ประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก เมื่อเขาได้เดินทางมาถึง Ritz-Carlton ใจกลางกรุงริยาดเมืองหลวงของซาอุดิอาระเบีย เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม ปี 2017
การได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากพันธมิตรที่สำคัญ ด้วยการฉายภาพใบหน้าของเขาเองที่มีความสูงห้าสิบฟุต ซึ่งภาพดังกล่าวกำลังจ้องมองมาที่เขาอย่างเคร่งขรึม จากด้านหน้าหินทรายของโรงแรมอันหรูหราแห่งนี้
ถัดจากใบหน้าขนาดยักษ์ของทรัมป์ คือ ภาพของกษัตริย์ซัลมานที่ยิ้มอย่างอ่อนโยนโดยมีมือคู่หนึ่งประสานอยู่ตรงกลาง มันเป็นป้ายโฆษณาที่แทบจะติดในทั่วทุกมุมเมืองของริยาด “Together We Prevail” พร้อมภาพของพวกเขาเคียงข้างกัน ธงชาติอเมริกันและซาอุดิอาระเบียแขวนไว้รอบเมือง
นับเป็นการเยือนต่างประเทศครั้งแรกของทรัมป์ในฐานะประธานาธิบดี และซาอุฯ ปฏิบัติต่อเขาอย่างกับราชา โมฮัมเหม็ดจัดการเตรียมการมาเยือนครั้งนี้ของทรัมป์อย่างรอบคอบ ซึ่งเจ้าชายรู้ดีว่าจะจัดการกับทรัมป์อย่างไร
ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งนี้มันเป็นการส่งข้อความไปยังทั้งในประเทศและต่างประเทศว่า โมฮัมเหม็ดกำลังจะได้รับการสนับสนุนจากประเทศที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก
โมฮัมเหม็ดที่ตอนนี้อายุเกือบสามสิบเอ็ดปี ด้วยเส้นทางสู่บัลลังก์ของเขาที่ถูกกั้นโดยโมฮัมเหม็ดบินนาเยฟ ที่มีอายุมากกว่า แต่การสร้างความชอบธรรมให้กับราชบัลลังก์ซาอุดิอาระเบีย จำเป็นต้องมีการแสดงความเป็นผู้นำต่อสาธารณชน และการมาของทรัมป์คือประตูแห่งโอกาสของเขา
ทรัมป์และซัลมาน ได้นั่งโต๊ะเคียงข้างกันกลางห้องปูพรมขนาดยักษ์ โดยคณะผู้แทนของพวกเขานั่งเก้าอี้นวมที่ริมกำแพง ในขณะที่พวกเขากำลังลงนามในสิ่งที่ทรัมป์เรียกร้องข้อตกลงมูลค่า 350,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงการขายอาวุธ และการลงทุนของซาอุดิอาระเบีย ใน บริษัทใหญ่ ๆ ของสหรัฐเช่น BlackRock Inc.
ทรัมป์เองรู้สึกประทับใจ เขากับเมลาเนีย (สตรีหมายเลขหนึ่ง) รวมถึงกษัตริย์ซัลมาน และ อับเดลฟัตตาห์เอล – ซิซี ประธานาธิบดีเผด็จการของอียิปต์วางมือบนลูกโลกที่ส่องสว่างอยู่กลางห้อง
นาย นาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีมาเลเซียพยายามที่จะถ่ายภาพ เขาได้กลายเป็นศูนย์กลางของการสอบสวนครั้งใหญ่ของกระทรวงยุติธรรมเกี่ยวกับเงินหลายพันล้านดอลลาร์ที่ถูกขโมยไปจากกองทุนของมาเลเซีย และถูกกล่าวหาว่าใช้จ่ายไปกับบ้านที่ฟุ่มเฟือยรวมถึงลูกเลี้ยงของเขาด้วย
ดังนั้นรูปถ่ายกับประธานาธิบดีสหรัฐจะถูกส่งออกไปให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่บ้านเขาเขาได้เห็น เพื่อ ยื้อคะแนนเสียงที่ตกต่ำกลับมา
ช่างภาพของราชสำนักบันทึกภาพของผู้นำที่มารวมตัวกันรอบ ๆ ลูกโลก ทรัมป์ยิ้มเยาะ และซัลมานจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ว่างเปล่า โมฮัมเหม็ดเองไม่ได้อยู่ในงาน ปล่อยให้พ่อของเขาได้รับเครดิตกับสาธารณะชน
หลังจากนั้นพวกเขาได้ไปเยี่ยมชมศูนย์ต่อต้านการก่อการร้ายแห่งใหม่ของโมฮัมเหม็ดในวันนั้น โดยเข้าไปชมห้องที่ทันสมัย ซึ่งนักวิเคราะห์คอมพิวเตอร์ชาวซาอุดิอาระเบียราวสองร้อยคน กำลังใช้เทคโนโลยี “Artificial Intelligence” หรือ ปัญญาประดิษฐ์ เพื่อค้นหาผ่านเครือข่าย Social Media มองหาเบาะแสสำหรับเป้าหมายใหม่ที่อาจจะถูกโจมตี
สำหรับโมฮัมเหม็ดพิธีเหล่านี้มีความสำคัญน้อยกว่างานเลี้ยงอาหารค่ำที่เขาและภรรยาของเขาจัดให้ จาเร็ด คุชเนอร์ และ อิวานกา ทรัมป์ ภรรยาของเขา แม้เร็กซ์ ทิลเลอร์สัน รัฐมนตรีต่างประเทศก็อยู่ในคณะเดินทางนี้ด้วยเช่นกัน แต่ โมฮัมเหม็ดไม่ได้เชิญเขาแต่อย่างใด
มันเป็นแผนที่ชาญฉลาดของโมฮัมเหม็ด ที่จะสามารถขายวิสัยทัศน์ให้กับ คุชเนอร์ และ อิวานกา ทรัมป์ โดยเขาได้กล่าวกับ คุชเนอร์ในงานเลี้ยงอาหารค่ำว่า
“คนในรุ่นท่านพ่อ (กษัตริย์ซัลมาน) มองว่าในตอนนี้ประเทศก็มาไกลเกินความฝันของพวกเขาแล้ว” “แต่คนรุ่นลูกอย่างเรานั้นเห็นศักยภาพที่ไร้ขีดจำกัดของดินแดนแห่งนี้ และ เราไม่ค่อยอดทนกับมันซักเท่าไหร่”
โมฮัมเหม็ดได้บอกกับคุชเนอร์ เกี่ยวกับปัญหาของพวกเขากับกาตาร์ซึ่งเป็นประเทศเล็ก ๆ ที่อุดมด้วยก๊าซซึ่งครอบครองคาบสมุทรนอกชายฝั่งตะวันออกของซาอุดิอาระเบีย พวกเขากำลังพยายามทำตัวยิ่งใหญ่ในเวทีระหว่างประเทศ และทำให้ซาอุดิอาระเบียโกรธแค้น
สิ่งที่กาตาร์ทำให้สถานการณ์มันยิ่งแย่ลงอย่างนึงก็คือ การเริ่มต้นช่องข่าวต่างประเทศ Al Jazeera ซึ่งได้นำการสื่อสารแบบตะวันตกมาสู่ภูมิภาค นักข่าวหลายคนเคยเป็นผู้ผลิตของ BBC และบริษัทสื่อชื่อดังที่มีชื่อเสียงทั่วโลก
การรายงานข่าวของพวกเขาจะเกี่ยวกับการเมืองในภูมิภาคนี้ เป็นข้อมูลเชิงลึก เจาะลึก โดยพวกเขายังมีทีมสืบสวนสอบสวนที่นำโดยชาวอเมริกันอย่างเคลย์ตัน สวิชเชอร์ อดีตนาวิกโยธินซึ่งเคยทำหน้าที่เป็นผู้คุ้มกันที่กระทรวงการต่างประเทศในยุคของ แมเดลีน อัลไบรท์ และ โคลิน พาวเวล ก่อนที่จะหันเหชีวิตมาทางด้านอาชีพสื่อมวลชนที่เน้นในตะวันออกกลาง
เหล่าผู้นำตะวันออกกลางส่วนใหญ่ไม่พอใจที่สื่ออเมริกันและอังกฤษวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของพวกเขา และขุดคุ้ยเรื่องที่พวกเขาต้องการให้มันเงียบ ๆ พวกเขานึกไม่ออกว่าเหตุใดกาตาร์ต้องทำเช่นนี้
กาตาร์เองยังให้การสนับสนุนกลุ่มภราดรภาพมุสลิมซึ่งเป็นกลุ่มที่เติบโตขึ้นมาเป็นกองกำลังทีทรงพลังในตะวันออกกลางโดยมีความเกลียดชังต่อระบอบกษัตริย์ในอ่าว
โมฮัมเหม็ดแสดงทีท่าอย่างชัดเจนว่าพวกเขาขัดแย้งกับกาตาร์เป็นอย่างมาก ปัญหาของสหรัฐอเมริกาก็คือกาตาร์เป็นที่ตั้งฐานทัพอากาศที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกาในตะวันออกกลาง ในขณะที่ซาอุดิอาระเบียเป็นพันธมิตรที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯในภูมิภาคนี้ แต่กาตาร์มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์มากกว่าเมื่อพูดถึงเรื่องปฏิบัติการทางทหาร
กาตาร์มีขนาดเล็กเพียงเท่านิ้วหัวแม่มือที่ยื่นออกไปในอ่าวเปอร์เซีย แต่น้ำมันและก๊าซสำรองจำนวนมหาศาลและมีประชากรเพียงแค่ 2.6 ล้านคน ทำให้ประชากรของประเทศนี้มีเงินมหาศาลที่จะใช้จ่ายได้อย่างบ้าคลั่ง
ชาวกาตาร์มากมายได้ไปซื้อทรัพย์สินที่มีอยู่ทั่วโลก ทั้งสโมสรฟุตบอล รวมถึงห้างสรรพสินค้า Shard และ Harrods ในลอนดอน ฐานทัพสหรัฐฯ ในโดฮาสร้างขึ้นโดยใช้เงินทุนของรัฐกาตาร์และข้อตกลงดังกล่าวยังรวมถึงการใช้ไฟฟ้า น้ำมัน และก๊าซได้แบบไม่จำกัด ซึ่งเป็นข้อตกลงที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ให้กับสหรัฐฯ
จุดสุดยอดของการประชุมในครั้งนี้คือสุนทรพจน์ของทรัมป์ ก่อนหน้านี้ โอบามาเคยได้กล่าวสุนทรพจน์ที่น่าจดจำที่สุดครั้งหนึ่งของเขาที่มหาวิทยาลัย Al-Azhar ที่กรุงไคโรซึ่งเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ศาสนาอิสลามนิกายสุหนี่ในโลกอาหรับเมื่อแปดปีก่อน
ซึ่งโอบามาได้บอกกับผู้ฟังทั้งนักวิชาการและนักการเมืองว่า เขาจะมาเพื่อแสวงหาจุดเริ่มต้นใหม่ระหว่างสหรัฐอเมริกาและชาวมุสลิมทั่วโลก โดยมีพื้นฐานมาจากผลประโยชน์ร่วมกันและความเคารพซึ่งกันและกัน และอีกสิ่งหนึ่งบนพื้นฐานของความจริงที่ว่าอเมริกาและอิสลามไม่จำเป็นต้องแข่งขันกัน
ส่วนทรัมป์ได้ขึ้นพูดในห้องประชุมที่หรูหราพร้อมโคมไฟระย้าคริสตัลที่ Ritz-Carlton โดยเขาไม่ได้ขอโทษและอธิบายถึงความขัดแย้งต่อหน้าชาวอาหรับ เพราะเขากล่าวถึงการต่อสู้ระหว่างอาชญากรป่าเถื่อนที่พยายามจะลบล้างชีวิตมนุษย์และผู้คนที่มีเกียรติของทุกศาสนาที่ต้องการปกป้องมัน เขากล่าว “นี่คือการต่อสู้ระหว่างความดีและความชั่ว”
ต่อมาในคำปราศัยของเขาที่ทำให้ทั้งห้องประชุมรู้สึกอึ้งไปตาม ๆ กัน “อนาคตที่ดีกว่าจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อประเทศของพวกคุณขับไล่ผู้ก่อการร้ายและพวกหัวรุนแรงออกไป ขับไล่พวกเขาออกจากสถานที่สักการะบูชาของคุณ ขับเคลื่อนพวกเขาออกจากชุมชนของคุณ ขับไล่พวกเขาออกจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของคุณ และ ขับไล่พวกเขาออกไปจากดินแดงแห่งนี้”
แต่การมาครั้งนี้ของทรัมป์นั้น โมฮัมเหม็ดได้พันธมิตรใหม่ที่สำคัญ นั่นก็คือลูกเขยอย่าง จาเร็ด คุชเนอร์ โมฮัมเหม็ดได้ไปเข้าร่วมงานต่าง ๆ มากมายสำหรับการประชุมทางธุรกิจที่จัดขึ้นควบคู่กันไปกับการประชุมสุดยอดของผู้นำอาหรับ
ทรัมป์ได้นำ CEO และผู้บริหารระดับสูงชาวอเมริกันจำนวนสามสิบคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้บริจาคให้กับการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งของเขา
และนับเป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นที่สุดสำหรับเหล่าผู้บริหารระดับสูงและบรรดานายธนาคารต่าง ๆ ที่เข้าร่วมการเสนอขายหุ้นของ Aramco ซึ่งมูลค่ารวมกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งค่าธรรมเนียมทั้งหมดของงานนี้อาจจะสูงถึงหนึ่งพันล้านดอลลาร์เลยทีเดียว
และสุดท้ายก่อนเดินทางกลับอเมริกา ทรัมป์ได้ประกาศข้อตกลงธุรกิจมูลค่ากว่า 200,000 ล้านดอลลาร์ และการซื้ออาวุธมูลค่ากว่า 110,000 ล้านดอลลาร์ มันเป็นข้อตกลงที่ดูเหมือนจะ WIN-WIN โมฮัมเหม็ดได้หน้าไปเต็ม ๆ กับงานนี้ ส่วนฝั่งอเมริกาโดยทรัมป์นั้น แน่นอนว่านโยบายหลักของเขา America First ก็ทำสำเร็จจากการเยือนครั้งแรกของเขาด้วยข้อตกลงมหาศาลขนาดนี้ ที่มีมูลค่ามากกว่า GDP ของกรีซในปี 2017 เสียอีก
แถมฝั่งนักธุรกิจ โมฮัมเหม็ดก็พยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับนักธุรกิจที่อยู่ใกล้ตัวทรัมป์ ได้ทำข้อตกลงต่าง ๆ มากมายเช่น การตั้งกองทุนเพื่อการลงทุนสาธารณะ และบริจาคเงิน 20,000 ล้านดอลลาร์ให้กับกองทุนโครงสร้างพื้นฐานพิเศษ ซึ่งส่วนใหญ่จะอุทิศให้กับโครงการในสหรัฐ
แต่ก็ต้องบอกว่ามันเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ของโมฮัมเหม็ด ที่ทำให้เขาใกล้ชิดกับที่ปรึกษาทรัมป์มากขึ้น ซึ่งจะมีส่วนช่วยอย่างมากต่อเศรษฐกิจของสหรัฐ และสุดท้ายก็จะได้รับผลตอบแทนทางการเงินที่แข็งแกร่งในท้ายที่สุดนั่น เพราะนี่คือวิธีการจัดการแบบโมฮัมเหม็ดที่เขาทำมาตลอดหลังจากขึ้นครองอำนาจได้แบบเบ็ดเสร็จ
แต่หารู้ไม่ว่า สิ่งที่โมฮัมเหม็ดทำอย่างกระตือรือร้นที่จะนำธุรกิจและการลงทุนโดยเฉพาะจากสหรัฐอเมริกาเข้ามาในราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบียนั้น ต้องบอกว่าเหล่านักธุรกิจสหรัฐที่เข้ามาพบเจ้าชาย มาด้วยจุดประสงค์อื่น พวกเขาตามทรัมป์มาเพราะพวกเขาเพียงแค่ต้องการเงินจำนวนมหาศาลของซาอุดิอาระเบียเพียงอย่างเดียวเท่านั้น พวกเขาไม่ได้คิดจะมาลงทุนในอาณาจักรแห่งนี้แต่อย่างใด
แล้วเมื่อการเมืองสหรัฐที่ได้ประธานาธิบดีใหม่อย่างโดนัล ทรัมป์ที่เริ่มเข้ามามีบทบาที่สำคัญต่ออนาคตของโมฮัมเหม็ด แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อกับเจ้าชายที่มีควาทะเยอะทะยานสูงเช่นเขา จะเกิดอะไรขึ้นกับอาณาจักรซาอุดิอาระเบียหลังอเมริกาได้ผู้นำคนใหม่ โปรดอย่าพลาดติดตามต่อในตอนหน้านะครับผม
–> อ่านตอนที่ 8 : Arab Cold War