แอปแยกต่างหาก และสถานการณ์ในตอนนี้ดูเหมือนว่า TikTok  ได้กลายเป็นแอป Social หลักสำหรับคนรุ่นใหม่จำนวนมากที่ไม่สนใจ คุณลักษณะใหม่ของ Instagram อีกต่อไปแล้วนั่นเอง

โดย ทั้ง Lasso และ Hobbi เป็นความล้มเหลวอีกครั้งหนึ่งของ Facebook ซึ่งจะทำการปิดตัวลงในวันที่ 10 กรกฎาคม และดูเหมือนว่า ศึกชิง Social War ครั้งใหม่กำลังเริ่มขึ้นแล้ว เราก็ต้องคอยมาดูกันว่า เมื่อ TikTok เริ่มไปกระตุกหนวดเสือ พี่ใหญ่อย่าง Facebook และ Google พวกเขาต้องเจอกับอะไรบ้าง จะจบไม่สวยแบบเดียวกับที่เกิดขึ้นกับ Snapchat หรือไม่ โปรดติดตามกันต่อไปครับ

References : https://techcrunch.com/2020/07/01/lasso-facebook-tiktok-shut-down/
https://www.theverge.com/2020/7/2/21311077/facebook-lasso-shutting-down-tiktok-short-form-video-hobbi
https://www.digitalinformationworld.com/2020/05/facebook-tests-lasso-camera-within-the-main-app.html