ต้องบอกว่า จากตอนที่แล้ว มันเป็นช่วงเวลา ที่เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดของ Google เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นและน่ายินดีสำหรับผู้ก่อตั้งทั้งสอง แต่อย่างไรก็ตาม การแถลงการที่เต็มไปด้วยตัวเลขที่สวยหรูมากมาย เกี่ยวกับ Deal ในครั้งนี้นั้น มันไม่ได้ตอบคำถามใหญ่ที่สำคัญข้อนึง ก็คือ Google จะมีแผนการทำเงินด้วยวิธีใด?
แล้วสถานการณ์ของ Google หลังจากได้เงินทุนก้อนใหญ่ จะเกิดอะไรขึ้นกับ google ต่อจากนี้ แล้ว ผู้บริหารที่มีประสบการณ์ที่จะมาช่วยพยุง google ในช่วงแรกเริ่มตั้งไข่จะเป็นใคร? ติดตามรับฟังกันต่อได้เลยครับผม
และการถกเถียงครั้งนี้ ทำให้สองคู่หูนั้นเริ่มหันมาสนใจ ชมิดต์ หลังจากปฏิเสธตัวเลือกหลายคนก่อนหน้านี้ไปอย่างไม่ใยดี สิ่งที่สองคู่หูชอบชมิดต์ คือ เขาไม่เพียงเป็น CEO มากประสบการณ์เพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ รู้ลึก รู้จริง เสียด้วย ซึ่งเป็นที่ถูกใจกับเหล่าผู้ก่อตั้ง Google เป็นอย่างมาก และความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสามมันได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
ซึ่งในที่สุดนั้น ชมิดต์ ก็บรรลุข้อตกลงกับ บริน และ เพจในเดือนมกราคมปี 2001 และสรุปทุกอย่างลงตัวในเรื่องการเงินและกฏหมายในเดือนมีนาคม 2001 โดยที่ ตั้งแต่เดือนมีนาคม จนถึงเดือนกรกฏาคม นั้น ชมิดต์จะควบตำแหน่งประธาน Google และ CEO ของ Novell โดยจะใช้เวลาที่ Google หลังจากทำงานประจำวันที่ Novell เสร็จเรียบร้อยแล้ว
และเมื่อการควบรวมกิจการของ Novell เสร็จสิ้นในเดือนกรกฏาคมปี 2001 เขาจะเข้ารับตำแหน่ง CEO ของ Google อย่างเป็นทางการ และเขายังได้จ่ายเงินส่วนตัวกว่า 1 ล้านเหรียญเพื่อซื้อหุ้นบุริมสิทธิใน Google อีกด้วย
ชมิดต์ นั้นมีภารกิจมากมายที่ต้องทำใน Google เขารู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง แต่เขาต้องชักจูง บรินและเพจ ให้ยอมรับความจำเป็นในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางธุรกิจด้วย ยกตัวอย่างเช่น การบันทึกข้อมูลด้านการเงินและระบบเงินเดือนนั้นให้ปรับมาใช้ซอฟต์แวร์มาตรฐานของ Quicken
ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของบริษัท Google ที่ได้มืออาชีพมาคอยเป็นพี่เลี้ยงให้กับคู่หูทั้งสอง และได้เป็การเปลี่ยน Google ครั้งสำคัญให้พร้อมที่จะทยานไปข้างหน้าแบบมืออาชีพ และการรังสรรค์นวัตกรรมที่เตรียมที่จะออกมาอย่างต่อเนื่องนับจากวันนั้น นั่นเองครับ
ถือเป็น Business Case Study ครั้งยิ่งใหญ่ในวงการเทคโนโลยีโลกเลยก็ว่าได้สำหรับการปฏิเสธการเข้าซื้อ Google ของ Excite ในปี 1999 ก่อนที่ Google จะท้อใจในการขายกิจการและสองผู้ร่วมก่อตั้งที่ต้องทิ้งการเรียนมาสร้างธุรกิจจนกลายเป็นธุรกิจแสนล้านอย่างในปัจจุบัน
มันเคยมีบทเรียนครั้งสำคัญของนักธุรกิจที่ยิ่งใหญ่อย่าง John D. Rockefeller ซึ่งทำให้ บริษัท สแตนดาร์ดออยล์เป็น บริษัท ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในการไล่ซื้อกิจการคู่แข่งไม่ว่าจะเล็กจะใหญ่ขนาดไหน เพราะต้องการทำให้ สแตนดอร์ดออยส์ ผูกขาดตลาดนั่นเอง
ความจริงที่ว่า Google ได้เสนอให้ Excite อีกครั้งด้วยจำนวนเงินที่น้อยลงและยังคงถูกปฏิเสธมันถือว่าเป็นความผิดพลาดซ้ำสองที่ไม่น่าให้อภัยเป็นอย่างยิ่ง
แม้ตัวเพจและบรินวางข้อตกลงเกี่ยวกับข้อเสนอที่ทำให้ยากต่อการยอมรับ แต่การที่ George Bell ปฏิเสธข้อเสนอเพียงเพราะ Google ยืนยันว่า Excite ใช้เครื่องมือค้นหาของตนมันดูเหมือนเป็นวิธีการคิดที่ผิดมหันต์
ซึ่งแน่นอนว่า George Bell อาจจะคิดอย่างดีแล้วว่าเสิร์ชเอ็นจิ้นของพวกเขาอย่าง Excite ติดอยู่ใน 10 อันดับแรกของเว็บไซต์ในโลกในขณะนั้น ทำไมจึงควรเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้เพื่อฟังนักศึกษาที่ยังเรียนไม่จบจากสแตนฟอร์ดด้วยซ้ำ
ในขณะที่ Microsoft ชนะศึกทางด้านเทคโนโลยีมาได้ทุกครา ไม่ว่าจะเป็นศึกใหญ่กับ IBM หรือ การบดขยี้เด็กน้อยอย่าง NetScape ให้ตายออกไปจากตลาด Web Browser ได้สำเร็จ และถึงเวลานั้นมันก็ได้เข้าสู่ยุคเริ่มต้นของธุรกิจ Internet แบบเต็มตัว เพราะเกิดเว๊บไซต์ใหม่ ๆ ขึ้นเป็นดอกเห็ด เกิด Business Model ใหม่ๆ ขึ้นบนโลกออนไลน์มากมาย
อีกฝากฝั่งหนึ่งนั้น Gates และ Microsoft แทบจะไม่ยินดียินร้ายกับการเกิดขึ้นของเหล่าบริการค้นหาทางออนไลน์เลยเสียด้วยซ้ำ Microsoft นั้นสามารถล้มศัตรูมาได้ทั้งหมด และพวกเขาก็ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่จะกลัวใครหน้าไหนอีกต่อไป
ตอนนี้ผลิตภัณฑ์ของพวกเขามีการใช้งานอยู่ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น Windows หรือ ชุด Microsoft Office ซึ่งพวกเขาก็ขายกันไม่ทันอยู่แล้วแค่เพียง product สองตัวนี้ที่มีอยู่ เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่แทบจะผูกขาดการใช้งานทั่วทั้งโลก
มันไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ว่า Microsoft แทบไม่แยแสกับกระแสออนไลน์ บ้าเห่อ ของเหล่าบริษัทหน้าใหม่ในขณะนั้น เพราะมันมีจำนวนผู้ใช้งานเพียงน้อยนิด และยังไม่มีใครคิดว่าจะทำเงินจากมันได้อย่างไรเลยด้วยซ้ำ
แต่ด้วยความเป็นยักษ์ใหญ่ จึงได้ทำการกระจายความเสี่ยงไว้ โดยในปี 1997 นั้น Microsoft ได้สร้างเว๊บท่าขนาดใหญ่ แต่จะใช้บริการค้นหาจริง ๆ ของอีกหนึ่งบริษัทคือ Inktomi ซึ่งตอนนั้นเริ่มทำบริการที่เป็นลักษณะเว๊บ Crawler เพื่อไปดึงดูดข้อมูลต่าง ๆ ทั่ว WWW มาทำ Index หรือดัชนี
Bill Gates และ Microsoft กำลังหลงระเริง อยู่กับความสำเร็จซ้ำแล้วซ้ำเล่าของพวกเขา โดยแทบจะไม่รู้ตัวเลยว่า ขณะนี้ ศัตรูรายใหม่ ได้ก่อกำเนิดขึ้นแล้ว และกำลังจะกลายเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุด ฉลาดที่สุด เท่าที่พวกเขาเคยเจอมานับตั้งแต่ก่อตั้งธุรกิจเลยก็ว่าได้ จะเกิดอะไรขึ้นต่อกับ Gates และ Microsoft เมื่อธุรกิจเทคโนโลยีกำลังขับเคลื่อนไปยังโลก Internet โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม
ในเดือนกันยายนปี 2005 การประกาศรวมตัวของ Microsoft กับ Palm นั้นทำให้พนักงาน Google คนหนึ่งเกิดความสนใจขึ้นมา เขาคือ Andy Rubin ผู้เป็นอดีตพนักงาน Apple และเพิ่งได้ทำการขายบริษัทที่สองของเขาคือ Android ไปให้กับ Google ได้ไม่นาน
Andy Rubin เป็นชาวยิวอเมริกัน ที่เติบโตในนิวยอร์ก เป็นลูกของนักจิตวิทยาที่ก่อตั้งบริษัทขึ้นมาเอง และพ่อของเขาก็ทำงานเกี่ยวกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ด้วย เขาสามารถสร้างกระดานข่าวอิเล็กทรอนิกส์ ได้ด้วยตนเอง ขณะที่ยังเด็ก
หลังจากนั้นก็ได้เข้าร่วมงานกับ Artemis Research ที่ก่อตั้งโดย Steve Perlman ซึ่งเป็นผู้สร้าง WebTV ที่สุดท้ายได้ถูก Microsoft ซื้อไปในที่สุด
หลังจากนั้นอีกหลายปีต่อมา Rubin ก็ได้ออกมาตั้งบริษัทเองชื่อ Danger Inc. ซึ่งบริษัท Danger นี่เองที่เป็นผลงานโดดเด่นมากของ Rubin ในการทำระบบ OS บนมือถือ
ซึ่งได้กลายเป็นสินค้ายอดฮิตของวัยรุ่นอเมริกานั่นคือ Danger Hiptop (T-Mobile SideKick) ซึ่งเป็นโทรศัพท์ที่มีความสามารถคล้าย ๆ กับ PDA โดยมีการบอกความเป็น Entertainment ให้ดูมีความสนุกสนานเหมาะกับวัยรุ่นมากขึ้น ซึ่งต่อมา Microsoft ก็ได้เข้าไปซื้อกิจการในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2008
สำหรับ Android นั้น ดูเหมือนว่าในตอนแรก Google จะดูไม่มีท่าทีจะสนใจโดยเฉพาะ CEO ในขณะนั้นอย่าง เอริก ชมิตต์ ดูจะส่ายหัวกับ idea การจะสร้างระบบปฏิบัติการมือถือของ Google ขึ้นมา
แต่สองผู้ก่อตั้งของ Google อย่าง แลร์รี่ เพจ และ เซอร์เกย์ บริน นั้นได้มองเห็นโทรศัพท์มือถือว่าเป็นอนาคตที่สำคัญ จึงได้ทำการไปแอบซื้อ Android มาโดยไม่ปรึกษา CEO ในขณะนั้นอย่าง ชมิตต์ แต่อย่างใด
แน่นอนว่าพวกเขาทั้งสองนั้นได้เล็งเห็นถึงอนาคตของวงการมือถือ เพราะผลิตภัณฑ์หลักอย่าง Search Engine ของ Google นั้น ต่อไปในอนาคต คนต้องใช้งานผ่านมือถืออย่างแน่นอน ซึ่งเป็นการตัดสินใจซื้อบริษัทครั้งสำคัญครั้งนึงเลยของ Google ที่มีต่อแผนธุรกิจระยะยาวของพวกเขา
เพราะคนสามารถใช้ Smartphone เคลื่อนที่ไปไหนก็ได้อย่างอิสระเสรี ไม่ต้องมาอยู่กับที่เหมือนกับการเล่นอินเตอร์เน็ตบน PC หรือ Desktop และจะเกิดข้อมูลขึ้นอย่างมหาศาลเมื่อเหล่าผู้ใช้งานเคลื่อนที่ไปแต่ละแห่งอยู่ตลอดเวลา และขณะนั้นพวกเขาอยู่ที่ไหนเมื่อตอนที่กำลังท่องเว๊บเพื่อค้นหาบางอย่าง และเมื่อมีข้อมูลจากเหล่าผู้ใช้งานมากขึ้น ก็จะทำให้ประสิทธิภาพการค้นหาของ Google นั้นดียิ่งขึ้นไปอีก และยากที่ใครจะมาโค่นล้ม Google ในธุรกิจการค้นหาได้
แต่มุมของ Microsoft นั้นต่างกันกับ Google เล็กน้อยในวิสัยทัศน์ของธุรกิจมือถือ ซึ่ง Microsoft มอง internet เป็นตัวเสริม Software ของ Microsoft ที่สามารถสร้างรายได้ในตลาดธุรกิจอย่าง Exchange
และหาก Microsoft และ Palm สามารถสร้างมาตรฐานใหม่ของ Smartphone ขึ้นมาได้จริง ๆ อาจจะเป็นฝันร้ายของ Google ก็เป็นได้ แม้ในศึกการค้นหาบน Desktop & PC นั้น Microsoft จะพ่ายแพ้ไปอย่างหมดรูปให้กับ Google แต่ความทะเยอทะยานครั้งใหม่ของ Microsoft ในตลาดมือถือ ก็มีโอกาสที่จะทำให้ Search Engine ของ Microsoft กลับมาแจ้งเกิดได้อีกครั้ง มันอาจจะกลายเป็นค่าเริ่มต้นของ มือถือนับล้าน ๆ เครื่องทั่วโลกสำหรับศึกการค้นหาใหม่บนมือถือก็เป็นได้
ซึ่งวิธีเดียวที่จะรับประกันอนาคตของ Google ให้มีที่ยืนในโปรแกรมค้นหาบนมือถือได้ ณ ขณะนั้นก็คือ Android และต้องมีแรงจูงใจพิเศษที่เหล่าผู้ผลิตมือถือได้รับแล้วไม่อาจปฏิเสธข้อเสนอได้ แล้ววิธีการนั้นกับระบบปฏิบัติการน้องใหม่อย่าง Android มันคืออะไร และเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญต่อธุรกิจในอนาคตของ Google เป็นอย่างยิ่ง โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม