ทำไมกฏหมายในยุคนี้ถึงยังต้องตีความ?

การให้ความเห็นล่าสุด ของนักกฏหมายระดับประเทศ เรื่องที่เกี่ยวกับ สิทธิ์ในการเลือกนายก รวมถึงการจัดตั้งรัฐบาล ของผู้ชนะการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ครั้งนี้ กำลังกลายเป็นที่ถกเถียงกันอย่างมากของสังคมไทย

ตอนนี้เรากำลังตีความ ในกฏหมายที่สำคัญ และ เป็นหลักยึดของประเทศอย่างรัฐธรรมนูญ ซึ่ง ต่างฝ่ายต่างอ้างในสิทธิ์อันชอบธรรมของตัวเองในการเลือกนายกรัฐมนตรี และ การจัดตั้งรัฐบาล

แล้วปัญหาคืออะไร ปัญหาใหญ่คือการตีความของเจตนารมย์ของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ หรือหลายๆ  คนอาจจะเรียกว่า แถ ฝ่ายนึงอ้าง Poppular Vote ประชาชนส่วนใหญ่เลือกพรรคพลังประชารัฐ อีกฝั่งอย่างเพื่อไทย ก็อ้างสิทธิความชอบธรรมจากจำนวนส.ส. ที่ได้รับคัดเลือกเข้ามามากที่สุด ซึ่งตามธรรมเนียมแล้ว ต้องเป็นฝ่ายจัดตั้งรัฐบาล รวมถึงเลือกนายกรัฐมนตรี

สำหรับโดยส่วนตัว ปัญหานี้จะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าเราเขียนกฏหมายใหญ่อย่างรัฐธรรมนูญ ให้มันชัดเจนไปเลย แบบไม่ต้องตีความ แต่ก็อย่างว่า การตีความกฏหมายมันมีมากว่าหลายพันปี ตั้งแต่การเกิดขึ้นของกฏหมายครั้งแรกเท่าที่นักประวัติศาสตร์จะค้นพบ

มีการค้นพบ หลักฐาน ทางประวัติศาสตร์เก่าแก่ที่สุดที่นักประวัติศาสตร์และนักมานุษยวิทยาค้นพบเกี่ยวกับกฏหมาย คือแท่งหินขนาดใหญ่ซึ่งมีฐานกว้าง 1.90 เมตร และมีความสูงถึง 2.25 เมตร โดยแท่งหินดังกล่าวนี้ขุดพบที่นครซูส ในกรุงบาบิโลน สันนิษฐานว่าเป็นหลักศิลาจารึกที่มนุษย์ได้ประดิษฐ์ไว้ในราว 1,500 ปีก่อนพุทธกาล หรือล่วงมาแล้วประมาณ 4,000 ปี ข้อความบนศิลาจารึกได้กล่าวถึง ข้อกำหนด กฎเกณฑ์และระเบียบต่าง ๆ ในสังคมขณะนั้น อาทิเช่น เรื่องดอกเบี้ย สัญญาครอบครัว ฯลฯ ซึ่งนักประวัติศาสตร์เชื่อกันว่า ศิลาจารึกดังกล่าวนี้ประดิษฐ์ขึ้นในสมัยของพระเจ้าฮัมบูรามี ดังนั้นจึงเรียกหลักศิลาจารึกนี้ว่า”ประมวลกฎหมายฮัมบูรามี” 

มัน 4000 ปีมาแล้ว ที่กฏหมาย ใช้การตีความ เหตุผลนึงน่าจะเรื่องการเขียนกฏหมายให้ละเอียดคงเป็นเรื่องยากในสมัยนั้น ผู้คนต้องอ้างอิงสิ่งเดียวกันคือ หลักศิลาจารึก ชิ้นนั้น ให้เป็นกฏหมายปกครองคนส่วนใหญ่

คราวนี้ตัดภาพมาที่ยุคปัจจุบัน ทำไมเรายังต้องตีความใน ในยุคนี้ ที่ Data Center มีเยอะแยะ ฮาร์ดดิสก์ ราคาโคตรถูก จะเก็บกฏหมายละเอียดขนาดไหนก็ได้

ทำไมเราจะต้องมานั่งตีความอะไรอีกในยุคที่เก็บข้อมูลได้มหาศาลขนาดนี้ จะเก็บละเอียดขนาดไหนก็ได้ แถมยังไม่ต้องท่องจำอีกด้วย ปล่อย bot index ข้อมูลของเนื้อหาทางกฏหมาย แล้ว search ค้นหาเอาได้เลย คลิกเพียงคลิกเดียวก็หาข้อมูลทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการเจอ จะเก็บกฏหมายกี่ล้านฉบับกี่ล้านบรรทัด จะเก็บไปให้ละเอียดขนาดไหนก็สามารถเก็บได้ ในยุคต่อไปเราจะได้เลิกความศรีธนญชัย ของกฏหมายแบบที่เคยมีมา นี้เสียที

ผมมองไปถึงยุคอนาคต ที่เราอาจจะไม่จำเป็นต้องมีทนาย และ ผู้พิพากษาอีกต่อไปเลยด้วยซ้ำ เมื่อ งานพวกนี้ Robot หรือ AI สามารถที่จะทำงานแทนได้หมด ตอนนี้โลกเราพัฒนา AI ทั้งเทคนิคของ Natural Language Processing , Machine Learning , Sentiment Analysis , Neural Network

ตัวอย่างในต่างประเทศก็เริ่มมีให้เห็น AI NOW ซึ่งวิจัยโดย สถาบันวิจัยตรวจสอบผลกระทบทางสังคมของ AI ได้มีการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการโดยมีเป้าหมายเพื่อรวบรวมผู้สนับสนุนด้านกฎหมายวิทยาศาสตร์และทางด้านเทคนิคที่จะมุ่งเน้นไปที่การตัดสินใจเชิงอัลกอริทึมในหลากหลายด้านของกฎหมาย (เช่นการจ้างงาน ผลประโยชน์สาธารณะ หรือ กฏหมายด้านแรงงาน)

ตัวอย่างความแม่นยำในการวิเคราะห์คดีความต่าง ๆ เมื่อมนุษย์เทียบกับ AI
ตัวอย่างความแม่นยำในการวิเคราะห์คดีความต่าง ๆ เมื่อมนุษย์เทียบกับ AI

ซึ่งจากงานวิจัยนั้น มันทำให้เหล่า AI สามารถอ่านกฏหมาย วิเคราะห์กฏหมาย เปรียบเทียบความถูกต้องที่เป็น Logic แบบชัดเจน ไม่คลุมเคลือ ไม่ศรีธนญชัย แถมยังไม่ BIAS เข้าข้างใคร หรือมีอิทธิพลต่อใคร เหมือนที่เคยมีมา เพราะยังไงมนุษย์เราไม่ว่าจะเที่ยงตรง ยุติธรรมขนาดไหน สุดท้ายก็ต้องมีความ BIAS ไม่ว่าข้างใดข้างหนึ่งเสมอนั่นเอง การหาความเป็นกลางของมนุษย์นั้น เป็นเรื่องนามธรรม ที่มันจับต้องได้ยากจริง ๆ 

References : interestingengineering.com

เมื่อยิ่งลักษณ์ยังต้องหนี

ไม่ค่อยเขียนเรื่องการเมืองเท่าไหร่ แต่ประเด็นที่โด่งดังในวันนี้ ในเรื่อง อดีตนายก ยิ่งลักษณ์ ที่มีข่าวหลบหนีออกนอกประเทศไปแล้ว ไม่มาฟังคำตัดสินของศาล โดยอ้าง ป่วย “น้ำในหูไม่เท่ากัน” นั้นก็อดที่จะเขียนถึงไม่ได้

ผมเป็นคนหนึ่งที่ติดตามข่าวการเมืองมาพอสมควร และไม่ค่อยออกความเห็นผ่านโลก social ในเรื่องการเมืองซักเท่าไหร่ เนื่องจากในโลก social นั้นหากออกความคิดเห็นใด ไปแล้วสาวกฝั่งนั้นไม่พอใจ ก็มักจะถูกถีบออกไปฝั่งตรงกันข้ามแทบจะทันที ซึ่งเราจะเห็นได้จากคนดังใน social หลายคน ที่ไม่สามารถที่จะออกความเห็นที่เป็นกลางทางการเมืองได้จริง ๆ เลย เพราะมักจะมองจากอีกฝั่งหนึ่งที่เสียประโยชน์ ว่าเป็นฝั่งตรงข้ามเสมอ

ความเชื่อส่วนตัวนั้นเชื่อว่าไม่มีประเทศไหนที่มีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ดังอุดมคติ อยู่แล้ว มันมักจะถูกปรับไปตามวัฒนธรรม ประเพณี รวมถึงความเชื่อเรื่องต่าง ๆ ของประเทศนั้น ๆ  และยิ่งพูดถึงเรื่องการคอร์รัปชั่นแล้วนั้น ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่เชื่อเลยว่าประเทศที่มีประชาธิปไตยสูงส่งอย่าง อเมริกา หรือ อังกฤษ ที่หลาย ๆ ประเทศยึดถือเป็นต้นแบบนั้น จะไม่มีการคอรัปชั่น

ส่วนตัวมองว่าสิ่งที่หลาย ๆ คนพูดเรื่องในอุดมคติ อย่างเรื่องการปลอดการคอร์รัปชั่นนั้น มันไม่มีจริง ๆ ในโลกใบนี้หรอก แม้กระทั่งอเมริกาเองก็ตาม ผมเชื่อว่า การได้มาซึ่งอำนาจ โดยเฉพาะ อำนาจทางการเมืองนั้น ทำให้คนสามารถเปลี่ยนได้ แม้ว่าจะเป็นคนดีแค่ไหน แต่อำนาจที่หอมหวนนั้น ก็อาจทำให้คนเปลี่ยนได้ ในอเมริกา เราอาจจะไม่เห็นการคอรัปชั่นกันตรง ๆ แต่ เค้าอาจจะมาในรูปแบบของ ล๊อบบี้ยิสต์ ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ที่ลงตัวกันของแต่ละฝ่าย ซึ่งมองไปลึก ๆ แล้วนั้น มันก็ไม่ต่างจากการคอรัปชั่นตรงไหนเลย ซึ่งผลประโยชน์ที่ว่านั้น อาจจะมหาศาลกว่า ที่ประเทศไทยเราเสียหายจากคอรัปชั่นไปเสียอีกก็เป็นได้

กลับเข้ามาที่เรื่องของนายกยิ่งลักษณ์ ต้องยอมรับว่าตอนที่แกเข้ามาเป็นนายกนั้น ต้องยกให้ทีมที่ออกแคมเปญในด้านนโยบายให้กับพรรคจริง ๆ เพราะถ้ามองจริง ๆ นั้น แทบจะทุกชั้นชั้นในประเทศไทย จะได้ผลประโยชน์จากนโยบายของพรรคเพื่อไทย ทั้ง นโยบายจำนำข้าวที่มอบให้ชาวรากหญ้า นโยบายขึ้นค่าแรงสำหรับแรงงาน นโยบายรถคันแรกสำหรับคนที่ทำงานใหม่ ๆ ต้องการมีรถ หรือ นโยบายบ้านหลักแรก ไปโดนใจกลุ่มคนมีอายุขึ้นมาหน่อยที่พร้อมจะมีบ้าน  เป็นการหว่านนโยบาย แบบทั่วถึง ซึ่งถือเป็นสิ่งแปลกใหม่ ที่ประเทศเราไม่ได้รับมานาน เพราะแทบจะทุกชนชั้น ได้ประโยชน์ จากภาษีที่เราเสียไป ไม่ใช่ไปเอาใจแต่คนจน หรือ ทำเพื่อคนรวยอย่างเดียว

แต่การนำนโยบายไปใช้จริง ๆ นั้นก็พบว่ามีปัญหามากมาย มีเพียงไม่กี่นโยบายที่สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ และถึงประชาชนจริง ๆ และด้วยความยากในการนำนโยบายไปใช้เช่น การจำนำข้าว ก็พบกับปัญหามากมาย รวมถึงการทุจริตต่าง ๆ ซึ่งก็คงมีมาแทบทุกยุคทุกสมัยอยู่แล้ว แต่เนื่องด้วยตัวเลขจำนวนเงินมันค่อนข้างมาก เลยทำให้เกิดความเสียหายกับประเทศมาก จึงทำให้คนไม่พอใจก็มากอยู่ เพราะมันกระทบกับภาษีที่ทุกคนเสียไป เลยเป็นปัญหาคาราคาซัง มาจนถึงวันนี้ ที่รัฐบาลคสช. เข้ามาบริหารประเทศ และ มีการเอาผิดกับโครงการต่าง ๆ ที่มีปัญหา

ซึ่งโครงการรับจำนำข้าวนั้นก็โดนไปเต็ม ๆ กับเรื่องนี้ มีผู้ที่เกี่ยวข้องมากมาย ทั้ง รัฐมนตรี ข้าราชการระดับสูงหลายคน รวมถึงพ่อค้าข้าว ก็โดนไปด้วย หากเราได้ติดตามมาตลอดกับเรื่องนี้ เราก็จะไม่สงสัยในการตัดสินของศาลวันนี้เลย หากเรามองให้เป็นกลางมาก ๆ ถึงแม้จะยาก แต่หากพิจารณารายละเอียดคดี มาตั้งแต่ที่มีการยื่นไม่ไว้วางใจรัฐบาลแล้วนั้น จะเห็นได้ว่า โครงการนี้ เป็นโครงการที่มีการคอรัปชั่นแบบน่าเกลียดมาก ๆ ผมไม่สงสัยกับคำตัดสินของศาลเลย ที่แต่ละคนโดนโทษจำคุกกันยาวหลาย ๆ ปีแทบจะทุกคน ซึ่งทีมงานของนายก ยิ่งลักษณ์ก็คงพิจารณากันถี่ถ้วนแล้วกับเรื่องนี้ว่า ยังไงก็แพ้ จึงชิงหนีไปก่อนดีกว่า ปล่อยให้ ลูกน้องรับกรรมไปแทน ซึ่งทำให้ท่านอาจจะหมดอนาคตทางการเมืองไปเลย และไม่ได้รับการนับถืออีกต่อไปจากลูกน้องที่ต้องมารับกรรมแทนลูกพี่ ที่ชิงหนีไปก่อนแบบนี้

ผมมองว่าการตัดสินครั้งนี้ เป็นบรรทัดฐานใหม่ ทำให้นักการเมืองนั้นเกรงกลัวต่อการคอรัปชั่นมากขึ้น ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ดี เหมือนการเขียนเสือให้วัวกลัวไว้ ต่อไปในอนาคต คงไม่กล้าทำอะไรแบบน่าเกลียดแบบนี้อีก ไม่ใช่ว่านโยบายจำนำข้าว เป็นสิ่งไม่ดี แต่การควบคุมไม่ให้เกิดการคอรัปชั่นนั้นผมมองว่า ท่านอดีตนายก บริหารได้ไม่มีประสิทธิภาพ ยิ่งเงินเป็นจำนวนมากขนาดนี้ ควรจะทำอะไรให้ละเอียดถี่ถ้วนกว่านี้ พูดแล้วก้เสียดายนโยบายดี ๆ หลายอย่างต้องมาพังเพราะ จำนำข้าว เจ้ากรรมนี่แหละ

Ref Image : manager.co.th