CPAC Green Solution กับนวัตกรรมโซลูชันงานก่อสร้างสีเขียวแบบครบวงจร

ต้องบอกว่าเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่มีความน่าสนใจมาก ๆ เลยนะครับ สำหรับแวดวงงานก่อสร้าง ที่ตอนนี้เราอาจจะต้องลืมภาพจำเก่า ๆ ในการสร้างบ้านแบบเดิม ๆ ไปได้เลย

ภาพจำที่การก่อสร้าง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างบ้านที่มีปัญหาจุกจิกวุ่นวายในอดีตที่ผ่านมา หรืองบประมาณที่บานปลาย ตอนนี้เทคโนโลยีและนวัตกรรมได้พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วมาก ๆ จนมาตอบโจทย์แก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

หรือแม้แต่เทรนด์รักษ์โลกและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ที่ต้องบอกว่าปัญหาดังกล่าวนี้กำลังเป็นภัยคุกคามที่สำคัญมาก ๆ ของมวลมนุษยชาติ ก็ได้ทำให้เกิดกระแสเหล่านี้ขึ้นในทุกวงการ

ตัวอย่างเช่นในวงการยานยนต์เราจะเห็นได้ถึงเทรนด์ใหม่ที่เกิดขึ้นและกำลังมาแรงมาก ๆ นั่นก็คือ กระแสตอบรับในการใช้รถไฟฟ้า EV ที่เรียกได้ว่ายอดขายพุ่งแรงมาก ๆ

ซึ่งแน่นอนว่าธุรกิจก่อสร้างก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ได้เริ่มให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อม โดยมีเทคโนโลยี เป็นตัวกลางที่สำคัญมาก ๆ ในการผลักดันให้ธุรกิจไปยังเป้าหมายดังกล่าวให้สำเร็จ

และที่สำคัญเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น นั้น ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างในกระบวนการก่อสร้างนั้นง่ายกว่าเดิมมาก

ซึ่งเราอาจจะเห็นแค่นวัตกรรมจากเมืองนอกที่ก้าวล้ำไปอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่กล่าวไปทั้งหมดนี้ สามารถตอบโจทย์ด้วยนวัตกรรมของคนไทยแท้ ๆ อย่าง CPAC Green Solution

ถึงเวลาแล้วที่ CPAC Green Solution นวัตกรรมโซลูชันงานก่อสร้างสีเขียวแบบครบวงจร ที่จะเข้ามาตอบโจทย์ทุกงานก่อสร้างแบบ Green Construction ที่ล้ำหน้าด้วย เทคโนโลยีดิจิทัล และ นวัตกรรมก่อสร้างสีเขียว (Digital & Construcction Technology)

CPAC Green Solution นำเสนอโซลูชันด้านงานก่อสร้างแบบครบวงจร ที่ใช้ในระบบการทำงาน ตั้งแต่การออกแบบ ก่อสร้างและดูแลหลังการก่อสร้าง และยังให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมที่กำลังเป็นปัญหาใหญ่ที่เป็นภัยคุกคามโลกของเราในทุกวันนี้ โดย โซลูชันจะประกอบไปด้วย


  • CPAC Drone Solution กับเทคโนโลยีโดรนที่เข้ามาสำรวจแทนมนุษย์ทำให้เห็นภาพที่กว้างกว่า ลงลึกถึงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ดีกว่า และอยู่ในทุกกระบวนการตั้งแต่ การเริ่มต้นสำรวจ การติดตามผล ดูแลการทำงาน ไปจนถึงการซ่อมแซม ซ่อมบำรุง
  • CPAC BIM เทคโนโลยีในการออกแบบการก่อสร้าง ให้มองเห็นภาพเดียวกัน เห็นรายละเอียดต่าง ๆ ได้ชัดเจนยิ่งขึ้นกว่าเดิม สามารถควบคุมต้นทุนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • CPAC LOW RISE BUILDING SOLUTION นวัตกรรมก่อสร้างอาคารสำเร็จรูป รวดเร็ว แม่นยำ ควบคุมคุณภาพได้มาตรฐาน และลดเศษวัสดุหน้างาน
  • CPAC 3D PRINTING SOLUTION ด้วยเทคโนโลยี 3D Concrete Printing นวัตกกรรมก่อสร้าง 3 มิติ ที่สร้างดีไซต์ที่โดดเด่น ทันสมัย เป็นเอกลักษณ์แบบไม่ซ้ำใคร

CPAC Green Solution ได้เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาใหม่ Time to Change to CPAC Green Solution เพื่อตอกย้ำให้เห็นถึงการเป็นโซลูชันด้านงานก่อสร้างแบบครบวงจรตัวจริง

ภาพยนตร์โฆษณา 1 นาที ที่แสดงให้เราได้เห็นถึง การเปลี่ยน…ทุกวิธีการทำงานให้รวดเร็ว สร้างอิสระด้านการออกแบบ ให้ทุกแรงบันดาลใจเป็นจริงได้

ที่สำคัญ เป็นนวัตกรรมรักษ์โลก ที่จะเปลี่ยนสิ่งไร้ค่า สู่ความล้ำค่า “Turn Waste to Value”

อย่าลืมก้าวไปด้วยกันกับ CPAC Green Solution ล้ำ เปลี่ยน โลก


สนใจสอบถามเพิ่มเติม
📩 Inbox คลิก! m.me/cpacthailand
📞โทร. 02-555-5555 หรือ CPAC Solution Center (CSC) 23 สาขา
#CPAC #CPACGreenSolution #ล้ำเปลี่ยนโลก #TimetoChangetoCPACGreenSolution #ซีแพค


ก้าวใหม่ของ Robinhood ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราควรหันมาสนับสนุนแพลตฟอร์มด้านเทคโนโลยีของไทย

ถือเป็นก้าวใหม่ที่น่าสนใจมาก ๆ ของ Robinhood แพลตฟอร์มของประเทศไทย ที่หลังจากลุยในธุรกิจส่งอาหาร รวมถึงมีการเปิดตัวบริการจองโรงแรมไปในช่วงก่อนหน้านี้ ตอนนี้พวกเขากำลังก้าวขึ้นเป็นแพลตฟอร์มเรียกรถแบบเต็มสูบ หลังได้รับอนุญาตจากกรมขนส่งฯ

เรียกได้ว่าเป้าหมายของ App หลัก ๆ ที่คนไทยใช้ไม่ว่าจะเป็น Grab , Shopee หรือ Robinhood พวกเขามีเป้าหมายคล้าย ๆ กันก็คือการเป็น Super App รวมบริการที่หลากหลายไว้ในที่เดียว

ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ๆ ที่ App ของคนไทยแท้ ๆ แทบจะไม่มีที่ยืนได้เลย ส่วนใหญ่จะเป็นแอปจากประเทศเพื่อนบ้านของเรา ไม่ว่าจะเป็น สิงค์โปร์ , มาเลเซีย หรือแม้กระทั่งอินโดนีเซีย

ทั้งที่พฤติกรรมด้านดิจิทัลของบ้านเราไม่เป็นสองรองใครในภูมิภาค เรียกได้ว่ามีแอปไหนมาเปิดก็ได้ผลตอบรับที่ดีเยี่ยมด้วยโครงสร้างพื้นฐานหลาย ๆ อย่างด้านดิจิทัลไม่ว่าจะเป็นเรื่องการชำระเงิน หรือ ด้านอินเทอร์เน็ตที่เรียกได้ว่าบ้านเราไม่เป็นสองรองใครในภูมิภาคนี้

Robinhood ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในแอปที่สร้างจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่จะทำให้แอปจากประเทศไทยสามารถก้าวขึ้นเป็น Super App ระดับแถวหน้าสู้กับคู่แข่งในภูมิภาคของเราได้

หรือแม้กระทั่งในสาขาอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น blockchain เราก็มีแพลตฟอร์ม exchange ขนาดใหญ่ที่เป็นของคนไทยเอง หรือ Unicorn แรกของไทยอย่าง Flash Express ที่กำลังท้าทายตลาดจัดส่งพัสดุ ที่เรียกได้ว่าไม่เกรงกลัวคู่แข่งหน้าไหน หรือพื้นที่อย่าง blockdit ที่เป็น social media สังคมใหม่ที่น่าสนใจของไทยแท้ ๆ และมีแอปไทยอีกหลายเจ้าที่มีความน่าสนใจในธุรกิจต่าง ๆ มากมาย

Unicorn แรกของไทยอย่าง Flash Express (CR:Flash Express)
Unicorn แรกของไทยอย่าง Flash Express (CR:Flash Express)

ผมเป็นคนหนึ่งที่เชื่อในศักยภาพของคนไทย โดยเฉพาะเรื่องเทคโนโลยี ที่ผมมองว่าคนไทยเราก็ไม่แพ้ชาติใดโดยเฉพาะในภูมิภาคของเรา

ซึ่งต้องบอกว่าปัจจุบันแพล็ตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ โดยเฉพาะแพลตฟอร์มทางด้านเทคโนโลยีนั้น เราถูกบุกรุกจากต่างชาติ จนเข้ามากลืนกินพฤติกรรมของคนไทยในหลาย ๆ ด้าน จนแทบจะไม่เหลือที่ยืนให้ผู้ประกอบการชาวไทย

ความจริงในภูมิภาคของเรามันก็ไม่ได้มีความแตกต่างมากมายโดยเฉพาะเรื่อง Skill ทางด้านเทคโนโลยี หรือคนฝั่งเทคโนโลยีบ้านเราก็ไม่ได้เป็นรองชาติใด ส่วนใหญ่ App ดัง ๆ ที่สามารถแจ้งเกิดได้อย่างรวดเร็วก็มักเกิดจากการระดมทุนได้เงินมหาศาลจากต่างชาติ ตัวอย่างเช่น Grab ที่เหมือนถูกลอตเตอรี่ ได้รับเงินทุนจาก Softbank

แต่มีประเทศหนึ่งที่มีความน่าสนใจมาก ๆ นั่นคือเวียดนาม ที่พวกเขาพร้อมจะสรรค์สร้างบริการภายในประเทศตัวเอง เพื่อสู้กับคู่แข่งที่น่าเกรงขามจากต่างประเทศ

ไม่ว่าจะเป็น Ecommerce ที่พวกเขาก็ส่ง TIKI ออกมาสู้ยักษ์ใหญ่ใน Region อย่าง Shopee ได้อย่างสูสี หรือ Coc Coc ที่เป็นคู่แข่งโดยตรงกับบริการ Search Engine ยักษ์ใหญ่อย่าง Google

เวียดนาม ที่พวกเขาพร้อมจะสรรค์สร้างบริการภายในประเทศตัวเอง (CR:Vietnam Investment Review)
เวียดนาม ที่พวกเขาพร้อมจะสรรค์สร้างบริการภายในประเทศตัวเอง (CR:Vietnam Investment Review)

ที่น่าสนใจคือ บริการ messenger หรือ social media ของพวกเขามีบริการอย่าง Zalo ที่เป็นบริการที่คิดค้นโดยชาวเวียดนามเอง ซึ่งเอาชนะ LINE , Whatsapp , Wechat หรือ Facebook Messenger ไปอย่างขาดลอยเลยทีเดียว และเป็นบริการยอดฮิตอันดับต้น ๆ ของชาวเวียดนามในขณะนี้อีกด้วย

เรียกได้ว่าประเทศเวียดนามมีแทบจะทุกบริการ พวกเขาไม่เคยเกรงกลัว ยักษ์ใหญ่หน้าไหนที่จะบุกเข้ามาในประเทศ พวกเขาพร้อมสร้างบริการที่ตอบโจทย์ชาวเวียดนามมากกว่า

ส่วนตัวผมเองก็อยากเห็นภาพที่คนไทยหันมาสนับสนุนแพลตฟอร์มของไทยกันมากยิ่งขึ้น เหมือนกับที่เราสนับสนุนแพล็ตฟอร์มจากต่างชาติ เพราะอย่างน้อยทั้งในเรื่องของเงิน และ ข้อมูลต่างๆ  ของเรานั้น มันไม่ได้รั่วไหลไปไหน แต่ฝากไว้กับแพลตฟอร์มที่ถือได้ว่าเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยแท้ ๆ นั่นเองครับผม

Credit Image : CIO World Business

Geek Monday EP148 : เทคโนโลยี AI และ AR เข้ามาปฏิวัติวงการความงามได้อย่างไร

การนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยี Augmented Reality (AR) เข้ามาใช้กับอุตสาหกรรมความงามได้ปรับปรุงความสามารถของแบรนด์ความงามและประสบการณ์ที่พวกเขาสามารถมอบให้แก่ผู้บริโภคได้

เทคโนโลยีนี้พิสูจน์ให้เห็นทั้งความนิยมและประสบความสำเร็จในอุตสาหกรรมความงาม เนื่องจากสามารถมอบประสบการณ์เฉพาะตัวแก่นักช้อป ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อให้การช้อปปิ้งตรงเป้าหมายและง่ายขึ้นสำหรับผู้บริโภค

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/3RVD7fT

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/3QUlADE

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
https://bit.ly/3qLy6un

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/3f0Hurm

🎧 ฟังผ่าน Youtube : 
https://youtu.be/n-Z_YnqUctg

Credit Image : theindustry.beauty

5 สิ่งที่ iPhone 14 ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Android

หลังจาก Apple ได้เปิดตัว iPhone 14 มือถือเรือธงรุ่นใหม่อย่างเป็นทางการ ซึ่งดูเหมือนว่าบางสิ่งที่ iPhone 14 ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในรุ่น iPhone 14 Pro และ Pro Max นั้นจะได้รับแรงบันดาลใจมาจากโทรศัพท์ Android รุ่นก่อน ๆ

เอาจริง ๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนักนะครับ สำหรับทั้งมือถือฝั่ง Android และ Apple ที่มักจะได้รับแรงบันดาลใจซึ่งกันและกันมาตลอด หากนวัตกรรมมันไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก ส่วนใหญ่ก็จะถูกเลียนแบบจากอีกฝั่งอยู่เสมอ

การเปิดตัวของ iPhone 14 เรือธงรุ่นใหม่ ก็มีฟีเจอร์ที่น่าสนใจหลายอย่าง ที่ฝั่ง Android เคยทำมาก่อนแล้ว และนี่คือ 5 ฟีเจอร์เด็ดที่ดูเหมือนว่า iPhone จะได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Android แบบเต็ม ๆ

Dynamic Island – LG V10

มีการเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่อย่าง Dynamic Island สำหรับ iPhone 14 Pro และ Pro Max ในที่สุด Apple ก็ทำในสิ่งที่ทุกคนเรียกร้องตั้งแต่เปิดตัว iPhone X ในการเลิกใช้รอยบาก 

แต่มันยังคงมีรอยบากในรุ่น iPhone 14 และ iPhone 14 Plus ซึ่งจากมุมมองของ Apple ที่ต้องการนำเสนอคุณสมบัติที่แตกต่างระหว่างรุ่นที่ไม่ใช่รุ่น Pro และ Pro

Dynamic Island อาจดูเหมือนเป็นคุณลักษณะใหม่ที่ปฏิวัติวงการ แต่ความจริงก็คือ LG มาถึงจุดนั้นก่อนด้วย LG V10 ในความพยายามที่จะให้ผู้ใช้มีวิธีการโต้ตอบกับการแจ้งเตือนที่แตกต่างกัน

LG ได้แนะนำ “Second Screen” ด้วยหน้าจอที่สอง ผู้ใช้สามารถตั้งค่าทางลัดสำหรับผู้ติดต่อ ดูการแจ้งเตือนที่เข้ามา และควบคุมเพลงที่กำลังเล่น ทั้งหมดนี้ทำได้โดยไม่ต้องใช้จอแสดงผลหลัก

Second Screen จาก LG V10 (CR:Android Central)
Second Screen จาก LG V10 (CR:Android Central)

เป็นหนึ่งในสิ่งที่ LG พยายามทำสิ่งที่แตกต่างออกไป แต่การใช้งานโดยรวมและการขาดการสนับสนุนทำให้ Second Screen ไม่ได้รับความนิยมอย่างที่คาดคิด

ในรุ่น LG V20 มีการเก็บฟีเจอร์ Second Screen ไว้ โดยให้การใช้งานแบบเดียวกัน แต่ก็ยังพบกับผลลัพธ์ที่หลากหลาย เจ้าของ V20 บางคนพบว่าสิ่งนี้ทำให้ผู้ใช้สะดวกมาก ในขณะที่อีกหลายๆ คนพบว่า “มันไม่ได้เพิ่มประสบการณ์อะไรมากมายนัก”

แต่ก็ต้องบอกว่าการใช้งาน Dynamic Island ของ Apple กลับทำงานได้แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เมื่อคุณเริ่มเล่นเพลงและออกจากแอป “Island” จะแสดงข้อมูล “Dynamic” เช่น ปกอัลบั้มของเพลง นอกจากนี้ยังเปลี่ยนการแจ้งเตือนพื้นฐาน เช่น เมื่อจำเป็นต้องใช้ FaceID ให้เป็นกราฟิกแบบเลื่อนลงที่ติดอยู่ตรงแถบแสดงผลแทนที่จะแสดงเต็มหน้าจอ

Dynamic Island ไม่ใช่การลอกเลียนแบบจาก Second Screen ของ LG แต่ก็ค่อนข้างชัดเจนว่ามีแรงบันดาลใจอยู่บ้าง

Hole-punch selfie camera

เมื่อพูดถึงรอยบาก ทุกคนรู้ว่า Apple จะไม่ยึดติดกับมันตลอดไป มันเป็นเพียงเรื่องของเวลาก่อนที่บริษัทจะตัดสินใจทำอะไรบางอย่างที่ “ปฏิวัติ” และตัดสินใจที่จะใช้กล้องเซลฟี่แบบ Hole-punch

Hole-punch จะเป็นช่องตัดเลนส์ขนาดเล็กบนหน้าจอแสดงผลเพื่อให้พอดีกับกล้องด้านหน้าและเซ็นเซอร์ ในขณะที่พื้นที่หน้าจอที่เหลือใช้สำหรับการแสดงผลที่รับชมได้

เนื่องจากเซ็นเซอร์ต่างๆ ที่ฝังอยู่ในรอยบาก Apple ไม่เพียงแต่ต้องออกแบบโมดูลใหม่ที่ใช้เท่านั้น แต่ยังมีช่องถึงสองช่องในทางเทคนิคอีกด้วย หนึ่งสำหรับกล้องเซลฟี่และอีกหนึ่งสำหรับพร็อกซิมิตี้เซนเซอร์ รวมถึงสิ่งต่าง ๆ ที่ Apple ต้องใช้สำหรับ Face ID

Huawei เป็นบริษัทแรกที่ใช้กล้องเซลฟี่แบบ Hole-punch ตั้งแต่รุ่น Huawei Nova 4 ซึ่งนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมามันก็มาในมือถือ Android รุ่นเรือธงทุกรุ่น ซึ่งรวมถึงโทรศัพท์ Android ที่ดีที่สุด หลายรุ่น เช่น Galaxy S22 series, Pixel 6 , ASUS ZenFone 9 และอื่นๆ

ในตอนนี้ได้เริ่มเห็นผู้ผลิตโทรศัพท์สองสามรายแนะนำเทคโนโลยีใหม่อย่างกล้องเซลฟี่ใต้จอแสดงผล (under-display selfie camera) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรุ่น Galaxy Z Fold 4 และ ZTE Axon 40 Ultra เป็นสองรุ่นล่าสุดที่มีกล้องเซลฟี่ใต้จอแสดงผล แต่คงไม่น่าแปลกใจที่จะเห็นโทรศัพท์รุ่นอื่น ๆ ที่จะมีการนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในอนาคตอันใกล้นี้

Always-On Display

ต้องบอกว่าฟีเจอร์อย่าง Always-On Display (AOD) มีให้ใช้งานบนโทรศัพท์ Android มาอย่างยาวนาน ช่วยให้ผู้ใช้สามารถดูเวลาและการแจ้งเตือนที่รอดำเนินการได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย 

Apple เริ่มเผยไต๋ออกมาใน iOS 16 Developer Beta เนื่องจากผู้ใช้บางคนพบว่าหน้าจอล็อก iPhone ของพวกเขาแสดงอินเทอร์เฟซที่ไม่เคยเห็นมาก่อน 

ซึ่งอย่างที่เราได้เห็นในการเปิดตัว Apple ใช้ซอฟต์แวร์ที่จำเป็นบางอย่างเพื่อรองรับ Always-On Display และตามแบบฉบับของ Apple ฟีเจอร์นี้ไม่มีใน iPhone 14 ทุกรุ่น เนื่องจาก Always-On Display สงวนไว้สำหรับ iPhone 14 Pro และ Pro Max เท่านั้น และที่สำคัญ Apple ได้ออกแบบมันมาได้อย่างงดงามเสียด้วย

Always-On Display ของ Apple ออกแบบมาได้อย่างสวยงามมาก ๆ (CR:Apple)
Always-On Display ของ Apple ออกแบบมาได้อย่างสวยงามมาก ๆ (CR:Apple)

Dynamic Refresh Rate

เป็นเวลานานมากแล้วที่ผู้ใช้ Android มีฟีเจอร์นี้ ซึ่งเป็นที่น่าแปลกใจอย่างมากที่ Apple ใช้เวลานานมากกว่าจะปล่อยฟีเจอร์นี้ออกมา 

Apple จะใช้คำศัพท์ทางการตลาดที่แปลกใหม่เพื่อใช้แทน “dynamic refresh rates” และคำว่า ProMotion ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกกับ iPhone 13 Pro และ Pro Max ของปีที่แล้ว แต่จะมีอัตราการรีเฟรชหน้าจออยู่ในระหว่าง 24Hz ถึง 120Hz เท่านั้น

ด้วยการเปิดตัว iPhone 14 Pro และ Pro Max ควบคู่ไปกับ Always-On Display Apple คิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะทำสิ่งต่าง ๆ ให้ดียิ่งขึ้นไปอีก แทนที่ต่ำสุดจะเป็น 24Hz กลุ่มผลิตภัณฑ์ iPhone 14 Pro พร้อมจอแสดงผล ProMotion สามารถรีเฟรชหน้าจอแบบไดนามิกได้จนถึง 1Hz 

เหตุผลที่ชัดเจนคือเพื่อช่วยไม่ให้แบตเตอรี่ของ iPhone หมดทุกครั้งที่มีการแสดง Always-On Display เนื่องจากเนื้อหาที่ไม่มีการอัพเดทก็ไม่จำเป็นต้องรีเฟรชบ่อยๆ

OnePlus 9 Pro และ Oppo Find X3 Pro เป็นโทรศัพท์สองเครื่องแรกที่มีอัตราการรีเฟรชแบบไดนามิกระหว่าง 1Hz ถึง 120Hz ด้วยหน้าจอ LTPO  ซึ่งฟีเจอร์ดังกล่าวนี้ได้เข้าสู่อุปกรณ์ต่างๆ มากขึ้น รวมถึง Galaxy S22 Ultra และตอนนี้คือ iPhone 14 Pro Series

Car Crash Detection

ต้องบอกว่ามีฟีเจอร์ใหม่อย่างหนึ่งที่ทุกคนควรขอบคุณ Google จริงๆ ที่นำไปใช้กับ Pixel ในปี 2020 ฟีเจอร์ Car Crash Detection ถูกเพิ่มเข้ามาใน Android เป็นครั้งแรก สำหรับการเปิดตัวรุ่น Pixel 2, 3 และ 4 ใน เดือนมีนาคม 2020

การทำงานโดยใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวและเสียงรอบข้างที่มีอยู่ในโทรศัพท์ Pixel เมื่อโทรศัพท์ของคุณตรวจพบการชน จะส่งเสียงเตือน จากนั้นจะแจ้งให้คุณทราบว่าคุณต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติมหรือไม่ หากไม่ได้รับการตอบกลับ ระบบจะโทรไปที่บริการฉุกเฉิน และ Pixel จะระบุตำแหน่งตำแหน่งของคุณ

Car Crash Detection ถูกเพิ่มเข้ามาใน Android เป็นครั้งแรก สำหรับการเปิดตัวรุ่น Pixel 2, 3 และ 4 ใน เดือนมีนาคม 2020 (CR:AndroidCentral)
Car Crash Detection ถูกเพิ่มเข้ามาใน Android เป็นครั้งแรก สำหรับการเปิดตัวรุ่น Pixel 2, 3 และ 4 ใน เดือนมีนาคม 2020 (CR:AndroidCentral)

Apple ไม่เพียงแต่นำสิ่งนี้มาสู่กลุ่มผลิตภัณฑ์ iPhone 14 ทั้งหมด แต่ยังรวมถึง Apple Watch Series 8 เป็นสมาร์ตวอทช์เครื่องแรกที่มีฟังก์ชั่นนี้อีกด้วย 

มันเกิดขึ้นได้ด้วยการนำไจโรสโคปแบบสามแกนที่อัปเกรดแล้วของ Apple มาใช้ควบคู่กับ “high g-force accelerometer” ที่สามารถวัดแรงได้ถึง 256 กรัม 

จากนั้น iPhone หรือ Apple Watch จะใช้อัลกอริธึมในการพิจารณาว่าเกิดปัญหากับผู้ใช้หรือไม่ ก่อนที่จะแจ้งผู้ติดต่อและบริการฉุกเฉินหากไม่ได้รับการตอบกลับภายใน 10 วินาที

ในเดือนมิถุนายน 2022 พบว่าฟีเจอร์ Car Crash Detection ไม่ได้มีเพียงเฉพาะในโทรศัพท์ Pixel อีกต่อไป Google ได้แสดงให้เห็นว่าฟังก์ชันนี้สามารถนำไปใช้กับโทรศัพท์ Android เครื่องอื่นๆที่จะได้รับการอัปเดตในอนาคตได้ แต่ในขณะนี้ ดูเหมือนว่า Google และ Apple จะเป็นผู้ผลิตโทรศัพท์เพียงสองรายที่มีฟีเจอร์นี้

บทสรุป

เรียกได้ว่าไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่แต่อย่างใดระหว่างสองแพลตฟอร์มทั้งฝั่ง Android และ Apple ที่มักจะมีการได้รับแรงบันดาลใจซึ่งกันและกันตลอดเวลา และเป็นมานานมากแล้ว

แต่บางฟีเจอร์หรือคุณสมบัติบางอย่างก็ไม่ควรเลียนแบบเป็นอย่างยิ่ง เช่น การตัดอุปกรณ์เสริม หรือ ตัดพอร์ตพ่วงต่อต่าง ๆ ที่ไม่รู้ว่าจะเลียนแบบกันไปทำไมเหมือนกัน

แต่สุดท้ายการแข่งขันระหว่างสองแพลตฟอร์มนี้ ยังคงเป็นคู่แข่งไปอีกนาน และคงไม่มีแพลตฟอร์มที่สามที่จะสามารถแจ้งเกิดเข้ามาได้อย่างแน่นอน เนื่องจากการพัฒนาของทั้งคู่ที่มีมานานมากแล้วและ ecosystem ของทั้งคู่ก็มีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก

น่าสนใจนะครับ Dynamic Island อาจจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของหน้าจอของมือถือ Android ในอนาคตอันใกล้นี้ก็ได้ ซึ่งหากใครจำได้ช่วงมีรอยบากใหม่ ๆ นั้น มือถือ Android ก็พยายามเลียนแบบของ Apple มาเหมือนกัน

Hacker ฝั่ง Android เลียนแบบ Dynamic Island ของ Apple แทบจะทันที
Hacker ฝั่ง Android เลียนแบบ Dynamic Island ของ Apple แทบจะทันที

ผมก็ได้ลองไปหาข้อมูลดูพบว่ามีคนทำแล้วจริง ๆ เพียงแค่ค้นหาใน google ว่า Dynamic Island for android คุณก็จะเจอเหล่า hacker ที่เริ่มพัฒนาฟีเจอร์นี้เพื่อมาเลียนแบบแล้วทันที

แต่สุดท้ายประโยชน์ก็ตกอยู่กับผู้บริโภคทั้งสองฝั่งสำหรับการได้ฟีเจอร์ดี ๆ จากทั้งสองแพลตฟอร์ม ซึ่งหากไม่ได้เป็นนวัตกรรมที่ล้ำเลิศอะไร ทั้งสองฝั่งก็พร้อมที่จะพัฒนามาให้ลูกค้าของตนเองอยู่แล้วนั่นเองครับผม

References :
https://www.androidcentral.com/phones/iphone-14-features-stolen-from-android
https://www.youtube.com/watch?v=Zt3dXhU8KCc
https://www.androidcentral.com/how-adjust-always-display-your-samsung-galaxy-s-or-note-phone
https://www.express.co.uk/life-style/science-technology/1668302/iPhone-14-Dynamic-Island-feature-copied-Android

หมดยุคการแข่งขัน เมื่อแพลตฟอร์ม ecommerce เริ่มจับมือกันขึ้นค่าธรรมเนียมแบบสุดโหด

ต้องบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดกับการแข่งขันที่น้อยลงไปของแพลตฟอร์ม ecommerce โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ภาพใหญ่จากผลประกอบการมันชัดเจนมาก ๆ พวกเขาไม่สามารถขาดทุนไปมากกว่านี้ได้อีกต่อไป

Sea Group ที่เป็นเจ้าของแพลตฟอร์ม shopee นั้นกำลังถูกกดดันจากเหล่านักลงทุนอย่างหนัก เราจะเห็นข่าวการปลดพนักงาน หรือ ยุติกิจการของพวกเขาในหลาย ๆ ประเทศ

ตัวเลขขาดทุนที่เปิดเผยออกมาล่าสุดที่มีผลขาดทุนสุทธิ 931 ล้านดอลลาร์ ทำให้ Sea เจ้าของแแพลตฟอร์มอย่าง Shopee นั้นต้องมีการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจครั้งใหญ่ให้เริ่มสร้างกำไร

ส่วน lazada นั้นสร้างกำไรได้แล้ว แต่ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจขนส่ง ซึ่งเป็นขาหนึ่งใน ecosystem ของแพลตฟอร์ม ecommerce

และที่สำคัญโดยเฉพาะในประเทศไทยเอง เหมือนจะเหลือคู่แข่งกันเพียงแค่ 2 รายเท่านั้นในตอนนี้ jd.co.th ที่มาแรงในช่วงแรก ๆ ก็เหมือนจะไม่สามารถขึ้นมาเทียบเคียงกับ shopee หรือ lazada ได้

jd.co.th ที่ยังแย่งส่วนแบ่งการตลาดไม่ได้มากนัก (CR:Terrabkk)
jd.co.th ที่ยังแย่งส่วนแบ่งการตลาดไม่ได้มากนัก (CR:Terrabkk)

และถ้าใครเป็นพ่อค้าแม่ค้าในแพลตฟอร์มนั้น จะได้รับ mail ขึ้นค่าธรรมเนียมแบบรัว ๆ ซึ่งขึ้นมาทีละนิด ๆ แม้ตัวเลขเฉลี่ยมันจะเป็นตัวเลขเพียงเล็กน้อยที่ราว ๆ 1% เพียงเท่านั้น แต่การปรับแต่ละครั้ง ถือว่าส่งผลกระทบต่อพ่อค้าแม่ค้าที่ขายอยู่ในแพลตฟอร์มพอสมควรเลยทีเดียว

แล้วสิ่งที่สำคัญมาก ๆ มันเห็นสัญญาณชัดเจนถึงยุคการแข่งขันที่กำลังจะสิ้นสุดลง เพราะถ้าดูตัวเลขค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้นมา ลองมาเปรียบเทียบของสองแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่นั้น แทบจะเท่า ๆ กัน ต่างแค่จุดทศนิยมนิดหน่อยเพียงเท่านั้น

เมื่อแบรนด์ยักษ์ใหญ่เริ่มหนีไปสร้างช่องทางการขายของตนเอง

ถ้าใครสังเกต เราจะเห็นได้ว่าช่วงนี้แบรนด์หลายแบรนด์ยักษ์ใหญ่ เริ่มโปรโมตช่องทางการขายของแพลตฟอร์มตัวเองหรือเว็บไซต์ของตัวเอง แทนที่จะพึ่งพา marketplace เป็นช่องทางหลักเหมือนเมื่อก่อน

ซึ่งเมื่อเราได้เห็นเทรนด์ที่ชัดเจน เรื่องการเก็บค่าธรรมเนียมต่าง ๆ เพิ่มขึ้น มันก็เป็นสัญญาณชัดเจนว่า ในอนาคต อะไรก็เกิดขึ้นได้ อาจจะขึ้นไปถึง 10% 20% ก็ได้ใครจะไปรู้ ซึ่งคล้ายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับแพลตฟอร์ม Ecommerce ของจีน หรือแม้กระทั่ง amazon ของอเมริกาที่บางหมวดหมู่มีค่าธรรมเนียมสูงถึง 20%++

เราจะเห็นได้ว่าพวกเขามีการสร้าง Ecosystem ที่ทำการชักจูงพฤติกรรมผู้บริโภคโดยใช้เงินทุนมหาศาลในการ ลด แลก แจก แถม แจกโปรโมชั่นกันอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งเป็นเงินที่ระดมทุนมาแทบจะทั้งสิ้น ซึ่งเห็นได้จากตัวเลขการขาดทุนมหาศาลมาหลายปีแล้วของแพลตฟอร์มต่าง ๆ เหล่านี้

เพราะฉะนั้น สิ่งที่พ่อค้าแม่ค้า โดยเฉพาะเหล่าพ่อค้าคนกลางทั้งหลาย ควรทำกับแพลตฟอร์มเหล่านี้ คือ รีบโกยมาให้มากที่สุด ให้เร็วที่สุด และควรหาทางเลือกสำรองไว้ ที่เราสามารถ control ทุกอย่างได้บ้าง ตัวอย่างเช่น การสร้างเว๊บไซต์ของตัวเองขึ้นมาแทน เพราะยังไงหากเป็นบ้านของตัวเองก็ไม่มีใครสามารถมาเปลี่ยนอะไรเราได้อยู่แล้ว

แล้วเปลี่ยนมุมมองกับพวกแพลตฟอร์ม ต่าง ๆ เหล่านี้ ที่เรากำลังพึ่งพานั้นเป็นเพียงช่องทางหนึ่งในการขายเพียงเท่านั้น อย่ามองเป็นช่องทางทำรายได้หลักเด็ดขาด เพราะวันนึงพวกเขาจะเปลี่ยนนโยบายอะไรก็ได้ เราไม่สามารถที่จะ control อะไรได้เลย

ตัวอย่างมีให้เห็นมากมายแล้วที่อยู่ดี ๆ ก็เปลี่ยน policy ต่าง ๆ มากมาย ซึ่งสุดท้ายเราก็อยู่ไม่ได้ อย่างเช่นในแพลตฟอร์ม ใหญ่ ๆ หลายแห่งที่เคยทำมาก่อนหน้านี้ เช่น Facebook ที่ปรับการเข้าถึง รวมถึงค่าโฆษณาที่แพงขึ้นอย่างมหาศาล

ซึ่งตอนนี้ในตลาด Marketplace มันก็ได้ส่งสัญญาณชัดเจนแล้วว่า มันถึงเวลาที่พวกเขาต้องกอบโกยเงินกลับ หลังจากที่ได้ถลุงเงินไปจำนวนมหาศาลเป็นเวลานานมากแล้วนั่นเองครับผม

Credit Image : disruptive.asia