Blood Oil ตอนที่ 10 : Who’s More Powerful

ด้วยภาระหน้าที่อันใหญ่หลวง ไม่ว่าจะเป็นเรี่องปัญหาในเครือราชวงศ์ การประชุมของรัฐบาล หรือ เหล่าบริษัทเทคโนโลยีที่กองทุน Vision Fund ได้เข้าไปลงทุน ที่มักจะมีการส่งข้อความด่วนผ่านทาง WhatsApp มาตลอดแทบจะทุกเวลาทำให้โมฮัมเหม็ดเองนั้นแทบจะไม่มีเวลาส่วนตัว

แต่ในเบเวอร์ลีฮิลส์ ซึ่งใบหน้าของเขาไม่ได้อยู่ในป้ายโฆษณาตามท้องถนนเหมือนในริยาด โมฮัมเหม็ดสามารถเดินเล่นไปรอบ ๆ ได้โดยที่แทบจะไม่มีคนรู้จัก เมื่อเดินเข้าไปร้านกาแฟหรือห้างสรรพสินค้าใด ๆ เขาก็เป็นเพียงแค่คนรวยอีกคนหนึ่งที่ได้รับความสุขจากการใช้ชีวิตที่ปรกติ

สองสามช่วงตึกจาก Rodeo Drive ในย่านเบเวอร์ลีฮิลล์ คือสำนักงานของ Ari Emanuel ผู้อำนวยการฝ่ายฮอลลีวูด ที่พยายามปิดดีลข้อตกลงมูลค่าครึ่งพันล้านดอลลาร์กับโมฮัมเหม็ดเพื่อให้ซาอุดิอาระเบียเข้าสู่ธุรกิจภาพยนตร์

ใกล้โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ โมฮัมเหม็ดได้เหมาห้อง 285 ห้อง ให้รูเพิร์ต เมอร์ด็อก ซึ่งจะเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อให้เจ้าชายได้พบกับมอร์แกน ฟรีแมน ไมเคิล ดักลาส และ ดเวย์น จอห์นสัน นักแสดงชั้นนำจากฮอลลีวูด

ต้องบอกว่าโมฮัมเหม็ดเป็นคนที่มีเสน่ห์ในการประชุม แม้กระทั่งเรื่องตลก ในการประชุมเล็ก ๆ ครั้งหนึ่ง เขาอธิบายถึงความชอบที่เขามีต่อรายการโทรทัศน์ชื่อดังอย่าง The Walking Dead ซึ่งซอมบี้ ทำให้เขานึกถึงพวกหัวรุนแรงอิสลาม และเขาก็ชื่นชอบซีรีส์ชื่อดังอย่าง Game of Thrones เช่นเดียวกัน แต่เขาได้กล่าวติดตลกว่าราชวงศ์ถูกฆ่าตายมากเกินไป

ต่อมาในเดือนเดียวกันซาอุดิอาระเบียมีการฉายภาพยนตร์เรื่องใหญ่เป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี ในภาพยนตร์เรื่อง Black Panther ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเปิดตัวโรงภาพยนตร์หลายร้อยแห่งและยุคใหม่แห่งความบันเทิงของซาอุดิอาระเบีย

Black Panther ภาพยนตร์เรื่องแรกในรอบหลายสิบปีที่เข้าฉายในซาอุดิอาระเบีย
Black Panther ภาพยนตร์เรื่องแรกในรอบหลายสิบปีที่เข้าฉายในซาอุดิอาระเบีย (CR:CNET)

ต้องบอกว่ามันเป็นอีกด้านหนึ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างบ้าคลั่งในปี 2018 เป็นปีที่โมฮัมเหม็ดผลักดันแผนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดด ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าเขาจะได้พบกับ ประธานาธิบดี ซีอีโอ และมหาเศรษฐีด้านเทคโนโลยีรวมถึง Elon Musk และ Bill Gates เพื่อประกาศต่อสาธารณชนถึงอนาคตที่เปิดกว้างและสร้างสรรค์สำหรับซาอุดิอาระเบีย

“ผู้นำอาหรับที่ทรงอิทธิพลที่สุด การเปลี่ยนแปลงด้วยด้วยมือเจ้าชาวหนุ่มวัย 32 ปี” พาดบนปกนิตยสารชื่อ The New Kingdom (ราคา 13.99 ดอลลาร์) ที่ปรากฏบนแผงขายหนังสือพิมพ์ทั่วสหรัฐอเมริกาก่อนการมาเยือนของเจ้าชาย

โมฮัมเหม็ดได้ดำเนินการอย่างจริงจังในการเรียกเก็บภาษีอากรในประเทศครั้งใหญ่ แม้มันจะเป็นนโยบายเศรษฐกิจที่น่าเบื่อในประเทศส่วนใหญ่ แต่ในอาณาจักรซาอุดิอาระเบียมันเป็นการปฏิรูปครั้งใหญ่แบบที่ผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลกสนับสนุน

ซาอุดิอาระเบียใช้เงินจากน้ำมันส่วนใหญ่ ที่ไม่ได้มาจากภาษีมาเป็นเวลานานหลายสิบปี เพื่อให้เป็นทุนให้กับรัฐบาลส่วนใหญ่ เป็นเพราะความกลัวราชวงศ์ว่าประชาชนจะตอบสนองต่อการเก็บภาษีในทางลบ

และการใช้จ่ายเงินหลายพันล้านดอลลาร์ของซาอุดิอาระเบียไม่ใช่จุดประสงค์หลักของการเดินทางไปยังสหรัฐอเมริกาในปี 2018 ของโมฮัมเหม็ด ในตอนนั้นเขาได้ดำรงตำแหน่งมกุฏราชกุมารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

โมฮัมเหม็ดคาดหวังว่าจะได้พบกับนักการเมืองและผู้นำทางธุรกิจและโน้มน้าวให้พวกเขาเข้ามาลงทุนในอาณาจักรซาอุดิอาระเบียที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเขา

ภายใต้การปกครองของเขา ซาอุดิอาระเบียจะไม่ใช่สถานที่ที่ผู้ประกอบการชาวอเมริกันเพียงแค่แสวงหาเงินทุนอีกต่อไป ตอนนี้โมฮัมเหม็ดได้ปฏิรูปเศรษฐกิจที่ทันสมัย ประชากรวัยหนุ่มสาว และความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมของซาอุดิอาระเบียจะทำให้ที่นี่กลายเป็นจุดหมายปลายทางของการลงทุนของชาวอเมริกันหลายพันล้านดอลลาร์

ทุกอย่างเริ่มต้นได้ดีที่ทำเนียบขาวในวันที่ 20 มีนาคม เกือบหนึ่งปีหลังจากการรับประทานอาหารกลางวันที่นั่นก่อนหน้านี้ ย้อนกลับไปตอนนั้นโมฮัมเหม็ดยังเป็นเพียงรองมกุฏราชกุมารและรับประทานอาหารร่วมกับประธานาธิบดีเพียงคนเดียวเท่านั้น เพราะนางอังเกลาร์ แมร์เคิล แขกคนสำคัญต้องมาล่าช้าเนื่องจากสภาพอากาศที่เลวร้าย

ปี 2018 โมฮัมเหม็ดได้กลายเป็นแขกที่มีเกียรติของโดนัลด์ ทรัมป์ ได้นำคณะผู้แทนของซาอุฯ เข้าไปในสำนักงานรูปไข่ โดนัลด์ ทรัมป์บอกกับโมฮัมเหม็ดว่าเขามีความกระตือรือร้นอย่างมากเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับซาอุดิอาระเบีย

“ตอนนี้คุณเป็นมากกว่ามกุฏราชกุมาร” ทรัมป์กล่าว

แต่ดูเหมือนมันเป็นการประจบประแจงโมฮัมเหม็ดเสียมากกว่า เพราะทรัมป์นั้นดูจะสนใจกับผลประโยชน์จากยอดขายอาวุธกว่า 12,500 ล้านดอลลาร์มากกว่าสิ่งอื่นใด

ทรัมป์มองเจ้าชายเป็นเพียงแค่กระเป๋าเงินสำหรับการใช้จ่ายที่เป็นประโยชน์ทางการเมืองของเขาเพียงเท่านั้น

“ซาอุดิอาระเบียเป็นประเทศที่ร่ำรวยมากและพวกเขากำลังจะส่งมอบความมั่งคั่งให้กับสหรัฐฯ” ทรัมป์กล่าวในคำปราศรัยต่อสาธารณะที่ออกโดยทำเนียบขาว

ต้องบอกว่ามันได้กลายเป็นความไม่ลงรอยกันระหว่างผู้นำทั้งสอง จากมุมมองของโมฮัมเหม็ดความมุ่งมั่นของซาอุดิอาระเบียในการสร้างความทันสมัยอย่างรวดเร็วและการสร้างฐานอุตสาหกรรมใหม่ ประชากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี และการเปิดกว้างใหม่สำหรับความบันเทิงแบบตะวันตก น่าจะทำให้บริษัทอเมริกันเข้ามาลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์

เหล่ากลุ่มนักธุรกิจแต่ละคนที่โมฮัมเหม็ดได้พบในสหรัฐอเมริกามีวิสัยทัศน์แค่ว่าเขาจะใช้เงินลงทุนก้อนใหญ่ของซาอุดิอาระเบียได้อย่างไร และไม่ค่อยมีใครพูดถึงการเอาเงินของตัวเองมาลงทุนในอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย

หัวหน้าสตูดิโอจากฮอลลีวูดหวังว่าโมฮัมเหม็ดจะสนับสนุนโครงการภาพยนตร์เรื่องใหม่ กลุ่มซิลิกอนวัลเลย์ต้องการเงินทุนในการขยายฟองสบู่ เช่น WeWork และแอปพลิเคชันเกี่ยวกับสุนัขอย่าง Wag

WeWork อีกหนึ่งฟองสบู่สตาร์ทอัพที่ต้องการเงินลงทุนจากเจ้าชาย
WeWork อีกหนึ่งฟองสบู่สตาร์ทอัพที่ต้องการเงินลงทุนจากเจ้าชาย (CR:Gaming Street)

ต้องบอกว่าเมื่อการเดินทางไปสหรัฐอเมริกาของเขาสิ้นสุดลงที่เมืองฮิวสตันในเดือนเมษายน โมฮัมเหม็ดมีความก้าวหน้าเพียงเล็กน้อยสำหรับเป้าหมายในการดึงดูดบริษัทอเมริกันให้มาลงทุนในซาอุดิอาระเบีย

แต่เขากลับเสียเงินมหาศาลในฐานะนักลงทุน โดยได้ลงทุนในสหรัฐฯ ไปกว่า 20,000 ล้านดอลลาร์ สำหรับอาวุธ โครงการปิโตรเคมี และการลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีและความบันเทิง ซึ่งรวมถึงการลงทุน 400 ล้านดอลลาร์ในบริษัท Endeavour ของ Ari Emanuel และ อีก 2 พันล้านดอลลาร์ใน Tesla

เขากลับไปที่ซาอุดิอาระเบียด้วยความกล้าที่จะดำเนินการปฏิรูปภายในประเทศที่มีความทะเยอทะยานมากขึ้น เขาพยายามผลักดันให้หนักยิ่งขึ้นเพื่อให้ดูเหมือนว่า บริษัทจากตะวันตกขนาดใหญ่ที่มีนวัตกรรมกำลังจะเข้ามาลงทุนในซาอุดิอาระเบีย

เขาตั้งเป้าไปที่ Jeff Bezos หลังจากที่เจ้าชายและผู้ก่อตั้ง Amazon รับประทานอาหารค่ำด้วยกันที่ LA พวกเขาได้แลกเปลี่ยนหมายเลขติดต่อกันและเริ่มการสนทนาทาง WhatsApp เป็นเวลานาน ในโครงการที่ Amazon จะลงทุน 2 พันล้านดอลลาร์สำหรับการสร้าง Datacenter สำหรับประมวลผลข้อมูลสำหรับลูกค้าในตะวันออกกลาง

สำหรับ Bezos เองนั้น ข้อตกลงดังกล่าวอาจจะเป็นการนำ amazon เข้าสู่ตลาดตะวันออกกลางที่มีการแข่งขันสูง สำหรับโมฮัมเหม็ดเองโครงการนี้อาจจะส่งผลต่อการจ้างงานในประเทศไม่มากนัก เพราะ Datacenter ส่วนใหญ่ใช้คนทำงานน้อย

แต่การที่คนที่ร่ำรวยที่สุดในโลกนำบริษัท ที่มีอำนาจมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกมาลงทุนในซาอุดิอาระเบีย จะเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีให้กับโมฮัมเหม็ด

หลังจากนั้นในอีกไม่กี่เดือน โมฮัมเหม็ดได้บอกกับ Bezos ผ่าน WhatsApp ถึงความตื่นเต้นเกี่ยวกับดีลนี้ และเขาก็เสียใจที่ Amazon เข้ามาลงทุนในซาอุดิอาระเบียช้าเกินไป โมฮัมเหม็ดได้บอกกับ Bezos ว่า Amazon ได้สร้างโรงงานในบาห์เรนที่อยู่ใกล้เคียงก่อนซาอุดิอาระเบียเสียอีก

แต่ตอนนี้พันธมิตรทั้งสองได้จับมือกัน เจ้าชายโมฮัมเหม็ดและ Bezos สามารถประกาศบนเวทีร่วมกันในปลายปีนั้นในการประชุมการลงทุนของริยาด ที่เรียกว่า Davos in the Desert

“มันสำคัญมาก การที่คุณมาลงทุนที่ซาอุดิอาระเบียในระหว่างการประชุมฟอรัมการลงทุนในอนาคต การประกาศความร่วมมือมูลค่า 2.8 พันล้านดอลลาร์ใน Vision 2030 เป็นสิ่งที่สำคัญกับอาณาจักรของผมมาก” โมฮัมเหม็ดกล่าวกับ Bezos ผ่าน WhatsApp

แต่เหตุการณ์ความวุ่นวายภายในบ้านดูเหมือนจะยังไม่จบสิ้น ในเดือนกันยายนปีเดียวกัน อาเหม็ด พี่ชายของกษัตริย์ซัลมานได้ปรากฏตัวต่อสาธารณะชนอย่างน่าประหลาดใจ เจ้าชายอาเหม็ดเป็นบุคคลที่อาจสร้างความหนักใจให้กับโมฮัมเหม็ด ซึ่งอาเหม็ดไม่เชื่อในทิศทางใหม่ของซาอุดิอาระเบีย

หลังจากที่กษัตริย์ซัลมานขึ้นครองราชย์ รัฐบาลได้จำกัดการเดินทางของอาเหม็ด แต่ในที่สุดเขาก็ได้ไปปรากฏตัวที่ลอนดอน ซึ่งกลุ่มผู้ประท้วงรวมตัวกันหน้าบ้านเขาเพื่อประท้วงการทิ้งระเบิดของซาอุดิอาระเบียในเยเมน

อาเหม็ดได้กล่าวกับผู้ประท้วงว่าอย่าโทษราชวงศ์อัล ซาอุดทั้งหมด ครอบครัวพวกเขาต้องการให้สงครามจบทันที ผู้ที่รับผิดชอบในการทิ้งระเบิดมีเพียงสองคนคือกษัตริย์ซัลมานและโมฮัมเหม็ดลูกชายของเขา

อาเหม็ดเป็นเพียงหนึ่งในสมาชิกราชวงศ์เพียงไม่กี่คนที่สามารถอ้างสิทธิ์อันชอบธรรมต่ออำนาจได้ ซึ่งการประชุมใหญ่ของเหล่าเครือราชวงศ์ อาเหม็ดควรจะเป็นหัวหน้าของ Allegiance Council ซึ่งเป็นหน่วยงานที่กำหนดสายการสืบทอดราชบัลลังก์

ในเวลาเดียวกันนั้นตัวแทนของซาอุดิอาระเบียกำลังดำเนินการเฝ้าระวังในประเทศแคนาดา ซึ่ง โอมาร์ อับดุลลาซิซ หนึ่งในกลุ่มต่อต้านราชวงศ์ ที่บัญชี Twitter ของเขาถูกเจาะโดยหน่วยงานของ Royal Court ของโมฮัมเหม็ด

ซึ่งทำให้คนของโมฮัมเหม็ดสามารถอ่านข้อความของ โอมาร์ และ จามาล คาชอกกี อีกหนึ่งนักข่าวที่เป็นปรปักษ์ต่อราชวงศ์เช่นเดียวกันได้ โดยคาชอกกีเป็นคอลัมนิสต์ให้กับสื่อชั้นนำที่ทรงอิทธิพลที่สุดในอเมริกา อย่าง วอชิงตัน โพสต์

โมฮัดเหม็ดได้พบสิ่งที่ทำให้เขาแทบช็อค ที่ทั้ง โอมาร์ และ คาชอกกี กำลังวางแผนลับ ๆ ในการรวมกลุ่มผู้ต่อต้านราชวงศ์อย่างเป็นระบบในแบบที่อาณาจักรซาอุฯ ไม่เคยประสบพบเจอมาก่อน

และมันได้นำมาซึ่งเหตุการณ์ อกสั่นขวัญผวา ที่มีความโหดเหี้ยมยิ่งกว่าในนิยาย แล้วเหตุการณ์นั้นคืออะไร มีความเกี่ยวข้องกับซาอุดิอาระเบียภายใต้อำนาจอันเด็ดขาดของโมฮัมเหม็ดอย่างไร โปรดอย่าพลาดติดตามต่อในตอนหน้านะครับผม

–> อ่านตอนที่ 11 : Cold Blood

ย้อนไปอ่านตั้งแต่ตอนแรก & Credit แหล่งข้อมูลบทความ