ประวัติ Jho Low ตอนที่ 14 : The Secret Source

บนเรือสำราญ Topaz ของ Sheikh Mansour ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจาก French Riviera ถือเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการฉลองชัยชนะการเลือกตั้งครั้งล่าสุดของ Najib Razak เขานั่งอยู่บนเก้าอี้เกือกม้าในห้องโถงของเรือยอชต์ ในขณะที่กำลังคุยธุรกิจกับ Sheikh Mohammed เจ้าชายแห่งอาบูดาบี ซึ่งเป็นพี่ชายของ Sheikh Mansour

ซึ่งก็เหมือนทุก ๆ ครั้ง Low เป็นคนจัดแจงให้เกิดการประชุมขึ้นในเดือนกรกฏาคมปี 2013 ซึ่งการประชุมครั้งนี้ประกอบไปด้วย Michael Evans รองประธานของ Goldman Sachs และ Tim Leissner ซึ่งต้องบอกว่าเงินที่ Low นำมาช่วยเหลือ Najib นั้นก็ทำให้เขาได้อยู่ในอำนาจอย่างปลอดภัย ต่อไปอย่างน้อยอีกหนึ่งสมัย

และตอนนี้ อาบูดาบี กำลังเตรียมที่จะเทเงินเข้าไปในศูนย์กลางทางการเงินใหม่ในกัวลาลัมเปอร์ ที่จะนำตระกูล Razak ไปสู่ความยิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง และจะทำให้ฝันในเรื่องการนำพาประเทศมาเลเซียก้าวข้ามเป็นประเทศพัฒนาแล้วได้ตามความฝันของ Najib สำเร็จได้เสียที

และในช่วงเวลาเดียวกัน ในขณะที่ Topaz กำลังแล่นอยู่นอกชายฝั่งของฝรั่งเศส Lorraine Schwartz ช่างอัญมณีชื่อดังของสหรัฐอเมริกา ก็ได้บินมายัง โมนาโก และ Low ก็ได้พาเธอไปที่เรือยอชต์ ซึ่ง Low นั้นซื้อเครื่องประดับจาก Schwartz มาเป็นเวลาหลายปีทำให้มีความคุ้นเคยกับ Larraine เป็นอย่างดี

และ Low ก็พาเธอไปพบกับ Rosmar ภรรยาของ Najib เพื่อโชว์เครื่องประดับสุดหรู เป็นสร้อยคอเพชรยี่สิบกะรัต แน่นอนว่า Low นั้นไม่มีทางลืม Rosmar หลังจากพา Najib ไปสู่ฝั่งฝันเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่สอง รวมถึง พาลูกเลี้ยงอย่าง Riza Aziz แจ้งเกิดในวงการสร้างภาพยนตร์ ฮอลลีวูด ได้สำเร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่ Rosmar ที่ Low ต้องเอาอกเอาใจเป็นพิเศษ เมื่อ Rosmar และกลุ่มเพื่อนที่มาด้วยกันได้เห็นเพชรของ Schwartz ที่ Larraine นำมาด้วยนั้น ทุกคนก็ถึงกับอ้าปากค้าง เป็นเพชรที่งามเด่น แบบที่พวกเธอไม่เคยเห็นมาก่อน และนี่เป็นสิ่งที่ Low ต้องมอบให้กับเธอเพื่อฉลองความสำเร็จของสามีของเธอนั่นเอง

แต่แน่นอนว่า การซื้อเครื่องประดับมูลค่าขนาดนี้ ก็ต้องใช้เส้นทางการเงินลึกลับเหมือนเคย เมื่อผ่านไปสองเดือนหลังจากจบทริปล่องเรือที่ฝรั่งเศส Najib ต้องมาประชุมที่สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติในเมืองนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา

Najib ต้องมาประชุมที่สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติในเมืองนิวยอร์ก
Najib ต้องมาประชุมที่สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติในเมืองนิวยอร์ก

Low ก็ได้ใช้โอกาสนี้ เพื่อจัดการเรืองเพชรของ Schwartz โดยไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้า Low ได้ส่ง email ไปหา Lorraine Schwartz โดยใช้ชื่อบัญชี Gmail ของ Eric Tan และขอให้ทาง Larraine นั้นมอบสร้อยคอกับ Rosmar เมื่อเธอเดินทางไปพร้อมกับสามีที่เมืองนิวยอร์ก

โดย Low ขอให้ Schwartz นั้นออกใบแจ้งหนี้ไปที่ Blackrock Commodities (Global) บริษัท เชลล์อีกแห่งหนึ่งที่ Low เป็นเจ้าของ ที่ตั้งชื่อให้คล้ายกับบริษัทด้านการลงทุนของสหรัฐอเมริกา

ต้องบอกว่าเงินบางส่วนหลังจากการเลือกตั้งนั้นอยู่ในบัญชี Blackrock ในธนาคาร DBS ของประเทศสิงคโปร์ การใช้ที่อยู่ email ของ Eric Tan ตัว Low เองได้บอกกับ DBS ว่า Blackrock เป็นผู้ค้าส่งเครื่องประดับรายหนึ่ง เพื่อแสดงให้เห็นถึงการไหลเข้าของเงินจำนวนหลายสิบล้านดอลลาร์ โดยราคาของสร้อยเพชรเม็ดงามนั้น อยู่ที่ 27.3 ล้านดอลลาร์ ทำให้เป็นหนึ่งในชิ้นส่วนเครื่องประดับที่แพงที่สุดในโลก

ซึ่งดูเหมือนทุกอย่างจะราบรื่นสำหรับ Low หลังจากได้เงินมาอีกครั้งจาก Goldman Sachs ด้วยรูปแบบวิธีการที่แทบไม่ต่างจากเดิม แต่เพิ่มความซับซ้อนในเรื่องการทำธุรกรรมเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ Low นั้นมั่นใจว่า คงไม่มีใครที่จะสามารถตามรอยเขาได้

แต่เรื่องราวที่น่าหวั่นวิตกสำหรับ Low ก็เกิดขึ้นจนได้ นับตั้งแต่ออกจาก PetroSaudi ในปี 2011 Xavier Justo หนึ่งในผู้เกี่ยวข้องที่สำคัญของการปล้นครั้งแรกของ Low พยายามที่จะลืมสิ่งที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับเรื่องราวในครั้งนั้น

แม้จะมีส่วนร่วมในการปล้นครั้งแรก แต่ดูเหมือน Justo จะถูกหักหลัง เขาหนีมาใช้ชีวิตบนเกาะสมุย ของประเทศไทย โดยเขาหันเหชีวิตมาพัฒนาวิลล่าสุดหรูในเกาะแห่งนี้ มันเป็นเกาะในฝันของใครหลาย ๆ คนรวมทั้ง Justo เอง เขาหวังที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นี่ แต่ดูเหมือนแผนการสำหรับการลงทุนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของเขาจะเจอกับปัญหาเสียแล้ว

Justo ที่หนีมาใช้ชีวิต ที่เกาะสมุยในประเทศไทย
Justo ที่หนีมาใช้ชีวิต ที่เกาะสมุยในประเทศไทย

เนื่องจากต้นทุนการก่อสร้างที่สูง ทำให้ Justo เอง เริ่มคิดถึงเงินที่ PetroSaudi เคยสัญญาไว้ แต่ไม่เคยจ่ายให้เขา กับค่าส่วนแบ่งในการปล้นครั้งแรกของ Low ซึ่งเป็นเวลากว่า 2 ปีแล้ว ที่เขารู้สึกท้อแท้ผิดหวัง เขารู้สึกขมขื่นกับวิธีที่ Tarek Obaid เพื่อเก่าของเขาได้เฉดหัวเขาทิ้งจาก PetroSaudi และไม่ได้จ่ายเงินตามที่ได้ตกลงกันไว้

ในช่วงปี 2013 Justo จึงได้ทำการติดต่อกับ Patrick Mahony ผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนของ PetroSaudi ทาง email ว่า เขามีข้อมูลที่เป็นอันตราย ซึ่งเขาได้ copy ข้อมูลจาก server ของ PetroSaudi ข้อมูลขนาด 140 GB ที่มีทั้ง email และเอกสารที่เกี่ยวข้องเกือบ 5 แสนฉบับจาก PetroSaudi

ซึ่งในเนื้อหาของ email และเอกสารนั้น ล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับ Low , Mahony และ Obaid ที่ทำการยักยอกเงินจาก 1MDB ซึ่งตอนนี้ตัว Justo เริ่มหมดความอดทน และรู้สึกเหมือนถูกหักหลัง จึงได้นัดพบกับ Mahony ที่กรุงเทพ

ทั้งคู่นัดพบเจอกันที่โรงแรมแชงกรีลา ใจกลางกรุงเทพ เมืองหลวงของประเทศไทย Justo ได้เล่าให้ Mahony ฟังว่าเขารู้สึกอย่างไร PetroSaudi ที่ตกลงจะจ่ายเงินนับล้านฟังก์สวิสให้เขา แต่จำนวนเงินที่ได้จริงกลับลดน้อยลงมาก ไม่เป็นไปตามข้อตกลง

ตอนนี้เขาต้องการเงิน 2.5 ล้านฟรังก์สวิส เงินที่เชื่อได้ว่าเขาควรจะได้รับ แต่ Mahony เป็นคนเย็นชาต่อข้อเรียกร้องของ Justo ตัว Mahony มองว่าไม่มีหลักฐานที่บ่งชี้ว่ามีการยักยอก หรือ การกระทำใดผิด เขาจึงบอกกับ Justo ว่า PetroSaudi จะไม่จ่ายเงินให้อย่างแน่นอน สุดท้ายพวกเขาก็แยกย้ายกันโดยไม่มีข้อตกลงใด ๆ เกิดขึ้น

ดูเหมือนหนทางของ Justo จะมืดมน หลังจากถูกปฏิเสธอย่างไม่ใยดีจาก PetroSaudi ในเงินที่เขาควรได้รับ ทำให้เขาเริ่มมองหาผู้ซื้อคนอื่นที่เหมาะสม สำหรับข้อมูลสุด Exclusive ที่เขามีอยู่ และมันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่นักข่าวสาวชาวอังกฤษคนหนึ่ง กำลังสนใจเรื่องราวของ Jho Low แบบพอดิบพอดี

Clare Rewcastle-Brown นักข่าวสาววัย 54 ที่แต่งงานกับพี่ชายของอดีตนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ Gordon Brown เธอเป็นนักข่าวเชิงสืบสวนสอบสวน ที่มีความเชื่อมั่นอย่างนึงว่า นักการเมืองที่กระทำการใด ๆ ที่ส่อเค้าทุจริตนั้น จะต้องได้รับผลกรรมจากการกระทำดังกล่าว

ในช่วงธันวาคมปี 2013 Rewcastle-Brown เริ่มได้ยินข่าวลือจากแหล่งข่าวในมาเลเซียเกี่ยวกับ Red Granite บริษัทผลิตภาพยนตร์ ที่ดำเนินการโดย Riza Aziz ลูกเลี้ยงของ Najib Razak

Rewcastle-Brown ได้รับการซุบซิบนินทาในกรุงกัวลาลัมเปอร์ว่า หน่วยงานของรัฐบาลมาเลเซียอาจสนับสนุนทางการเงินให้กับ บริษัท Red Granite ของ Riza Aziz เธอจึงได้เดินทางไปยังเมืองลอสแองเจอลิสเพื่อรวมรวมข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Red Granite

ซึ่งในช่วงดังกล่าวนั้น มีคดีความฟ้องร้องของบริษัท Red Granite พอดิบพอดี เมื่อ Red Granite ได้ซื้อสิทธิ์ในภาพยนตร์ในตำนานอย่าง Dumb and Dumber ภาพยนตร์ตลกชื่อดังในช่วงยุคปี 1994 ที่นำแสดงโดย Jim Carrey

ในเดือน กรกฏาคมปี 2013 Red Granite ได้ยื่นฟ้องคดี ในความพยายามที่จะแยกผู้ผลิต Steve Stabler และ Brad Krevoy ออกจากการมีส่วนร่วมในภาพยนตร์ ซึ่งทาง Stabler และ Krevoy นั้นโต้เถียงโดยอ้างสิทธิ์ตามสัญญาที่จะมีส่วนร่วมในภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวไม่ว่ากรณีใด ๆ

ต้องบอกว่า การฟ้องร้องกันในเรื่องดังกล่าว เป็นเรื่องอื้อฉาวไปทั่ว ฮอลลีวูด ดูเหมือนว่า ทั้ง Riza และ McFarland นั้นจะขาดประสบการณ์ในการผลิตภาพยนตร์ แม้ Red Granite นั้นจะมีเงินจากครอบครัวของ Aziz แต่กิจการก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จได้ด้วยเงินเพียงอย่างเดียว

แน่นอนว่าเมื่อ Rewcastle-Brown ได้ยินเรื่องดังกล่าว ก็คิดว่าต้องมีบางอย่างไม่ถูกต้องอย่างแน่นอน เพราะดูเหมือนว่าข้อมูลที่ Rewcastle-Brown ได้มาจากการเดินทางไปยังเมืองลอสแองเจลลิส นั้น พบว่า ข้อมูลที่สำคัญก็คือ ทั้ง Riza Aziz และ McFarland ที่กำลังใช้จ่ายเงินจำนวนมหาศาลกับ Red Granite บริษัทผลิตภาพยนตร์ของพวกเขา

โดยทั้งคู่ต่างไม่เคยที่จะเปิดเผยเกี่ยวกับเรื่องราวทางการเงิน หรือแหล่งที่ได้มาของเงินในการใช้จ่ายกับบริษัท Red Granite ทำให้ผู้คนในฮอลลีวูด ต่างเริ่มสงสัยในตัวของพวกเขา ซึ่งพวกเขามักให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับแหล่งที่มาของเงินทุนจากตะวันออกกลางและเอเชียอย่างคลุมเคลือ และแทบจะไม่ให้รายละเอียดเพิ่มเติมกับแหล่งที่มาของเงิน

ซึ่งสิ่งเหล่นี้ Rewcastle-Brown มองว่า มันเป็นอะไรที่ไม่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง เด็กหนุ่ม Riza Aziz ที่มี Najib Razak นายกรัฐมนตรีของมาเลเซียเป็นพ่อเลี้ยง จะมีเงินทุนเพียงพอที่จะเปิดตัวบริษัทภาพยนตร์ ด้วยทุนสร้างมหาศาลเหล่านี้ได้อย่างไร และนี่คือปริศนาที่เธอต้องแก้ไข ซึ่งปริศนาเริ่มต้นเหล่านี้ กำลังพาเธอไปพบกับข้อมูลอื่น ๆ ที่น่าตกใจ แล้วเธอได้พบเจอข้อมูลอื่น ๆ ที่มากกว่าที่เธอคิดได้อย่างไร โปรดอย่าพลาดติดตามต่อตอนหน้านะครับผม

–> อ่านตอนที่ 15 : Out Of Control

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Prologue *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

References Image : https://malaysiadailynews.com/xavier-justo-says-jho-lows-website-is-like-a-comic-book-and-lacks-any-proof/

ประวัติ Jho Low ตอนที่ 11 : Goldman and the Sheikh

เมื่อเข้าสู่เดือนมีนาคม ปี 2012 Tim Leissner ผู้บริหาร Goldman Sachs ของมาเลเซีย ได้บินไปยังอาบูดาบี เพื่อไปพบกับคนที่รวยที่สุดในโลกอย่าง Sheikh Mansour Bin Zayed ที่มีทรัพย์สินกว่า 40 พันล้านดอลลาร์ และเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะเจ้าของสโมสรฟุตบอล แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในพรีเมียร์ลีก ของอังกฤษ

มันเป็นโอกาสที่น้อยมาก ๆ ที่จะมีโอกาสที่จะพบกับมหาเศรษฐีตัวจริงอย่าง Sheikh Mansour เพราะเขาไม่ได้เพียงแค่รวยมาจากธุรกิจน้ำมันเพียงเท่านั้น แต่ Sheikh Mansour ดำรงตำแหน่งประธานของบริษัท การลงทุนระหว่างประเทศ IPIC และกำลังมีการลงทุนที่แพร่ขยายไปยังทั่วทุกมุมโลก รวมถึงการเข้าไปอุ้มธนาคารยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ Barclays ที่แทบจะล้มจากวิกฤติทางการเงินในปี 2008

เหล่านักการธนาคารใน Wall Street ต่างจับจ้องท่าน Sheikh เพื่อหวังจะหาข้อเสนอทางการเงินให้กับบริษัทการลงทุน IPIC ของท่าน Sheikh แต่มีน้อยคนนักที่จะได้พบกับตัวจริงของ ท่าน Sheikh Mansour

Leissner เป็นหนึ่งผู้โชคดีคนนั้น แต่การที่เขาสามารถเข้าถึงบุคคลระดับนี้ได้นั้น ก็ต้่องขอบคุณ Connection ของ Low ผ่าน Khadem Al Qubaisi ผู้ช่วยชาวอาหรับของท่าน Sheikh ที่สามารถพาเข้าถึงท่าน Sheik Mansour ได้สำเร็จ

เนื่องจากจะมีการลงทุนขนาดใหญ่ใน มาเลเซีย ผ่านกองทุน 1MDB โดยทาง Leissner ที่เดินทางมาที่อาบูดาบีพร้อมกับ Low เพื่อคุยเรื่องโครงร่างข้อตกลง ที่ ธนาคารยักษ์ใหญ่จาก Wall Street กำลังเตรียมที่จะจำหน่ายพันธบัตรมูลค่า 3.5 พันล้านดอลลาร์สำหรับกองทุน 1MDB

แต่ปัญหาคือ 1MDB นั้นไม่เคยออกพันธบัตรสกุลเงินดอลลาร์ ให้กับเหล่านักลงทุนต่างชาติ และแทบไม่ติดอันดับความน่าเชื่อถือ ดังนั้น Leissner ที่เป็นตัวแทนของ Goldman Sachs มาเพื่อนำเสนอกับ IPIC ของท่าน Sheikh ที่เป็นองค์กรที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูงเพื่อรับประกันปัญหานี้ นั่นจะทำให้นักลงทุนสบายใจ และ มั่นใจว่า 1MDB จะสามารถชำระหนี้คืนได้ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด และแลกกับผลประโยชน์ที่ IPIC จะได้รับสิทธิ์ในการซื้อหุ้นใน บริษัท พลังงานที่จดทะเบียนในราคาที่เหมาะสม

Sheikh Mansour Bin Zayed เศรษฐีอันดับต้น ๆ ของโลกเจ้าของทีม แมน ซิตี้
Sheikh Mansour Bin Zayed เศรษฐีอันดับต้น ๆ ของโลกเจ้าของทีม แมน ซิตี้

ต้องบอกว่านี่เป็นพิมพ์เขียวใหม่ล่าสุดของ Low สำหรับ 1MDB ซึ่งเป็นหนทางที่กองทุนจะเข้าสู่ธุรกิจผลิตพลังงานไฟฟ้า โดยเงินจากการออกพันธบัตรดังกล่าวนั้น จะนำไปลงทุนในการซื้อโรงไฟฟ้าถ่านหินในมาเลเซีย และ ต่างประเทศ รวมถึงบริษัทมหาชนที่มีการทำ IPO ในตลาดหุ้นของมาเลเซีย

แต่มันก็เป็นแผนที่แปลกประหลาด ที่ทำไมกองทุนของรัฐบาลมาเลเซียจึงของรับประกันจากกองทุนที่คล้ายกันจากอีกประเทศหนึ่ง ทำไมรัฐบาลมาเลเซียถึงไม่ให้การรับประกันเอง ซึ่งเพื่อนร่วมงานของ Leissner ที่ Goldman Sachs ในดูไบ ซึ่งทำธุรกิจกับ IPIC เป็นประจำ ก็มองว่าเป็นเรื่องที่ผิดปรกติและปฏิเสธจะเข้าร่วม หรือแม้แต่ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินของ IPIC ก็ยังตั้งคำถามว่าทำไม IPIC ต้องไปเสี่ยงต่อธุรกิจกับกองทุนของประเทศอื่น ที่แทบจะไม่มีประวัติเลยมาก่อนด้วยซ้ำ

แต่นี่เป็นแผนการของ Low และเขาก็ได้ Connection ที่สำคัญอย่าง Khadem Al Qubaisi ที่ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการของ IPIC เพื่อช่วยโน้มน้าวให้ Sheikh Mansour เห็นด้วยกับแผนการของ Low ซึ่งแน่นอนว่า Al Qubaisi นั้นก็จะได้รับผลตอบแทนจำนวนมหาศาลจาก Low อีกเหมือนเคย

และต้องบอกว่า Qubaisi นั้นไม่ใช่บุคคลธรรมดา เพราะ เขาเคยทำงานกับกองทุนความมั่งคั่งของอาบูดาบีมาก่อน หลังจากนั้นเขาก็ได้กลายมาเป็นกรรมการผู้จัดการของ IPIC และเขามีอำนาจที่แท้จริง เพราะเป็นหนึ่งในคนที่ Sheikh Mansour นั้นไว้วางใจเป็นอย่างมาก

Qubaisi นั้น จะเป็นคนตัดสินใจคนสุดท้ายสำหรับข้อเสนอที่สำคัญ เช่น ธุรกิจที่กำลังเติบโตที่น่าลงทุนอย่าง 1MDB และทาง Sheikh Mansour ได้มอบอำนาจแบบเบ็ดเสร็จให้กับ Qubaisi ที่สามารถตกลงเข้าซื้อกิจการ โดยไม่ต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการของ IPIC ซึ่งเรียกได้ว่า ลายเซ็นต์ของ Qubasi นั้นสามารถบรรลุข้อตกลงมูลค่าหลายพันดอลลาร์ได้ด้วยการตัดสินใจของเขาเพียงคนเดียว

“Qubaisi เป็นผู้ชายคนเดียวในโลกที่คุณสามารถโทรหาด้วยดีลมูลค่า 10,000 ล้านดอลลาร์ และเขาแค่พูดว่า “ใช่” หรือ “ไม่ใช่” ซึ่งเขาคิดว่าเขาเองนั้นคือพระเจ้าในโลกการเงิน” นักการเงินคนหนึ่งกล่าวถึง Qubaisi

IPIC นั้นก่อตั้งขึ้นในปี 1984 เพื่อลงทุนในบริษัท ที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน แต่ด้วยความสามารถของ Qubaisi ที่ดูแลกองทุน Aabar Investments และ บริษัทย่อยอื่น ๆ ได้มีส่วนร่วมในการลงทุนในหลายกิจการ หลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็น บริษัทในอุตสาหกรรมรถยนต์อย่าง Benz , UniCredit , Virgin Galactic หรือ บริษัทอื่น ๆ หากมีข้อเสนอที่น่าสนใจ

แต่ Qubaisi เองนั้น ก็มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมอยู่บ้าง ตัวอย่างเช่น ในปี 2009 เกิดคดีฟ้องร้องในอเมริกา เมื่อนักธุรกิจในอเมริกาสองคน อ้างว่า Qubaisi ได้ขอเงิน 300 ล้านดอลลาร์ ในระหว่างการเสนอราคาที่ล้มเหลวในการเข้าซื้อกิจการโรงแรมในเครือ Four Seasons (ซึ่งต่อมาโจทก์ได้ถอนฟ้อง)

ซึ่งหลังจากวิกฤติการเงินในปี 2008 นี่เองที่ทำให้กองทุนอย่าง IPIC นั้น มุ่งเข้าหาตลาดใหม่ ๆ เช่นในประเทศกำลังพัฒนาอย่างมาเลเซีย เพื่อชดเชยตลาดที่ซบเซาจากทางฝั่งยุโรป และ สหรัฐอเมริกา

ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ยากขึ้นของ Qubaisi ในการที่จะหาเงินจาก Wall Street ได้ง่าย ๆ เหมือนเมื่อก่อน ในปี 2011 Mohammed Bin Zayed ซึ่งเป็นพี่ชายของ Sheikh Mansour ได้มีการสั่งให้มีการออกตราสารหนี้ โดยผ่านหน่วยงานกลางเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ซ้ำซ้อนกับวิกฤติหนี้ในดูไบ

ซึ่งมีการออกโดยรัฐบาลสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ถึง 2 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งแน่นอนว่าในขณะที่ Qubaisi นั้นกำลังหาวิธีการใหม่ ๆ ในการสร้างกระแสเงินสด และเพิ่มการลงทุนในประเทศที่กำลังพัฒนา มันก็เป็นช่องทางที่ทำให้เขาได้มาเจอกับ Jho Low ผู้ซึ่งอวดอ้างว่าเขาสามารถลงนามข้อตกลงมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ในกองทุน 1MDB ได้นั่นเอง

ต้องบอกว่าแผนการของ Low นั้นใกล้ประสบความสำเร็จอีกครั้ง ซึ่งเขาต้องการให้พันธบัตรของ 1MDB ขายได้อย่างรวดเร็ว หลังจากที่ได้การรับประกันจาก IPIC

ซึ่งโดยทั่วไปแล้วนั้น รูปแบบการออกพันธบัตรส่วนใหญ่นั้นจะมีการออกหุ้นสู่สาธารณะ ซึ่งธนาคารจัดให้มีการจัดการที่ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนในวงกว้างมากที่สุด แต่ทางทางตรงกันข้ามหากต้องการความรวดเร็ว ก็สามารถที่จะเข้าหา สถาบันการลงทุนขนาดใหญ่ เช่น กองทุนบำเน็จบำนาญ หรือ กองทุนป้องกันความเสี่ยงที่ต้องการผลตอบแทนที่สูง ซึ่งข้อได้เปรียบ คือ สามารถหาเงินได้อย่างรวดเร็ว และ ไม่ได้รับการจัดอันดับเครดิตโดยเอเจนซี่ใหญ่ ๆ เช่น Moody’s และ Standard & Poor’s ซึ่งกระบวนการนี้จะเกี่ยวข้องกับการตรวจสอบน้อยมาก ๆ

ซึ่งแผนการก็คือ กองทุน 1MDB นั้นตกลงที่จะจ่ายเงิน 2.7 พันล้านดอลลาร์ ให้กับโรงไฟฟ้าที่เป็นเจ้าของโดยมหาเศรษฐีชาวมาเลเซีย Ananda Krishnan จาก Tanjong Energy Holdings ซึ่งเป็นการซื้อกิจการครั้งแรกของกองทุน 1MDB

ซึ่งข้อตกลงนี้มันได้กลาเป็นว่า จะเป็นประโยชน์ต่อ Tanjong โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เนื่องจากข้อตกลงขายไฟฟ้าให้กับรัฐมาเลเซียนั้นกำลังจะหมดลงในไม่ช้า ซึ่ง Goldman Sachs ก็คิดไม่ออกว่าทำไมตัวเลขมันถึงออกมาสูงได้เช่นนี้ แต่ไม่มีทางเลือกอื่น Goldman Sachs จึงต้องกลายเป็นที่ปรึกษาให้กับ 1MDB รวมถึง ช่วยให้กองทุนระดมทุน และประเมินการลงทุนนี้ครั้งนี้ให้มีตัวเลขสูงที่สุด

ซึ่งเพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากที่ Leissner มีการประชุมกับทางฝั่งอาบูดาบี ทางคณะกรรมการของ IPIC นั้นก็มีความสงสัย ในสิ่งที่ Goldman Sachs กำลังทำก็คือการขายพันธบัตรมูลค่า 1.75 พันล้านดอลลาร์ อายุ 10 ปี สำหรับกองทุน 1MDB ซึ่งแน่นอนว่า Goldman Sachs เองก็สามารถทำเงินได้มหาศาลกว่า 190 ล้านดอลาร์จากข้อตกลง หรือ ราว ๆ 11% ของมูลค่าพันธบัตร ซึ่งเป็นผลตอบแทนที่สูงจนน่ากลัวมาก ๆ

Goldman Sachs ที่เข้ามาพัวพันด้วยผลประโยชน์มหาศาล
Goldman Sachs ที่เข้ามาพัวพันด้วยผลประโยชน์มหาศาล

ซึ่งหลังจากที่ Deal ทุกอย่างแล้วเสร็จ ในวันที่ 21 พฤษภาคมปี 2012 เงินฝากจากพันธบัตรมูลค่า 1.75 พันล้านดอลลาร์ ก็เข้าสู่บัญชีธนาคารของบริษัทย่อยด้านพลังงานของกองทุน 1MDB และเพียงอีกหนึ่งวันต่อมา เงินจำนวน 576 ล้านดอลลาร์ ก็ถูกโอนย้ายไปที่บัญชี
ธนาคาร BSI ของบริษัท Aabar Investments Ltd ที่ หมู่เกาะ British Virgin Islands

และนี่คือลูกไม้เดิม ๆ ของ Low เพราะ Aabar Investments Ltd นั้น มีชื่อคล้ายกับ Aabar Invesments PJS ซึ่งเป็นบริษัทที่มีอยู่จริงที่เป็นบริษัทในเครือของ IPIC ซึ่ง Low นั้นใช้แผนเดิม ๆ และบอกว่าเป็นการโอนเงินเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการชำระเงินเพื่อชดเชยให้กับกองทุนจากอาบูดาบี ซึ่งต้องบอกว่า มันเป็นการคิดกลอุบายที่แยบยลมากขึ้นโดย Low และ Qubaisi เพื่อรับเงินที่มากขึ้นจาก 1MDB นั่นเอง

ซึ่งผลจาก Deal ที่ทำได้สำเร็จดังกล่าวนั้น ทำให้ตัว Leissner นั้นได้รับเงินเดือนและโบนัสในปี 2012 มากกว่า 10 ล้านเหรียญ ทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในพนักงานที่ได้รับผลตอบแทนสูงที่สุดของธนาคาร ซึ่งมันเป็นเวลาเพียงแค่ 3 ปีเท่านั้น ที่ Leissner ได้มาพบเจอกับ Low และได้เปลี่ยนความมั่งคั่งของเขา ให้มากขึ้นกว่าเดิมถึงหลายเท่านัก

แม้ Leissner นั้นจะยังไม่รู้ถึงเรื่องการฉ้อโกงที่ชัดเจน แต่ด้วยผลประโยชน์มหาศาลที่เขาได้รับ ก็ทำให้เขาไม่ได้สนใจเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด แม้จะระแคะระคายอยู่บ้าง ส่วน Qubaisi เองนั้นก็ได้รับเงินไปมหาศาลเช่นเดียวกัน ผ่านช่องทางการเงินที่ซับซ้อนที่ Low เป็นผู้สร้างสรรค์มันขึ้นมา

ถึงตอนนี้ Jho Low ได้ทำการปล้นครั้งสำคัญเป็นครั้งที่สองแล้ว ซึ่งแตกต่างจากช่วงแรกในปี 2009 กับ PetroSaudi จะเห็นได้ว่าเขาเริ่มมีการวางแผนที่ละเอียดถี่ถ้วนมากยิ่งขึ้น และใช้ความซับซ้อนทางการเงินมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อให้ยากที่จะตามรอยเขาได้ และที่สำคัญทุกอย่างนั้นทำอย่างรวดเร็วเหมือนเคย และผู้สมรู้ร่วมคิด แม้จะรู้จริง หรือ อาจจะแค่ระแคะระคายว่าทั้งหมดเป็นเรื่องปาหี่ แต่พวกเขาก็มองข้ามและเห็นแก่ผลประโยชน์ของตัวเองที่ได้รับจาก Deal เหล่านี้ ด้วยเม็ดเงินจำนวนมหาศาลนั่นเองครับ

แล้ว เรื่องราวทั้งหมด มันจะถูกเปิดโปงเมื่อไหร่ เหล่าสื่อทั้งหลายเริ่มสืบสวนเรื่องดังกล่าวไปถึงไหน จะเกิดอะไรขึ้นกับ Low ต่อไป โปรดอย่าพลาดติดตามตอนหน้าครับผม

–> อ่านตอนที่ 12 : The Big Boss

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Prologue *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

References Image : http://fcpaprofessor.com/doj-announces-fcpa-related-enforcement-action-individuals-associated-goldman-sachs-connection-1mdb-fund/

ประวัติ Jho Low ตอนที่ 8 : Where’s Our Money?

เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2009 มีการประชุมพิเศษของบอร์ด 1MDB ซึ่งสถานการณ์ในตอนนั้นกองทุนที่ได้รับการจัดตั้งขึ้นอย่างเร่งรีบ ยังไม่มีแม้กระทั่งสำนักงานถาวรของตนเองเลยเสียด้วยซ้ำ

การประชุมในวันนั้นถูกจัดขึ้นที่โรงแรม Royale Bintang โรงแรมสี่ดาวย่าน Mutiara Damansara ใกล้กับกรุงกัวลาลัมเปอร์เมืองหลวงของประเทศมาเลเซีย ซึ่งมีหนึ่งในผู้บริหารคนใหม่คือ Bakke Salleh นักธุรกิจชื่อดัง ซึ่งนายกรัฐมนตรี Najib Razak เลือกให้มาเป็นประธานกรรมการ

ต้องบอกว่า Profile ของ Bakke นั้นไม่ธรรมดา เขาเป็นนักบัญชีระดับท็อป เรียนจบที่ London School of Economics ในเรื่องการคอร์รัปชั่น Bakke มีชื่อเสียงในการปราบปราบเรื่องราวทุจริตในหลาย ๆ องค์การจากประสบการณ์ของเขาที่ผ่านมา

และเป็น Bakke ที่ยิงคำถามเข้าใส่ในประเด็นที่ 1MDB มีการส่งเงิน 700 ล้านดอลลาร์ให้กับบริษัทอื่น และไม่ใช่บริษัทที่มีการร่วมทุนกับ PetroSaudi ได้อย่างไร? Bakke มองว่าทำไมบอร์ดถึงไม่ได้รับการแจ้งเกี่ยวกับหนี้ดังกล่าวที่เกิดขึ้นตั้งแต่แรก เขาจึงสั่งต้องการให้ PetroSaudi ทำการคืนเงินเพื่อให้สามารถลงทุนในกิจการร่วมค้าได้ตามที่ตกลงกัน

เขามองว่า การลงทุนอย่างมีนัยยะสำคัญจำนวน 1 พันล้านดอลลาร์ ควรได้รับความคิดที่ละเอียดรอบคอบมากขึ้นและมีกระบวนการตรวจสอบอย่างรอบคอบ ซึ่ง Bakke ต้องการให้มีการตรวจสอบโดยอิสระเกี่ยวกับสินทรัพย์น้ำมันที่ PetroSaudi จะนำมาลงทุน เนื่องจากกระบวนการก่อนหน้านี้ มันดูเร่งรีบ และใช้เวลาน้อยเกินไป ในดีลขนาดใหญ่เช่นนี้

Bakke Salleh ที่ต้องการตรวจสอบเงินที่หายไป 700 ล้านดอลลาร์ (ภาพจาก GettyImage)
Bakke Salleh ที่ต้องการตรวจสอบเงินที่หายไป 700 ล้านดอลลาร์ (ภาพจาก GettyImage)

แต่ Low ก็เป็นฝ่ายโน้มน้าว Najib ไม่ให้รับแนวคิดของ Bakke เพราะจะเป็นการเสียเวลาหากต้องมีการประเมินมูลค่าสินทรัพย์รอบสอง ซึ่งต้องใช้ระยะเวลายาวนาน และดูเหมือนว่า Naijb จะโอนอ่อนคล้อยตามคารมของ Low อีกครั้ง

Bakke ทนไม่ไหวกับเรื่องดังกล่าว และไม่อยากเข้าไปยุ่งกับเรื่องราวที่ยุ่งเหยิงที่เขารู้ว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต จึงได้ตัดสินใจลาออกทันที แต่ทาง Najib ได้ขอไว้ให้เขาออกไปในสองสามสัปดาห์ เพื่อไม่ให้เป็นข่าวคึกโครมจนเกินไป

ดูเหมือนสถานการณ์ในตอนนี้ Najib ก็เริ่มทราบว่า 1MDB จะมีโอกาสเป็นปัญหาทางการเมืองของเขาในอนาคต การที่เขาปล่อยให้เด็กที่ยังแทบไม่ผ่านการทดลองงานอย่าง Low ทีมีอายุเพียงแค่ 28 ปี มาดำเนินการโครงการที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ มันมีความเสี่ยง

แต่ดูเหมือนเขายังมองว่าอย่างน้อยมันจะเป็นการเปิดทางให้กับแหล่งเงินทุนจากตะวันออกกลาง และที่สำคัญต้องบอกว่า Low นั้นเข้าถูกทาง เพราะคอยปรนนิบัติกับทั้งภรรยา และ ลูกเลี้ยงของเขา Riza Aziz เป็นอย่างดี Najib จึงยังคงจงใจไม่สนใจสิ่งที่เด็กหนุ่มอย่าง Low กำลังทำอยู่ แม้ว่าจะมีรายงานเกี่ยวกับการใช้จ่ายใน นิวยอร์ก เวกัส หรือที่อื่น ๆ รวมถึงการที่นักธุรกิจผู้มีชื่อเสียงอย่าง Bakke ส่งเสียงเตือนมาก็ตาม

และเพื่อรักษาความไว้วางใจของ Najib Low จึงได้จัดให้มีการเยือนประเทศซาอุดิอาระเบียอีกครั้งในเดือนมกราคมปี 2010 ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ Low ต้องการปิดปากเหล่าคณะกรรมการ 1MDB จำนวนหนึ่งที่ยังคงบ่นถึงจำนวนเงินของกองทุนที่หายไป

เขาได้กล่าวกับคณะกรรมการของ 1MDB ว่า การถามคำถามมากเกินไปเกี่ยวกับข้อตกลงกับ PetroSaudi ซึ่งเขาได้อธิบายว่า อาจจะทำให้ความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างมาเลเซียกับ ซาอุดิอาระเบียแย่ลงไปได้

Low มักจะไปนั่งทางกาแฟกับเหล่าคณะกรรมการของกองทุน 1MDB เป็นประจำ และพยายามทำตัวว่าเขาเป็นตัวแทนของนายกรัฐมนตรี Najib ในการจัดการกองทุน 1MDB แม้เขาจะไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการก็ตามที

ด้วยความใกล้ชิด และความไว้วางใจอย่างสูงจาก Najib ทำให้ Low ดูมีอำนาจมากยิ่งขึ้น และนั่นคือสิ่งที่เขาใช้เป็นประโยชน์ เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำของเขาอีกต่อไปนั่นเอง

และเพื่อให้แทนที่ตำแหน่งที่ว่างลงของ Bakke ทาง Low เองได้นำเสนอ Najib ให้แต่งตั้งหุ้นส่วนทางธุรกิจของพ่อเขา Lodin Wok Kamaruddin ผู้ที่ภักดีต่อพรรค UMNO ให้กลายมาเป็นประธานคนใหม่ของ 1MDB ซึ่งเมื่อถึงตอนนี้ เขาก็สามารถควบคุมได้ทุกอย่างได้สำเร็จ

ซึ่งต้องบอกว่าหลังจากการลาออกของ Bakke ในเหล่าชนชั้นสูงของมาเลเซีย ก็พอได้ยินข่าวเกี่ยวกับการลาออกของ Bakke ซึ่งแน่นอนว่ามันมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล แต่เนื่องจากการที่ Najib นั้นสามารถควบคุมสื่อกระแสหลักได้หมด ทำให้ปัญหาของกองทุนยังไปไม่ถึงสาธารณชน

แต่ก็มีสื่อบางรายที่ Najib ไม่สามารถ Control ได้ Tong Kooi Ong เจ้าของสื่อ Edge หนังสือพิมพ์ธุรกิจรายสัปดาห์ภาคภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นหนังสือด้านพิมพ์ด้านธุรกิจชั้นนำของประเทศมาเลเซีย

The Edge สื่อที่ Najib ไม่สามารถ Control ได้
The Edge สื่อที่ Najib ไม่สามารถ Control ได้

Tong เป็นเพื่อนกับ อันวาร์ อิบราฮิม อดีตรองนายกรัฐมนตรี แต่ในช่วยปลายยุค 90 อันวาร์หลุดพ้นตำแหน่งเนื่องจากนายก มหาธีร์ โมฮัมหมัด ได้ทำการปลดเขาออก จากการที่อันวาร์ โดนกล่าวหาว่ามีพฤติกรรมรักร่วมเพศ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดกฏหมายในประเทศมาเลเซีย

หลายปีที่ผ่านมา Tong ถือเป็นกลุ่มกบฏของชุมชนธุรกิจของมาเลเซีย ที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้กับ Najib เหมือนสื่ออื่น ๆ เมื่อ Tong ได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับความไม่ชอบมาพากลของ 1MDB เขาจึงสั่งให้ทีมนักข่าวเริ่มสืบสวนในเรื่องดังกล่าวทันที

Tong นั้นเริ่มได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับ 1MDB ตั้งแต่เริ่มต้น ชาวมาเลย์ชนชั้นสูงต่างซุบซิบนินทาเกี่ยวกับการจัดการของ Najib ในเรื่องกองทุน 1MDB เหล่านักการทูตมาเลเซียบ่นเรื่องการจัดทริปชอปปิ้งของ Rosmah ภรรยาของ Najib เมื่อเธอไปยังต่างประเทศ รวมถึงเรื่องการลาออกของ Bakke

โดยในเดือนธันวาคม 2009 หนังสือพิมพ์ Edge ของ Tong เริ่มเผยแพร่ข่าว เกี่ยวกับคำถามที่ว่า ทำไม Bakke ถึงลาออกจากคณะกรรมการของ 1MDB หลังจากกองทุนเพิ่งเริ่มต้นได้เพียงไม่นาน และอะไรคือจุดประสงค์ที่แท้จริงของ 1MDB และจะใช้เงินลงทุนไปกับอะไรกันแน่?

ถึงตอนนี้แม้ Low จะพยายามเข้าไป Control ทุกสิ่งใน 1MDB ได้สำเร็จ แต่ตอนนี้เขาต้องพบกับอุปสรรคสำคัญ ซึ่งก็คือ สื่อที่กำลังได้เริ่มกลิ่นตุ ๆ ของความไม่ชอบมาพากลของกองทุน 1MDB แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับ Low เขาจะอธิบายสิ่งเหล่านี้กับสาธารณชนชาวมาเลเซียได้อย่างไร โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 9 : The Wolf of Hollywood

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Prologue *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

References Image : http://cempedakcheese.com/najib-tahu-jho-low-curi-wang-1mdb-sejak-2015/

ประวัติ Jho Low ตอนที่ 7 : Money Magic

ในวันที่ 22 ตุลาคม 2009 เพียงแค่สามสัปดาห์หลังจากที่ Low ได้ยักยอกเงินมูลค่ากว่า 700 ล้านดอลลาร์ จากกองทุน 1MDB เขาก็ได้บินไปฉลองที่อเมริกาทันที และที่นั่นก็คือเมืองแห่งแสงสีอย่าง ลาสเวกัส

และก็เป็นหนึ่งในโรงแรมใหม่ล่าสุดอย่าง Palazzo โรงแรมระดับหรู และมีคาสิโนที่ถือว่าเป็นอีกหนึ่งแห่งที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา Low ได้มีการจ้างนางแบบสาวในลาสเวกัสกว่า 20 คนมาร่วมงานปาร์ตี้ฉลอง ที่เป็นความลับ

เมื่อถึงเวลา 20.00 น. เหล่าสาว ๆ ก็เข้ามาถึงห้อง VIP โดยข้างใน รอบ ๆ โต๊ะมีชาวเอเชียจำนวนหนึ่งกำลังเล่นโป๊กเกอร์พร้อมด้วย Leonardo DeCapio แม้เหล่านางแบบหลายคนจะเคยพบกับนักแสดงชื่อดังมาก่อน แต่การปรากฏตัวของเขาในงานนี้ทำให้บางคนรู้สึกประหลาดใจ

โดยในห้องนั่งเล่นของห้องสวีทดังกล่าว มีโซฟานุ่ม ๆ และประตูที่เปิดออกไปที่ระเบียงสระว่ายน้ำ ที่สามารถมองเห็นบรรยากาศเมืองลาสเวกัสยามค่ำคืน พนักงานโรงแรมได้สร้างฟลอร์เต้นรำแบบชั่วคราวพร้อมกับลูกบอลดิสโก้ห้อยอยู่เหนือศรีษะ และทาง Palazzo นั้นได้มีการจัดการ์ดมาคุมเข้มให้กับแขก VIP กลุ่มนี้ เป็นพิเศษ

ต้องบอกว่าในช่วงเวลานั้น ช่วงปลายปี 2009 Low สามารถเข้าถึงเงินสดได้มากกว่าใครในโลก และเขาไม่อายที่จะใช้จ่ายมันอย่างบ้าคลั่ง Low ได้เริ่มจัดปาร์ตี้ พบปะคนสำคัญทั้งดารา นักธุรกิจ นายธนาคาร และบุคคลสำคัญอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้าง Connection ใหม่ ๆ

ต้องบอกว่าแผนการของ Low ในศตวรรษที่ 21 นั้น เป็นความพยายามระดับโลกที่ทำได้สำเร็จอย่างแท้จริง ที่เขาแทบจะไม่ต้องผลิตสินค้าใด ๆ เลย กับการเสกเงินเหมือนมีเวทมนต์ ด้วยการเปลี่ยนเงินสดจากกองทุนของรัฐที่มีการควบคุมที่หละหลวมในประเทศกำลังพัฒนา และ เคลื่อนย้ายมันไปสู่มุมมืดของระบบการเงิน

ในระหว่างเดือนตุลาคม 2009 ถึง มิถุนายนปี 2010 ในระยะเวลาเพียงแค่ 8 เดือน Low และ ผู้ติดตามของเขาใช้เงินไปกว่า 85 ล้านดอลลาร์ในการเล่นการพนันในเวกัส , เครื่องบินไอพ่นส่วนตัว , เช่าบ้านพักตากอากาศ รวมถึง Apartment สุดหรูใจกลางกรุงนิวยอร์ก Park Imperial

แต่เขาก็มีความฝันอย่างนึงตั้งแต่เรียนที่ Wharton ที่อยากจะพบเจอนางแบบคนดัง ที่เขาใฝ่ฝัน ซึ่งเธอผู้นั้นก็คือ Paris Hilton

ซึ่งตอนนี้เรื่องเงินก็ไม่ใช่ปัญหาของ Low อีกต่อไป ในเดือนพฤศจิกายนปี 2009 Low ได้ส่งเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวไปที่ LA เพื่อพา Paris Hilton ไปยังแวนคูเวอร์ เพื่อพาเธอไปยัง Whistler สกีรีสอร์ตชื่อดังของแคนาดา

Paris Hilton สาวในฝัน ของ Jho Low
Paris Hilton สาวในฝัน ของ Jho Low

โดย Low ได้ติดต่อผ่านผู้จัดการส่วนตัวของ Hilton โดยจ่ายเงินประมาณ 100,000 ดอลลาร์ เพื่อมาพักผ่อนที่ โดย Hilton ได้พาเพื่อนของเธอ Joey McFarland ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการจ้างดาราสำหรับงานปาร์ตี้และอีเว้นท์มาด้วย

ที่รีสอร์ตดังกล่าว มีการรวมตัวกันของเหล่าคนสนิทของ Low เพื่อมาพักผ่อน ที่สกีรีสอร์ตแห่งนี้ Low ได้พาเพื่อนสนิท ทั้ง Al Wazzan เพื่อนร่วมชั้น Wharton ชาวคูเวต รวมถึง Riza Aziz ลูกเลี้ยงของนายกรัฐมนตรี Najib มาร่วมพักผ่อนในทริปนี้ด้วยกัน

ซึ่ง Riza นั้น อาศัยอยู่ในลอสแองเจลิส และพร้อมที่จะช่วย Low ลงทุนเงินบางส่วน ซึ่งที่ รีสอร์ต Whistler นีเองที่ทำให้ทั้งคู่คิดไอเดียเกี่ยวกับการสร้างภาพยนต์ ซึ่งมี McFarland ที่มีความสนใจในเรื่องดังกล่าวมาร่วมกันออกไอเดียด้วย

ซึ่งหลังจากจบทริปที่แคนาดา Low ก็ได้เริ่มทำความสนิทสนมกับ Hilton อย่างต่อเนื่อง มีการจ่ายเงินให้เธอจำนวนมหาศาล ในงานฉลองวันเกิดของ Hilton มีของขวัญวันเกิดอย่าง นาฬิกา Cartier สุดหรู พร้อมด้วยเงินสดกว่า 250,000 ดอลลาร์ให้ Hilton เพื่อไปใช้เล่นบาคาร่า เรียกได้ว่า Low จ่ายเงินให้ Hilton อย่างเต็มที่ โดยไม่ได้สนใจอะไรเลยด้วยซ้ำ

ด้วยความที่เขาเป็นคนจ่ายหนัก โดยเฉพาะที่คาสิโน ทำให้หลาย ๆ คนเริ่มจับตามามอง Low เพราะเขาดูเหมือนไม่สนใจอะไรเลยกับการจ่ายเงินจำนวนมหาศาล แม้จะเสียการพนันสูงถึง 2 ล้านดอลลาร์ เขาก็ไม่ได้รู้สึกเสียดายแต่อย่างใด มีข่าวลือในแวงวงคาสิโนว่า เขาอาจจะเป็นพ่อค้าอาวุธ หรือ อาจจะเป็นทายาทกษัตริย์แห่งมาเลเซีย เลยเสียด้วยซ้ำในขณะนั้น

เมื่อเข้าสู่ปี 2010 Low ก็ได้ซื้อบ้านหรูมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ใน ลอนดอน ลอสแองเจลิส และ นิวยอร์ก ให้กับ Najib และครอบครัวของเขา โดยมีการซื้อ อาคาร Park Laurel ในเมืองนิวยอร์ก ที่มีมูลค่ากว่า 36 ล้านดอลลาร์ สำหรับ Riza Aziz ลูกเลี้ยงของ Najib

เรียกได้ว่าเป็นการเอาใจ Najib อย่างเต็มที่ เพราะท้ายที่สุดอสังหาเหล่านี้ Riza ก็จะกลายเป็นเจ้าของในท้ายที่สุด ซึ่งเงินส่วนใหญ่ก็มาจากเงินที่ขโมยมาจากกองทุน 1MDB นั่นเอง โดยที่ทาง Najib เองนั้น ก็ไม่ได้สนใจถึงแหล่งที่มาของเงินในการซื้อสินทรัพย์เหล่านี้ ในขณะนั้น

แม้จะซื้อบ้านหลายหลัง แต่ Low ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเดินทางไปทั่วโลก มีการเดินทางไปยัง มาเลเซียเพื่อพบนายกรัฐมนตรี Najib และเขาจะบินต่อไปยัง สิงค์โปร์ ฮ่องกง เซี่ยงไฮ้ รวมถึง อาบูดาบี สวิส แล้วบินวนกลับมาที่ลอสแองเจลิส เพื่อเดินทางไปเล่นการพนันที่เวกัส เรียกได้ว่าเป็นตารางการบินที่บ้าคลั่งมาก ๆ ที่คนส่วนใหญ่คงไม่สามารถทำได้อย่างแน่นอน

Bombardier Global 5000 เปรียบเหมือนบ้านหลังที่สองของ Low
Bombardier Global 5000 เปรียบเหมือนบ้านหลังที่สองของ Low

ซึ่งการเดินทางที่เยอะขนาดนี้ ทำให้ Low ได้ตัดสินใจซื้อเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว Bombardier Global 5000 เครื่องบินสุดหรูของเหล่ามหาเศรษฐี เนื่องด้วยเขาอาศัยอยู่ในเครื่องบินเจ็ตมากกว่าบ้านหลาย ๆ หลังที่เขาซื้อมา ทำให้ภายในเครื่องบินนั้นตกแต่งเต็มไปด้วย เตียง และ ออฟฟิสขนาดเล็ก เครื่อง Fax และ WI-FI ซึ่งเขาใช้เวลาทำงานส่วนใหญ่อยู่บนเครื่องบิน

ต้องเรียกได้ว่า มันเป็นชีวิตที่ไม่ธรรมดา Low ได้สร้างความประทับใจที่แตกต่างให้กับเหล่าผู้คนที่ได้มีโออาสพบเขา ซึ่งต้องบอกว่า แผนการของ Low นั้นประสบความสำเร็จอย่างสูงมาก ๆ และมาไกลเกินกว่าที่เขาคิดไว้ เพราะทุกอย่างมันดูเหมือนง่ายไปหมดสำหรับเขา แต่หารู้ไม่ว่า สถานการณ์ที่ มาเลเซีย เริ่มมีความสงสัย ถึงทรัพย์สินที่ได้มาของ Low และ วิธีการลงทุนของ 1MDB ของ Low เสียแล้ว แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อ กับผู้ชายที่เสกเงินได้ดั่งมีเวทย์มนต์อย่าง Jho Low โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 8 : Where’s Our Money?

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Prologue *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

References Image : https://www.businesstimes.com.sg/asean-business/malaysian-playboy-financier-jho-low-in-cross-hairs-after-poll-upset

ประวัติ Jho Low ตอนที่ 6 : The First Heist

เพียงไม่กี่เดือน หลังจากที่ Najib Razak ได้ขึ้นครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย Low ก็ได้กลายมาเป็นผู้ช่วยอย่างไม่เป็นทางการของ Najib และยังช่วยจัดแจงให้ Najib นั้นได้ออกไปเยือนตะวันออกกลาง

Najib นั้น มีความทะเยอทะยานอย่างยิ่งที่จะเปลี่ยนประเทศมาเลเซียให้กลายเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วในยุคของเขา และมันทำให้เขาต้องการแหล่งเงินทุนที่สำคัญ

และนั่นก็คือ กองทุน 1MDB ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีนั้นเป็นกองทุนที่ควรลงทุนในเรื่องพลังงานสะอาด การท่องเที่ยว เพื่อสร้างงานที่มีคุณภาพสูํงสำหรับชาวมาเลเซียทุกคน ไม่ว่าจะเป็นชาติพันธุ์ใด มาเลย์ อินเดีย หรือ จีน ดังนั้นสโลแกนที่สำคัญของกองทุนนี้ก็คือ “One Malaysia” นั่นเอง

และคนที่จะมาดูแลกองทุนดังกล่าว ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน Low ที่สัญญากับนายกรัฐมนตรี ว่าจะทำการดูดเงินจากตะวันออกกลาง และ กู้ยืมเงินเพิ่มเติมจากตลาดโลก และยังสร้างจุดขายใหม่ให้กับกองทุนนี้จน Najib นั้นสนใจมาก ๆ

“ทำไมไม่ใช้กองทุนนี้เพื่อเป็นเครื่องมือทางการเงินสำหรับการเมืองล่ะ?” ซึ่งผลกำไรจากกองทุนดังกล่าวนี้ จะช่วยให้ Najib สามารถใช้เพื่อชดเชย เหล่าผู้สนับสนุนทางการเมือง และผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง เพื่อเรียกคืนความนิยมของพรรค UMNO ที่กำลังตำต่ำ

เจ้าชาย Turki Bin Abdullah Al Saud ลูกชายของกษัตริย์แห่งซาอุดิอาระเบีย Abdullah Abdulaziz Al Saud ได้กลายมาเป็น Connection คนสำคัญคนใหม่ของ Low ในการเชื่อมต่อกับประเทศซาอุดิอารเบีย

เจ้าชาย Turki Bin Abdullah Al Saud แห่งซาอุดิอารเบีย
เจ้าชาย Turki Bin Abdullah Al Saud แห่งซาอุดิอารเบีย

แม้สำหรับใครหลายคนแล้ว อาจจะคิดว่า เจ้าชาย Turki นั้น มีเงินมากมาย แทบจะใช้ไม่หมดก็ตามที แต่ตัวเจ้าชาย Turki นั้นกำลังเผชิญกับอนาคตที่ไม่มั่นคง เนื่องจาก กษัตริย์ Abdullah พระบิดาของเขากำลังอยู่ในวัยชรา และมีอายุถึง 90 ปีแล้ว รวมถึงมีลูกอีกยี่สิบคน ทำให้เจ้าชาย Turki นั้นก็ยังไม่แน่ใจว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร หากพ่อของเขาเสียชีวิต

ในช่วงต้นทศวรรษ 2000 เจ้าชาย Turki และหุ้นส่วนทางการเงิน Tarek Obaid ได้ก่อตั้ง PetroSaudi International บริษัทสำรวจน้ำมันขึ้น เพื่อพยามเชื่อมโยงกับราชวงศ์ของเขา แนวคิดก็คือ PetroSaudi ซึ่งตั้งอยู่ในเมือง Al khobar ในประเทศซาอุดิอารเบีย โดยบริษัทดังกล่าวจะได้รับสิทธิ์ในการสำรวจน้ำมันในต่างประเทศ

ต้องบอกว่าเจ้าชาย Turki เป็นหนึ่งในบุคคลที่ Low กำลังตามหา และทั้งคู่ก็ได้มีโอกาสมาเจอกัน ผ่าน Sahle Ghebreyesus ซึ่งเป็นผู้ดูแล Service ในการจัดการเรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น เครื่องบินเจ็ตส่วนตัว ร้านอาหารสุดหรู หรือ ความต้องการอื่น ๆ ของบุคคลระดับ Superrich

ซึ่ง Ghebreyesus นั้นรู้จักทั้ง เจ้าชาย Turki และ Low ซึ่งเป็นขาปาร์ตี้ มาตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ที่ Wharton ซึ่ง Low ได้ขอให้ Ghebreyesus นั้นจัดวันหยุดพักผ่อนให้กับ Najib , Rosmah และลูก ๆ ของพวกเขานอกชายฝั่งของประเทศฝรั่งเศสบนเรือสำราญสุดหรูอย่าง RM Elegan

ส่วนฝั่งเจ้าชาย Turki นั้น ก็มาในช่วงเวลาเดียวกัน โดยทำการเหมาเรือสำราญ Alfa Nero ที่มีค่าใช้จ่ายกว่า 500,000 ดอลลาร์ต่อสัปดาห์ ซึ่งแผนการของ Low ก็คือ นำ Najib และครอบครัว มาเจอกับเจ้าชาย Turki ให้มันดูเหมือนว่าเขาสามารถที่จะเชื้อเชิญคนระดับราชวงศ์ของซาอุดิอารเบีย มาพบกับ Najib ได้

ซึ่งเมื่อถึงวันที่ทั้งคู่ได้เจอกัน เจ้าชาย Turki และ Najib ได้เริ่มพูดคุยถึงความเป็นไปได้ที่ PetroSaudi จะร่วมมือกับกองทุน 1MDB ซึ่งทั้งคู่คุยกันถูกอกถูกคอ โดยมี Low คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ซึ่งหลังจากการประชุมดังกล่าวเพียงไม่กี่วัน เจ้าชาย Turki ได้เขียนจดหมายถึง Najib โดยเสนอ การรวมธุรกิจเพื่อสร้างกองทุนที่มีศักยภาพ ขึ้นมา

โดยแผนการก็คือ การให้ PetroSaudi นำทรัพย์สินน้ำมัน ซึ่งเป็นส่วนของสิทธิ์ในการพัฒนาแหล่งน้ำมันในประเทศเติร์กเมนิสถาน และ อาร์เจนติน่ามูลค่ารวม 2.5 พันล้านดอลลาร์เข้าร่วมทุน ในขณะเดียวกันทางกองทุน 1MDB จะทำการนำเงินสด 1 พันล้านดอลลาร์เข้าร่วมทุนในโครงการดังกล่าว

Patrick Mahony เป็นอีกหนึ่งคนที่มีบทบาทใน PetroSaudi ซึ่ง Tarek Obain หุ้นส่วนทางด้านการเงินของเจ้าชาย Turki นั้นเป็นคนชักชวนให้ Mahony มาทำงานที่ PetroSaudi โดยบทบาทของ Mahony คือการทำงานตามแผนงานเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจของ PetroSaudi

เขาเป็นผู้ที่ผลักดันให้บริษัทซื้อสิทธิ์ในการสัมปทานแหล่งน้ำมันในอาร์เจนติน่า และ บรรลุข้อตกลงกับบริษัทในแคนาดา เพื่อพัฒนาพื้นที่นอกชายฝั่งขนาดใหญ่ในเติร์กเมนิสถาน

ด้วยข้อตกลงหลายพันล้านดอลลาร์ของกองทุน 1MDB นายกรัฐมนตรี Najib Razak นั้นจะดำรงตำแหน่งสูงสุดของกองทุนในฐานะประธานคณะที่ปรึกษา โดยมีอำนาจแต่งตั้งสมาชิกคณะกรรมการและยับยั้งการตัดสินใจเรื่องสำคัญ ๆ ของกองทุน

โดย 1MDB ได้มีการแต่งตั้ง Shahrol Halmi ซึ่งเป็นอดีตที่ปรึกษาของ Accenture ในมาเลเซียเป็นผู้บริหารสูงสุด และยังมีการจ้างผู้บริหารมากความสามารถคนอื่น ๆ อย่างเช่น Casey Tang ซึ่งเป็นผู้อำนวยการฝ่ายการเงินของบริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่ในมาเลเซีย ซึ่งมาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร และ Jasmine Loo ทนายความมากฝีมืออันดับต้น ๆ ของมาเลเซีย ในฐานะที่ปรึกษาด้านกฏหมาย

แต่มีรายหนึ่งที่หายไปจาก List รายชื่อ ซึ่งนั่นก็คือ Jho Low นั่นเอง โดยเขาตัดสินใจที่จะไม่มีบทบาทอย่างเป็นทางการ แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้น เขาอยู่เบื้องหลังการตัดสินใจในทุก ๆ ครั้ง ของการดำเนินงานของกองทุน 1MDB

หลังจากนั้นพวกเขาได้ตัดสินใจที่จะไปจัดตั้งบัญชีธุรกิจสำหรับนิติบุคคลใหม่ในเจนีวาประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยใช้ธนาคาร BSI ที่เป็นธนาคารเอกชนขนาดเล็กของสวิส Low และ Mahony เดินทางไปเจนีวา เพื่ออธิบายต่อธนาคารว่ากิจการใหม่นี้ จะใช้เงิน 1 พันล้านดอลลาร์จากกองทุน 1MDB ในประเทศมาเลเซีย และจะมีการตัดค่าธรรมเนียมในการช่วยจัดการข้อตกลงร่วมกัน เหมือนที่เขาพยายามทำในช่วงการลงทุนของ Mubadla ก่อนหน้านี้

อย่าไรก็ตามแผนการของ Low ดูเหมือนจะถูกขัดขวางจาก BSI เพราะทาง BSI ตะลึงกับข้อตกลงที่แปลกประหลาดเช่นนี้ และปฏิเสธคำขอในการสร้างบัญชี นายธนาคาร BSI นั้นไม่อยากทำธุรกรรมดังกล่าว เพราะดูแล้วมีความน่าสงสัยมากเกินไป

ซึ่งหลังจากประสบปัญหากับ BSI ทาง Low และ Mahony ก็หันไปหาธนาคาร JP Morgan (Swiss) โดย JP Morgan นั้นตกลงที่จะเปิดบัญชีให้ และมีการถามคำถามเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับสาเหตุที่กองทุน 1MDB ต้องการมาเปิดบัญชีที่นี่

BSI จากสวิส ที่ปฏิเสธการทำธุรกรรมที่น่าสงสัย
BSI จากสวิส ที่ปฏิเสธการทำธุรกรรมที่น่าสงสัย

และมีการว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาของ PetroSaudi อย่างบริษัท White & Case ที่เป็นสำนักงานกฏหมายที่กรุงลอนดอน โดยทาง White & Case ก็ยินดีที่จะเอาใจลูกค้าของเขา เพื่อรับค่านายหน้าจำนวนมหาศาล

White & Case ได้ทำการช่วย PetroSaudi เตรียมการนำเสนอข้อเสนอทางการเงินที่เป็นสไลด์แผนภาพกระแสเงินที่ดูเป็นมืออาชีพ ที่แสดงให้เห็นว่า PetroSaudi นั้น จะนำทรัพย์สินอัดฉีดเข้าไปในกองทุนอย่างไร และ ฝั่งของ 1MDB นั้น จะวางเงิน 1 พันล้านดอลลาร์เพื่อใช้ในกิจการร่วมค้า ซึ่งตั้งอยู่ในหมู่เกาะบริติชเวอร์จิ้น อย่างไร ซึ่งในการนำเสนอนั้น ยังมีการระบุถึงจำนวนเงิน 700 ล้านดอลลาร์ ที่มีความน่าสงสัย ที่กิจการร่วมค้าดังกล่าวจะคืนให้กับ PetroSaudi ที่ดูเหมือนเป็นการชำระคืนเงินกู้ให้กับ PetroSaudi แต่หารู้ไม่ว่าความจริงแล้วนั้น เงินกู้ก้อนนี้มันไม่ได้มีอยู่จริง

ต้องบอกว่ากระบวนการทั้งหมดนั้น Low จัดการมันได้อย่างรวดเร็วมาก ในเวลาเพียงแค่เดือนกว่า ๆ เท่านั้น หลังจากการคุยกันครั้งแรกของ เจ้าชาย Turki กับ Najib ที่เรือสำราญ Alfa Nero เมื่อเข้าถึงช่วงเดือนสิงหาคม ข้อตกลงร่วมทุนมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ก็เสร็จสิ้น ซึ่งโดยปรกติแล้วข้อตกลงระดับนี้ที่มีความซับซ้อนมาก ๆ ทั้งด้านข้อกฏหมาย และ การประเมินสินทรัพย์ต่าง ๆ ต้องใช้เวลานานมาก ๆ ในการปิดดีล แต่ด้วยความสามารถขั้นเทพของ Low ทำให้จัดการทุกอย่างได้ในระยะเวลาเพียงเดือนเศษ ๆ เพียงเท่านั้น

และในที่สุดทางฝั่งกองทุน 1MDB เหล่าคณะกรรมการที่ Najib ตั้งขึ้นมา ก็ได้อนุมัติเงินจำนวน 1 พันล้านดอลลาร์ไปยังกิจการร่วมค้ากับ PetroSaudi ได้อย่างง่ายดาย Low มีการแจ้งรายละเอียดข้อตกลงต่าง ๆ ให้ Najib ได้ทราบถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น แต่มันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมาก ที่ไม่มีใครสงสัยถึงเงินจำนวน 700 ล้านดอลลาร์ ที่ดูเหมือนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอยจากการทำธุรกรรมในครั้งนี้

มาถึงตอนนี้ เราจะได้เห็นถึงความซับซ้อนของโลกการเงิน และ ความอัจฉริยะขั้นเทพของ Low ในการจัดการเรื่องราวเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงความโลภของผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดที่ได้รับจากเงินค่านายหน้าจำนวนมหาศาลที่ทำให้ ไม่มีใครสนใจถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับ Low และกิจการร่วมทุนครั้งนี้ ที่ถือเป็นความสำเร็จเป็นรูปธรรมครั้งแรกของ Low โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 7 : Money Magic

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Prologue *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

References Image : https://www.sarawakreport.org/iba/2015/07/akai-dai-jho-low-gambar-nusui-pasal-semua-utai/