Nielsen กับการปรับตัวครั้งใหญ่ เมื่อตลาด TV Rating มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์กำลังตกอยู่ในความเสี่ยง

ถ้า Google คือ การค้นหาทางอินเทอร์เน็ต Facebook คือแพลตฟอร์มสำหรับเครือข่ายโซเชียลมีเดีย สำหรับ Nielsen เอง พวกเขาคือเจ้าพ่อแห่งวงการจัด Rating TV

Nielsen มีอำนาจอิทธิพลมาตั้งแต่ยุคเริ่มต้นของวงการโทรทัศน์ จวบจนถึงทุกวันนี้ กว่า 99 ปีแล้วที่พวกเขาผูกขาดในการวัดจำนวนผู้ชมที่ตัดสินว่าละครหรือรายการทีวีเรื่องใด จะถูกปรับออกจากผังหรือได้ไปต่อ

Nielsen เองได้อาศัย กล่องวิเศษ ที่ติดตั้งในกลุ่มประชากรแบบสุ่ม และคอยตรวจสอบว่าใครในครอบครัวกำลังดดูทีวีช่องไหนอยู่

รายรับต่อปีของพวกเขาอยู่ที่ประมาณ 3.5 พันล้านดอลลาร์ แต่มีอำนาจเหนือ 95% ของเวลาออกอากาศทางเคเบิลทั้งหมดในอเมริกา

แต่ทุกวันนี้ อาณาจักรที่ดูโบราณคร่ำครึ กำลังถูกท้าทายอย่างหนัก เกิดเรื่องอื้อฉาวนับไม่ถ้วน ลูกค้าหลายรายก็ถอนตัวออกไปเพราะมองว่า Nielsen นั้นโบราณเกินไปที่จะทำหน้าที่เป็นมาตรฐานวงการทีวีในทุกวันนี้ที่เทคโนโลยีมันก้าวล้ำไปถึงไหนต่อไหนแล้ว

ในขณะเดียวกันบริการอย่าง Streaming ที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดดนั้น พวกเขาไม่แคร์ Nielsen แต่อย่างใด เพราะพวกเขาสามารถวัดยอดผู้ชมได้แบบถูกต้อง 100% จากฐานผู้ใช้งานจริง ๆ ไม่ต้องสุ่มข้อมูลด้วยข้ออ้างทางสถิติ

ความน่าสนใจที่เกิดขึ้นในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่ง Nielsen ได้กล่าวว่า 9,400 กล่องจากทั้งหมด 41,000 ครัวเรือนที่มีกล่องวิเศษดังกล่าวในอเมริกา หรือเกือบหนึ่งในสี่ของทั้งหมดนั้น รายงานข้อมูลการรับชมผิดพลาดในช่วงตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2020 ถึง กุมภาพันธ์ 2021

แล้วมันเกิดอะไรขึ้น เมื่อ Rating ที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้มาอย่างยาวนาน แต่กลับรายงานผิดพลาดได้ถึงเพียงนี้ และมันส่งผลต่ออุตสาหกรรมโดยเฉพาะด้านการโฆษณาอย่างมหาศาล

Nielsen เองได้โทษไปที่ โรคระบาด ซึ่งโดยปกติครัวเรือนที่ได้รับการคัดเลือกเหล่านี้จะได้รับการบำรุงรักษาเครื่องวัด Rating เป็นประจำต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน

แต่บริษัทได้เลื่อนการเข้าตรวจสอบออกไปนับครั้งไม่ถ้วน เนื่องจากต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของ CDC และหลีกเลี่ยงการส่งพนักงานไปอยู่ในสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงที่อาจจะทำให้ลูกค้าของพวกเขาติดเชื้อ COVID-19

แน่นอนว่าทำให้เหล่าลูกค้าที่ใช้บริการ Rating ของ Nielsen นั้นเกิดความเสียหาย ซึ่งพวกเขาก็ได้ทักท้วงไปยัง David Kenny ซึ่งเป็น CEO ของ Nielsen ว่าจำนวนผู้ชมที่ลดลงอย่างรวดเร็วนั้นไม่น่าจะเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง

มันเป็นไปไม่ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ผู้คนต้องอยู่กับบ้านจากการ lockdown ที่เกิดขึ้น จำนวนผู้ชมไม่น่าจะมีการลดลง ซึ่งท้ายที่สุด Kenny ก็ออกมายอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น

แม้จะไม่มีตัวเลขยืนยันความชัดเจนจากความเสียหายที่เกิดขึ้น แต่มันได้สร้างความโกรธเคืองขึ้นกับเครือข่ายทีวีทั้งหลายที่อาศัย Rating ของ Nielsen เป็นหลัก

ตอนนี้มันได้เกิดรูปแบบของบริการ Streaming ที่สามารถวัดยอดวิวได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ไม่ต้องมาประมาณโดยใช้รูปแบบของสถิติทางด้านคณิตศาสตร์เหมือนที่ Nielsen ทำ

ในเดือนสิงหาคม 2020 Dazid Zaslav ที่เป็น CEO ของ Discovery ซึ่งใช้บริการของ Nielsen เป็นตัววัด Rating มานานแสนนานรู้สึกโกรธจัดจากความผิดพลาดในครั้งนี้ รวมถึง กล่าวถึงความล้าหลังของ Nielsen ที่มีเทคโนโลยีล้าหลัง ทั้งที่ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว

Dazid Zaslav ที่เป็น CEO ของ Discovery รู้สึกโกรธจัดจากความผิดพลาดที่เกิดขึ้น (CR:FT)
Dazid Zaslav ที่เป็น CEO ของ Discovery รู้สึกโกรธจัดจากความผิดพลาดที่เกิดขึ้น (CR:FT)

สำนักโฆษณาวีดีโอ (VAB) ซึ่งเป็นสมาคมของเครือข่ายและเคเบิลที่คอนติดตามการวัดจำนวนผู้ชมโทรทัศน์ กล่าวหา Nielsen ต่อสาธารณชนในเรื่องการย่อจำนวนผู้ชมของเครือข่ายอย่างเป็นระบบ

พวกเขาได้แจ้งต่อ Media Ratings Council (MRC) ซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่แสวงหาผลกำไรที่กำหนดมาตรฐานการให้คะแนน ให้ถอดการรับรอง Nielsen สำหรับเคเบิลทีวีและทีวีออกไป

“Nielsen ทำสามสิ่ง คือ ปฏิเสธ เบี่ยงเบน และหน่วงเวลา” Sean Cunningham หัวหน้าของ VAB กล่าว

ซึ่งท้ายที่สุด Nielsen ก็ออกมายอมรับความผิดพลาด ซึ่งในช่วงเวลานั้นเพียงอย่างเดียวมีเม็ดเงินโฆษณาแพร่สะพัดถึง 1.6-2.3 พันล้านดอลลาร์ และสร้างความสูญเสียมากถึง 5% จากความผิดพลาดที่เกิดขึ้นครั้งนี้

แต่ก็ต้องบอกว่าจุดอ่อนของบริการ Streaming ก็คือการแสดงโฆษณาที่น้อยมาก ๆ ทั้ง Netflix , Amazon Prime และ Disney Plus แทบจะไม่มีโฆษณาเลย

มีเพียงบริการกลุ่มเล็ก ๆ เท่านั้นที่แสดงโฆษณา เช่น Youtube หรือ Hulu ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาไม่สามารถที่จะแสดงโฆษณาได้มากเท่ากับสิ่งที่เกิดขึ้นในวงการทีวีอย่างแน่นอน

มีเพียง 5% ของเวลาโฆษณาทางทีวีทั้งหมดที่ได้ไปปรากฎบนบริการ Streaming เหล่านี้ แม้ว่าพวกเขาจะมีส่วนแบ่งเวลาในการรับชมเกือบ 28% ก็ตาม และ 95% ของนาทีโฆษณาทั้งหมดยังคงปรากฎอยู่ในทีวีแบบเดิม ๆ อยู่ แม้ว่าคนดูจะเริ่มน้อยลงไปมากก็ตามที

ซึ่งแม้จำนวนผู้ชมจะลดจำนวนลงไป แต่ผู้โฆษณารายใหญ่ก็ไม่ได้ตัดงบประมาณในการโฆษณาจากทีวีแบบดั้งเดิม ซึ่งทีวียังเป็นสื่อที่มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับสปอตโฆษณาที่ให้ความรู้สึกดี และ ราคาแพง ซึ่งสร้างความภักดีต่อแบรนด์ให้กับแบรนด์สินค้ายักษ์ใหญ่ทั่วโลก

แต่ในทางกลับกัน ฐานลูกค้าของบริการ Streaming นั้นมักจะอายุน้อยกว่า และมีรายได้สูงกกว่าผู้รับชมทางทีวีหรือเคเบิลแบบเดิม ๆ ซึ่งผู้โฆษณาต้องจ่ายเงินมากกว่าหากต้องการลงโฆษณาในบริการ Streaming เหล่านี้

เมื่อ Nielsen ชิง Disrupt ธุรกิจตัวเองก่อน

Nielsen ได้วัดสิ่งที่คนอเมริกันมากกว่า 300 คนดูทางทีวีโดยการสำรวจความคิดเห็นจากกลุ่มตัวอย่างเพียงแค่ 41,000 ครัวเรือน ซึ่งการกระจายกลุ่มของผู้ชมที่เริ่มกว้างขึ้นจากการเกิดขึ้นของบริการ Streaming ทำให้ Nielsen ต้องมีการปรับเปลี่ยนครั้งสำคัญ

Nielsen กล่าวว่า “ขนาดกลุ่มตัวอย่างของเราที่สามารถวัดได้มีขนาดเล็กเกินไป”

Kenny เชื่อว่าทางออกที่ดีที่สุดคือการ Disrupt ตัวเอง และวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ผู้ลงโฆษณาเข้าถึงผู้ชมทั้งหมดที่เหมาะสมได้ คือการรวบรวมข้อมูลขนาดใหญ่เข้ากับข้อมูลเชิงลึกครัวเรือนรายครัวเรือนอย่างใกล้ชิด สร้างเป็น Big Data ขนาดใหญ่แล้วนำมาประมวลผลด้วยเทคโนโลยี AI

David Kenny CEO ของ Nielsen ที่ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับบริษัท (CR:Nexttv)
David Kenny CEO ของ Nielsen ที่ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับบริษัท (CR:Nexttv)

Nielsen ได้เพิ่มฐานข้อมูลด้วยข้อมูลจากสามแหล่งหลัก อย่างแรกคือจำนวนผู้ชมจากบริการเคเบิลทีวีและดาวเทียม จากผู้ให้บริการเคเบิล เช่น Comcast และ Charter และบริการทีวีดาวเทียม DirectTV และ Dish

ข้อมูลส่วนที่สองมาจากสมาร์ททีวี ซึ่งผู้ผลิตฮาร์ดแวร์เช่น Vizio , LG และ Samsung รวมถึง Roku ที่มีระบบปฏิบัติการในตัว ใช้เทคโนโลยี ACR เพื่อกำหนดว่ารายการใดแสดงโฆษณาใด และผู้ชมกำลังดูสิ่งใดอยู่ แหล่งที่สามคือตัวเลขจากเจ้าของแอป Streaming เช่น Roku , Tubi และ Youtube

ทั้งหมดนี้ Nielsen กรองข้อมูลจากกล่องรับสัญญาณและสมาร์ททีวี 100 ล้านเครื่อง และ Nielsen ได้สร้างแบบจำลองคอมพิวเตอร์ที่ปรับใช้เทคโนโลยีทางด้าน AI และ Machine Learning เพื่อเรียนรู้ว่าผู้ชมอาศัยอยู่ที่ใดโดยการซื้อข้อมูลที่อยู่จากผู้ให้บริการเคเบิลและบริการ Streaming

Nielsen ยังซื้อข้อมูลการตลาดจากแหล่งต่าง ๆ ตั้งแต่ผู้จัดพิมพ์นิตยสารไปจนถึงผู้ให้บริการด้านสุขภาพ เพื่อช่วยประเมินว่าชุดข้อมูลของผู้ชมประกอบด้วยผู้หญิงที่เพิ่งแต่งงานใหม่หรือเจ้าของบ้านที่สูงอายุมากเพียงใด

ข้อมูลทั้งหมดนั้นทำงานผ่านอัลกอริธึมที่มีความซับซ้อน ช่วยให้ Nielsen แนะนำผู้โฆษณาเกี่ยวกับวิธีที่ดีที่สุดในการเข้าถึงผู้ชมที่พวกเขาต้องการ

ซึ่งโมเดลนี้ทำหน้าที่สำคัญสองประการ อย่างแรก Machine Learning จะเรียนรู้จากข้อมูลใหม่เพื่อคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการรับชมได้อย่างแม่นยำ

ตัวอย่างเทรนด์ล่าสุดที่ Nielsen พบก็คือ ครอบครัวที่ดูกีฬาสดในตอนเย็นจะ Stream Hulu หรือ Youtube มากขึ้นในตอนบ่ายก่อนที่จะเปลี่ยนไปเล่นเกมทางเคเบิลทีวี

แบบจำลองของ Nielsen สามารถคาดการณ์ได้ว่าแนวโน้มดังกล่าวจะเกิดขึ้นเมื่อใด โดยแนะนำให้ผู้ซื้อโฆษณา ซื้อเวลาในบริการ Streaming ก่อนงานใหญ่ ๆ ที่จะเกิดขึ้น

ส่วนที่สอง ข้อมูลขนาดใหญ่เหล่านี้อาจไม่ได้บอกว่าใครที่กำลังดูอยู่ที่บ้านที่อาจะเป็น พ่อ แม่ ปู่ ย่า ลูก หลาน ซึ่ง AI และ Machine Learning สามารถให้ความน่าจะเป็นที่ชัดเจนว่าใครเป็นผู้รับชมที่แท้จริงในเวลาที่กำหนด

ต้องบอกว่าการบูมขึ้นของบริการ Streaming และ ความล้มเหลวของ Nielsen นั้นทำให้คู่แข่งของพวกเขาแข็งแกร่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Comscore , 605 , TVSquared และ VideoAmp

นั่นเองที่ทำให้ Nielsen ต้องมีการเร่งปรับตัวครั้งใหญ่ในครั้งนี้ ซึ่งสุดท้ายรูปแบบการนับผู้ชมแบบใหม่นี้ซึ่งครอบคลุมทั้งทีวีและ บริการ Streaming ได้กลายมาเป็นบริการที่มีชื่อว่า Nielsen ONE

โดย Nielsen จะมีอายุครบ 100 ปีเมื่อเปิดตัว Nielsen ONE ซึ่ง Kenny เดิมพันว่าความสามารถใหม่ของ Nielsen ในการวัดจำนวนผู้ชมแบบดิจิทัลของสื่อได้ดีกว่าใคร ๆ จะทำให้การครบรอบ 100 ปีไม่ใช่เพียงแค่การย้อนรำลึกถึงอดีตเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่จะเป็นการเฉลิมฉลองการเกิดใหม่ของพวกเขาด้วยนั่นเองครับผม

References :
https://www.adweek.com/convergent-tv/nielsen-expands-nielsen-one-alpha/
https://fortune.com/2022/02/28/nielsen-ratings-streaming-advertising-david-kenny/
https://www.adexchanger.com/platforms/watch-out-nielsen-one-comscore-is-busily-building-a-unified-cross-platform-measurement-offering-of-its-own/
https://global.nielsen.com/news-center/2020/the-future-of-media-starts-with-nielsen-one/


Geek Monday EP140 : เมื่อ Covid ผ่านพ้นไปแต่ Amazon กำลังเจอวิกฤติครั้งใหญ่ที่สุดของบริษัท

ไม่น่าแปลกใจเลยที่การขยายด้านลอจิสติกส์และคลังสินค้าที่บ้าคลั่งของ Amazon ในช่วงสองปีที่ผ่านมาเริ่มต้นขึ้นนับตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของการระบาดใหญ่ของ covid-19 บริษัทตระหนักดีว่าพวกเขาได้รับผลประโยชน์แบบเต็ม ๆ จากการล็อกดาวน์ที่จะกระตุ้นความต้องการซื้อของออนไลน์เพิ่มมากขึ้น

เมื่ออัตราเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย และสงครามยูเครนที่ทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้น  การขยายกิจการที่มากเกินไปจนเกินกำลัง เพิ่มต้นทุนให้กับ Amazon สูงถึง 2 พันล้านดอลลาร์ ผลักดันให้ตัวเลขงบดุลกลายเป็นสีแดง งานที่ยิ่งใหญ่ต่อไปของ CEO คนใหม่อย่าง Andy Jassy คือการบีบค่าใช้จ่ายเหล่านั้นออกไป

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/3IIGsLw

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/3IOa1v9

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
https://bit.ly/3aIy7Lg

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/3yFqSvq

🎧 ฟังผ่าน Youtube : 
https://youtu.be/MaCnGluYsh4

Geek Daily EP134 : Uber x Lobbyist กับจ่ายเงินให้นักวิชาการสำหรับการวิจัยเพื่ออุดปากรัฐ

Uber จ่ายเงินให้ กับนักวิชาการที่มีชื่อเสียงในยุโรปและอเมริกาหลายแสนเหรียญสหรัฐฯ เพื่อสร้างรายงานที่สามารถนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญวิ่งเต้นของบริษัทให้กับรัฐบาลและหน่วยงานกำกับดูแลต่าง ๆ ได้

เอกสารหลุดที่ถูกปล่อยออกมาหลายพันฉบับที่รั่วไหลไปยัง Guardian เปิดเผยข้อตกลงจำนวนเงินมหาศาลกับนักวิชาการชั้นนำหลายคนที่ได้รับค่าจ้างเพื่อเผยแพร่งานวิจัยเกี่ยวกับประโยชน์ของแบบจำลองทางเศรษฐกิจ และข้อดีต่างๆ ของแพลตฟอร์ม Uber

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/3OcmHNB

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/3aJWwQF

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
https://bit.ly/3PwzUBN

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/3RGUb9A

🎧 ฟังผ่าน Youtube : 
https://youtu.be/4zybizWF87k

Credit Image : https://www.newsworks.org.uk/news-and-opinion/guardian-investigation-into-uber-files-examines-companys-expansion-practices/

Hushpuppi จากอินฟลูเอนเซอร์ผู้ติดตาม 2.5 ล้านคนบนอินสตาแกรมสู่นักฉ้อโกงระดับโลก

Ramon Abbas ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในหมู่ผู้ติดตาม Instagram กว่า 2.5 ล้านคนของเขาในชื่อ Hushpuppi ถูกหมายหัวจาก FBI ให้เป็นหนึ่งในอาชญากรฉ้อโกงที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก

ชายหนุ่มวัย 38 ปี เริ่มต้นอาชีพของเขาใน Oworonshoki ซึ่งเป็นพื้นที่ชายฝั่งทะเลที่แสนยากจนทางตะวันออกเฉียงเหนือของลากอส เมืองหลวงของประเทศไนจีเรีย

ในวัยเด็ก Abbas ทำงานอยู่กับแม่ของเขาในตลาด Olojojo โดยพ่อของเขาเป็นคนขับแท็กซี่

แต่อยู่ดี ๆ ผู้คนรอบข้างต่างตกใจในความมั่งคั่งของเขา ที่เปลี่ยนชีวิตจากคนชายขอบให้กลายเป็นมหาเศรษฐี

ซึ่งท้ายที่สุดทุกคนก็รู้ที่มาของความมั่งคั่งลึกลับของเขา เพราะเขาเป็นอาชญากรทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นอาชีพที่แพร่หลายมาก ๆ ในประเทศไนจีเรีย

“Yahoo Boys” เป็นฉายาที่ใช้แทนเหล่านักตุ้มตุ๋น โดยเฉพาะการใช้รูปแบบของ Romance Scam

Romance Scam คือ การหลอกให้หลงรัก หลอกให้เชื่อว่ารัก หลอกให้เชื่อใจ ให้ความหวังว่าจะแต่งงาน ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันตลอดไป และใช้ความรักความเชื่อใจหรือความหวังของเหยื่อเพื่อแสวงหาประโยชน์

โดยจะเป็นการหลอกให้โอนเงินหรือทรัพย์สินอื่น ๆ ไปให้ หลอกให้กระทำผิดบางอย่าง เช่น ขนส่งยาเสพติดหรือสิ่งผิดกฎหมาย ปลอมแปลงเอกสาร เมื่อเหยื่อเริ่มรู้ตัว คนร้ายก็จะหนีหาย ทิ้งให้เหยื่อเสียทั้งเงินและเสียทั้งใจ

คนร้ายที่เข้ามาหลอกลวงเหยื่อนั้น มักจะใช้รูปภาพของบุคคลอื่นที่ดูดี หล่อ สวย น่าเชื่อถือ มักใช้ภาพที่มีการแต่งกายดูดี ภูมิฐาน เพื่อให้เหยื่อเชื่อใจจากภาพลักษณ์ที่เห็น

ซึ่งเช่นเดียวกับ Yahoo Boys หลาย ๆ คน Abbas ก็ได้ขยายขอบเขตของการหลอกลวงมากยิ่งขึ้น เขาได้ย้ายไปยังกัวลาลัมเปอร์ประเทศมาเลเซียในปี 2014 จากนั้นก็ไปที่ดูไบในปี 2017

ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2019 เขาได้พยายามฟอกเงิน 13 ล้านยูโร ที่ขโมยโดยกลุ่มแฮกเกอร์ชาวเกาหลีเหนือไปยังธนาคารในมอลตา

ถัดมาในเดือนพฤษภาคมปีเดียวกัน Abbas ได้เปิดบัญชีของธนาคารในเม็กซิโก โดยรับเงินผ่านการ scammer จากสโมสรฟุตบอลในพรีเมียร์ลีกของอังกฤษกว่า 100 ล้านปอนด์ และ อีก 200 ล้านปอนด์ จากบริษัทอีกแห่งหนึ่งในสหราชอาณาจักร

การดำเนินการของเขาทำโดยการหลอกลวงผ่าน Business Email Compromise (BEC) ซึ่งเป็นการโจมตีผ่านทางรูปแบบของอีเมล

เขากระทำการด้วยวิธีการที่เรียบง่ายอย่างเหลือเชื่อ ด้วยการเปลี่ยนแปลงการชำระเงินผ่านอีเมลปลอมที่ดูเหมือนว่าจะมาจากเดียวกับเหล่าซัพพลายเออร์ แต่มีเพียงตัวอักษรหรือตัวเลขเดียวเท่านั้นที่มีความแตกต่างกัน

ในอีเมลนั้น scammer จะแสร้งทำเป็นซัพพลายเออร์ที่รอการชำระเงิน ซึ่งจะหลอกโดยการบอกว่ามีการเปลี่ยนแปลงธนาคาร ดังนั้นการชำระเงินจะถูกโอนไปยังบัญชีอื่นตามรายละเอียดที่พวกเขาให้

พนักงานบัญชีถูกหลอกให้คิดว่าเป็นคำขอที่ถูกต้องจากซัพพลายเออร์ และด้วยการคลิกเมาส์เพียงคลิกเดียว เงินจำนวนมหาศาลก็จะมลายหายไปในกลีบเมฆแบบทันที

การหลอกลวงคร้ังใหญ่ครั้งสุดท้ายของ Abbas เกิดขึ้นในกาตาร์ Abbas ได้ปลอมตัวเป็นนายธนาคารในนิวยอร์กเพื่อหลอกล่อเหยื่อของเขา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจชาวกาตาร์

เขาได้ใช้วิธีการปลอมแปลงการจัดหาเงินทุนของโรงเรียนโดยปลอมเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารและสร้างเว็บไซต์ปลอมเพื่อโน้มน้าวให้นักธุรกิจชาวกาตาร์ให้เงินกับเขา

ระหว่างเดือนธันวาคม 2019 ถึง กุมภาพันธ์ 2020 Abbas และแก๊งของเขาที่อยู่ทั้งในเคนยา ไนจีเรีย และ สหรัฐอเมริกา ทำการหลอกล่อเหยื่อได้เงินมากกว่าหนึ่งล้านดอลลาร์

เงินบางส่วนได้ถูกนำไปฟอกด้วยการซื้อแบรนด์เนมสุดหรู นาฬิกาสุดแพง และเสื้อผ้าแบรนด์เนม ซึ่ง Abbas เองก็มาโชว์วิถีชีวิตของเขาผ่านแพลตฟอร์มอย่าง Instagram ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 2.5 ล้านคน

โพสต์ Instagram ของ Hushpuppi เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ที่หรูหราของเขาดึงดูดไลค์ได้หลายแสนคน (CR:Afrikbuzz)
โพสต์ Instagram ของ Hushpuppi เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ที่หรูหราของเขาดึงดูดไลค์ได้หลายแสนคน (CR:Afrikbuzz)

แต่ในไม่ช้า รอยร้าวในกลุ่มของ Abbas ก็ปรากฎขึ้น เมื่อสมาชิกคนหนึ่งขู่ว่าจะเปิดโปงการหลอกลวงทั้งหมดในขณะที่เขาไม่มีความสุขกับเงินที่เขาได้รับ

ซึ่งสมาชิกคนดังกล่าวได้ติดต่อไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจไนจีเรีย Abba Kyari และต้องการให้ Abbas ไปชดใช้กรรมในคุกให้สาสม

แต่กลายเป็นว่า Kyari ได้เข้าจับกุมและกักขังสมาชิกคนดังกล่าวในแก๊งค์ไว้เป็นเวลาหนึ่งเดือนในห้องขังของประเทศไนจีเรียที่แสนสกปรก

และท้ายที่สุดทุกอย่างก็เฉลยเมื่อ Kyari ก็เป็นที่ต้องการตัวในสหรัฐฯ ด้วยข้อหาฉ้อโกง การฟอกเงิน และการขโมยข้อมูลส่วนตัว ซึ่งก่อนหน้านี้เขาได้ปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับ Abbas

Abba Kyari ซึ่งมีชื่อเสียงในไนจีเรียในฐานะ
Abba Kyari ซึ่งมีชื่อเสียงในไนจีเรียในฐานะ “ตำรวจระดับสูง” ถูกสั่งพักงานและเป็นที่ต้องการตัวในสหรัฐฯ (CR:BBC)

ท้ายที่สุด Abbas ได้ถูกจับกุมในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในเดือนมิถุนายน 2020 หลังจากที่ตำรวจท้องที่บุกเข้าไปในอพาร์ตเมนต์ของเขาในดูไบ

พบของกลางเป็นเงินสดเกือบ 41 ล้านดอลลาร์ รถยนต์หรู 13 คัน มูลค่าประมาณ 6.8 ล้านดอลลาร์ และหลักฐานการโทรศัพท์และคอมพิวเตอร์ที่มีไฟล์ที่ใช้ในการฉ้อโกงมากกว่า 100,000 ไฟล์

ซึ่งในไฟล์เหล่านั้นมีข้อมูลของผู้ที่อาจจะตกเป็นเหยื่อเกือบสองล้านรายถูกพบในระหว่างการจับกุม

เขาถูกจับพร้อมกับชายชาวไนจีเรียอีกคนหนึ่ง Olalekan Jacob Ponle หรือที่รู้จักกันในชื่อ “Woodberry” ก่อนถูกส่งตัวให้กับตัวแทนของ FBI และถูกย้ายไปยังลอสแองเจลิสเพื่อเผชิญกับการพิจารณาคดีในข้อหาฟอกเงินและอาชญากรรมทางอินเทอร์เน็ต

ความจริงที่แสนเจ็บปวด

ต้องบอกว่าภัยร้ายอาชญากรรมออนไลน์ผ่านอินเทอร์เน็ตนั้น ได้ทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด

ไม่ว่าจะเป็นการมี bitcoin ที่ใช้ในการเก็บเงินและไม่สามารถ track ตามตัวได้ง่ายๆ นั้นก็เพิ่มความสะดวกให้เหล่าอาชญากรในเรื่องการจัดการทางด้านการเงิน

หรือแม้กระทั่งเทคโนโลยีอย่าง Deepfake ในตอนนี้ก็พัฒนาล้ำหน้าไปมาก จนสามารถ VDO Call ให้กลายเป็นคนอื่นได้แบบเนียน ๆ และอาชญากรโดยเฉพาะเหล่า Romance Scammer ก็สามารถหลอกเหยื่อได้ง่ายมากยิ่งขึ้น

ยิ่งเทคโนโลยีพัฒนาก้าวล้ำไปมากเท่าไหร่ เหล่าอาชญากรก็พัฒนารูปแบบในการหลอกลวง ฉ้อโกงได้ แนบเนียนมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ

ส่วนตัวผมก็คิดว่าเราก็ควรติดตามวิธีการหลอกลวงเหยื่อในรูปแบบใหม่ ๆ เหล่านี้ เพื่อที่เราจะไม่ตกเป็นเหยื่อแบบที่หลายๆ คนเคยประสบพบเจอที่สุดท้ายอาจจะต้องเสียทั้งน้ำตา และทรัพย์สินเงินทองไปแบบที่มิอาจย้อนกลับไปได้นั่นเองครับผม

References :
https://www.bbc.com/news/world-africa-58553109
https://edition.cnn.com/2021/07/29/africa/hushpuppi-pleads-guillty-fraud-intl/index.html
https://www.bloomberg.com/features/2021-hushpuppi-gucci-influencer/
https://www.etda.or.th/th/Knowledge-Sharing/Romance-Scam-in-IFBL-aspx.aspx

Geek Daily EP133 : เมื่อเด็กและวัยรุ่นใช้เวลาในการดู TikTok แซงหน้า YouTube เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เมื่อแพลตฟอร์มการรับชมวีดีโอ กำลังถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญเมื่อ เด็กและวัยรุ่นใช้เวลาดูวิดีโอบน TikTok มากกว่าบน YouTube ซึ่งอันที่จริงแล้วเป็นเช่นนี้ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2020 ซึ่งเป็นเดือนที่ TikTok เริ่มมีอันดับเหนือกว่า YouTube ในแง่ของจำนวนนาทีเฉลี่ยต่อวันที่กลุ่มคนอายุ 4 ถึง 18 ปีใช้เวลาในการเข้าถึงแพลตฟอร์มวิดีโอ ในเดือนนั้น TikTok แซงหน้า YouTube เป็นครั้งแรก เนื่องจากกลุ่มประชากรที่อายุน้อยเริ่มใช้ TikTok เฉลี่ย 82 นาทีต่อวัน เทียบกับเฉลี่ย 75 นาทีต่อวันบน YouTube

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา TikTok ยังคงครองส่วนแบ่งกลุ่มผู้ใช้ที่อายุน้อยกว่า และเมื่อถึงสิ้นปี 2021 เด็กและวัยรุ่นรับชม TikTok เฉลี่ย 91 นาทีต่อวัน เทียบกับเพียง 56 นาทีต่อวันที่ใช้ดู YouTube ทั่วโลก

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/3z5YAf9

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/3uObVGk

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
https://bit.ly/3IHxL4i

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/3yIpgBl

🎧 ฟังผ่าน Youtube : 
https://youtu.be/jFUN4NWX-UQ