เมื่อสไตล์พฤติกรรมของมนุษย์เราไม่มีผลต่อการขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งขององค์กร

ในโลกเราในปัจจุบัน เราจะได้เห็นผู้นำที่มีบทบาท ทั้งทางเรื่องเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมในหลากหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละคนก็มีสไตล์พฤติกรรม ที่แตกต่างกัน และมีความหลากหลายเป็นอย่างมาก

แค่ในประเทศไทย เราก็ได้พบเจอเหล่าผู้นำสูงสุดอย่างนายกรัฐมนตรี ที่มีหลากหลายสไตล์ ไม่ว่าจะเป็นนายกคนปัจจุบันอย่าง พลเอก ประยุทธ์ ที่ดูเหมือนจะเป็นคนที่โผงผาง ตัดสินใจรวดเร็ว  ไม่ค่อยฟังผู้อื่น ซึ่งบางทีอาจดูขวานผ่าซากไปบ้าง

หรือเราอาจจะเคยได้เห็น นายก อย่างท่าน ชวน หลีกภัย ที่เป็นคน ยึดติดกับรายละเอียด มีเหตุผล มีหลักการ เน้นความชัดเจนถูกต้อง เป็นคนละเอียดถี่ถ้วน มีระเบียบ ซึ่งบางทีก็ดูเหมือนจะทำให้ทุกอย่างมันล่าช้าไปบ้าง

ซึ่งจากตัวอย่างที่ผมยกนั้น แน่นอนว่า มันคือเรื่องของสไตล์พฤติกรรมของแต่ละบุคคล ซึ่งไม่ได้เป็นข้อจำกัดในการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมืองในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือ ขึ้นเป็น CEO หรือ เบอร์หนึ่งขององค์กรในภาคเอกชน ซึ่งเราก็ได้เห็นถึงความหลากหลายเหล่านี้ ในหลาย ๆ บริษัท

และหลาย ๆ คนน่าจะรู้จักในเรื่องของ DISC ที่เป็นโมเดลที่สะท้อนลักษณะพฤติกรรมของมนุษย์ ที่จำแนกเป็น 4 รูปแบบหลักๆ ที่เรียกย่อๆว่า D, I, S และ C ( D มาจากคำเต็มว่า Dominance, I มาจากคำเต็มว่า Influence, S มาจากคำเต็มว่า Steadiness และ C มาจากคำเต็มว่า Conscientious )

และผมก็เป็นคนหนึ่งที่สนใจในเรื่องของประวัติเหล่านักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะในเรื่องของเทคโนโลยี อย่างที่เคยเขียนเป็น Blog Series ไว้ในหลายๆ ชุด ซึ่งพิสูจน์ว่าเรื่องดังกล่าวนั้นเป็นจริง ที่ว่า สไตล์พฤติกรรมของมนุษย์เราไม่มีผลต่อการขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งขององค์กร

ซึ่งวันนี้ผมจะมาขอยกตัวอย่างที่ชัดเจน เห็นภาพที่สุดองค์กรหนึ่ง นั่นก็คือบริษัท Apple นั่นเอง ซึ่งผมจะเปรียบเทียบให้เห็น สไตล์ ของ CEO คนก่อนที่จากโลกนี้ไปแล้วอย่าง Steve Jobs และ CEO คนใหม่ อย่าง Tim Cook ซึ่งผมก็ได้เคยเขียนเรื่องราวของพวกเขาไว้ใน Blog Series แล้ว

ผ่านมา 8 ปี เราจะเห็นได้ว่า Tim Cook สามารถลบคำสบประหม่าต่าง ๆ รวมถึงจากนักวิจารณ์จากสื่อชื่อดังต่าง ๆ ที่ต่างคิดว่า Apple จะต้องถึงคราล่มสลาย เมื่อ Jobs ได้ลาจากโลกนี้ไป

Steve Jobs นั้นดูเหมือนเป็นนักสร้างสรรค์ นักนวัตกรรม แต่ เขามีคุณลักษณะนิสัยแบบก้าวร้าว แข็งกร้าว เอาแต่ใจ ยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง ไม่ค่อยฟังผู้อื่น ดื้อดึง มั่นใจในตัวเองมาก ๆ ซึ่งเป็นลักษณะของคน Type D ( Dominance ) ใน DISC

แต่ Tim Cook นั้นแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างทางด้านการบริหารที่แทบจะตรงข้ามกับ Jobs และสไตล์พฤติกรรมของเขาก็เป็นขั้วตรงข้ามกับคน Type D เพราะเขา ใจเย็น สงบนิ่ง ทำอะไรเป็นระบบ ละเอียดรอบคอบ ถ่อมตัว ประนีประนอม ชอบเป็นผู้ฟังมากกว่าผู้พูด และมักแสดงความเห็นด้วยกับผู้อื่นตลอดเวลา ซึ่งตรงกับลักษณะของคน Type S (Steadiness) อย่างชัดเจน

เราจะเห็นได้ว่า สไตล์พฤติกรรมของผู้นำทั้งสองของ Apple ในการบริหารงานบริษัทอยู่ในจุดที่สูงที่สุดของโลกอย่าง Apple แต่มีสไตล์พฤติกรรมที่ตรงกันข้ามกันแทบจะทุกอย่างเลยก็ว่าได้ แต่ Tim Cook ก็สามารถทำให้ Apple ประสบความสำเร็จได้เหมือนกัน และประสบความสำเร็จได้อย่างยิ่งใหญ่ ไม่แพ้สิ่งที่ Jobs เคยทำมา

ต้องบอกว่าโลกเรามีผู้นำองค์กร หรือ ผู้นำการเมืองในหลากหลายรูปแบบ คุณไม่จำเป็นต้องเหมือนใครแล้วจะประสบความสำเร็จด้วยการกลายเป็นเบอร์หนึ่งขององค์กรของคุณ

เพราะฉะนั้น เรา ทุกคน ไม่ว่าจะมีบุคลิกลัษณะแบบไหน เป็น คนแข็งกร้าว คนที่มีความคิดสร้างสรรค์ คนที่นอบน้อมถ่อมตน หรือ คนที่คิดอะไรแบบละเอียดไตร่ตรองถี่ถ้วนที่ดูเหมือนจะขัดใจหลาย ๆ คน ทุกบุคลิกลักษณะของมนุษย์เรานั้น ไม่ได้เป็นข้อจำกัดแต่อย่างใดในการก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดในอาชีพได้ มันอยู่ที่ความสามารถ มันสมอง ของคุณมากกว่านั่นเองครับผม

–> อ่าน Blog Series : Tim Cook The Genius Who Took Apple to Next Level

–> อ่าน Blog Series : How iPod Builds an Apple Empire

References Image : https://www.zdnet.com/article/the-iphone-decade-apples-transition-from-steve-jobs-to-tim-cook/

Movie Review : Low Season สุขสันต์วันโสด

ถือเป็นหนังที่ไม่ได้ดู review หรือคำวิจารณ์ใด ๆ มาก่อนเลยสำหรับ หนัง Low Season สุขสันต์วันโสด ที่ได้รอบที่ลงตัวพอดี เลยขอแวะเข้าไปชมผลงานหนังไทยเสียหน่อย หลังจากห่างหายไปหลายอาทิตย์

การเข้าดูหนังแบบ ไม่ดูข้อมูลอะไรมาก่อน ถือเป็นอีกหนึ่งอรรถรสที่ดีในการเสพหนังสำหรับตัวผมเอง เพราะเราได้เข้าไปแบบไม่มีความคาดหวังใด ๆ ทั้งสิ้น เรียกได้ว่า เป็นการไปตายเอาดาบหน้าที่หน้าโรงหนังนั่นเอง แต่หลาย ๆ ครั้งก็ให้ประสบการณ์ที่ดีมาก ๆ กับผมเลยทีเดียว

สำหรับ Low Season สุขสันต์วันโสด เป็นเรื่องราวที่เริ่มต้นด้วย คำว่า “เริ่มที่ไหนจบที่นั่น” ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ “หลิน” ( พลอย-พลอยไพลิน ตั้งประภาพร ) ได้ทำการลุยเดี่ยวจัดทริปรักษาแผลใจ ณ กิ่วแม่ปาน ในดินแดนภาคเหนือของไทย

ซึ่งที่นี่เธอได้เจอกับ “พุธ” (มาริโอ้ เมาเร่อ) นักเขียนบทไอเดียตัน ที่ทั้งรักคุด-งานสะดุดจนต้องออกมาหาแรงบันดาลใจเพื่อโปรเจกต์หนังผีเรื่องใหม่ของเขา ที่จำเป็นต้องใช้ “คนเห็นผี” มาช่วย

หนังเรื่องนี้เป็นการกลับมาแท็กทีมกันระหว่าง “มาริโอ้ เมาเร่อ” กับ “เป้-นฤบดี เวชกรรม” (สาระแนห้าวเป้ง,สาระแนเห็นผี) ผู้กำกับคนแรกที่ดึงเสน่ห์โรแมนติกคอเมดี้ของมาริโอ้ออกมาและประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยมใน “สาระแนสิบล้อ”

เนื้อเรื่องตอนต้นเรื่อง ต้องบอกว่าเปิดมา นึกว่าจะเป็นหนังที่ผิดหวังเสียแล้ว กับการนำเรื่องผีมาเล่นแบบ หนังผีตลกทั่วไป ซึ่งมันดูไม่น่าสนใจเลยด้วยซ้ำ กับการเล่นแนว ๆ นี้ เหมือนละครเสียมากกว่า

แต่พอเนื้อเรื่องดำเนินไปเรื่อย ๆ พบความลงตัวหลาย ๆ อย่างกับหนังเรื่องนี้ ตัวอย่างเช่น เรื่องของมุกตลก ต้องบอกว่าเป็นหนังที่สร้างมุกตลก แบบธรรมชาติ ได้อย่างลงตัวมาก ๆ มันไม่ใช่มุกตลกหยาบคายเหมือนหนังตลกส่วนใหญ่เล่นกัน

คือตลอดเรื่องจะมีฉากเรียกเสียงฮาตลอดทั้งเรื่อง เป็นตลก ที่เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดี ไม่มีการเล่นอะไรหยาบคาย ซึ่งยกระดับจากหนังอย่าง สาระแนสิบล้อ ขึ้นมาอีกระดับนึง ซึ่งในสาระแนสิบล้อ มันดูตลกแบบฮาร์ดคอร์เกินไป

เอาตรง ๆ ผมดูเรื่องนี้ มันได้เอกลักษณ์ใหม่ ๆ ที่ไม่ค่อยได้เคยเจอมาก่อนกับหนังไทย ซึ่งจะว่าเป็นหนัง Feel Good แบบ GDH ก็ไม่ใช่ แต่มันเป็นการผสมผสานระหว่างเรื่องราวของความเป็น โรแมนติก-คอมเมดี้ ได้แบบมีจุดเด่นที่แตกต่างจากหนังของ GDH อย่างเห็นได้ชัด

ผมไม่ได้หมายความว่าหนังเรื่องนี้ทำหนัง Feel Good ได้ดีกว่า GDH แต่มันได้เห็นถึงความต่าง รสชาติที่แตกต่าง เมื่อเทียบกับหนังของ GDH ที่ไม่ว่าจะเป็นหนังเรื่องไหน รสชาติมันจะคล้าย ๆ เดิมอยู่ มันมีกลิ่นอายของความเป็น GDH แต่เรื่องนี้มันดูรสชาติใหม่กว่า กับหนังแนวนี้อย่างเห็นได้ชัด

ซึ่งการได้มาริโอ้ มาเล่นกับทีมงานชุดเดิมของ สาระแนสิบล้อ มันก็ทำให้หนังดู smooth มาก ๆ คือ หนังสร้างสีสัน ได้ตลอดแทบจะทั้งเรื่อง มีการตัดอารมณ์ ระหว่างหนังรัก หนังตลก หรือฉากโรแมนติก ได้อย่างลงตัวเลยทีเดียว

อีกอย่างที่ผมชอบจากหนังเรื่องนี้คือ เรื่องของดนตรี ที่นำมาประกอบ ที่เข้ากับบรรยากาศของโลเกชั่นในภาคเหนือได้อย่างดีเยี่ยม และจังหวะของเพลงที่ปล่อยออกมานั้น ทำได้อย่างลื่นไหล ไปกับ ฉากนั้น ๆ ได้อย่างลงตัว

ณ ตอนที่เขียน ผมก็ยังไม่ได้อ่านว่ากระแสเรื่องนี้ มันดีแค่ไหน แต่โดยส่วนตัว ถือเป็นหนังไทย ที่ไม่ผิดหวังเรื่องหนึ่ง เป็นหนังที่เราจะมีอารมณ์ ร่วมกันกับ ทั้งมาริโอ้ และน้องพลอย ไปตลอดทั้งเรื่อง ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งในหนัง Feel Good ที่ทำได้ลงตัวเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว มีแทบทุกอารมณ์ ในหนังเรื่องเดียว ทั้งความตื่นเต้นเรื่องผี ความดราม่า และเรื่องความตลก ที่ทำได้อย่างธรรมชาติที่สุด ถือว่าเป็นตัวเลือกหนึ่งในหนังไทย ที่ไม่ควรพลาดเลยครับ สำหรับเรื่องนี้