หลอดสุญญากาศยักษ์สู่นาโนเมตร จากลอจิกเกตสู่พลังงานขับเคลื่อนเทคโนโลยี AI

เราคงจำภาพหลอดสุญญากาศยักษ์ที่เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ยุคโบราณกันได้ แต่น่าสนใจว่าเวลามันได้แปรเปลี่ยนเพียงไม่กี่สิบปี แต่ขนาดของชิปมันเข้าสู่ระดับนาโนเมตรกันแล้ว และยังไม่หยุดยั้งที่จะพัฒนาให้มันเล็กลงไปอีก

ในช่วงทศวรรษ 1940 มีพื้นที่ลับสุดยอดของสงครามโลกครั้งที่สองของอังกฤษคือ Bletchley Park ที่นั่นเหล่านักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์เริ่มตระหนักถึงคอมพิวเตอร์ที่แท้จริงเป็นครั้งแรก

ในการแข่งขันเพื่อทำการ Crack รหัสลับที่เยอรมนีประกาศกร้าวว่าไม่มีใครในโลกที่จะแก้สุดยอดโค้ดลับของพวกเขาได้นั่นก็คือเครื่อง “Enigma”

ทีมงานที่ Bletchley Park ที่นำโดย Alan Turing ได้คิดค้นเครื่องจักรอัตโนมัติเพื่อช่วยในการถอดรหัสเครื่อง Enigma ได้สำเร็จ และพัฒนาจนกลายมาเป็นเครื่อง Colossus ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์แบบดิจิทัลที่สามารถตั้งโปรแกรมได้เครื่องแรกของโลก

ภายในปี 1945 อุปกรณ์ที่เป็นรากฐานสำคัญของคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า ENIAC ที่ออกแบบโดย John Mauchly และ J.Presper Eckert โดยเป็นเครื่องจักรขนาดยักษ์สูง 8 ฟุต ประกอบด้วยหลอดสุญญากาศ 17,500 หลอด ไดโอด 7,200 หลอด และสายไฟยาวหลายไมล์ ใช้พื้นที่กว่า 1,8000 ตารางฟุต สามารถทำการคำนวณได้ 300 คำสั่งต่อวินาทีได้รับการพัฒนาขึ้นที่มหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย

Bell Labs ได้ทำสิ่งที่เรียกได้ว่าก้าวไปอีกขั้นในปี 1947 สิ่ง ๆ นั้นคือทราสซิสเตอร์ ซึ่งเป็นสารกึ่งตัวนำที่สร้าง “Logic Gates” เพื่อใช้ในการคำนวณซึ่งเป็นรากฐานให้กับยุคดิจิทัล

เหล่าผู้สังเกตการณ์ในยุคนั้นไม่คิดว่าการคำนวณมันจะแพร่หลายอย่างรวดเร็ว ในช่วงปลายทศวรรษ 1940 ยังมีอุปกรณ์ที่เรียกว่าคอมพิวเตอร์เพียงไม่กี่ตัวเท่านั้นบนโลก

ในช่วงต้นทศวรรษนั้น Thomas J. Watson ประธานของ IBM ได้กล่าวไว้ว่า “ผมคิดว่าคงมีตลาดคอมพิวเตอร์ทั่วโลกเพียงประมาณ 5 เครื่อง”

นิตยสาร Popular Mechanics ได้คาดการณ์ในปี 1949 ไว้ว่า “ในอนาคต คอมพิวเตอร์อาจมีหลอดสุญญากาศเพียง 1,000 หลอด และ น่าจะมีน้ำหนักเพียงประมาณ 1.5 ตัน” ซึ่งราว ๆ หนึ่งทศวรรษหลังจากนั้นยังคงมีคอมพิวเตอร์เพียงหลักร้อยเครื่องทั่วโลก

แต่การคำนวณได้เปลี่ยนแปลงสังคมอย่างรวดเร็วเกิดกว่าที่ใครจะคาดเดา และแพร่กระจายเกินกว่าที่สิ่งประดิษฐ์ใดในประวัติศาสตร์มนุษย์จะทำได้

Robert Noyce ได้คิดค้นแผงวงจรรวมในช่วงปลายทศวรรษ 1950 และในช่วงทศวรรษ 1960 ที่ Fairchild Semiconductor มีการสร้างแผงวงจรที่มีทราสซิสเตอร์จำนวนมากบนแผ่นซิลิกอน เพื่อผลิตสิ่งที่เรียกว่า “ชิป”

หลังจากนั้นไม่นาน Gordon Moore ได้ได้นำเสนอ “Moore Law” ว่า ในทุก ๆ 24 เดือน จำนวนทราสซิสเตอร์บนชิปจะเพิ่มเป็นสองเท่า นั่นหมายความว่าโลกของเทคโนโลยีดิจิทัลและการคำนวณจะได้เติบโตแบบ Exponential

ตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1970 จำนวนทราสซิสเตอร์ต่อชิปได้เพิ่มขึ้นสิบล้านเท่าและให้พลังการประมวลผลที่เพิ่มขึ้น 17,000 ล้านเท่า ในปี 1958 Fairchild Semiconductor ขายทรานซิสเตอร์ 100 ตัวในราคา 150 ดอลลาร์ แต่ปัจจุบันทรานซิสเตอร์ถูกผลิตขึ้นมานับพันล้านตัวต่อทุกวินาที ในราคาเพียงแค่เศษสตางค์

แน่นอนว่าความก้าวหน้าในพลังการคำนวณเช่นนี้มาจากการเกิดขึ้นของอุปกรณ์ใหม่ ๆ แอปพลิเคชันใหม่ ๆ และจำนวนผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ

ในช่วงต้นทศวรรษ 1970 มีคอมพิวเตอร์ทั่วโลกประมาณห้าแสนเครื่อง และในปี 1983 มีคอมพิวเตอร์เพียง 562 เครื่องทั่วโลกเท่านั้นที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต

ปัจจุบันจำนวนคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน และอุปกรณ์ที่มีการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตอื่น ๆ มีอยู่ 14 พันล้านเครื่อง ซึ่งสมาร์ทโฟนใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีในการเปลี่ยนจากผลิตภัณฑ์เฉพาะกลุ่มเล็ก ๆ สำหรับเหล่านักธุรกิจไปสู่สิ่งของจำเป็นสำหรับประชากรสองในสามของโลก

มันได้เกิดอีเมล โซเชียลมีเดีย วีดีโอสตรีมมิ่ง ซึ่งแต่ละอย่างเป็นประสบการณ์ใหม่ของมนุษย์โลกแทบจะทั้งสิ้นซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผลมาจากการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์

การเกิดขึ้นของอินเทอร์เน็ตมาพร้อมกับข้อมูล ที่เพิ่มขึ้น 20 เท่าในเวลาเพียงหนึ่งทศวรรษตั้งแต่ปี 2010 ถึง 2020 ในยุคก่อนหน้านั้นเพียงไม่นานมนุษย์จัดเก็บข้อมูลจำกัดอยู่แค่ในหนังสือและหอจดหมายเหตุเพียงเท่านั้น

แต่ตอนนี้มนุษย์สร้างอีเมล ข้อความ รูปภาพและวีดีโอนับหมื่นล้านชิ้นในทุก ๆ วัน และจัดเก็บไว้ในคลาวด์ โดยทุก ๆ นาทีของทุกวันจะมีข้อมูล 18 ล้านกิกะไบต์ถูกเสกขึ้นบนโลก

มนุษย์ใช้เวลานับพันล้านชั่วโมงในการบริโภคเทคโนโลยีเหล่านี้ และพวกมันได้เข้ามาครอบงำทั้งเรื่องงาน ธุรกิจ หรือแม้กระทั่งเวลาพักผ่อนของเรา โทรศัพท์มือถือกลายเป็นสิ่งแรกที่เราเห็นในตอนเช้าและเป็นสิ่งสุดท้ายที่เราจะสัมผัสมันก่อนนอน

หากย้อนกลับไปในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หากมีคนในยุคนั้นมาเห็นสิ่งเหล่านี้ พวกเขาคงตกตะลึงกับความบ้าคลั่งในการก้าวกระโดดของเทคโนโลยี ที่คนในยุคนั้นอาจจะมองว่ามันเป็นเพียงเทคโนโลยีสำหรับคนเฉพาะกลุ่มเท่านั้น

โลกเราได้เข้าสู่ยุคของการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดจริง ๆ ก็ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สองนี่เอง ที่ยุคก่อนหน้านับพันนับหมื่นปีมีการพัฒนาแบบก้าวกระโดดอย่างที่เราเห็นในยุคหลังสงครามเพียงเล็กน้อยเท่านั้น สิ่งเหล่านี้มันกำลังจะเกิดขึ้นซ้ำรอยเดิมกับเทคโนโลยีคลื่นลูกใหม่อย่าง AI ซึ่งเราคงไม่สามารถจินตนาการภาพโลกในอนาคตในอีกเพียงแค่ 20-30 ปีที่จะถึง มันคงนึกภาพไม่ออกเลยจริง ๆ

References :
หนังสือ The Coming Wave :  Technology, Power, and the Twenty-first Century’s Greatest Dilemma โดย Mustafa Suleyman
https://en.wikipedia.org/wiki/Bletchley_Park
https://simple.wikipedia.org/wiki/ENIAC
https://en.wikipedia.org/wiki/Bell_Labs
https://en.wikipedia.org/wiki/Robert_Noyce

ลูกค้ามาสด้าสุดปลื้มร่วมงานแบบเอ็กคลูซีฟ สัมผัส e-SKYACTIV R-EV เทคโนโลยีที่ดีที่สุดในอนาคต

มาสด้าจัดกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟให้กับลูกค้าได้สัมผัสบูธแสดงรถยนต์ที่ได้รับการออกแบบใหม่หมด ภายใต้ธีม Love of Cars เพื่อถ่ายทอดความมุ่งมั่นของมาสด้าในการพัฒนาเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ในอนาคตที่กำลังดำเนินไปตามกรอบเวลา ตอบสนองความต้องการของลูกค้าผู้หลงไหลในการขับขี่และรักในรถยนต์

โดยแบ่งโซนจัดแสดงบอกเล่าเรื่องราวที่มีลูกค้าอยู่ในทุกช่วงเวลา และมีรถยนต์มาสด้าเป็นพาร์ทเนอร์ในทุกประสบการณ์ ตอกย้ำการให้ความสำคัญที่มีลูกค้าเป็นหนึ่งในทุกการเติบโต สื่อสารอารมณ์ความรู้สึก ความสนุกสนานในการขับขี่ ความสุขในการใช้ชีวิต และอนาคตที่รถยนต์มีส่วนช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน รวมถึงเปิดโอกาสให้ผู้ที่ชื่นชอบรถยนต์ได้แบ่งปันความทรงจำที่มีต่อรถยนต์ร่วมกัน 

นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารอาวุโส บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปีนี้มาสด้าออกแบบบูธใหม่ทั้งหมด ภายใต้ธีม Love of Cars ได้แรงบันดาลใจจากการมีลูกค้าเป็นส่วนหนึ่งในทุกประสบการณ์การเดินทาง เป็นศูนย์รวมความสุขของผู้ที่รักในรถยนต์

โดยแบ่งโซนการจัดแสดงออกเป็น โซนแกลเลอรี่วอลล์ ที่ลูกค้าส่งภาพความประทับใจกับรถยนต์คันโปรด You and Mazda Moments ถ่ายทอดประสบการณ์ความสุขในทุกช่วงเวลา และยังได้รับการสนับสนุนจากผู้ที่รักในรถยนต์ “The Memorable Love of Cars” ส่งรถโมเดลผ่านทางมาสด้า

เพื่อส่งต่อให้กับเด็กและเยาวชนที่ขาดแคลน มีผู้สละเข้ามากว่า 500 คัน และมาสด้าเพิ่มเติมอีก 1,000 คัน โดยจะเร่งส่งต่อรถโมเดลเหล่านี้ให้ถึงมือเด็กๆ โดยเร็วที่สุด รวมถึงลูกค้าที่จองสิทธิ์รถยนต์รุ่นพิเศษ Mazda6 20th Anniversary Edition เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้อย่างอบอุ่น

ไฮไลท์สำคัญ คือการจัดแสดงเทคโนโลยี Multi-Solution มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ส่งมอบเทคโนโลยีที่มีความหลากหลายและมีความเหมาะสม เพิ่มทางเลือกให้กับผู้ที่กำลังมองหารถยนต์ไฟฟ้า ในยุคที่กำลังเปลี่ยนผ่านจากพลังงานเชื้อเพลิงไปสู่พลังงานไฟฟ้า Multi-Solution คือหนึ่งในเทคโนโลยีแห่งอนาคตจากมาสด้า

การนำเทคโนโลยี e-SKYACTIV R-EV มาใช้กับรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุด เป็นการปลุกฟื้นคืนชีพตำนานเครื่องยนต์โรตารี่ ต้นกำเนิดรถสปอร์ตมาสด้าหลากหลายรุ่นในอดีต ที่ถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นมาจนถึงปัจจุบันกลายเป็นดีเอ็นเอสายพันธุ์สปอร์ตที่ทั่วโลกให้การยอมรับ

นายธีร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่มีส่วนร่วมในการเติมเต็มความสมบูรณ์แบบให้กับบูธมาสด้าทั้งนี้ มาสด้าจะยังคงเดินหน้าในการส่งมอบ “ความสุขในการขับขี่” Joy of Driving ต่อไป

ภายใต้คุณค่าหลักที่ให้ความสำคัญกับการมุ่งเน้น “มนุษย์เป็นศูนย์กลาง” และมุ่งมั่นที่จะส่งมอบ “ความสุขในการดำเนินชีวิต” ด้วยการสร้างสรรค์ประสบการณ์ความสุขให้กับชีวิตประจำวันของลูกค้าทุกคน และเราจะยังคงแสวงหาทุกวิถีทางเพื่อสร้างความสุขและรอยยิ้มให้กับลูกค้าตลอดไป