Geek Monday EP36 : Data Science กับการยกระดับการเล่นของทีม Liverpool

เราจะเห็นได้ว่า ลิเวอร์พูล ในชุดนนี้ของ Klopp นั้น เล่นอะไรก็ดูเหมือนง่าย ๆ ไปเสียหมด การรุกที่จังหวะไม่มากนัก แต่มีประสิทธิภาพเป็นอย่างยิ่ง แนวป้องกัน ที่ยากที่จะเจาะเข้าไปทำลาย ซึ่งแม้กระทั่งเป๊บ กุนซือมากความสามารถ ก็ยังต้องยอมศิโรราบให้กับลิเวอร์พูลในยุคนี้

แน่นอนว่าทีมอื่น ๆ ก็ต้องมาเริ่มโฟกัสกับเรื่องของข้อมูล โดยเฉพาะงานด้าน Data Science ให้มากยิ่งขึ้น เพราะนับวันทีมลิเวอร์พูลจะทิ้งห่างคู่แข่งออกไปเรื่อย ๆ เมื่อส่วนผสมของพวกเขาลงตัวในทุก ๆ จุด

และส่วนผสมที่สำคัญระหว่างศาสตร์ทางด้านฟุตบอลของ Klopp และ ศาสตร์ด้านข้อมูลที่มาจากทีมงาน Data Science ของพวกเขา กำลังแสดงให้โลกเห็นว่า ข้อมูลนั้นสำคัญเพียงใดกับเกมส์ฟุตบอล ซึ่งสุดท้ายมันอาจจะทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จ และยากที่จะมีคู่แข่งมาต่อกร ไปอีกนานแสนนานเลยทีเดียวนั่นเองครับผม

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน Podbean : http://bit.ly/36S1HpM

ฟังผ่าน Apple Podcast :  https://apple.co/2lEqPPg

ฟังผ่าน Google Podcast : http://bit.ly/2ROaYea

ฟังผ่าน Spotify :  https://spoti.fi/31gYv5M

ฟังผ่าน Youtube : https://youtu.be/4MUeowwlIoI

References : https://www.liverpool.com/liverpool-fc-news/features/liverpool-transfer-news-jurgen-klopp-17569689

เมื่อไทยมีประสิทธิภาพในการจัดการการระบาดของ Coronavirus ได้ดีกว่า ญี่ปุ่น และ สิงค์โปร์

ผมมีข้อมูลหนึ่งที่น่าสนใจ และสามารถคำนวณทางคณิตศาสตร์ได้แบบง่าย ๆ ว่าประสิทธิภาพในการจัดการการแพร่ระบาดของ Coronavirus ของประเทศไทยนั้นทำได้ดีกว่า ทั้งญี่ปุ่น และ สิงค์โปร์

ต้องบอกว่า สถานการณ์การระบาดของ Coronavirus ที่มีต้นตอมาจากเมือง อู่ฮั่น ของประเทศจีน ดูจะไม่มีทีท่าว่าจะคลี่คลายลง และ ดูเหมือนว่า การแพร่กระจายนั้นจะทวีคูณขึ้นเรื่อย ๆ ในหลาย ๆ ประเทศที่ต้องประสบพบเจอกับปัญหาดังกล่าว

แน่นอนว่า ประเทศที่จะต้องเจอปัญหามากกว่าใครก็คือ ประเทศไทย เพราะเป็นแหล่งท่องเที่ยวปลายทางอันดับหนึ่งของประเทศจีน รวมถึงชาวเมือง อู่ฮั่นเองก็ตาม ทำให้ประเทศเราต้องทำงานหนักกว่าใครในการแก้ปัญหาดังกล่าว

ที่มาภาพ : thestandard.co
ที่มาภาพ : thestandard.co

คราวนี้เรามาลองพิจารณาดูจากข้อมูล การเดินทางของชาว อู่ฮั่น ที่เป็นต้นตอของเชื้อ Coronavirus ซึ่งเราจะเห็นได้ชัดเจนจากข้อมูลจาก thestandard.co ว่า พวกเขาเดินทางมายังกรุงเทพมหานครของเราสูงถึง 20,000 คน

ซึ่งแน่นอนว่าตัวเลขนี้ก็สัมพันธ์กับที่สื่อต่างชาติออกข่าวมาก่อนหน้านี้ ในเรื่องที่ว่า กรุงเทพเป็นเมืองที่มีความเสี่ยงที่สุดสำหรับ coronavirus ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับความจริงว่ามันถูกต้องเพราะนักท่องเที่ยวจาก อู่ฮั่น เดินทางเข้ามากรุงเทพมากที่สุด มันก็สมเหตุสมผลกับคำว่าเสี่ยงที่สุดอย่างที่สื่อได้ประโคมข่าวกันไปก่อนหน้านี้ แต่เขาไม่ได้หมายความว่าประสิทธิภาพการจัดการการแพร่ระบาดของ coronavirus ในประเทศเราต่ำสุดซะหน่อย

ข้อมูลจาก -  ลงทุนแมน
ข้อมูลจาก – ลงทุนแมน

คราวนี้มาดูตัวเลขล่าสุดอัพเดทวันที่ 2 ก.พ. 2020 นั้นจะพบว่า ญี่ปุ่นได้แซงไทยไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับตัวเลขผู้ติดเชื้อ ซึ่งทั้งสามประเทศนั้น มีจำนวนผู้ติดเชื้อใกล้เคียงกัน คือ ญี่ปุ่น 20 ราย , ไทย 19 ราย และ สิงค์โปร์ 18 ราย

% การติดเชื้อเที่ยบกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามา
% การติดเชื้อเที่ยบกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามา

เมื่อเอาข้อมูลมา plot กราฟแบบเบสิก สุด ๆ ก็พบว่า % การติดเชื้อของเรานั้นต่ำมากแค่ 0.095% เท่านั้น ส่วน สิงค์โปร์ 0.169% ตามมาด้วย ญี่ปุ่นที่ 0.220%

จากข้อมูลนี้ก็เป็นตัวเลขหนึ่งที่น่าจะมีความเป็นไปได้ว่า ประเทศไทย มีการจัดการสำหรับการแพร่ระบาดของ coronavirus ได้ดีกว่า ทั้ง สิงค์โปร์ และ ญี่ปุ่น ซึ่งการจัดการที่มีประสิทธิภาพนั้น รวมถึงการติดตาม monitor เหล่านักท่องเที่ยวจีน โดยเฉพาะจากเมืองอู่ฮั่น ที่หากมีเชื้ออยู่นั่น จะไม่กระจายไปสู่วงกว้าง ซึ่งแน่นอนว่าต้องอาศัยระบบการจัดการในเรื่องดังกล่าวที่มีประสิทธิภาพ จึงทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อในไทยไม่กระโดดสูงมาก ทั้งที่แบกรับภาระจำนวนนักท่องเที่ยวจากอู่ฮั่นมากกว่าประเทศอื่น ๆ นอกเหนือจากในประเทศจีนนั่นเอง

แต่หลายคนอาจจะบอกว่า รัฐบาลไทย ไม่โชว์ตัวเลขที่แท้จริงหรือไม่ ซึ่งก็เป็นคำถามที่สามารถถามได้เช่นเดียวกันว่า ตัวเลขของรัฐบาล ญี่ปุ่น และ สิงค์โปร์นั้น มีการปกปิดข้อมูลหรือไม่ เพราะฉะนั้นตัวเลขที่ออกมาประกาศแบบเปิดเผยเหล่านี้น่าจะเป็นตัวเลขที่เชื่อถือได้มากที่สุด เท่าที่เราจะหาข้อมูลมาเปรียบเทียบได้นั่นเอง

แล้วทำไม? ไทยถึงมีประสิทธิภาพที่ดีที่สุดในการจัดการการแพร่ระบาด

ต้องบอกว่า ประเทศไทยนั้น ผ่านประสบการณ์เรื่องราวเหล่านี้มาแล้ว และมีผลงานเป็นที่ยอมรับในอันดับต้น ๆ ของโลก ไม่ว่าจะเป็นจากโรคซาร์ หรือ ไข้หวัดนก และที่สำคัญประเทศไทย นั้นเป็นประเทศหนึ่งที่มีบุคลากรที่มีคุณภาพลำดับต้น ๆ ของประเทศ ที่ทำงานอยู่ในวงการสาธารณสุขไทย

ลองจินตนาการง่าย ๆ ว่า เพื่อนเราระดับเทพ ๆ เรียนเก่ง ๆ สมัยตอนเรียนอยู่มัธยมนั้น ไปกระจุกตัวอยู่ที่อาชีพไหน แน่นอนหลาย ๆ คน ก็ต้องตอบว่าหนีไม่พ้นวงการสาธารณสุขนั่นเอง มันทำให้วงการสาธารณสุขของไทย ในหลาย ๆ เรื่องนั้น มีมาตรฐานในระดับโลก ทั้งเรื่องคุณภาพในการรักษา งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับวงการสาธารณสุข อย่างข่าวล่าสุดที่โรงพยาบาลราชวิถีคิดค้นวิธีการรักษาผู้ป่วยติดไวรัสโคโรน่าที่มีอาการรุนแรงได้สำเร็จ ซึ่งรวมถึงเรื่องการจัดการการแพร่ระบาดอย่างที่เราได้เห็นจากข้อมูลดังกล่าว

บทความนี้เป็นการแสดงข้อมูลเบื้องต้นให้เห็นถึงประสิทธิภาพของการจัดการการแพร่ระบาดของประเทศไทย ที่ผมก็ยังมองว่าไม่แพ้ชาติใด ๆ ในโลก และเป็นกำลังใจให้กับทีมงานทุกภาคส่วนที่ดูแลเรื่องนี้ ที่ต้องทำงานอย่างหนักมาก ๆ จนได้ผลงานอย่างที่เราได้เห็น

แต่ข้อมูลจากบทความนี้ไม่ได้หมายความว่าเรื่องอื่น ๆ ของประเทศไทย จะมีประสิทธิภาพเหมือนการควบคุมการแพร่ระบาดของ coronavirus ต้องมีการแยกเป็นประเด็น ๆ ออกไป เช่น เรื่องของการช่วยเหลือคนไทยในการอพยพมาจากแหล่งต้นตอของการแพร่ไวรัสในเมืองอู่ฮั่น ที่ดูจะเชื่องช้าและสามารถทำให้มีประสิทธิภาพได้มากกว่านี้

แต่อย่างไรก็ดี ถึงการจัดการกับการแพร่ระบาดจะมีประสิทธิภาพยังไง เราก็ยังคงต้องระวังตัวเองให้ดีที่สุด เพราะดูเหมือนจำนวนผู้ติดเชื้อจะมีจำนวนสูงขึ้นเรื่อย ๆ และไม่มีทีท่าว่าปัญหาดังกล่าวจะได้รับการแก้ไขโดยง่าย เพราะฉะนั้นการสวมหน้ากากเมื่อออกไปยังสถานที่สาธารณะจึงเป็นสิ่งที่ปกป้องเราได้ดีที่สุดนั่นเองครับผม

*** ข้อมูลตัวเลขจากบทความนี้ อ้างอิงถึงวันที่ 2 ก.พ. 2020 ครับผม ***

*** เพิ่มเติม หลังจากได้รับ Feedback จากบทความนี้นะครับ ข้อมูลนี้อาจจะสรุปไม่ได้ชัดเจนในเรื่องนี้แบบ 100% เพราะสุดท้ายเราไม่รู้ว่า กลุ่มผู้ป่วยจริง ๆ จากอู่ฮั่นนั้น เดินทางไปที่ใดมากกว่ากัน ผมเพียงแค่นำข้อมูลที่มีการปล่อยออกมาเพื่อเทียบให้เห็นประสิทธิภาพของ การทำงานของเจ้าหน้าที่ไทยที่เกี่ยวข้องน่ะครับ ว่าคนของเราก็ไม่เป็นสองรองใครในโลกนี้ สำหรับการจัดการเรื่องนี้ครับผม ผมแก้ไขคำเป็น -จากข้อมูลนี้ก็เป็นตัวเลขหนึ่งที่น่าจะมีความเป็นไปได้ว่า- แทนนะครับ***

Referenes : ลงทุนแมน , thestandard.co

Movie Review : Dark Waters พลิกน้ำเน่าคดีฉาวโลก

เป็นหนึ่งในหนังที่ผมรอคอยเลยทีเดียวสำหรับ Dark Waters พลิกน้ำเน่าคดีฉาวโลก ที่เป็นการสร้างมาจากเรื่องจริง กับคดีฉาว ของบริษัทเคมีภัณฑ์ยักษ์ใหญ่ของประเทศสหรัฐอเมริกาอย่าง ดูปองท์

ต้องบอกว่า Dark Waters เป็นภาพยนตร์แนวดราม่าเข้มข้นที่สร้างมาจากเรื่องจริง ผ่านการนำแสดงโดยนักแสดงคุณภาพ “มาร์ก รัฟฟาโล” ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง 3 รางวัลออสการ์ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งนักแสดงคุณภาพที่ผมเป็นแฟนพันธุ์แท้ติดตามผลงานของเขาแทบจะทุกเรื่อง

ในเรื่องนี้เขาได้รับการแปลงโฉมพลิกคาแร็กเตอร์มารับบทเป็น “โรเบิร์ต บิลอตตา” ทนายความดีเดือดผู้ที่ต้องมาเล่นกับคดีที่เสี่ยงต่อทั้งชีวิตตนเองและครอบครัวเพื่อเดินหน้ากัดไม่ปล่อยต่อคดีความของบริษัทยักษ์ใหญ่ “ดูปองท์” ผู้ผลิตสารเคมีในรัฐเวสต์เวอร์จิเนียที่ซ่อนความลับดำมืดอันเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของผู้บริสุทธิ์ภายในเมืองหลายคน เนื่องด้วยสาเหตุการรั่วไหลของสารเคมีอันตรายร้ายแรงสู่ย่านที่พักอาศัย

แน่นอนว่าเรื่องนี้ สร้างจากเรื่องจริง ทำให้ไม่สามารถพลิกบทของเนื้อเรื่องอะไรได้มาก ทำให้อาจจะดูน่าเบื่อในบางจุด เพราะเป็นการเล่าเรื่องราวจริง และคดีดังกล่าวก็ใช้เวลาดำเนินการที่นานมาก ๆ

แต่ผมไม่เคยผิดหวังผลงานของ มาร์ก รัฟฟาโล เลย เพราะเค้าสามารถพลิกบทบาทมาเล่นอะไร ก็ดูเนียนตาไปเสียหมด ไม่ว่าจะเป็น super heroes , นักข่าว , เกย์ หรือ บทบาททนายความในหนังเรื่องนี้

ต้องถือเป็นอีกหนึ่งนักแสดงคุณภาพที่สุดของวงการ Hollywood ในขณะนี้เลยทีเดียวสำหรับตัว มาร์ก รัฟฟาโล แน่นอนว่าเรื่องนี้เค้าแบกหนังไว้ทั้งเรื่อง เพราะเป็นการเล่าผ่านตัวละครหลักที่เป็นตัวแทนของทนายความ โรเบิร์ต บิลอตตา

ส่วน แอนน์ แฮททาเวย์ ก็ถือว่าแม้บทจะน้อยไปหน่อย แต่แสดงให้เห็นถึงหน้าที่ภรรยาที่ต้องแบกรับภาระของชีวิตครอบครัว และคอยส่งเสริมสามีที่ทำคดีที่ต้องสู้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ ได้อย่างน่าสนใจเลยทีเดียว เป็นบท ที่เธอเล่นเป็นผู้ใหญ่ได้ดี ซึ่งเราจะไม่ค่อยเจอเธอที่รับบทหนักแบบนี้มาก่อน

ข้อด้อยของหนังเรื่องนี้ผมมองว่า เนื่องจาก เป็น Timeline ที่ยาวนานมาก ๆ ทำให้ต้องตัดเรื่องราวแต่ละช่วงให้น้อยที่สุด ซึ่งมันทำให้บางจุด เรื่องราวมันดูไม่ smooth มีการตัดแบบกระโดดมากเกินไป ทำให้หนังขาดอรรถรสในบางส่วนไปเลยทีเดียว

หนังเรื่องนี้ เป็นหนังกึ่งสารคดี ที่แสดงให้เห็นถึงการต่อสู้ ระหว่าง ชาวบ้าน กับ บริษัทยักษ์ใหญ่ ที่ทำเรื่องฉาวในระดับโลก ซึ่งแน่นอนว่า ดูปองท์ นั้นไม่ใช่ผลิตให้แค่ในประเทศอเมริกาเท่านั้น แต่ผลผลิตของสารเคมีของ ดูปองท์ มีอยู่ในสินค้าทั่วโลก ที่เราใช้ในชีวิตประจำวันแทบจะทั้งสิ้น ซึ่งเรียกได้ว่า

มันไม่ใช่แค่เรื่องส่งผลกระทบต่อชีวิตชาวอเมริกันเท่านั้น แต่ มันสื่อให้เห็นถึง ผลกระทบต่อคนทั้งโลก ผ่านสินค้าที่ต้องใช้สารเคมี ซึ่งแน่นอนว่า มันแทบจะ 99% ของสินค้าที่เราใช้อยู่ในชีวิตประจำวันนั่นเอง

แม้คดีนี้จะยังไม่จบสิ้น ยังต่อสู้กันอีกยาวนาน แต่ดูเหมือนหนังเรื่องนี้จะทำให้เรา ต้องมาตระหนักถึงสารพิษอันตรายเหล่านี้ ที่มันอยู่ใกล้ตัวเรา กว่าที่คิด ให้มากขึ้นนั่นเองครับ