Cyberwar ตอนที่ 5 : Make Russia Great Again

ด้วยแผนการสำหรับอเมริกานั้น ปูติน ถือว่าประสบผลสำเร็จอย่างงดงาม แต่เป้าหมายของเขาคงไม่ใช่เพียงอเมริกา ปูตินจะผลักดันให้มีการเพิ่มขึ้นของพรรคการเมืองอนุรักษ์นิยมอื่น ๆ ในยุโรป และจะพยายามควบคุมอำนาจในหลาย ๆ รัฐบาลโดยเริ่มต้นจากฝรั่งเศส

ซึ่งเมื่อแผนการของเขาสำเร็จ ฝรั่งเศส ออสเตรีย ฮังการี และประเทศอื่น ๆ จะถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปรวมถึงนาโต พรรคอนุรักษ์นิยมใหม่เหล่านี้จะสถาปนายุโรปขึ้นใหม่ในฐานะป้อมปราการของศาสนาคริสต์ผิวขาวแบบตะวันตก ที่นำโดย วลาดิเมียร์ ปูติน นั่นเอง

มารีน เลอแปง เป็นความหวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับปูติน แต่ถึงแม้เธอจะล้มเหลวในการเลือกตั้งฝรั่งเศสในปี 2017 แต่แนวคิดเหล่านี้ก็เริ่มสะสมเพิ่มมากขึ้นในยุโรป เช่นเดียวกันกับที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา

กลุ่มประชานิยมคริสเตียนผิวขาวเหล่านี้เป็นกลุ่มชนของฟาสซิสต์นีโอนาซี และ นักเหยียดเชื้อชาติที่ก่อให้เกิดความเกลียดชังเหล่าผู้อพยพจากแอฟริกา และ ตะวันออกกลาง

มารีน เลอแปง นักการเมืองขวาจัดของฝรั่งเศส ความหวังอันยิ่งใหญ่ของปูติน (CR:Twitter)
มารีน เลอแปง นักการเมืองขวาจัดของฝรั่งเศส ความหวังอันยิ่งใหญ่ของปูติน (CR:Twitter)

ความสำเร็จของทรัมป์ คือ ต้นแบบที่สำคัญสำหรับผู้นำทางการเมืองในยุโรปและอเมริกา ในการยอมรับการเมืองแบบอนุรักษ์นิยมแบบสุดขั้ว ซึ่งแน่นอนว่าแนวคิดเดียวกันนี้จะเข้ายึดครองชาติตะวันตก และปรับโครงสร้างสถานบันประชาธิปไตยแบบเก่า และเป็นพันธมิตรกันในฐานะเผด็จการแบบสุดโต่ง

แน่นอนว่ามอสโกเต็มใจที่จะช่วยเหลือให้กับอำนาจเหล่านี้ ด้วยคำแนะนำทางด้านอุดมการณ์ เงินทุน รวมถึงสิ่งจำเป็นอื่น ๆ ที่รัสเซียพร้อมที่จะสนับสนุนเต็มที่

ซึ่งการเป็นพันธมิตรของชาติอนุรักษ์นิยมที่มีแนวคิดเดียวกัน จะช่วยยุติระเบียบทางการเมืองแบบเก่าที่มีมาตั้งแต่ปี 1945 ซึ่งในการประมาณการของปูตินนั้น ชาติตะวันตกที่เริ่มต้นจากอเมริกาจะเริ่มถูกลดทอนอำนาจลง เนื่องจากความสับสนวุ่นวาย ความรุนแรง และความแตกแยกภายในประเทศ

และวิธีการที่ดีที่สุดที่พวกเขาจะทำ ก็คือ สร้างอาวุธให้กับโซเชีลมีเดีย จากนั้นจึงปล่อยมันออกมาด้วยการโจมตีไปตรงจุดที่เป็นหัวใจของการหาเสียงของประธานาธิบดีอเมริกา และมันจะส่งผลให้รัสเซียกลายเป็นผู้นำโลกในอนาคต

ต้องบอกว่า วลาดิเมียร์ ปูติน จะทำให้วิสัยทัศน์ของจักรวรรดิรัสเซียใหม่เป็นไปได้ ด้วยอำนาจเกือบสองทศวรรษของเขา ได้กลายเป็นผู้ปกครองประเทศที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ยุคของสตาลิน

ความนิยมของเขาในรัสเซียยังคงสูงด้วยผลการเลือกตั้งที่ชนะแบบเด็ดขาด ซึ่งในขณะที่ชาวรัสเซียหลายคนต่างโศกเศร้ากับความเข้มแข็งของลัทธิเผด็จการคอมมิวนิสต์ ปูตินจึงเปรียบเสมือนนักบุญมาทรงโปรด ที่เข้ามาช่วยเหลือประชาชนชาวรัสเซีย โดยมีทั้งทุน และรูปแบบเศรษฐกิจแบบตะวันตก

ปูตินเป็นผู้นำที่ได้รับความนิยมสูงสุดในศตวรรษที่ผ่านมาของรัสเซีย เขายังเชื่อมั่นว่าเขาสามารถทำให้เศรษฐกิจของรัสเซียเติบโตขึ้นให้กลายเป็นลำดับต้น ๆ ของโลกได้ และเขาแทบจะไม่ต้องพิสูจน์อะไรในเรื่องดังกล่าวจากผลงานที่ผ่านมา

ด้วยพื้นฐานที่เป็น KGB เก่า ในฐานะเจ้าหน้าที่ข่าวกรอง เขามีความเชี่ยวชาญในการเฝ้าระวังเรื่องจิตวิทยา และวิธีการจัดการสายลับต่างชาติในตะวันตก ปูตินมีพื้นฐานในเรื่องยานยนต์ที่เป็นอัจฉริยะ รวมถึงการต่อสู้ด้วยมือเปล่า และ ปูติดเป็นคนที่เก่งในศิลปะการป้องกันตัวอย่างยูโดเป็นอย่างมาก

เขาเคยได้รับมอบหมายให้ทำงานที่สำนักงาน KGB ในเดรสเดน เยอรมันตะวันออก เขาทำงานที่นั่นอยู่ 7 ปี โดยทำงานทั้งการตรวจสอบทั้งรัฐบาลเยอรมันตะวันตก และ ตะวันออก หลังจากนั้นเขาได้รับมอบหมายให้จัดหาชาวเยอรมันที่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีจากตะวันตก เพื่อขโมย หรือ ลักลอบนำเทคโนโลยีอย่างคอมพิวเตอร์ชั้นสูงไปใช้งาน

ซึ่งเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ชั้นสูงในทศวรรษที่ 1980 จะปฏิวัติการรายงาน และการสร้างฐานข้อมูลสำหรับ KGB ก่อนที่จะกลายมาเป็น FSB ในภายหลัง นอกจากนี้ยังเป็นการให้ข้อมูลเชิงลึกกับปูตินในเบื้องต้นว่าจะใช้เทคโนโลยีกับฝ่ายตรงข้ามของสหภาพโซเวียตได้อย่างไร

มีบุคคลหนึ่งที่มีบทบาทมาก ๆ ที่เป็นหนึ่งในทีมงานคนสำคัญของปูติน นั่นก็คือ เยฟกินี่ พริโกซิน เขาถูกขนานนามว่า “เชฟของปูติน” เป็นอดีตอาชญากรที่มีสีสัน ซึ่งเข้ามาทำธุรกิจ บริษัทจัดเลี้ยง ชื่อ Concord Management and Consulting, LLC

แม้ความจริงนั้น Concord จะเป็นบริษัทที่ให้บริการด้านการจัดเลี้ยง แต่เห็นได้ชัดว่าปูตินต้องการผู้ที่จงรักภักดีที่สามารถดำเนินงานด้านข่าวกรองให้กับเขาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

พริโกซิน เข้าสู่การปฏิบัติงานของรัสเซีย เมื่อเขาได้รับสัญญามูลค่า 1.6 พันล้านดอลลาร์เพื่อจัดหาอาหารให้กับกองทัพรัสเซีย และนั่นทำให้ พริโกซิน ขยายกิจการของเขาอย่างก้าวกระโดดในระยะเวลาเพียงแค่ 11 ปี

และนั่นเองที่ทำให้เขาได้เข้ามามีส่วนร่วมในปฏิบัติการแอบแฝงหลายครั้งให้กับเครมลิน การจู่โจมของเขาในสงครามข้อมูล คือ ตอนที่เขาได้สร้างโรงงานผลิตข่าวปลอมย่อม ๆ ขึ้นในชื่อ สำนักข่าว คาร์คิฟ ในปี 2013

คาร์คิฟ ได้รับการออกแบบมาเพื่อสร้าง กลุ่มผู้คนที่ โปรมอสโก โดยจะขโมยส่วนของความคิดเห็นจากเว๊บไซต์ และ ดูหมิ่นขบวนการยูโรไมดัน ซึ่งเป็นการประท้วงที่ได้รับความนิยมของชาวยูเครน

ปูติน และ พริโกซิน ได้ดำเนินการจัดตั้งปฏิบัติการด้านข่าวปลอม ผ่านบริษัท ที่เปรียบเสมือนเป็นข่าวของพลเรือนทั่วไป รวมถึงมีการสร้างหน่วยงานสร้างข่าวปลอมในโลกตะวันตก ซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัยทางอินเทอร์เน็ตของสหพันธรัฐ รัสเซีย (RF-IRA) ที่เป็นความลับสุดยอด

นอกจากนี้ พริโกซิน ยังเป็นทำงานรับเหมาในด้านการดูแลความปลอดภัยส่วนตัวทั้งใน ซีเรีย และ ยูเครน และมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มติดอาวุธในพื้นที่ชาติพันธุ์ที่มีอิทธิพลเหนือรัสเซีย เช่น Donbass และ Luhansk ในยูเครน

สำหรับการวางแผนการดำเนินงาน GRIZZLY STEPPE ที่เป็นปฏิบัติการหลักเพื่อทำให้โลกตะวันตกสั่นคลอน และ นำรัสเซียสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง นั้นมี 3 ส่วนที่สำคัญ ก็คือ

  1. รัสเซียจะใช้บริการข่าวกรองในตลาดสีเทาของ พริโกซิน เพื่อขโมยข้อมูล และเตรียมสนามรบโฆษณาชวนเชื่อทางการเมือง สำหรับการแทรกแซงในรอบการเลือกตั้งในปี 2016 ซึ่งการวางแผนนี้เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2012 และแผนสำรองหาก โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ได้ขึ้นสู่จุดสูงสุดในตำแหน่งประธานาธิบดี ก็จะมีการเปิดตัวกิจกรรมที่สร้างความโกลาหล และไล่ล่า ฮิลลารี คลินตัน ตลอดช่วงเวลาการบริหารของเธอ หากเธอสามารถชนะเลือกตั้งได้
  2. เหล่าผู้มีอำนาจและนักการทูตของรัสเซียจะกระจายเข้าไปในสนามรบดังกล่าว และกำหนดว่าใครคือผู้ที่จะเป็นแนวหน้า และมีอิทธิพลทางด้านเงินทุน ซึ่งด้วยการตัดสินใจทางการเงินที่สำคัญ เช่น ข้อตกลงของ Exxon ซึ่งมีชาวอเมริกันจำนวนมากเต็มใจให้ความช่วยเหลือมอสโก
  3. พลเมืองรัสเซียที่เป็นแนวร่วมกับเคลมลิน จะเริ่มเผยแพร่อิทธิพลเพื่อดูว่าพวกเขาสามารถร่วมชักจูงชาวอเมริกันจากขวาสุดที่มีแนวคิดสุดโต่งได้หรือไม่ ซึ่งกลุ่มดังกล่าว ได้แก่ สมาคมปืนไรเฟิลแห่งชาติ แก๊งนักขี่จักรยาน และชาวอเมริกันที่แข็งแกร่ง เช่น สตีเวน ซีกัล ซึ่งรวมถึงคนอื่น ๆ ที่ยกย่องรัสเซีย และยังเปิดกว้างสำหรับกลุ่มอนุรักษ์นิยมขวาสุดหัวรุนแรง เช่น ขบวนการแบ่งแยกดินแดนในแคลิฟอร์เนีย และ เท็กซัส ผู้ลี้ภัยชาวรัสเซียที่อาศัยอยู่ในอเมริกา และ กลุ่มหัวรุนแรงอื่น ๆ เช่น ขบวนการนีโอนาซี และ คูคลักซ์แคลน ซึ่งหากพวกเขาสามารถนำมาเป็นแนวร่วมที่ไม่เป็นทางการที่มีความทรงพลังได้ พวกเขาก็จะทำให้ชาวอเมริกันสูญเสียวัฒนธรรม และ เริ่มมีแนวคิดสอดคล้องกับลัทธิชาตินิยมคริสเตียนผิวขาวอย่างที่มีอยู่ในรัสเซีย

ในการเริ่มต้นภารกิจ ปูติน จะใช้นักการทูตเพื่อให้แผนของเขาเป็นที่ยอมรับของสังคมสำหรับนักการเมืองชั้นสูงของพรรครีพับรีกัน เนื่องจากนักการทูตทุกคนในยุคโซเวียตจะเป็นจุดเชื่อมต่อหลักในการระบุตัวตน รวมถึงสรรหาผู้ที่เหมาะสม และทำการส่งต่อให้กับ KGB

ดังนั้นนักการทูตยุคใหม่ของ FSB ก็เช่นกัน นักการทูตจะเป็นคนแรกที่มองหาชาวอเมริกันที่สนใจรัสเซีย และทำการระบุผู้ที่อาจถูกใช้ประโยชน์จากหน่วยข่าวกรอง และตัวโดนัลด์ ทรัมป์เอง ก็ดูเหมือนจะหลงใหลในรัสเซียมาตั้งแต่ยุคที่เขาต้องการสร้างโรงแรมในรัสเซียมาก่อนหน้านี้แล้ว

และมันยังช่วยให้รัสเซียสามารถหาคนอเมริกันระดับสูงที่สามารถให้ความช่วยเหลือได้ โดยพวกเขาแทบไม่รู้ว่ากำลังจะมีส่วนร่วมในปฏิบัติการข่าวกรองครั้งใหญ่กับประเทศของตนเลยเสียด้วยซ้ำ

ซึ่งแน่นอนว่าผลประโยชน์มหาศาลอย่างเรื่องน้ำมันในประเทศรัสเซีย มันเป็นสิ่งล่อตาล่อใจที่สำคัญ เมื่อได้รับสัญญาว่าจะให้เข้าถึงผลประโยชน์จากน้ำมันพวกเขาก็ไม่สนใจเรื่องใดอีกต่อไป ซึ่งกล่าวกันว่า หากชาวอเมริกันมีความเชื่อถือเกี่ยวกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง สิ่งนั้นก็คือทรัพย์สิน และแม้แต่กระทั่งตัวแทนในรัฐสภาก็ซื้อกันได้ง่ายด้วยเงินสดของรัสเซีย

บุคคลที่มีบทบาทสำคัญอีกหนึ่งคนก็คือ เซอร์เก คิสลีค เอกอัครราชทูตประจำสหรัฐอเมริกาของรัสเซีย ซึ่งต้องบอกว่าเขาเป็นคนที่มีประวัติที่ไม่ธรรมดา

เขาเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศในปี 1977 เขาได้เข้าทำงานในกระทรวงการต่างประเทศ และก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้แทนการค้าในยุคโซเวียต เขากลายเป็นเลขานุการคนแรกของสถานทูตในวอชิงตัน ดีซี และไม่นานหลังจากนั้นก็กลายเป็นผู้เจรจาคนสำคัญสำหรับสนธิสัญญาควบคุมอาวุธนิวเคลียร์กับฝ่ายบริหารของโรนัลด์ เรแกน

และถ้า คิสลีค เป็นผู้ปฏิบัติการหลักบนดินแดนอเมริกา เซอร์เก ลาฟรอฟ ก็เป็นอีกคนที่มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับปูติน ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของรัสเซียตั้งแต่ปี 2004 เขาถือเป็นผู้นำทางการทูตคนสำคัญของมอสโก

ในยุคประธานาธิบดีโอบามา เขาได้กลายเป็นกระบอกเสียงที่สำคัญที่แสดงให้โอบามาได้รับรู้ถึงความโกรธเกรี้ยวของปูติน อดีตทูตสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติเคยกล่าวถึงสไตล์ของ ลาฟรอฟ ว่า วัตถุประสงค์ของเขามีเพียงแค่สองประการ คือ ยับยั้งสิ่งต่าง ๆ ที่จะมาเป็นอุปสรรคต่อความรุ่งเรืองของรัสเซีย และ โค่นล้มชาวอเมริกันทุกครั้งที่เขาสามารถทำได้

และแน่นอนว่า ทุกการดำเนินการด้านข่าวกรองต้องมีเงินทุน แหล่งเงินทุนที่สำคัญที่สุดของปูตินก็มาจากชายที่ชื่อ เซอร์เก กอร์คอฟ ซึ่งเป็นหัวหน้าวาณิชธนกิจของรัสเซีย Vneshe Economybank (VEB)

เซอร์เก กอร์คอฟ ผู้ดูแลแหล่งเงินทุนให้กับปูติน (CR: wikipedia.org)
เซอร์เก กอร์คอฟ ผู้ดูแลแหล่งเงินทุนให้กับปูติน (CR: wikipedia.org)

ในปี 2008 กอร์คอฟ ทำให้งานให้กับ Sberbank ซึ่งเป็นธนาคารของรัฐของประเทศรัสเซีย ซึ่งมีความน่าสนใจตรงที่ Sberbank ในสหรัฐอเมริกานั้น มีตัวแทนคือ Marc Kasowitz ทนายความของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เป็นตัวแทนในการต่อสู้ในคดีแพ่งของรัฐบาลกลางให้กับทรัมป์ในปี 2016

กอร์คอฟ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้า VEB ซึ่ง VEB นี่เองที่เปรียบเสมือนเป็นธนาคารส่วนตัวของปูติน สำหรับโครงการพิเศษ นอกจากนี้ธนาคารดังกล่าวยังอยู่ภายใต้มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯที่เกี่ยวข้องกับการรุกรานของรัสเซีย และ การผนวกไครเมีย และมีชื่อเสียงกระฉ่อนในฐานะ “The Bank of Spies” ซึ่งกิจกรรมข่าวกรองจำนวนมากของรัสเซีย ก็ได้รับเงินทุนมาจากธนาคารแห่งนี้ นี่เอง

ต้องบอกว่าเหล่าทีมงานยอดนักสู้ของปูติน ดังที่ได้กล่าวมาทั้งหมดนั้น เป็นขุนพลขับเคลื่อนหลัก ในการสนับสนุนปฏิบัติการที่จำเป็นเพื่อหยุดยั้งการรุกล้ำของสหรัฐฯ โดยเฉพาะ ฮิลลารี คลินตันผู้นำฝั่งเดโมแครต ที่ปูติน เกลียดเข้าไส้

และช่วงเวลาแห่งการดำรงตำแหน่งในวาระที่สองของบารัค โอบามา ที่หมดลงในปี 2016 การก้าวเข้ามาของทรัมป์ ที่นำไปสู่การปลดมาตรการคว่ำบาตร ซึ่งต้องบอกว่าหลังจากนี้ รัสเซียจะไม่ตอบสนองต่อการรุกล้ำของสหรัฐฯ อีกต่อไป ด้วยวิสัยทัศน์ใหม่ ที่จะทำให้โลกตะวันตกไร้ความมั่นคง ประชาธิปไตยสั่นคลอน มันเป็นแผนการอันแยบยลมาก ๆ ของปูติน และเมื่อแผนการนี้สำเร็จแบบสมบูรณ์ เขาจะทำให้รัสเซียกลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้งอย่างแน่นอน

–> อ่านตอนที่ 6 : Fake News

ย้อนไปอ่านตั้งแต่ตอนแรก & Credit แหล่งข้อมูลบทความ