Geek Story EP13 : Napster – Digital music revolution

สำหรับ Napster นั้นได้ทำการแจ้งเกิดได้ถูกที่ ถูกเวลา ในช่วงที่ internet กำลังพัฒนาเรื่อง speed จนสามารถเกิดบริการในรูปแบบ file sharing ขึ้นมาได้ idea ของ Napster นั้นต้องบอกว่าเจ๋งมากในขณะนั้น

ผู้ใช้งานต่างยกย่องบริการอย่าง Napster เพื่อมาช่วยเหลือในเรื่องการฟังดนตรี ที่สามารถเข้าถึง single หรือ album ดัง ๆ ได้อย่างง่ายดายขึ้น ผู้คนไม่ต้องไปซื้อ CD ตามร้านอีกต่อไป แต่ ปัญหาหลักใหญ่ของ ระบบแบบนี้คือ ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์

ซึ่งกลุ่มที่เสียหายคือ ค่ายเพลงรายใหญ่จำนวนมาก ซึ่งถือว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่ไม่น่าไปสู้ด้วยแต่อย่างใด ถึงแม้ว่าบริการนี้จะถูกใจผู้ใช้งานเพียงใด แต่สุดท้ายแล้วมันก็เป็นสิ่งกฏหมาย ซึ่ง การที่เราสร้าง startup ที่เสี่ยงที่จะถูกฟ้องร้องในภายหลังนั้น ก็ไม่น่าจะควรทำมาตั้งแต่แรก

ดังตัวอย่างของ Napster ที่ถึงกับล้มละลาย เพราะไม่มีเงินไปเสียค่าปรับต่างๆ  จากการฟ้องร้อง แม้จะพยายามที่จะปรับตัว แต่ user นั้นชินกับการบริการแบบฟรีไปแล้ว หากมาเปลี่ยนรูปแบบ ก็ทำให้ user หนีไปยังบริการชนิดอื่นได้อย่างง่ายดายเช่นกัน ซึ่งสุดท้ายธุรกิจก็ไปไม่รอดอยู่ดี

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน Podbean : http://bit.ly/2SJfsDd

ฟังผ่าน Apple Podcast : https://apple.co/2lEqPPg

ฟังผ่าน Google Podcast : http://bit.ly/2Pbdbid

ฟังผ่าน Spotify : https://spoti.fi/2T05s7J

ฟังผ่าน Youtube : https://youtu.be/hLvHp0hbtDs

กล่องพัสดุ ที่ไม่ได้แกะ

ต้องบอกว่า ตอนนี้พฤติกรรมของผู้บริโภค ในการจับจ่ายใช้สอย ได้เปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ผ่าน platform online ต่าง ๆ ที่รายล้อมอยู่รอบตัวเรา ตั้งแต่ตื่นนอน จน เข้านอนเมื่อสิ้นสุดวัน

platform online เหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็น Social Network อย่าง Facebook หรือ Instragram หรือ platform ecommerce อย่าง shopee , lazada หรือน้องใหม่อย่าง jd.com กำลังเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของพวกเราไปอย่างสิ้นเชิง

แน่นอนว่า platform ไหนที่สามารถช่วงชิงเวลาเราไปได้มากที่สุด ก็มีโอกาสที่จะเสนอสินค้า หรือ บริการให้เราสูงสุดด้วยเช่นกัน เนื่องจากพฤติกรรมการเสพติดมือถือของมนุษย์เรา ไม่ว่าจะเป็นรุ่นเด็ก ไปจนถึงคนแก่สูงอายุ ซึ่งก็แทบจะเหมือนกันหมดแล้วในยุคนี้

แน่นอนว่า สินค้า และ บริการเหล่านี้ มันสามารถทำให้เราเข้าถึงได้ง่ายกว่าเดิมมาก ๆ จากเมื่อก่อนที่เราต้องเสียเวลาไปเดินตามห้างสรรพสินค้า หรือ ตลาด เพื่อไปจับจ่ายใช้สอยสินค้าที่เราอยากได้ หรือ สินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน

แต่ตอนนี้ มันถูกอัด ทั้งโปรโมชั่น campaign การตลาดมากมาย ทำให้เราได้หลงไปอยู่ในวังวนของสินค้าและบริการเหล่านี้ และ ซื้อมันได้ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งบางครั้ง สิ่งของเหล่านี้ เราอาจจะยังไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าจะไปใช้ทำอะไร แต่ขอซื้อไว้ก่อน เนื่องจาก โปรโมชั่น ราคา ที่ดึงดูดใจ ที่ส่งผ่านมาทาง platform online เหล่านี้ ที่ติดอยู่กับเราแทบจะ 24 ชั่วโมง

ซึ่งเราก็จะได้เห็นพฤติกรรมในหลาย ๆ ครอบครัว ที่มีพัสดุ มาส่งถึงหน้าบ้าน แทบจะทุกวัน แล้วเกิดคำถามขึ้นหลายครั้ง มันคืออะไร?

ซึ่งคำถามนี้ หลาย ๆ คนน่าจะเคยเจอกัน ว่าเราสั่งอะไรมา? ของข้างในคืออะไร? เพราะพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของเรานั่นเอง ที่สั่งซื้อสินค้าเหล่านี้ ได้ง่ายดายยิ่งขึ้น และคิดน้อยลงยิ่งขึ้นมาก ๆ ในยุคปัจจุบัน ในการที่จะซื้อสินค้าสักชิ้น

และสุดท้าย กล่องพัสดุที่มาส่งเหล่านี้ บางครั้ง ก็ถูกวางไว้ อย่างงั้น โดยที่เราแทบจะไม่ได้แกะมันออกมาดูเลยด้วยซ้ำ ว่าเราได้พลาด หรือ เผลอ สั่งอะไรไป เพราะเมื่ออีกวันผ่านพ้นไป กล่องพัสดุใบใหม่ ก็ถูกส่งมาที่หน้าบ้านเราอีกแล้ว นั่นเองครับ

References Image : https://www.flickr.com/photos/158301585@N08/46085930691

MUSA หุ่นยนต์ผ่าตัดระดับ Super Micro ที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้

ลองจินตนาการการผ่าตัดของแพทย์ ที่พยายามขยับมือในระดับความห่างแค่เพียงมิลลิเมตรมันเป็นสิ่งที่ทำได้ยากจริง ๆ หากต้องทำโดยใช้แพทย์ที่เป็นมนุษย์

นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเรื่องราวของหุ่นยนต์ MUSA มันถึงไม่ธรรมดาที่หุ่นยนต์ผ่าตัดจากเนเธอแลนด์ตัวใหม่ ที่เพิ่งจะเข้าผ่าตัดด้วยกล้องจุลทรรศน์กำลังประสบความสำเร็จในมนุษย์จริง ๆ

ตามเอกสารที่ตีพิมพ์เมื่อวันอังคารในวารสารทางการแพทย์ Nature Communications แพทย์ทำการผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ระดับ Super Micro เป็นครั้งแรกโดยใช้อุปกรณ์หุ่นยนต์ผ่าตัดรูปแบบเฉพาะ 

โดย MUSA ผลิตโดย บริษัท Microsure ของเนเธอแลนด์ โดย MUSA’s จะถูกดำเนินการผ่านแพทย์โดยใช้จอยสติ๊กแบบคีมที่ติดตั้งบนโต๊ะผ่าตัดและคันเหยียบสำหรับบังคับการเคลื่อนไหว

สิ่งที่ทำให้ MUSA แตกต่างจากอุปกรณ์ผ่าตัดที่ใช้หุ่นยนต์ช่วยอื่น ๆ เช่น หุ่นยนต์ DaVinci ที่ใช้กันมาอย่างยาวนานแล้ว เพราะมันเป็นหุ่นยนต์ผ่าตัดที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด นั่นคือมันสามารถเข้าไปในที่ DaVinci ไม่สามารถทำได้: เป้าหมายการผ่าตัดในระดับมิลลิเมตรที่ MUSA สามารถเข้าถึงได้ :

MUSA ช่วยแพทย์ผ่าตัดผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งเต้านม lymphedema ซึ่งแต่เดิมนั้นอัตราการรอดชีวิตจากมะเร็งเต้านมมีเพียงแค่หนึ่งในสาม ในสองปีหลังจากการผ่าตัดมะเร็งเต้านมครั้งแรก

การศึกษายืนยันประสิทธิภาพของหุ่นยนต์แสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดระดับ Super Micro ของ MUSA ได้ช่วยปรับปรุงผลลัพธ์ที่เหนือกว่าหุ่นยนต์ผ่าตัดแบบอื่น ๆ ที่เคยมีมา ซึ่งทำให้ผู้ป่วยหายเร็วขึ้น

ตอนนี้ยังไม่มีราคาที่แน่นอนสำหรับหุ่นยนต์ผ่าตัดตัวใหม่นี้ และระบบที่ใกล้เคียงที่สุดกับ MUSA คือ DaVinci ที่มีราคาสูงถึง 2 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งก็อย่าคาดหวังที่จะเห็นมันในโรงพยาบาลทั่วไป เพราะเป็นการลงทุนที่สูงมาก ๆ

แต่สิ่งที่เราคาดหวังว่าจะได้เห็นในไม่ช้า คือ ข่าวเรื่องการทดลองการใช้ MUSA มากขึ้น และการพัฒนาเทคโนโลยีชนิดที่จะช่วยให้สามารถนำไปใช้ในวงกว้างมากยิ่งขึ้นในอนาคต หุ่นยนต์ DaVinci ปรากฏตัวขึ้นในปี 2000 และเพียงยี่สิบปีต่อมา เทคโนโลยีรวมถึงเซ็นเซอร์ใหม่ ๆ กำลังทำให้หุ่นยนต์เหล่านี้ ผ่าตัดในพื้นที่ขนาดเล็กลงเรื่อย ๆ ในระดับต่ำกว่ามิลลิเมตร 

และต้องบอกว่า MUSA นั้นเป็นมากกว่าการปฏิวัติการผ่าตัด มันทำให้เราเห็นว่าหุ่นยนต์กำลังจะเข้ามาท้าทายอาชีพหลัก ๆ ของมนุษย์เราเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้กระทั่งอาชีพหมอผ่าตัด

แม้ตอนนี้มันจะเป็นเพียงแค่ตัวช่วยที่ยอดเยี่ยมของศัลยแพทย์ก็ตามที แต่อย่าลืมว่า ด้วยเทคโนโลยีอย่าง AI , Machine Learning ผสานกับ อุปกรณ์เซ็นเซอร์ที่มีความละเอียดสูงต่าง ๆ ที่กำลังก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วในปัจจุบันนั้น อีกไม่นาน เราอาจจะต้องยอมรับให้หุ่นยนต์ทั้งตัวเป็นผู้ผ่าตัดมนุษย์จริง ๆ ด้วยตัวมันเอง โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งแพทย์ต่อไปอีกเลย ก็เป็นได้ครับผม

References : https://futurism.com/neoscope/musa-robot-surgery-supermicrosurgery-success

เมื่อสไตล์พฤติกรรมของมนุษย์เราไม่มีผลต่อการขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งขององค์กร

ในโลกเราในปัจจุบัน เราจะได้เห็นผู้นำที่มีบทบาท ทั้งทางเรื่องเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมในหลากหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละคนก็มีสไตล์พฤติกรรม ที่แตกต่างกัน และมีความหลากหลายเป็นอย่างมาก

แค่ในประเทศไทย เราก็ได้พบเจอเหล่าผู้นำสูงสุดอย่างนายกรัฐมนตรี ที่มีหลากหลายสไตล์ ไม่ว่าจะเป็นนายกคนปัจจุบันอย่าง พลเอก ประยุทธ์ ที่ดูเหมือนจะเป็นคนที่โผงผาง ตัดสินใจรวดเร็ว  ไม่ค่อยฟังผู้อื่น ซึ่งบางทีอาจดูขวานผ่าซากไปบ้าง

หรือเราอาจจะเคยได้เห็น นายก อย่างท่าน ชวน หลีกภัย ที่เป็นคน ยึดติดกับรายละเอียด มีเหตุผล มีหลักการ เน้นความชัดเจนถูกต้อง เป็นคนละเอียดถี่ถ้วน มีระเบียบ ซึ่งบางทีก็ดูเหมือนจะทำให้ทุกอย่างมันล่าช้าไปบ้าง

ซึ่งจากตัวอย่างที่ผมยกนั้น แน่นอนว่า มันคือเรื่องของสไตล์พฤติกรรมของแต่ละบุคคล ซึ่งไม่ได้เป็นข้อจำกัดในการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมืองในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือ ขึ้นเป็น CEO หรือ เบอร์หนึ่งขององค์กรในภาคเอกชน ซึ่งเราก็ได้เห็นถึงความหลากหลายเหล่านี้ ในหลาย ๆ บริษัท

และหลาย ๆ คนน่าจะรู้จักในเรื่องของ DISC ที่เป็นโมเดลที่สะท้อนลักษณะพฤติกรรมของมนุษย์ ที่จำแนกเป็น 4 รูปแบบหลักๆ ที่เรียกย่อๆว่า D, I, S และ C ( D มาจากคำเต็มว่า Dominance, I มาจากคำเต็มว่า Influence, S มาจากคำเต็มว่า Steadiness และ C มาจากคำเต็มว่า Conscientious )

และผมก็เป็นคนหนึ่งที่สนใจในเรื่องของประวัติเหล่านักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะในเรื่องของเทคโนโลยี อย่างที่เคยเขียนเป็น Blog Series ไว้ในหลายๆ ชุด ซึ่งพิสูจน์ว่าเรื่องดังกล่าวนั้นเป็นจริง ที่ว่า สไตล์พฤติกรรมของมนุษย์เราไม่มีผลต่อการขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งขององค์กร

ซึ่งวันนี้ผมจะมาขอยกตัวอย่างที่ชัดเจน เห็นภาพที่สุดองค์กรหนึ่ง นั่นก็คือบริษัท Apple นั่นเอง ซึ่งผมจะเปรียบเทียบให้เห็น สไตล์ ของ CEO คนก่อนที่จากโลกนี้ไปแล้วอย่าง Steve Jobs และ CEO คนใหม่ อย่าง Tim Cook ซึ่งผมก็ได้เคยเขียนเรื่องราวของพวกเขาไว้ใน Blog Series แล้ว

ผ่านมา 8 ปี เราจะเห็นได้ว่า Tim Cook สามารถลบคำสบประหม่าต่าง ๆ รวมถึงจากนักวิจารณ์จากสื่อชื่อดังต่าง ๆ ที่ต่างคิดว่า Apple จะต้องถึงคราล่มสลาย เมื่อ Jobs ได้ลาจากโลกนี้ไป

Steve Jobs นั้นดูเหมือนเป็นนักสร้างสรรค์ นักนวัตกรรม แต่ เขามีคุณลักษณะนิสัยแบบก้าวร้าว แข็งกร้าว เอาแต่ใจ ยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง ไม่ค่อยฟังผู้อื่น ดื้อดึง มั่นใจในตัวเองมาก ๆ ซึ่งเป็นลักษณะของคน Type D ( Dominance ) ใน DISC

แต่ Tim Cook นั้นแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างทางด้านการบริหารที่แทบจะตรงข้ามกับ Jobs และสไตล์พฤติกรรมของเขาก็เป็นขั้วตรงข้ามกับคน Type D เพราะเขา ใจเย็น สงบนิ่ง ทำอะไรเป็นระบบ ละเอียดรอบคอบ ถ่อมตัว ประนีประนอม ชอบเป็นผู้ฟังมากกว่าผู้พูด และมักแสดงความเห็นด้วยกับผู้อื่นตลอดเวลา ซึ่งตรงกับลักษณะของคน Type S (Steadiness) อย่างชัดเจน

เราจะเห็นได้ว่า สไตล์พฤติกรรมของผู้นำทั้งสองของ Apple ในการบริหารงานบริษัทอยู่ในจุดที่สูงที่สุดของโลกอย่าง Apple แต่มีสไตล์พฤติกรรมที่ตรงกันข้ามกันแทบจะทุกอย่างเลยก็ว่าได้ แต่ Tim Cook ก็สามารถทำให้ Apple ประสบความสำเร็จได้เหมือนกัน และประสบความสำเร็จได้อย่างยิ่งใหญ่ ไม่แพ้สิ่งที่ Jobs เคยทำมา

ต้องบอกว่าโลกเรามีผู้นำองค์กร หรือ ผู้นำการเมืองในหลากหลายรูปแบบ คุณไม่จำเป็นต้องเหมือนใครแล้วจะประสบความสำเร็จด้วยการกลายเป็นเบอร์หนึ่งขององค์กรของคุณ

เพราะฉะนั้น เรา ทุกคน ไม่ว่าจะมีบุคลิกลัษณะแบบไหน เป็น คนแข็งกร้าว คนที่มีความคิดสร้างสรรค์ คนที่นอบน้อมถ่อมตน หรือ คนที่คิดอะไรแบบละเอียดไตร่ตรองถี่ถ้วนที่ดูเหมือนจะขัดใจหลาย ๆ คน ทุกบุคลิกลักษณะของมนุษย์เรานั้น ไม่ได้เป็นข้อจำกัดแต่อย่างใดในการก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดในอาชีพได้ มันอยู่ที่ความสามารถ มันสมอง ของคุณมากกว่านั่นเองครับผม

–> อ่าน Blog Series : Tim Cook The Genius Who Took Apple to Next Level

–> อ่าน Blog Series : How iPod Builds an Apple Empire

References Image : https://www.zdnet.com/article/the-iphone-decade-apples-transition-from-steve-jobs-to-tim-cook/

Movie Review : Low Season สุขสันต์วันโสด

ถือเป็นหนังที่ไม่ได้ดู review หรือคำวิจารณ์ใด ๆ มาก่อนเลยสำหรับ หนัง Low Season สุขสันต์วันโสด ที่ได้รอบที่ลงตัวพอดี เลยขอแวะเข้าไปชมผลงานหนังไทยเสียหน่อย หลังจากห่างหายไปหลายอาทิตย์

การเข้าดูหนังแบบ ไม่ดูข้อมูลอะไรมาก่อน ถือเป็นอีกหนึ่งอรรถรสที่ดีในการเสพหนังสำหรับตัวผมเอง เพราะเราได้เข้าไปแบบไม่มีความคาดหวังใด ๆ ทั้งสิ้น เรียกได้ว่า เป็นการไปตายเอาดาบหน้าที่หน้าโรงหนังนั่นเอง แต่หลาย ๆ ครั้งก็ให้ประสบการณ์ที่ดีมาก ๆ กับผมเลยทีเดียว

สำหรับ Low Season สุขสันต์วันโสด เป็นเรื่องราวที่เริ่มต้นด้วย คำว่า “เริ่มที่ไหนจบที่นั่น” ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ “หลิน” ( พลอย-พลอยไพลิน ตั้งประภาพร ) ได้ทำการลุยเดี่ยวจัดทริปรักษาแผลใจ ณ กิ่วแม่ปาน ในดินแดนภาคเหนือของไทย

ซึ่งที่นี่เธอได้เจอกับ “พุธ” (มาริโอ้ เมาเร่อ) นักเขียนบทไอเดียตัน ที่ทั้งรักคุด-งานสะดุดจนต้องออกมาหาแรงบันดาลใจเพื่อโปรเจกต์หนังผีเรื่องใหม่ของเขา ที่จำเป็นต้องใช้ “คนเห็นผี” มาช่วย

หนังเรื่องนี้เป็นการกลับมาแท็กทีมกันระหว่าง “มาริโอ้ เมาเร่อ” กับ “เป้-นฤบดี เวชกรรม” (สาระแนห้าวเป้ง,สาระแนเห็นผี) ผู้กำกับคนแรกที่ดึงเสน่ห์โรแมนติกคอเมดี้ของมาริโอ้ออกมาและประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยมใน “สาระแนสิบล้อ”

เนื้อเรื่องตอนต้นเรื่อง ต้องบอกว่าเปิดมา นึกว่าจะเป็นหนังที่ผิดหวังเสียแล้ว กับการนำเรื่องผีมาเล่นแบบ หนังผีตลกทั่วไป ซึ่งมันดูไม่น่าสนใจเลยด้วยซ้ำ กับการเล่นแนว ๆ นี้ เหมือนละครเสียมากกว่า

แต่พอเนื้อเรื่องดำเนินไปเรื่อย ๆ พบความลงตัวหลาย ๆ อย่างกับหนังเรื่องนี้ ตัวอย่างเช่น เรื่องของมุกตลก ต้องบอกว่าเป็นหนังที่สร้างมุกตลก แบบธรรมชาติ ได้อย่างลงตัวมาก ๆ มันไม่ใช่มุกตลกหยาบคายเหมือนหนังตลกส่วนใหญ่เล่นกัน

คือตลอดเรื่องจะมีฉากเรียกเสียงฮาตลอดทั้งเรื่อง เป็นตลก ที่เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดี ไม่มีการเล่นอะไรหยาบคาย ซึ่งยกระดับจากหนังอย่าง สาระแนสิบล้อ ขึ้นมาอีกระดับนึง ซึ่งในสาระแนสิบล้อ มันดูตลกแบบฮาร์ดคอร์เกินไป

เอาตรง ๆ ผมดูเรื่องนี้ มันได้เอกลักษณ์ใหม่ ๆ ที่ไม่ค่อยได้เคยเจอมาก่อนกับหนังไทย ซึ่งจะว่าเป็นหนัง Feel Good แบบ GDH ก็ไม่ใช่ แต่มันเป็นการผสมผสานระหว่างเรื่องราวของความเป็น โรแมนติก-คอมเมดี้ ได้แบบมีจุดเด่นที่แตกต่างจากหนังของ GDH อย่างเห็นได้ชัด

ผมไม่ได้หมายความว่าหนังเรื่องนี้ทำหนัง Feel Good ได้ดีกว่า GDH แต่มันได้เห็นถึงความต่าง รสชาติที่แตกต่าง เมื่อเทียบกับหนังของ GDH ที่ไม่ว่าจะเป็นหนังเรื่องไหน รสชาติมันจะคล้าย ๆ เดิมอยู่ มันมีกลิ่นอายของความเป็น GDH แต่เรื่องนี้มันดูรสชาติใหม่กว่า กับหนังแนวนี้อย่างเห็นได้ชัด

ซึ่งการได้มาริโอ้ มาเล่นกับทีมงานชุดเดิมของ สาระแนสิบล้อ มันก็ทำให้หนังดู smooth มาก ๆ คือ หนังสร้างสีสัน ได้ตลอดแทบจะทั้งเรื่อง มีการตัดอารมณ์ ระหว่างหนังรัก หนังตลก หรือฉากโรแมนติก ได้อย่างลงตัวเลยทีเดียว

อีกอย่างที่ผมชอบจากหนังเรื่องนี้คือ เรื่องของดนตรี ที่นำมาประกอบ ที่เข้ากับบรรยากาศของโลเกชั่นในภาคเหนือได้อย่างดีเยี่ยม และจังหวะของเพลงที่ปล่อยออกมานั้น ทำได้อย่างลื่นไหล ไปกับ ฉากนั้น ๆ ได้อย่างลงตัว

ณ ตอนที่เขียน ผมก็ยังไม่ได้อ่านว่ากระแสเรื่องนี้ มันดีแค่ไหน แต่โดยส่วนตัว ถือเป็นหนังไทย ที่ไม่ผิดหวังเรื่องหนึ่ง เป็นหนังที่เราจะมีอารมณ์ ร่วมกันกับ ทั้งมาริโอ้ และน้องพลอย ไปตลอดทั้งเรื่อง ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งในหนัง Feel Good ที่ทำได้ลงตัวเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว มีแทบทุกอารมณ์ ในหนังเรื่องเดียว ทั้งความตื่นเต้นเรื่องผี ความดราม่า และเรื่องความตลก ที่ทำได้อย่างธรรมชาติที่สุด ถือว่าเป็นตัวเลือกหนึ่งในหนังไทย ที่ไม่ควรพลาดเลยครับ สำหรับเรื่องนี้