Good cop, Bad cop กับกลยุทธ์ในการดึงดูดเงินลงทุนในแบบฉบับ Jack Ma

ในเดือนตุลาคมปี 1999 กลุ่มทุนซึ่งนำโดยโกลด์แมน แซคส์ และประกอบไปด้วย Fidelity Investment Group , Invest AB ตลอดจนกองทุนพัฒนาเทคโนโลยีของรัฐบาลสิงค์โปร์ ได้เข้าร่วมกันลงทุนในบริษัทอาลีบาบาด้วยเงินก้อนแรก เป็นจำนวนห้าล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งนี่ถือเป็นกองทุน Angle Fund ก้อนแรกในประวัติศาสตร์ของบริษัทอาลีบาบา

หลังจากได้รับเงินทุนก้อนแรกจากโกลด์แมน แซคส์ แล้วนั้น แจ็ค หม่า ผู้ร่วมก่อตั้งอาลีบาบาก็เริ่มวุ่นวายกับการหาที่ตั้งบริษัทใหม่จากออฟฟิสที่ใช้บ้านของเขาริมทะลาสาบเมืองหางโจว แจ็คต้องการขยายพื้นที่ให้มากขึ้นรวมถึงการเฟ้นหาพนักงานใหม่เพื่อมาขยายกิจการของอาลีบาบา

แต่มีการนัดสำคัญครั้งหนึ่งที่เพื่อนของเขาในปักกิ่งต้องการให้แจ็คมาพบบุคคลลึกลับจากญี่ปุ่นผู้ซึ่งต้องการที่จะพบปะกับแจ็ค หม่า

และในที่สุดตัวละครลับนั้นก็เผยโฉมออกมา เพราะเขาคนนั้นก็คือ มาซาโยชิ ซัน (Masayoshi son) ผู้โด่งดังจากญี่ปุ่นนั่นเอง สิ่งที่ทำให้ มาซาโยชิ ซัน ดังเป็นพลุแตกคือการเข้าไปลงทุนใน YAHOO กว่า 355 ล้านเหรียญ ซึ่งมีผลทำให้ ณ ขณะนั้น YAHOO กลายเป็นบริษัทอินเทอร์เน็ตที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกและเขายังทำให้เขากลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นอีกด้วย

ตอนนั้นเป็นฤดูหนาวในปี 1999 มาซาโยชิ เดินทางมายังประเทศจีนเพื่อขยายอาณาจักรด้านอินเทอร์เน็ตของเขา ซึ่งการพบปะกับแจ็คนั้นเกิดขึ้นในอาคารพาณิชย์ทางตะวันออกของปักกิ่งตึกนี้มีชื่อเสียงโด่งดังว่าอาคารฟู่หัว

ตอนนั้นมาซาโยชิได้เดินทางมาพร้อมกับกลุ่มนักลงทุนหลายรายเพื่อมาดูกิจการที่น่าสนใจที่จะลงทุน และแจ็คเป็นหนึ่งผู้ที่จะต้องพรีเซนต์กิจการเพื่อดึงดูดนักลงทุนเหล่านี้

หลังจากฟังเรื่องราวจากหลากหลายกิจการอย่างน่าเบื่อ เพราะตัวของมาซาโยชินั้นฟังเรื่องราวของกิจการหน้าใหม่มามากมายทั่วโลกแล้ว ซึ่งยังไม่เห็นมีอะไรที่น่าสนใจจึงชี้ไปยังแจ็คให้ขึ้นไปพรีเซนต์บริษัทของเขาให้ฟัง

บริษัทอื่น ๆ นั้นใช้เวลาเป็นชั่วโมงเพื่อร่ายยาวคุณสมบัติของบริษัทเพื่อดึงเงินจากมาซาโยชิให้ได้ แต่แจ็คกลับใช้เวลาเพียงแค่ 6 นาทีเท่านั้น ก็สิ้นสุดการพรีเซนต์เพราะตอนนั้นแจ็คไม่ได้ต้องการเงินเลยเขาเพิ่งได้รับเงินลงทุนก้อนแรกจากโกลด์แมน แซคส์ ซึ่งยังพอเลี้ยงดูบริษัทไปได้อีกเป็นปี ๆ 

แต่นั่นมันทำให้มาซาโยชิสนใจเว็บไซต์อาลีบาบาของแจ็คเป็นพิเศษ โดยให้แจ็คทำการเปิดตัวเว็บไซต์ให้ดู ซึ่งตัวมาซาโยชิแทบจะไม่ได้ตรวจสอบอะไรอาลีบาบาเลยสักนิด มาซาโยชิได้ตัดสินใจอย่างรวดเร็วทันทีต้องการลงทุนในอาลีบาบา 49% แต่แจ็คซึ่งตอนนั้นไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินก็ยังไม่ได้ตกปากรับคำอะไรทั้งสิ้น แต่มาซาโยชิได้ทิ้งท้ายไว้โดยทำการเชื้อเชิญแจ็คมาที่โตเกียวเพราะเขาอยากคุยกับแจ็คแบบตัวต่อตัวที่โตเกียว

ในเดือนมกราคม ปี 2000 แจ็คได้หนีบโจเซฟ ไช่ขุนพลด้านการเงินคู่ใจเดินทางมาที่โตเกียวด้วย โดยเป้าหมายอยู่ที่สำนักงานใหญ่ของซอฟต์แบงก์ เพื่อมาเจรจาเรื่องการลงทุนกับมาซาโยชิ โดยทั้งคู่มีการหารือกันว่าจะจัดการกับมาซาโยชิอย่างไรซึ่งสรุปกันว่าคนหนึ่งจะรับบทพระเอกอีกคนเล่นบทผู้ร้าย และแน่นอนว่าพระเอกก็คือโจเซฟ ส่วนผู้ร้ายคือ แจ็คนั่นเอง

มันเป็นการเจรจาที่แจ็คเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างมาก ฝ่ายอาลีบาบานั้นมีเพียงแค่แจ็คกับโจเซฟ แต่ฝ่ายซอฟต์แบงค์มีทีมงานเรียงกันเป็นหน้ากระดาน โดยมีมาซาโยชิอยู่ตรงกลางเปรียบเทียบกันแล้วฝ่ายซอฟต์แบงค์มีทีมงานมากว่าหลายเท่า

แจ็คและโจเซฟ ไช่ ขุนพลคู่ใจบุกเยือนถ้ำเสือที่โตเกียว (CR:Yahoo Finance)
แจ็คและโจเซฟ ไช่ ขุนพลคู่ใจบุกเยือนถ้ำเสือที่โตเกียว (CR:Yahoo Finance)

แต่ต้องเข้าใจการบริหารสไตล์ญี่ปุ่น ในสายตาของลูกน้อง มาซาโยชินั้นเปรียบเสมือนองค์จักรพรรดิ หลังฟองสบู่แตกในปี 2000 นั้น การลงทุนทั่วโลกของซอฟต์แบงค์ลดลง 90% ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการตัดสินใจตามลำพังของมาซาโยชิ แทบจะทั้งสิ้น

เขาเป็นผู้ก่อตั้งซอฟต์แบงค์ เป็นประธานและ CEO ซึ่งมีอำนาจเต็มที่ในการจัดสรรเงินทุนของบริษัท ซึ่งต่อให้การลงทุนนั้นจะล้มเหลวยังไงก็ตาม ยังไงสิทธิ์ขาดเด็ดขาดก็อยู่ที่มาซาโยชิเพียงคนเดียวเท่านั้น

การเจรจาเป็นไปอย่างเคร่งเครียดแจ็คต้องการเงื่อนไขสามข้อถึงจะเจรจาต่อ โดยเงื่อนไขข้อแรกคืออาลีบาบาจะรับการลงทุนจากซอฟต์แบงค์รายเดียว ( ไม่มีการร่วมลงขันกันกับบริษัทอื่น) ส่วนข้อสองนั้นแจ็คกล่าวถึงเรื่องการถือหุ้น ซอฟต์แบงค์จะต้องไม่มุ่งแต่ผลประโยชน์ระยะสั้นและต้องถือลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ยึดถือรูปแบบการพัฒนาอาลีบาบาในระยะยาวเป็นหลัก  ส่วนข้อสุดท้ายต้องให้มาซาโยชิมานั่งเป็นกรรมการของบริษัท

ดูเหมือนสองข้อแรกจะไม่มีปัญหาอะไรกับมาซาโยชิ แต่ปัญหาใหญ่คือข้อสามที่ต้องไปนั่งเป็นกรรมการบริษัทนั้นดูท่าจะไม่เหมาะสม เพราะมาซาโยชิไม่เคยเป็นกรรมการของบริษัทที่ตัวเองลงทุนแม้เขาจะใส่เงินไปจำนวนมหาศาลให้กับหลาย ๆ บริษัท เขาต้องการคงบทบาทสำคัญคือผู้ลงทุนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

แต่แจ็คก็ยังยืนกรานที่จะให้มาซาโยชิมาเป็นกรรมการให้ได้ สุดท้ายจึงเจรจากันที่ตรงกลางโดย มาซาโยชิรับเป็นกรรมการแต่คงไม่ได้เข้าร่วมประชุมบ่อย ๆ เหมือนกรรมการคนอื่น ๆ เพราะเขาเป็นคนที่ยุ่งมาก โดยเสนอตัวเป็นที่ปรึกษาแต่ยังนั่งในตำแหน่งกรรมการของอาลีบาบาให้แจ็คได้ตามที่เขาต้องการ

สุดท้ายก็เป็นเรื่องเงินซึ่งเป็นหน้าที่ของโจเซฟ ที่จะทำการเจรจาต่อรอง การเสนอราคาในครั้งแรกจากมาซาโยชินั้นถูกปฏิเสธไปแบบไร้เยื่อใย มาซาโยชิพยายามยื่นข้อเสนออีก 2 ครั้งโดยนั่งเคาะตัวเลขในเครื่องคิดเลขแล้วยื่นไปให้โจเซฟตัดสินใจและก็เหมือนครั้งแรกมาซาโยชิถูกปฏิเสธถึงสามครั้ง ซึ่งเรืองแบบนี้เขาแทบไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิต

สุดท้ายด้วยความโมโหมาซาโยชิจึงเสนอราคาครั้งสุดท้ายด้วยการอัดเม็ดเงินลงทุน 30 ล้านเหรียญสหรัฐแลกกับหุ้นอาลีบาบา 30% ในที่สุดหลังจากหารือกันอย่างถี่ถ้วนแล้วนั้นแจ็คและโจเซฟก็ตอบตกลงในข้อเสนอดังกล่าว 

แจ็คและมาซาโยชิ ที่สุดท้ายสามารถตกลงดีลประวัติศาสตร์ได้ลงตัว (CR:Bloomberg)
แจ็คและมาซาโยชิ ที่สุดท้ายสามารถตกลงดีลประวัติศาสตร์ได้ลงตัว (CR:Bloomberg)

แต่แล้วสุดท้ายดีล 30 ล้านเหรียญของมาซาโยชิแลกกับหุ้น 30% นั้นมันก็เริ่มทำให้แจ็ครู้สึกลำบากใจ เพราะมันเป็นเงินจำนวนมากโขเลยทีเดียว และที่สำคัญเขายังไม่รู้ว่าจะเอาเงินไปทำอะไรด้วยซ้ำ แถมมันยังทำให้สิทธิการถือครองหุ้นของระดับผู้บริหารในอาลีบาบาหายไปเกือบหมด และมันยังทำให้โครงสร้างผู้ถือหุ้นเสียสมดุลและทำให้มาซาโยชิ กลายเป็นผู้ควบคุมหุ้นไปโดยปริยาย

ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนว่าถ้าให้มาซาโยชิถือหุ้นมากมายนั้น การดึงดูผู้ลงทุนใหม่เพื่อเพิ่มทุนในอนาคตอาจจะมีปัญหาขึ้นมาก็ได้ ซึ่งเป็นสภาพที่แจ็ครับไม่ได้และผู้ถือหุ้นอื่น ๆ เช่นโกลด์แมน แซคส์ ก็รับไม่ได้เช่นเดียวกัน แม้จะแจ็คจะถืออำนาจตัดสินใจอยู่ก็ตาม

วันรุ่งขึ้นหลังจากการเจรจาครั้งแรกแจ็คจึงไปหาผู้ช่วยของมาซาโยชิ แล้วเสนอเงื่อนไขใหม่โดยขอลดเงินลงทุนเหลือเพียง 20 ล้านเหรียญ ทำให้ผู้ช่วยของมาซาโยชิถึงกับงงงวยกับความคิดของแจ็คที่ต้องการเงินน้อยลง

แต่ผู้ช่วยของมาซาโยชิพยายามเจรจาให้รับเงื่อนไขเดิม เพราะมันจะเป็นเรื่องยุ่งยากวุ่นวายเปล่าๆ  กับนายของเขา ซึ่งสุดท้ายโจเซฟจึงให้แจ็คติดต่อไปหามาซาโยชิโดยตรงจะดีกว่าติดต่อผ่านอีเมล

ซึ่งสุดท้ายมาซาโยชิก็ยอมรับการตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงเงินลงทุนของแจ็ค ซึ่งเขาก็มองเป็นผลดีเพราะจะคงสถานะความเป็นเจ้าของอาลีบาบาให้กับแจ็คได้มากที่สุดเพื่อให้แจ็คได้ทุ่มเทกับอาลีบาบาได้อย่างเต็มที่

หลังจากนั้นไม่นานอาลีบาบาก็ลงนามอย่างเป็นทางการกับซอฟต์แบงค์ โดยบริษัทซอฟต์แบงค์ออกทุน 20 ล้านเหรียญ เป็นเงินลงทุนครั้งที่สองของประวัติศาสตร์อาลีบาบา ซึ่งหลังจากนั้นแจ็คก็ได้ใช้เงินที่ได้มารวม 25 ล้านเหรียญในมือ เริ่มขยายกิจการอย่างบ้าคลั่งมีการตั้งบริษัทร่วมทุนที่ญี่ปุ่นและเกาหลี ตั้งศูนย์ R&D ที่สหรัฐอเมริกา ตั้งสำนักงานในยุโรป และการสร้างสำนักงานใหญ่ในฮ่องกง และผลักดันกิจการให้เติบโตอย่างยิ่งใหญ่อย่างที่เราได้เห็นกันในทุกวันนี้นั่นเองครับผม

References :
หนังสือ Alibaba : The House That Jack Ma Built by Duncan Clark
หนังสือ ชีวประวัติ แจ็ค หม่า มีชีวิตอยู่เพื่อสะท้านโลก
ผู้เขียน หลิวซื่ออิง
ผู้แปล ชาญ ธนประกอบ

“สิงห์ปาร์ค” เปิดตัว “Tea Infuse” ชาชงเย็น พร้อมดื่ม สานความสำเร็จชาน่าน ซิกเนเจอร์ เบลนด์

“สิงห์ปาร์ค เชียงราย” เดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ชา ต่อยอดความสำเร็จชาน่าน ซิกเนเจอร์ เบลนด์ เปิดตัวสินค้าใหม่ “Tea Infuse” ชาชงเย็น ในรูปแบบซองซาเช่ สามารถใส่ขวดน้ำ เขย่าพร้อมดื่มได้ทันที โดยใช้ใบชาอัสสัมคัดพิเศษจากจังหวัดน่าน และใบชาคุณภาพจากไร่สิงห์ปาร์ค เชียงราย ผ่านนวัตกรรมการผลิต Cold Brew ด้วยการสกัดใบชาอย่างรวดเร็วในน้ำเย็น ทำให้มีรสชาติ ที่กลมกล่อม และคงกลิ่นหอมใบชาซึ่งเอกลักษณ์ไว้อย่างครบถ้วน

นายพงษ์รัตน์ เหลืองธำรงเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สิงห์ปาร์ค เชียงราย จำกัด เปิดเผยว่า จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อการเลือกเครื่องดื่มมากขึ้นและหนึ่งในเทรนด์ที่มาแรง คือ การบริโภคชา ส่งผลให้ตลาดมีการขยายตัว

สะท้อนการเติบโตตลาด ชาพร้อมดื่ม (Ready To Drink Tea) ทุกมิติ ทั้งปริมาณการบริโภค การเติบโตด้านมูลค่าในช่องทางจำหน่ายต่างๆ โดยตลาดชาพร้อมดื่ม เชิงมูลค่าเติบโตสูงสุด 18% เชิงปริมาณเติบโต 16.6% ด้านช่องทางจำหน่าย เช่น ผ่านร้านค้าทั่วไป เติบโต 16% อัตราการเติบโตของชายังถือว่าสูงมากที่สุด เมื่อเทียบกับภาพรวมของเครื่องดื่มทั้งหมด

ซึ่งสอดคล้องกับชาสิงห์ปาร์ค ที่ได้รับความนิยมทั้งการบริโภคทั้งในประเทศและการส่งออก ซึ่งเราให้ความสำคัญกับคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก จนถึงกระบวนการผลิตที่มีมาตรฐาน จากไร่ชาในจังหวัดเชียงรายและจังหวัดน่านที่มีความเหมาะสมทั้งทางภูมิอากาศ และภูมิประเทศ

ทำให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพพัฒนาสู่ผลิตภัณฑ์ชาที่มีความหลากหลายตอบสนองความต้องการของตลาดจาก ความสำเร็จของชาน่านซิกเนเจอร์ เบลนด์ ที่เปิดตัวไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา และศูนย์ Tea Tuning Center ของเราได้พัฒนาสู่ “Tea Infuse” ชาชงเย็นแบบซอง ที่เพิ่มความสะดวกในการดื่มชาให้กับผู้ที่ชื่นชอบการดื่มชา ซึ่งใช้ใบชาอัสสัม และใบชาอู่หลงเกรดพรีเมี่ยมจากไร่ของเราทั้งที่น่านและเชียงราย ผ่านกรรมวิธีการสกัดเย็นหรือ Cold Brew Tea เพื่อให้ใบชาถูกสกัดได้อย่างรวดเร็วในน้ำเย็น ทำให้ได้รสชาติกลมกล่อม นุ่มละมุน

Tea Infuse ชาชงเย็น มี 3 รสชาติ ได้แก่ ชาอู่หลง (Oolong Tea) กลิ่นดอกคาโมมายล์ ดอกหอมหมื่นลี้ ผสมแอล-ธีอะนิน ชารสชาติกลมกล่อม ช่วยให้ผ่อนคลายพักสมองระหว่างวันหรือระหว่างทำงาน เหมาะกับทุกคนที่ต้องการผ่อนคลาย และสมองปลอดโปร่ง, ชาแดง (Red Tea) กลิ่นกุหลาบและกลิ่นสตรเบอร์รี่ ใบชาอัสสัมคาแร็กเตอร์พิเศษจากจังหวัดน่าน ผสมคอลลาเจนเติมเต็มความสดใสให้ทุกวัน และชาเขียวมัทฉะ (Green Tea) กลิ่นแอปเปิ้ลและกลิ่นเปปเปอร์ ผสมไฟเบอร์

คัดสรรใบชาคุณภาพดีจากโรงงานมารุเซ็น ผ่านการเพาะปลูกตามแบบฉบับของญี่ปุ่น เพิ่มความสดชื่นจากรสชาติความเปรี้ยวอมหวานของแอปเปิ้ลเขียว มีกลิ่นหอมจากเปปเปอร์มิ้นต์ และเพิ่มส่วนผสมของไฟเบอร์ เหมาะกับผู้บริโภคที่มีไลฟ์สไตล์ชอบออกกำลังกายหรือสนุกกับกิจกรรมนอกบ้านและต้องการความมีชีวิตชีวาในทุกวัน