แน่นอนว่าความขัดแย้งที่เริ่มต้นขึ้นจาก Microsoft ในเรื่อง APIs นั้น นำไปสู่ความล่าช้าในการพัฒนาโปรแกรม NetScape 2.0 ซึ่งแต่เดิมงานด้านการพัฒนานั้นก็หนักอยู่แล้วในการพัฒนา Features ใหม่ ๆ ออกมา แต่การเตะตัดขาโดย Microsoft นั้นทำให้งานยากขึ้นเป็นเท่าตัว
วันที่ 21 มิถุนายน ปี 1995 Marc , James Barksdale และทีมงาน ได้พบกับตัวแทนของ Microsoft ซึ่ง ตอนนั้น Microsoft พร้อมที่จะมอบ APIs ให้ แต่เรียกร้องหลายสิ่งหลายอย่างเป็นการตอบแทน
โดย Microsoft นั้นต้องการที่นั่งในคณะกรรมการบริษัท และหุ้นของบริษัทจำนวนหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่า Microsoft นั้นเป็นยักษ์ใหญ่ที่มีเงินเหลือมากมาย มันเป็นการบีบบังคับทางธุรกิจ ซึ่ง Microsoft นั้นมีอำนาจเหนือกว่าเพราะเป็นคนควบคุมระบบปฏิบัติการที่เป็นหน้าด่านของโปรแกรมทุกสิ่ง
Jim คิดว่านี่่มันเป็นการใช้อำนาจมาบีบบริษัทชัด ๆ ซึ่งมันดูไม่แฟร์ ซึ่งเขามองว่ามันเป็นเรื่องที่ผิดกฏหมาย และ James เอง ก็รู้สึกโมโหเช่นเดียวกันในเรื่องดังกล่าว จึงได้ตอบปฏิเสธไปในการพบกันครั้งนั้น
หลังจากนั้นเพียงอาทิตย์เดียว Microsoft ก็ยอมให้ส่วนของ APIs สำหรับระบบปฏิบัติการ Windows 95 ในที่สุด และ ทางทีมงานของ Marc ก็ได้เร่งทำจนเสร็จตามกำหนดในที่สุด แต่ไม่มีคำอธิบายใด ๆ จาก Microsoft ว่าความล่าช้าที่เกิดขึ้นมันเป็นเพราะอะไรกันแน่
ตัว James เองนั้น มองถึงอนาคต และทราบดีถึงการแข่งขันที่รุนแรงกำลังจะเกิดขึ้น เมื่อยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft ตื่น แม้ NetScape จะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าก็ตาม และผู้ใช้ internet ทั่วโลกต่างหลงรักใน NetScape ในการท่องโลก internet
แม้ Microsoft นั้นจะทำเป็นไม่สนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น และแทบจะไม่ได้พัฒนาโปรแกรม Mosaic เพิ่มเติมแต่อย่างใด หลังจากที่ได้รับลิขสิทธิ์มาจาก Spyglass ก็ตามที พวกเขาทำทีเหมือนจะสนใจแค่บริการ online ผ่าน Microsoft Network เพียงเท่านั้น
แน่นอนว่า Windows 95 นั้นจะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญมาก ๆ ทาง James จึงได้เข้าไปติดต่อกับเหล่าผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลรายใหญ่ ๆ เพื่อทำการผนวกโปรแกรม NetScape 2.0 เข้าไปในระบบปฏิบัติการที่ให้พวกเขานำมาใส่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่จะทำการขายให้กับลูกค้า
มันเป็นการเพิ่มฐานลูกค้า เพื่อช่วยขยายส่วนแบ่งทางการตลาดไปสู่คนที่ยังไม่เคยใช้งาน internet ซึ่งโปรแกรมที่แถมไปด้วยกับเครื่อง น่าจะเป็นผลดีกับลูกค้า ซึ่งถือเป็นการโฆษณาผลิตภัณฑ์ไปในตัว
แต่แผนการของ James ก็ต้องถูกเบรค โดย Microsoft เพราะหลังจากที่ Microsoft รู้เรื่องดังกล่าว ก็ได้ทำการบีบเหล่าผู้ผลิต ไม่ให้ใช้ โปรแกรม NetScape ติดไปกับเครื่อง เป็นการแทรกแซงอีกครั้งจากยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft
สถานการณ์ของ NetScape ดูเหมือนจะดูดีไปเสียทุกอย่าง บริษัทสามารถเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ได้สำเร็จ สร้างสถิติต่าง ๆ ไว้มากมาย สำหรับบริษัทหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้าตลาดหลักทรัพย์ มีสื่อมากมายต่างชื่นชมพวกเขา มีการเปรียบเทียบ Marc Andreessen ว่าเป็น Bill Gates คนใหม่แห่งโลก internet
แต่ความจริงแล้วมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น ตัวอย่างมีให้เห็นในธุรกิจคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ซึ่งใช้เวลาเพียงไม่ถึง 20 ปี ทุกสิ่งทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงอย่ารวดเร็ว ผู้ให้กำเนิด Computer ส่วนบุคคลอย่าง Steve Jobs ก็ไม่สามารถพา Apple ไปสู่ฝั่งฝันได้
ในธุรกิจเทคโนโลยี สินค้าใหม่ๆ ที่ดีกว่าเดิมนั้นเกิดขึ้นทุก ๆ วัน ไม่มีใครเข้าใจเรื่องดีกว่า Bill Gates แม้เรื่องที่เขาประสบความสำเร็จในการผูกขาดธุรกิจนี้ แต่ไม่มีมีอะไรมาหยุดยั้งความทะเยอทะยานของเขาได้เลย
วิธีการของ Bill Gates นั้น เขาทำราวกับว่า Microsoft นั้นถูกคุกคามอยู่ตลอดเวลา และต้องต่อสู้เพื่อดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด อยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นปรัชญาที่สำคัญที่เราจะได้เห็น Microsoft นั้นลงไปแข่งขันในหลากหลายธุรกิจด้านไฮเทค
ในยุคนั้นต้องบอกว่า Microsoft เป็นบริษัทที่แข็งแกร่งมาก ๆ เครื่อง PC แทบจะทั้งโลกใช้ระบบปฏิบัติการของเขา และ Microsoft ก็ยังเป็นผู้ควบคุมโปรแกรมที่อยู่บนเครื่องเหล่านี้
Bill Gates นั้นมักจะแสดงออกอย่างชัดเจน ว่าไม่ต้องการให้ใครมาเติบโตและเข้มแข็ง และเป็นภัยคุกคามกับธุรกิจของเขา Gates จะมองว่า Microsoft คือตัวแทนของเขา ที่มีความทะเยอทะยาน มีความมุ่งมั่น และชอบเอาชนะ
ในปี 1994 กว่า 80% ของเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลใช้ระบบปฏิบัติการของ Microsoft และพวกเขายังมีความทะเยอทะยาน ที่จะเอาชนะ คู่ต่อสู้ทางธุรกิจในทุก ๆ ราย ไม้เว้นแม้กระทั่งธุรกิจ internet
แม้ในตอนแรก Microsoft จะไม่เข้ามาแข่งโดยตรงกับ NetScape โดยมองธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ internet และทำการก่อตั้ง Microsoft Network เพื่อให้บริการด้านออนไลน์ในปี 1994
Jim นั้นรู้ดีว่า อย่างไรเสีย Microsoft ก็จะกลายเป็นคู่แข่งขันที่น่ากลัวที่สุดสำหรับ NetScape จึงต้องเร่งพัฒนาตัวเองเต็มที่ให้ได้มากที่สุด เพื่อรอการแข่งขันที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า
ในเดือนกันยายนปี 1994 ซึ่งเป็นเวลา 1 เดือนก่อนการเปิดตัวโปรแกรม NetScape มีการติดต่อจากผู้บริหารที่ดูแลการพัฒนาระบบปฏิบัติการ Windows 95 จาก Microsoft ได้แจ้งมาทาง NetScape Communication ว่าต้องการที่จะซื้อลิขสิทธิ์โปรแกรมไปลง โดยเสนอเงินสูงถึง 1 ล้านเหรียญเพื่อเป็นค่าลิขสิทธิ์ดังกล่าว
แน่นอนว่า Jim นั้นไม่ต้องการดำเนินธุรกิจร่วมกับ Microsoft เพราะประวัติศาสตร์มันบอกว่า บริษัทใดที่มอบลิขสิทธิ์โปรแกรมให้ Microsoft แล้วนั้น มักจะถูกกำจัดออกจากเส้นทางอยู่เสมอ ซึ่ง Jim นั้นรู้ในเรื่องนี้ดี
มี Case ตัวอย่างมากมายที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Rob Glaser ผู้ก่อตั้ง RealNetwork ผู้ขายลิขสิทธิ์ให้ Microsoft สุดท้ายลงเอยด้วยการขึ้นศาลฟ้องร้องบริษัท Microsoft ในไม่กี่ปีต่อมา หรือใน case ของ Sun Microsystem ที่ให้ลิขสิทธิ์โปรแกรมกับ Microsoft เช่นเดียวกัน และภายหลังต้องยื่นฟ้อง Microsoft ในกรณีละเมิดข้อตกลง
ซึ่ง Microsoft นั้นมักจะใช้วิธี ในการดูดกลืนบริษัทเล็ก ๆ เข้าเป็นส่วนหนึ่งของ Microsoft มากเสียกว่า และ Spyglass ที่เพิ่งเจรจากับ Microsoft ในเรื่องลิขสิทธิ์ของ Mosaic ก็กำลังจะกลายเป็นเหยื่อรายต่อไป
แต่การที่ James Barksdale เข้ามาบริหาร NetScape นั้น ก็ช่วยให้สามารถเพิ่มยอดขายได้เป็นอย่างมาก มีการเพิ่มพนักงานขายเพิ่มอีกเท่าหนึ่ง และสถานการณ์ในขณะนั้น ธุรกิจของ NetScape ยังอยู่ในจุดที่ดีมาก ๆ ซึ่งระหว่างนั้น Jim เองก็คิดว่า Microsoft ก็กำลังจับจ้องมามองที่พวกเขาอยู่ตลอดเวลาเช่นเดียวกัน
จนกระทั่งถึงเดือนมีนาคม ปี 1995 มีการพัฒนา NetScape version 2.0 ออกมา และต้องการมีส่วนร่วมกับการทำงานกับโปรแกรมของ Microsoft ในส่วนของ APIs (Application Programming Interfaces ) เพื่อให้โปรแกรม NetScape สามารถต่อสายโทรศัพท์ผ่านเครื่องที่ใช้งานระบบปฏิบัติการ Windows 95 ได้ ซึ่งแน่นอนว่าต้องการความร่วมมือกับ Microsoft
และ Microsoft ก็ได้เริ่มแผนการแรกด้วยการ ดึงเวลา ไม่ยอมมอบ APIs ให้กับ NetScape ซึ่ง Jim คิดว่าเป็นแผนการของ Microsoft ที่ต้องการเขี่ย NetScape ออกจากวงจรธุรกิจนี้ โดยไม่ให้ผู้ใช้เครื่อง PC ที่มีถึง 80% ของเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งหมดใช้งานโปรแกรม NetScape Communicator version 2.0 ที่จะลงใน Windows 95
เรียกได้ว่า สถานการณ์ในตอนนั้น เริ่มสร้างความกดดันให้กับ NetScape เป็นครั้งแรกจากคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดอย่าง Microsoft ซึ่งมันดูเหมือนเป็นเกมส์ที่ไม่ค่อยแฟร์เท่าไหร่เลย เพราะ Microsoft มีระบบปฏิบัติการที่ Control ทุกอย่างของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล มันคือแผนการตัดแข้งตัดขา NetScape แบบเห็นได้ชัดเจนครั้งแรก เพราะ APIs เหล่านี้นั้น บริษัทอื่น ๆ ได้รับจาก Microsoft แทบจะทั้งหมด ยกเว้น NetScape เพียงบริษัทเดียวที่ไม่ได้รับความร่วมมือในครั้งนี้
ดูเหมือน Microsoft ยักษ์ใหญ่ สามารถควบคุมเกมส์ ของเขาได้ แน่นอนว่าไม่มีใครอยากสู้กับ Microsoft แต่ Jim และทีมงานจาก NetScape นั้นมาไกลเกินกว่าที่จะถอยแล้ว แล้วพวกเขาจะจัดการปัญหานี้อย่างไร และ เรื่องราวของ NetScape จะลงเอยที่ไหน โปรดอย่าพลาดติดตามตอนหน้าครับผม
เหตุผลที่สำคัญที่ Jim คิดถึงเรื่องดังกล่าว ก็คือ ตอนที่เจอปัญหาเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์กับ ศูนย์ NCSA นั้น ได้มีการว่าจ้างบริษัทด้านการลงทุนชื่อดังอย่าง Morgan Stanley มาช่วยเหลือในด้านการระดมทุน
แน่นอนว่า Morgan Stanley นั้นมีชื่อเสียงอย่างมากในการนำบริษัททั้งหลายเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ และ Spyglass คู่แข่งสำคัญก็รู้ถึงเรื่องราวดังกล่าว และคงคิดว่า NetScape นั้นกำลังเตรียมการเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ นั่นเองเป็นแรงผลักดันให้ Spyglass ต้องนำบริษัทเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์เช่นเดียวกัน
ซึ่ง Spyglass เองนั้นก็มีรายได้เข้ามาในระดับหนึ่งแล้วเช่นกัน รวมถึงข้อตกลงกับ Microsoft และกำลังเริ่มขายโปรแกรม Mosaic ซึ่งกำลังได้รับความสนใจจากสื่อต่างๆ รวมถึงกระแสของ internet ที่ค่อนข้างเริ่มมาแรงมาก ๆ ในขณะนั้น
แม้จะมีข้อดีในเรื่องการได้ระดมทุนจำนวนเงินที่มหาศาล แต่เมื่อเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์นั้นทุกอย่างก็ต้องเปิดเผยต่อสาธารณชน ซึ่งแน่นอนว่า จะนำไปสู่ความสนใจของคู่แข่งอย่าง Microsoft และจะทำให้ Microsoft ต้องมาเข้ามาแข่งในตลาดนี้อย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน
ดูเหมือนคณะกรรมการทุกคน ก็ค่อนข้างเห็นด้วยกับ Jim ที่จะนำบริษัทเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ แต่คงมีแต่ James Barksdale CEO ของบริษัทเท่านั้น ที่ดูเหมือนจะยังไม่อยากจะนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ เพราะเขามองว่า NetScape ยังเล็กเกินไป และจะเกิดความเข้มงวดในการบริหารงาน เพราะต้องสร้างผลกระกอบการที่ดีในทุก ๆ ไตรมาส ซึ่งไม่เหมาะกับบริษัทขนาดเล็กที่กำลังเติบโตอย่าง NetScape
Jim จึงใช้ ทีมกฏหมายและที่ปรึกษาจาก Morgan Stanley เพื่อให้คำแนะนำและช่วยโน้มน้าว James ให้สนับสนุนแนวคิดดังกล่าว ซึ่งสุดท้าย James ก็โอเคด้วย กับแนวคิดในการนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ เพราะผลการศึกษาจากเหล่าที่ปรึกษานั้นผลออกมาเป็นเชิงบวกแทบจะทุกราย