DeFilm x DAO กับการกลับมาล้างแค้น Netflix ด้วยการ disrupt ครั้งใหม่ของ Blockbuster

ต้องบอกว่ากระแสถือกำเนิดขึ้นของ Decentralized Autonomous Organisation (DAO) ควบคู่ไปกับ non-fungible token (NFTs) และเกม blockchain ได้กลายเป็นหนึ่งในหัวข้อที่ร้อนแรงที่สุดในอุตสาหกรรม crypto ซึ่งองค์กรเหล่านี้ได้รับความสนใจจากกระแสหลักในปี 2021 และบางคนเชื่อว่ามันสามารถปฏิวัติวิธีการดำเนินงานของบริษัทได้

ในปีนี้เราได้เห็นการเกิดขึ้นของ DAO ที่มีชื่อเสียง เช่น ConstitutionDAO ซึ่งเป็นวิธีการใหม่สำหรับชุมชนในการจัดระเบียบตามวัตถุประสงค์ โดยโครงการริเริ่มของชุมชนที่ก่อตั้งโดย Tasafila (tasafila.eth) มีแผนที่จะระดมทุน 5 ล้านดอลลาร์เพื่อซื้อ Blockbuster

ผู้ให้บริการภาพยนตร์ที่บ้านในอดีตถูก disrupt โดย Netflix และบริการสตรีม ปัจจุบัน Blockbuster เป็นของ Dish Network ซึ่งทางกลุ่ม Tasafila กำลังวางแผนที่จะระดมทุน 5 ล้านดอลลาร์โดยการสร้าง NFT ซึ่งจะขายในราคา 0.13 ETH ต่อรายการ

Blockbuster ที่โดน disrupt โดย Netflix (CR:CoinLive)

DAO พยายามที่จะ “ปลดปล่อย Blockbuster” และจัดการบริษัทผ่านรูปแบบการกำกับดูแลแบบ on-chain กับชุมชน นี่จะเป็นก้าวแรกในการทำให้ Blockbuster เป็น “แพลตฟอร์มการสตรีม DeFi ที่ไม่เคยมีมาก่อน” ตามคำกล่าวของ Tasafila:

“แบรนด์ Blockbuster ไม่เพียงแค่ทำให้เราคิดถึงเท่านั้น แต่ยังเป็นองค์กรสำคัญทางประวัติศาสตร์ของวงการภาพยนตร์อีกด้วย แม้จะเคยรุ่งเรืองสุดขีด แต่บริษัทก็ถูกทำลายโดยความเป็นผู้นำองค์กรที่ย่ำแย่ โดยไม่สามารถปรับเปลี่ยนและตัดสินใจทางธุรกิจที่มีประสิทธิภาพได้”

DAO มองเห็นศักยภาพในแบรนด์ Blockbuster ซึ่งตามข้อมูลใน Twitter พบว่าแบรนด์ blockbuster มีความสัมพันธ์กับ “บริการสตรีมมิ่งยอดนิยม” โดยที่ความเชื่อมั่นของประชาชนโดยรวมกลายเป็นบวกตั้งแต่ปี 2013 ซึ่งเมื่อ Blockbuster ปิดร้านสุดท้ายทาง DAO ได้นำเสนอ:

“ถึงเวลาปลดปล่อยแบรนด์จากนรกและมอบชีวิตใหม่ให้กับแบรนด์ แบรนด์ของประชาชนควรเป็นเจ้าของโดยประชาชนและปกครองโดยประชาชน แม้แต่ชื่อ Blockbuster ก็ทำให้ตัวเองกลายเป็นผลิตภัณฑ์ Web3 ได้”

เหตุใด Blockbuster จะ disrupt Netflix ได้หากกลายเป็น DAO?

องค์กรที่กระจายอำนาจนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อทำให้ Blockbuster เป็น “โครงการ DeFilm” แต่ในท้ายที่สุดการตัดสินใจใดๆ เกี่ยวกับโครงการนี้จะได้รับการโหวตจากชุมชน อย่างไรก็ตาม Tasafila ได้ให้ข้อมูลกับผู้ใช้ที่สนใจด้วยแผนงานที่เป็นไปได้ ผ่านช่องทาง Discord ที่เพิ่งเปิดตัวของ DAO

อันดับแรก พวกเขาจะเริ่มสร้างรางวัล ผ่านรูปแบบ NFT ที่เรียกว่า Blockbuster Reward Token (BRT) ด้วยฐานที่มีศักยภาพนี้ โปรเจ็กต์จะสร้างระบบการให้รางวัล สำหรับสมาชิกในชุมชนและโทเค็นของโครงการ

นอกจากนี้ BlockbusterDAO จะพยายาม “ขับเคลื่อนรายได้ผ่านคอลเลกชัน NFT, ข้อตกลงกับแบรนด์, สินค้า” และผลิตภัณฑ์อื่นๆ รายได้จากผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะนำไปใช้เพื่อการพัฒนาในอนาคตและการซื้อทรัพย์สินทางปัญญาอื่น ๆ

องค์กรที่กระจายอำนาจพิจารณาถึงการสร้างเทศกาลภาพยนตร์ ความเป็นไปได้ที่จะเริ่มซื้อภาพยนตร์ ซึ่งการเปิดใช้งานแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง blockbuster จะดึงดูดผู้มีความสามารถเข้าสู่โครงการ และอื่นๆ อีกมากมาย ผู้ก่อตั้ง DAO กล่าวว่า:

“เมื่อเราพัฒนาแพลตฟอร์มสำหรับการเผยแพร่เนื้อหาแล้ว เราก็เริ่มลงทุนในเนื้อหาต้นฉบับที่เป็น original content ได้ นี่ไม่ใช่ขั้นตอนที่เราอยากจะรีบเร่ง เนื่องจากต้องใช้เวลาและเงิน ซึ่งต้องมีการการลงทุนครั้งใหญ่ เราต้องการการยืนยันจาก DAO เกี่ยวกับโครงการที่จะลงทุนในอนาคต”

จนถึงตอนนี้ ดูเหมือนว่าโปรเจ็กต์ดังกล่าว จะได้รับความสนใจจากชุมชนผู้ใช้ 500 คนบน Discord ซึ่งสุดท้ายเวลาจะเป็นตัวบอกได้ว่าพวกเขามีความสามารถที่จะบรรลุวัตถุประสงค์หรือไม่ พวกเขาจะสามารถทำให้ blockbuster กลับมา disrupt บริการอย่าง Netflix ที่เคย disrupt พวกเขามาก่อนหน้า หรือในแง่ร้ายพวกเขาก็อาจจะล่มสลายตาม DAO อื่นๆ ไปก็เป็นได้ครับผม

–> อ่านเรื่องราวการถือกำเนิดขึ้นของ DAO ได้ที่ : Blog Series : How an Army of Crypto-Hackers Is Building the Next Internet with Ethereum

References : https://bitcoinist.com/how-dao-wants-bring-blockbuster-back-from-ashes
https://cryptobriefing.com/a-dao-wants-to-buy-blockbuster-for-5-million/
https://markets.businessinsider.com/news/currencies/blockbuster-dao-decentralized-movie-streaming-service-nft-dish-network-2021-12

AI กำลัง Disrupt ธุรกิจร้านขายยา

Pharmacy2U เป็นหนึ่งคลื่นลูกใหม่ในบริษัทยายุคใหม่ โดย Pharmacy2U มีหนึ่งในหุ้นส่วนผู้ก่อตั้งของ NHS Electronic Prescription Service (EPS) ซึ่งสร้างบริการส่งใบสั่งยาอิเล็กทรอนิกส์จากการผ่าตัด GP ไปยังร้านขายยารูปแบบเดิม 

โดย EPS มีเป้าหมายที่จะกำจัดใบสั่งยาแบบกระดาษโบราณ ซึ่งจะทำให้เหล่าร้านค้ายาประหยัดได้รวมกว่าหลายร้อยล้านปอนด์สำหรับ ทั้ง NHS, GPs, ร้านขายยาและเหล่าผู้ป่วย

Pharmacy2U มีบทบาทสำคัญในโครงการลงทุนในหุ่นยนต์แบบหยอดเหรียญขนาดยักษ์ที่จำหน่ายยาด้วยความแม่นยำและความเร็วสูงเป็นพิเศษ โดยสามารถที่จะทำคำสั่งซื้อได้ในเวลาเพียง 9 ถึง 15 วินาที เพียงเท่านั้น

ซึ่งภายในปี 2020 ร้านขายยา Pharmacy2U จะขยายเพิ่มปริมาณยาผ่านระบบอัตโนมัติเหล่านี้กว่าหกล้าน Unit ต่อเดือน Mark Livingstone CEO ของ Pharmacy2U อธิบายว่าอนาคตของการแพทย์จะเป็นรูปแบบของอัตโนมัติมากขึ้นและตอบสนองความต้องการของแต่ละบุคคลได้มากขึ้นและหุ่นยนต์ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการเหล่านี้ จะถูกใช้งานได้อย่างสมบูรณ์แบบแน่นอน

หุ่นยนต์อัตโนมัติของ Pharmacy2U
หุ่นยนต์อัตโนมัติของ Pharmacy2U

EPS เป็นรูปแบบใหม่สำหรับบริการของ Pharmacy2U ซึ่งเปลี่ยนวิธีการจ่ายยาตามใบสั่งแพทย์โดยเฉพาะกับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพเรื้อรัง สำหรับ Livingstone การปฏิวัติครั้งต่อไปกำลังเปลี่ยนการตอบสนองต่อผู้ป่วยที่มีความต้องการยาอย่างฉับพลัน ซึ่งในอุตสาหกรรมนี้มีมูลค่าถึงกว่า 4 พันล้านปอนด์ 

โดยเขาจินตนาการถึงอนาคตเมื่อผู้ป่วยเป็นหวัดหรือผื่นสามารถรับยาได้ทันทีไม่ว่าจะเป็นที่ทำงาน ที่บ้านหรือแม้กระทั่งในวันหยุดก็ตาม “ ผมนึกภาพการส่งมอบยาโดยโดรนจัดส่ง และนึกภาพเภสัชกรซึ่งก่อนหน้านี้ทำงานในร้านขายยาแบบเดิม ๆ ซึ่งนี่คือส่วนหนึ่งของโครงการ Deliveroo ของร้านขายยา – Pharmaroo”  

Ben Maruthappu ผู้ก่อตั้ง Cera Startup ด้าน Healthcare ซึ่งมอบหมายให้เป็นผู้ดูแลผู้ป่วย เมื่อพวกเขาพร้อมที่จะออกจากโรงพยาบาลและเชื่อว่าอนาคตของ Smart Pharmacy จะเป็นระบบดิจิตอลทั้งหมด

ซึ่งข่าวใหญ่ของการซื้อบริการคัดแยกยา PillPack โดย Amazon ในข้อตกลงกว่า 1 พันล้านปอนด์ “ เป็นไปได้ว่าในอนาคตยาส่วนใหญ่จะสั่งซื้อทางออนไลน์และส่งถึงบ้านภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงเช่นเดียวกับที่คุณสั่งซื้อหนังสือ แต่แน่นอนว่ามีการรับรองจากเหล่ามืออาชีพด้านการดูแลสุขภาพที่เหมาะสมด้วยเช่นกัน” Maruthappu กล่าวว่า

Maruthappu ได้กล่าวว่า Cera เป็นมากกว่าแพลตฟอร์มที่ส่งยาถึงลูกค้าเพียงเท่านั้น โดยจะทำหน้าที่ในการจ่ายยาเองด้วย “ ด้วยนาโนเทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่สามารถบรรจุในเม็ดยาได้นั้น ทำให้ขอบเขตของสิ่งที่อุตสาหกรรมด้าน ‘ยา’ สามารถทำได้จะเพิ่มขึ้นอย่างมากในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า “เขากล่าว 

Livingstone เห็นด้วยโดยคาดการณ์ว่าอนาคตของการแพทย์ของเราจะเป็นแบบอินเตอร์แอคทีฟ “ เราจะมี RFID และวิธีอื่น ๆ ในการส่งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญของคุณ และรับคำแนะนำในการปรับใบสั่งยาของคุณตามความต้องการของคุณ” เขากล่าว “ ในอนาคตเราจะมุ่งเน้นไปที่ความคิดที่ว่า จะมีการปรับเปลี่ยนใบสั่งยาของคุณ  และเราจะส่งไปให้คุณอย่างสมบูรณ์แบบเหมือนร้านยาแบบดั้งเดิมได้นั่นเอง”

References : 
https://www.wired.co.uk/article/the-smart-pharmacy-that-comes-to-you

Image References https://images.theconversation.com/files/191772/original/file-20171025-5822-1wixns4.pn

One Medical Startup สาย HealthTech กำลังได้รับทุนเพิ่ม 200 ล้านเหรียญ

Startup สาย HealthTech เป็นสายหนึ่งที่กำลังมาแรงเลยทีเดียวในประเทศอเมริกา ต้องถือได้ว่า วงการ Healthcare นั้นเป็นวงการหนึ่งที่ ใช้เทคโนโลยีโบร่ำโบราณกว่าในอุตสาหกรรมสายอื่นเป็นอย่างมาก ซึ่งตอนนี้มี Startup หลายรายกำลังเข้ามา Disrupt วงการ Healthcare

One Medical หนึ่งใน Startup สาย HealthTech ด้วยเทคโนโลยี Virtual Visist และ Same-day appointment นั้นถือได้ว่าจะเข้ามาปฏิวัติวงการแพทย์ แบบดั้งเดิมของอเมริการ ในเรื่อง การจัดการนัดหมายในการพบแพทย์ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น  ซึ่ง One Medical นั้นก๋อตั้งโดยคุณหมอ Tom X. Lee ซึ่งก่อตั้งขึ้นที่ San Francisco ประเทศสหรัฐอเมริกา และกำลังเป็น Unicorn ที่น่าจับตามองตัวหนึ่งของ Startup สาย HealthTech

จากรายงานข่าวของ CNBC  ตอนนี้ทาง One Medical กำลังเจรจาเพื่อรับเงินทุนเพิ่ม เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์จาก Carlle Group มูลค่ากว่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งทาง Carlyle Group นั้นต้องการที่จะซื้อหุ้นมูลค่า 100 ล้านเหรียญ จากผู้ลงทุนกลุ่มเดิม

ซึ่งก่อนหน้านี้นั้น one Medical ก็ได้รับการลงทุนมาแล้วกว่า 180 ล้านเหรียญสหรัฐ จากทั้ง Alphabet’s Venture ของ google , Benchmark Capital เพื่อทำให้ Idea ดังกล่าวเป็นจริง โดยเริ่มเปิดบริการในแถบบริเวณ San francisco , Newyork รวมถึง Seattle รวมถึงอีกหลาย ๆ เมืองกระจายไปทั่วสหรัฐอเมริกา ซึ่งการลงทุนรอบล่าสุดทำให้ One Medical มูลค่าบริษัทของ One Medical ทะยานขึ้นสู่ง 1 พันล้านเหรียญเป็นที่เรียบร้อย กลายเป็น Unicorn สาย HealthTech ตัวใหม่ที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งหากการเจรจากับ Carlyle Group เป็นผลสำเร็จนั้น จะทำให้ One Medical สามารถที่จะระดมทุนได้รวมทั้งสิ้นกว่า 380 ล้านเหรียญ เพื่อมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่จะ Disrupt วงการ HealthTech ได้อย่างแน่นอน

 

References : techcrunch.com

การก้าวเข้าสู่ Marketplace ของ Facebook

ต้องบอก facebook ถือได้ว่าเป็นหนึ่งบริษัทยักษ์ใหญ่ ที่ไล่ disrupt ธุรกิจอื่นๆ  มานับไม่ถ้วน ทั้งธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ รวมถึง สื่อทีวี ก็ล้วนแล้วแต่ต้องเหนื่อยหนักเมื่อมีการเข้ามาของ facebook

ก่อนหน้านี้นั้น facebook focus ไปที่ระบบ live ของตัวเองโดยให้ strategy หลักเป็น video first กับการเกิดขึ้นของระบบ live รวมถึง video ต่าง ๆ ที่ขึ้นมาเต็ม feed facebook ทำให้ผู้ใช้งานแทบจะไม่ต้องไปสนใจกับสิ่งอื่น ซึ่งทำให้ธุรกิจ tv ได้รับผลกระทบไปพอสมควรกับการเกิดขึ้นของ live ผ่าน facebook นี่ยังไม่รวมถึง youtube ที่แทบจะไม่ต้องกลับมาดูทีวีจริง ๆ เหมือนเมื่อก่อนอีกเลย

หลังจากระบบ live เริ่มลงตัวและเริ่มทำรายได้ให้กับ facebook  ทาง facebook เองก็ได้เริ่มสู่ธุรกิจใหม่ที่เพิ่งจะเปิดตัวไม่เห็นกันในไม่นานนี้อย่าง marketplace

ซึ่งต้องยอมรับว่า facebook ทำการบ้านมาอย่างดีกับการทำ marketplace ซึ่งเป็นพัฒนาต่อยอดมาจาก group ที่มีการซื้อของ ขายของกันมาก่อนหน้านี้

หลังจากไปได้ดีกับ group ก็ขยายมาสู่ marketplace เพื่อขยายตลาดให้ใหญ่ยิ่งขึ้น เพราะคนส่วนใหญ่ก็มักจะซื้อขายของ กันผ่าน social เป็นเรื่องปรกติในปัจจุบัน โดยเฉพาะประเทศไทย ที่ตลาด social commerce นั้นมีมูลค่ามหาศาลมาก

ก่อนหน้านี้ เราอาจจะใช้งาน ebay หรือในไทยเราก็มี local service อย่าง kaidee ที่เข้ามาทำตลาดและลงทุนไปขนาดใหญ่หลายปีมาแล้ว ซึ่งก็เริ่มคิดสร้าง model เพื่อทำเงินกันบ้างแล้ว โดยใช้ รูปแบบของการ promote ads จ่ายเงินเพื่อให้อันดับขึ้นสู่ด้านบนให้ผู้ใช้งานเห็นก่อน ก็ทำให้มีโอกาสขายของได้ก่อน

รวมถึง shopspot ซึ่งถือว่าเป็น startup ที่มาแล้ว ที่ทำ marketplace เน้นที่ระบบ mobile ซึ่งดูไปดูมา marketplace ของ facebook น่าจะใกล้เคียงกับ shopspot มากที่สุด ซึ่งผลกระทบน่าจะเป็น shopspot ที่น่าจะโดนหนักกว่าเพื่อนหลังจากลงทุนสร้าง platform มานานแสนนาน แต่มาถูกเจ้าใหญ่อย่าง facebook เข้ามาตีตลาดแบบนี้ ซึ่งน่าจะเป็น startup ที่น่าเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย

ส่วน kaidee ถึงแม้จะเป็นเจ้าใหญ่ และมีเงินทุนมหาศาล และลงทุนไปเป็นจำนวนมากแล้วนั้น แต่การเข้ามาของ facebook marketplace นั้นต้องบอกว่าไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ในขณะที่ kaidee เริ่มคิด model ในการสร้างรายได้ แต่ facebook นั้นมา concept เดิมคือให้ใช้ฟรีให้ติดก่อน ค่อยลด reach ภายหลังด้วยการจ่ายเงินเหมือนกัน

แต่หากสถานการณ์เป็นอย่างงี้ facebook เพิ่งเริ่มเข้ามาก็ต้องเน้นว่าให้ใช้ฟรีก่อนอย่างแน่นอน ซึ่งเป็นสถานการณ์ลำบากไม่ใช้น้อยสำหรับ kaidee ซึ่งหากคิดจะกลับไปใช้ฟรีเหมือนเดิมไม่มี ads ก็คงจะคืนทุนที่ลงทุนไปมหาศาลยากมาก ๆ

หากคิดจะสู้กับ facebook ก็คงไม่มีเงินมากมายขนาดนั้นไปสู้อย่างแน่นอน ทำให้ตลาด maketplace เข้าสู่สมรภูมิแดงเดือดกันอีกครั้ง หลังจากไม่มีคู่แข่งที่จะมาท้าชน kaidee มาอย่างยาวนาน

ตอนนี้ตัวผมเองนั้นก็เริ่มใช้ facebook marketplace ไปแล้วบ้างซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่าสามารถขายได้ง่ายกว่าลง kaidee ในยุคนี้เป็นอย่างมาก ซึ่ง kaidee ยุคแรก ๆ นั้นสามารถดับ post ได้อย่างง่ายดาย ก่อนที่จะมาถูก block ในภายหลัง ทำให้ขายยากขึ้นเรื่อย ๆ หากไม่โฆษณา ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้งานนั้นต้องย้ายไปยัง marketplace ของ facebook อย่างแน่นอนเพราะมันยังฟรีอยู่

ซึ่งในอนาคต facebook ก็เคยให้บทเรียนกับนักธุรกิจ หลาย ๆ ครั้งแล้ว ทั้ง page ที่ทำการลด reach ลงเรื่อย ๆ จนแทบมองไม่เห็นกันแล้วในยุคนี้ ต้อง boost post กันอย่างเดียวเท่านั้น ถึงจะให้มีคนเห็นได้ ซึ่งก็คงเป็นลักษณะเดียวกันกับ marketplace ซึ่ง facebook คงปล่อยให้คนใช้ติดก่อนอย่างแน่นอนแล้ว ค่อยมาเสียตังค์ภายหลังเหมือนที่ facebook ทำมาทุกครั้ง