PayPal Wars ตอนที่ 1 : The New Recruit

NOVEMBER—DECEMBER 1999

Eric Jackson นั้นได้มีโอกาสพบกับ Peter Thiel ครั้งแรก ในกิจกรรมของหนังสือพิมพ์อิสระที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ที่ก่อตั้งโดย Peter Thiel ในปี 1987 โดยหนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าวนั้นก็คือ แสตนฟอร์ด รีวิว ที่มีบทบาทสำคัญต่อมหาวิทยาลัยในขณะนั้น

หลังจากจบการศึกษาที่ สแตนฟอร์ดในปี 1998 ตัว Eric นั้นได้เข้าไปร่วมงานกับบริษัทที่ปรึกษาชื่อดังอย่าง Arthur Andersen ในเมืองซานฟรานซิสโก โดยเขาได้เตรียมการที่จะสั่งสมประสบการณ์ที่ Andersen เพื่อไต้เต้าขึ้นไปตามวิถีทางปรกติของเหล่าพนักงานมืออาชีพทั่วไป

แต่การได้มาพบกับ Peter Thiel อีกครั้ง เมื่อตัว Thiel ได้กลับไปที่มหาวิทยาลัย เพื่อบรรยายเรื่องเกี่ยวกับการเชื่อมโยงระหว่างตลาดทุนนิยมกับเสรีภาพทางด้านการเมือง ซึ่งการบรรยายครั้งนั้น แน่นอนว่ามีผู้เข้าชมการบรรยายของเขามากมายเพราะ Thiel ถือเป็นหนึ่งในศิษย์เก่าที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงของมหาลัยสแตนฟอร์ดในขณะนั้น

โดยตอนนั้น Thiel เพิ่งกลับมาอยู่ที่ซานฟรานซิสโก หลังจากได้ไปท่องอยู่ในวอลล์สตรีทอยู่นานหลายปี โดยเขากลับมาตั้งกองทุนป้องกันความเสี่ยงของตัวเอง และการบรรยายในครั้งนี้นั่นแน่นอนว่า มันช่วยส่งแรงบันดาลใจให้ชายหนึ่งที่จะกลายมาเป็นคนที่บทบาทสำคัญกับบริษัทใหม่ของ Thiel นั่นเอง

Max Levchin ชายหนุ่มโปรแกรมเมอร์อายุ 24 ปีในขณะนั้น สนใจในคำพูดของ Thiel ที่ไปบรรยายเป็นอย่างมาก โดย Max นั้นเติบโตขึ้นเป็นชาวยิว ในสหภาพโซเวียต เขาต้องดิ้นรนต่อสู้กับชีวิตในโซเวียตเป็นอย่างมาก เพราะปัญหาเรื่องความเป็นยิวของเขานั่นเอง

จึงทำให้เขาต้องดิ้นรนอพยพมาอยู่ที่เมืองชิคาโกในปี 1991 โดย Max นั้นเริ่มต้นด้วยการศึกษาคอมพิวเตอร์ด้วยตัวเอง และเขาพยายามดิ้นรนจนสามารถเรียนจบการศึกษาจาก University of Illinois ที่ Urbana-Champaign ได้สำเร็จ

หลังจากเรียนจบ Max ได้ก่อตั้งบริษัทที่ชื่อว่า NetMeridian ขึ้น โดยสร้างเครื่องมือทางการตลาดแบบอัตโนมัติ หลังจากประสบความสำเร็จก็ได้ขาย NetMeridian ให้กับ Microsoft แล้วตัว Max ก็ย้ายไปที่ Silicon Valley โดยเริ่มมองหาแนวคิดที่จะสร้างผลิตภัณฑ์ครั้งใหม่ของตัวเขาเอง

ซึ่งด้วยความที่เคมีตรงกันอย่างมากหลังจากงานบรรยาย และได้ทำการพูดคุยกันอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในอีกไม่กี่อาทิตย์หลังจากนั้น ทั้งคู่ได้ตัดสินใจที่จะร่วมกันสร้างบริษัทที่ให้ความสำคัญกับข้อมูลของลูกค้า ซึ่งจะสร้างบริการให้ผู้ใช้งานสามารถเก็บข้อมูลที่เข้ารหัสบน Palm Pilots รวมถึงเครื่อง PDA ชนิดอื่น ๆ ที่กำลังเป็นตลาดที่เติบโตสูงในยุคนั้น

พวกเขาตั้งชื่อมันว่า Fieldlink เนื่องจาก Palm ใช้พอร์ตอินฟาเรดเพื่อเชื่อมโยงและส่งสัญญาณข้อมูลระหว่างกัน ซึ่ง Thiel นั้นได้เริ่มต้นลงทุนโดยช่วยหาทุนจากกองทุนของเขาเอง และทำการโน้มน้าว Max ให้กลายเป็น CEO แบบเต็มเวลา

Max Levchin ผู้ร่วมก่อตั้งคนสำคัญ
Max Levchin ผู้ร่วมก่อตั้งคนสำคัญ

แม้ว่าการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลนั้นจะเป็นเรื่องสำคัญ แต่การจะมาทำบริการดังกล่าวให้เป็นเชิงพานิชนั้นมีข้อจำกัดอยู่มาก จะมีลูกค้ากลุ่มใดที่ต้องการเข้ารหัสข้อมูลพวกนี้บน PDA ของพวกเขา และทำไปเพื่ออะไร? แล้วรายได้บริษัทจะมาจากไหน?

แต่มันเป็นที่มาของการนำพา Thiel ให้คิดถึงเรื่องการชำระเงินออนไลน์ เพราะความต้องการชำระเงินนั้นเป็นเรื่องสากล แต่ตอนนั้นตลาดยังโบราณคร่ำครึ ผู้คนใช้แค่บัตรเครดิต กับ ATM เท่านั้นในการชำระเงิน และใช้มันมาเป็นเวลานานมาแล้วด้วย

ซึ่งแนวคิดของ Fieldlink นี่เอง ที่เป็นก้าวแรกในการพัฒนาโซลูชั่นให้กับ Palm Pilots เพื่อให้เจ้าของสามารถใช้งานแพลตฟอร์มที่เป็นกระเป๋าเงินแบบดิจิตอลได้นั่นเอง ซึ่ง Thiel และ Max ตัดสินใจเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่เป็น Confinity ซึ่งเป็นการรวมกันของคำว่า “ความมั่นใจ” และ “ไม่สิ้นสุด”

ด้วยความสามารถในการดึงดูดนักลงทุนของ Thiel เพียงไม่นาน ก็มีเหล่าธนาคารรวมถึงกลุ่มทุนต่าง ๆ อัดฉีดเงินเข้ามาอย่างมากมาย ทำให้พนักงานของ Confinity เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หนึ่งในนั้นคือ Kenny Howery ที่ Thiel ดึงตัวมากจากบริษัทกองทุนความเสี่ยงของตัวเอง เพื่อให้มาช่วยเหลืองานของ Confinity และได้ตั้งสำนักงานใหม่ขึ้นที่อยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด และตอนนี้ Confinity ก็พร้อมที่จะปฏิวัติการชำระเงินออนไลน์โลกแล้ว

และ Eric Jackson ก็ได้ตกลงเข้ามาทำงานกับ Thiel เช่นเดียวกันในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการตลาด หลังจากได้ไปฟังงานบรรยายเดียวกับ Max Levchin โดย Eric ได้ลาออกจากงานที่ค่อนข้างมั่นคงที่ Andersen เพื่อมาลุยกับบริษัท Startup หน้าใหม่อย่าง Confinity ที่กำลังจะพลิกโฉมการเงินของโลกไปตลอดกาล

รวมถึง Reid Hoffman ที่มาดำรงตำแหน่งประธานของบริษัท ที่รายงานตรงต่อ Thiel เนื่องจากเป็นเพื่อนเก่าแก่ของ Thiel มาตั้งแต่สมัยเรียนที่สแตนฟอร์ด และยังเพื่อนที่ Thiel นั้นไว้ใจค่อนข้างมาก

Reid Hoffman เพื่อนสนิทของ Thiel สมัยเรียนสแตนฟอร์ด
Reid Hoffman เพื่อนสนิทของ Thiel สมัยเรียนสแตนฟอร์ด

ในช่วงแรกนั้น Confinity แทบจะไม่ใช่สภาพของบริษัทจริงจังเลยด้วยซ้ำ เพราะเต็มไปด้วยเหล่าเนิร์ดคอมพิวเตอร์มากมาย คอยมุ่งมั่นเขียนโปรแกรม และพัฒนา version แรกของ PayPal ออกมาให้สำเร็จ

เป็นสภาพแวดล้อมการทำงานแบบบริษัทดอทคอมยุคแรก ๆ ให้ความรู้สึกเหมือนหอพักเสียมากกว่า เต็มไปด้วยบอร์ดเกมส์ เกลื่อนพื้นห้องทำงาน กล่องพิซซ่าที่เรี่ยราด เหล่าพนักงานก็สวมเสื้อยืด และกางเกงขาสั้น เพื่อทำงานได้อย่างสะดวกสบาย มันเป็นบรรยากาศที่แตกต่างอย่างมากที่ Eric ต้องเจอ เรียกได้ว่าเป็น Culture Shock ของเขาเลยทีเดียวเมื่อย้ายมาจากบริษัทชั้นนำอย่าง Anderssen ที่เต็มไปด้วยมืออาชีพ และ ออฟฟิสที่ดูหรูหราย่านใจกลางเมืองซานฟรานซิสโก

ที่ Confinity นั้นพนักงานโดยเฉลี่ยอายุประมาณ 25 ปี ดูเหมือนว่า Thiel นั้นจะแก่สุดในบรรดาพนักงานทั้งหมดของบริษัทเลยด้วยซ้ำ ตัว Max Levchin ก็อายุเพียง 25 และวิศวกรส่วนใหญ่ที่เขาจ้างมาก็เป็นร่วมชั้นเรียนในสมัยมหาวิทยาลัยแทบจะทั้งสิ้น

แต่สิ่งเหล่านี้มันดูสวนทางกับเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ของ Thiel ในการสร้าง PayPal ซึ่งคนทั่วโลกต้องใช้เงิน เพื่อรับเงินหรือแลกเปลี่ยนเพื่อมีชีวิตอยู่ เงินกระดาษนั้นเป็นเทคโนโลยีโบราณและเป็นวิธีการชำระเงินที่ไม่สะดวกเอามาก ๆ

ในศตวรรษที่ 21 ผู้คนต้องการรูปแบบของเงินที่สะดวก และปลอดภัยมากขึ้น และสามารถเข้าถึงได้จากทุกที่ด้วย PDA หรือการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต ซึ่ง Thiel นั้นเชื่อว่า Paypal จะสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ได้ ซึ่ง Paypal จะทำให้พลเมืองทั่วโลก สามารถควบคุมสกุลเงินของพวกเขาได้โดยตรงกว่าที่เคยมีมา และ Paypal จะกลายเป็น Microsoft ของการชำระเงิน หรือระบบปฏิบัติการทางการเงินของโลกนั่นเอง

Doohan ที่ดูแลฝ่ายประชาสัมพันธ์ของบริษัทนั้นเลือกที่จะเปิดตัว Paypal อย่างยิ่งใหญ่ ให้กับสื่อเป็นครั้งแรก โดยเขาได้ทำการว่าจ้าง Scotty ซึ่งเป็นดารานำของหนังดังอย่าง Star Trek ให้มารับบท Presenter ของ Paypal ในงานเปิดตัวครั้งนี้

และที่สำคัญที่สุด ตอนนี้ PayPal เวอร์ชั่นแรก นั้นพร้อมแล้ว ที่จะเปิดตัวให้โลกได้เห็นถึงวิวัฒนาการ การชำระเงินรูปแบบใหม่ที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้คนทั่วโลกไปตลอดกาล แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อกับ PayPal และเหล่าทีมงานยอดอัจฉริยะของ Confinity โปรดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 2 : BreakThrough

Blog Series : The PayPal Wars

เรื่องราวของ Paypal นั้นต้องบอกว่าเป็นหนึ่งในสงครามการต่อสู้ทางธุรกิจครั้งใหญ่ที่ได้เกิดขึ้นด้วยความเฉลียวฉลาด ความมุ่งมั่น เมื่อบริการชำระเงินออนไลน์ของ Paypal ได้เปิดตัวขึ้นในช่วงปลายยุคดอตคอม

ซึ่งแน่นอนว่ามันหนึ่งในการปฏิวัติเทคโนโลยีครั้งสำคัญ ที่เหล่ากลุ่มคนยุคใหม่กล้าที่จะต่อสู้กับระบบการเงินของโลก และปฏิวัติมันได้สำเร็จ ด้วยการเริ่มต้นจาก Startup ใน Silicon Valley

ด้วยการแข่งขันที่ดุเดือดที่สุดครั้งนึงของการปฏิวัติทางด้านเทคโนโลยีการชำระเงิน ไม่ว่าจะเป็นคู่แข่งที่เป็นเหล่าสถาบันทางการเงิน รวมถึงธนาคารข้ามชาติ ก็เห็นถึงศักยภาพในการทำกำไรของระบบการชำระเงินออนไลน์แบบที่ Paypal คิดจะทำ แน่นอนว่าย่อมมีผู้เสียประโยชน์ และที่สำคัญเหล่าคนที่เสียประโยชน์นั้น เป็นกลุ่มบุคคลที่มีอำนาจและอิทธิพลอย่างยิ่งของโลกการเงินในขณะนั้น

แน่นอนว่ากว่าพวกเขาจะผ่านมาได้นั้น เรียกได้ว่า ผ่านสิ่งต่าง ๆ มามากมาย ก่อนที่โลกเราจะสามารถปฏิวัติระบบการเงินแบบออนไลน์นี้ขึ้นมาได้สำเร็จ Blog Series ชุดนี้จะพาไปย้อนเวลา ดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ Paypal ที่ต้องต่อสู้ด้วยเหลี่ยม ด้วยกล ด้วยวิถีทางต่าง ๆ มากมาย กว่าจะเอาชนะกลุ่มผู้มีอิทธิพลต่อการเงินของโลกลงได้สำเร็จ

และที่สำคัญมันได้เป็นส่วนสำคัญในการสร้างเหล่า Paypal Mafia ที่มาเป็นกำลังขับเคลื่อนทางด้านเทคโนโลยีให้กับประเทศอเมริกาจนประสบความสำเร็จมากมายอย่างที่เราได้เห็นในปัจจุบันนั่นเองครับ

สำหรับเรื่องราวชุดนี้จะนำมาจากหนังสือ The PayPal Wars โดย Eric M.Jackson ผู้ที่เป็นหนึ่งในผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ของการปฏิวัติครั้งสำคัญครั้งนี้นั่นเองครับ

The PayPal Wars by Eric M.Jackson
The PayPal Wars by Eric M.Jackson

ถ้ายังไงก็อย่าพลาดติดตามกันนะครับ สำหรับ Blog Series ชุดนี้ รับรองสนุกไม่แพ้เรื่องไหน ๆ ที่ผ่านมาอย่างแน่นอนครับผม

–> อ่านตอนที่ 1 : The new Recruit

ประวัติ Peter Thiel สุดยอดนักลงทุนแห่ง Silicon Valley

Peter Thiel นั้นเกิดที่ประเทศเยอรมนี ที่เมืองแฟรงก์เฟิร์ต และหลังจากใช้ชีวิตในประเทศบ้านเกิดอย่างเยอรมนีได้เพียง 1 ปี เขาก็ต้องถูกพ่อแม่หอบหิ้วย้ายถิ่นฐานมาอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา และเนื่องจากสาเหตุหลักที่พ่อเขานั้นเป็นวิศวกรเคมี ทำให้เขาต้องย้ายตามพ่อไปอยู่ที่ แอฟริกา อยู่ช่วงหนึ่ง ซึ่งทำให้เขาต้องย้ายโรงเรียนบ่อยถึง 7 ครั้งในช่วงวัยเยาว์

ในขณะที่เด็กคนอื่น ๆ กำลังสนุกสนานกับการใช้ชีวิตในวันเด็ก เขาต้องมีการปรับตัวเข้ากับเพื่อนใหม่อยู่ตลอดเวลาในช่วงแรกของชีวิต จนในที่สุด ครอบครัวของเขาก้ได้ย้ายมาลงหลักปักฐานที่สหรัฐอเมริกาอย่างถาวรเมื่อเขามีอายุครบ 10 ขวบในรัฐแคลิฟอร์เนีย

หลังจากจบการศึกษาในชั้นมัธยมที่อเมริกา เขาก็ได้เข้าศึกษาต่อปริญญาตรี ในสาขา ปรัชญา และศึกษาต่อในระดับปริญญาโทในด้านนิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Stanford University 

ชีวิตของ Thiel นั้นผ่านงานมาอย่างโชกโชน ทั้งงานด้านเสมียนในศาลฏีกา งานด้านกฏหมายในสำนักงาน  Sullivan & Cromwell ในเมืองนิวยอร์ก และเริ่มหันมาสนใจเรื่องการเงิน โดยย้ายมาทำงานเป็นนักเทรดอนุพันธ์ทางการเงิน เครื่องมือทางการเงินรูปแบบใหม่ ที่ Credit Suisse แต่เหมือนกับเป็นการค้นหาชีวิตว่าเขาชอบทำอะไรกันแน่ ทั้งที่ผ่านงานมาหลายรูปแบบ แต่เขาไม่ได้รู้สึกว่าตอบโจทย์กับชีวิตเขาเลยด้วยซ้ำ

ในวัย 30 ปี เขาได้ตัดสินใจเดินทางกลับมายังแคลิฟอร์เนีย ในขณะนั้น อินเตอร์เน็ตกำลังเติบโตอย่างบ้าคลั่ง เริ่มมีบริการต่าง ๆ ขึ้นไปออนไลน์บนอินเตอร์เน็ตจำนวนมาก ทำให้ Thiel เห็นถึง Trend ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับยุคของอินเตอร์เน็ต

Thiel จึงตัดสินใจครั้งสำคัญว่าจะตกขบวนเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตครั้งนี้ไม่ได้ สิ่งที่เขาตามหามานาน แสนนาน ก็คือเจ้าอินเตอร์เน็ตนี่เอง เขาจึงได้ระดมทุนจากเพื่อน ๆ และครวบครัวและญาติพี่น้อง ได้เงินมากว่า 1 ล้านเหรียญเพื่อเป็นทุนตั้งต้นในการก่อตั้ง Thiel Capital Management บริษัทที่จะเน้นการลงทุนด้านบริการที่อยู่บนอินเตอร์เน็ต

Thiel ได้ทดลองกับโครงการต่าง ๆ มากมาย ที่จะทำประโยชน์หรือหารายได้ผ่านอินเตอร์เน็ต แต่ผ่านไป 2 ปีแทบจะไม่มีโครงการไหนสำเร็จเลยเสียด้วยซ้ำ ในปี 1999 เขากับเพื่อนจึงได้ตัดสินใจเปิดบริษัทซอฟต์แวร์ในชื่อ Confinity ขึ้น โดยผลิตภัณฑ์แรกที่ทำการพัฒนาขึ้นมาชื่อว่า Fieldlink ซึ่งเป็นนวัตกรรมการชำระเงินผ่านเครื่อง Palm Pilot 

FieldLink นวัตกรรมการชำระเงินผ่านเครื่อง Palm
FieldLink นวัตกรรมการชำระเงินผ่านเครื่อง Palm

และในปีเดียวกันนั้นเองที่เขาเริ่มเห็นตลาดบางอย่างของการชำระเงินในรูปแบบออนไลน์ ซึ่งในยุคนั้นการชำระด้วย Credit Card นั้นแทบจะเป็นบริการหลักที่ใช้ในการชำระเงินแบบออนไลน์สำหรับชาวอเมริกัน Thiel อยากสร้างทางเลือกอื่นให้กับผู้บริโภค

เขามองไปที่ Digital Wallet ที่จะเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้บริโภค ซึ่งต้องเป็นบริการที่มีความปลอดภัยมีการเข้ารหัสข้อมูลเพื่อไม่ให้โดนโจรกรรมได้ง่าย และเขาก็ได้สร้างบริการ paypal ขึ้นมาได้สำเร็จในที่สุด 

และในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ก็ได้เกิดคู่แข่งที่สำคัญ สตาร์ทอัพ หน้าใหม่ ที่นำโดย Elon Musk ที่ได้เปิดบริการอย่าง X.com เข้ามาแข่งกับ paypal โดยตรง มันเป็นสงครามที่ดุเดือด ใครที่เป็นฝ่ายชนะ จะได้เขียนประวัติศาสตร์การปฏวัติอุตสาหกรรมทางด้านการเงินแต่เพียงผู้เดียว

ความได้เปรียบของ paypal ของ Thiel  คือ paypal นั้นได้ติดตั้งในเว๊บไวต์ประมูลชื่อดังอย่าง ebay ได้แล้วในขณะนั้น แต่ Musk ที่ชอบการแข่งขันอยู่แล้วก็ ดำเนินกลยุทธ์ทุกวิธีเพื่อไม่ยอมแพ้ เขาแทบจะทำงาน 24 ชม.ต่อวันในช่วงเวลาดังกล่าว

แต่พวกเขาก็แข่งกันได้เพียงไม่นาน เพราะขืนแข่งต่อไปดูเหมือน จะตายกันไปข้างหนึ่งก่อน ในปี 2000 พวกเขาหันมารวมพลังกัน ตอนนั้น paypal ของ Peter Thiel ดูเหมือนเงินใกล้จะหมดแล้วด้วยซ้ำ ส่วน Musk นั้นยังมีเงินให้ผลาญอีกมากมาย 

ดังนั้น Musk จึงเป็นฝ่าย ถือไพ่เหนือกว่าในดีล นี้ เขากลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และ ขอคง x.com ไว้ตามเดิม และยังได้รับการสนับสนุนเงินลงทุนเพิ่มอีกกว่า 100 ล้านเหรียญ จากกลุ่มลงทุนด้านการเงิน

แต่ปัญหาใหญ่ในการรวมบริษัท ก็คือ วัฒนธรรมที่แตกต่าง แม้กระทั่ง เทคโนโลยีที่แทบจะต่างกันคนละขั้ว confinity นั้นใช้ open source อย่างลินุกซ์ ส่วน x.com ของ Musk ขับเคลื่อนโดย Windows Server ซึ่งความแตกหักนี้ทำให้ Peter Thiel ขอลาออก และ ทิ้งให้ Musk บริหารบริษัท ในซากปรักหักพังนี้ต่อ

X.com รวมกับ Paypal เป็นบริการเดียว

ปัญหาใหญ่อีกอย่างก็คือ เมื่อผู้ใช้งานมากขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือน X.com จะไม่สามารถรองรับการเติบโตดังกล่าวได้ ทำให้ไซต์ ล่มอยู่บ่อย ๆ ซึ่งไม่ถือเป็นเรื่องดีเลยสำหรับบริการทางด้านการเงินที่ลูกค้าตั้งความหวังไว้สูง

และมันได้เกิดเหตุการณ์ยึดอำนาจครั้งประวัติศาสตร์ของซิลิกอน วัลเลย์ ขึ้น เมื่อเหล่าพนักงาน X.com กลุ่มหนึ่งได้รวมกลุ่มกันเพื่อคิดหาวิธีที่จะให้ Musk ออกไป และตัดสินใจลงมือลับหลัง ในตอนที่ Musk  กำลังเดินทางไปฮันนีมูน ซึ่งเมื่อ Musk รู้ก็ได้รีบขึ้นเครื่องกลับมาทันที

แม้จะพยายามตอบโต้กลับในช่วงแรก ๆ ก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าเหล่ากรรมการได้ตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว และดูเหมือน Musk ก็จะยอมรับกับสิ่งที่เกิดแต่โดยดี และพร้อมที่จะยอมถอยเพื่อให้บริษัทก้าวไปข้างหน้า ได้อย่างมั่นคงอีกครั้ง

และมันทำให้อิทธิพลของ Musk ต่อ X.com นั้นลดลงไปอย่างรวดเร็ว ในเดือน มิถุนายน ปี 2001 X.com ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็น paypal.com แทน และ Peter Thiel กลับมาเป็น CEO ของบริษัทอีกครั้ง

และสุดท้ายก็เป็น Peter Thiel ที่นำพา paypal เข้าสู่ตลาดหุ้นได้สำเร็จในปี 2002 และถูกซื้อกิจการโดย ebay ในมูลค่ากว่า 1.5 พันล้านเหรียญ

หลังจากได้เงินมหาศาลจากการขาย paypal ให้กับ ebay เขาก็ได้เริ่มก่อตั้ง Clarium Captial Managment โดยเน้นการลงทุนใน ตลาดเงิน ตลาดทุน รวมถึงสินค้า commodities และประสบความสำเร็จอย่างสูง

จากนั้นเขาก็ได้หันมาตั้ง Palantir  ซึ่งเป็นบริษัทด้าน Cyber Security ขนาดใหญ่ ที่ CIA ให้การสนับสนุนกว่า 20 พันล้านเหรียญ โดยมีเป้าหมายเป็นบริษัที่จะให้บริการทำเหมืองข้อมูล ซึ่งจะใช้เป็นเทคโนโลยีด้านข่าวกรองและสอดส่อง คอยตรวจสอบและติดตามการฉ้อโกง

Palantir แม้จะไม่มีข่าวออกมามากนักเหมือน startup รายอื่น  ๆ แต่ตอนนี้ ได้เติบโตจนกลายมาเป็น Startup อันดับ 3 ของอเมริกาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และไม่ได้มีเพียงลูกค้าเฉพาะภาครัฐเพียงเท่านั้น ยังให้บริการกับบริษัทเอกชนใหญ่ ๆ ใน Fortune 500 อีกด้วย

ความสำเร็จของ Peter Thiel ที่เป็นที่กล่าวถึงมากที่สุดคงเป็นเรื่องการเป็น Angel Investor ให้กับ facebook บริการ Social Network หน้าใหม่ในปี 2004 โดยเขาลงทุนก้อนแรกให้ facebook ไปกว่า 500,000 เหรียญ เพื่อแลกกับหุ้น 10.2% ในบริษัท และกลายมาเป็นหนึ่งในกรรมการบริษัทในที่สุด

Thiel ลงทุนในธุรกิจเกิดใหม่มากมาย หนึ่งในนั้นคือ Facebook ที่เขาเป็นคนให้เงินทุนก้อนแรก
Thiel ลงทุนในธุรกิจเกิดใหม่มากมาย หนึ่งในนั้นคือ Facebook ที่เขาเป็นคนให้เงินทุนก้อนแรก

และเมื่อ facebook สามารถเข้าสู่ตลาดหุ้นได้ในปี 2012 นั้น ทำให้ facebook มีมูลค่าพุ่งสูงไปถึงกว่า 100,000 ล้านเหรียญ Thiel จึงได้ทำการเทขายหุ้นไปเกือบหมด ทำให้เขาก้าวเข้าไปติด 400 อันดับเศรษฐีของอเมริกาจากนิตยสาร Forbes ไปในที่สุด ด้วยทรัพย์สินในตอนนั้นกว่า 1,800 ล้านเหรียญ ซึ่งการรวยอย่างก้าวกระโดดนั้น น่าจะเกิดจากผลตอบแทนจากเม็ดเงินลงทุนก้อนแรกใน facebook ยุคตั้งไข่เพียง 500,000 เหรียญนั่นเอง

ประวัติการก่อตั้ง Linkedin Social Network สำหรับมืออาชีพ

Linkedin นั้นถูกก่อตั้งโดย Reid Hoffman ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่ม Founder Paypal ผู้ซึ่งมีบทบาทสำคัญในวงการดอทคอมของสหรัฐอเมริกาหลังยุคฟองสบู่ดอทคอมในปี 2000 เป็นต้นมา

โดย Reid Hoffman นั้น เป็นคนที่ไม่ได้จบมาทางด้าน computer science โดยตรงแต่มีความชอบในเรื่องของ game มาตั้งแต่เด็ก ๆ โดยส่วนตัวนั้นของชอบ game แนว RPG  แต่เนื่องจากการที่ได้มาพบกับ Peter Thiel โดยเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันที่ มหาวิทยาลัย Standford ก็ทำให้ Reid Hoffman หันเหชีวิตเข้ามาสู่การทำงานทางด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์

ชีวิตการทำงานของเค้านั้นเริ่มต้นที่ apple computer โดยงานแรกที่เขาได้ทำนั้นเป็นการสร้าง eWorldซึ่งถือว่าเป็นพื้นฐานทางด้าน software ที่ใช้ทำงานที่เป็น social network แรก ๆ ของ apple ในยุคนั้นแต่ไม่ค่อย boom เท่าไหร่ และสุดท้ายได้ขายไปให้กับ AOL ในที่สุด

หลังจากออกจาก apple นั้นเขาก็ได้สร้าง online dating website ชื่อ socialnet.com ก่อนที่จะมามีปัญหากับผู้ร่วมทุนในภายหลังและได้ออกมา ซึ่งในช่วงนั้นทาง Peter Thiel นั้นได้เริ่มสร้างระบบ Payment Online ที่ชื่อ Confinity และเนื่องจากเขารู้จักกับ Peter Thiel อยู่แล้วนั้นจึงได้รับการชักชวนให้มาทำงานกับ Confinity

ในช่วงนั้นก็ได้มีการแข่งขันกันระหว่าง X.com ที่ถูกสร้างโดย Elon Musk และ Confinity ที่ก่อตั้งโดย Peter Thiel ซึ่งมีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง และเป็นช่วงปลายก่อนที่จะเกิดฟองสบู่ดอทคอมแตกในยุคปี 2000

ซึ่งต่อมา Peter Thiel และ Elon Musk ก็ได้ตัดสินใจร่วมมือกันแทนที่จะแข่งกัน และรวมตัวกันใหม่ภายใต้ชื่อ Paypal.com และทำให้ทั้งคู่รอดพ้นยุคฟองสบู่ดอมคอมของสหรัฐอเมริกามาได้อย่างหวุดหวิด

Reid Hoffman นั้นถือเป็นหนึ่งในบุคคลที่ถูกขานในวงการเทคโนโลยีสหรัฐว่าเป็นกลุ่ม Paypal Mafia ซึ่งมีบทบาทที่สำคัญหลังจากยุคฟองสบู่ดอทคอมในปี 2000  ซึ่งหลังจากตัดสินใจขาย Paypal ให้กับ Ebay ในช่วงปี 2002 แล้วนั้น ( มูลค่าประมาณ 1.5 พันล้านเหรียญ) ก็ทำให้เขาได้รับส่วนแบ่งเป็นจำนวนมากพอที่จะมาตั้งบริษัทใหม่ที่ใจเขาต้องการคือ Linkedin

Reid Hoffman เพื่อนสนิทของ Peter Thiel ที่ถูกมองเป็นหนึ่งใน paypal mafia
Reid Hoffman เพื่อนสนิทของ Peter Thiel ที่ถูกมองเป็นหนึ่งใน paypal mafia

เนื่องจากเป็นคนที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว เมื่อทำการสร้าง Linkedin ซึ่งเขาให้สโลแกนของ Linkedin คือ Online social network for Professional ก็ถือได้ว่าเป็นจุดแตกต่างจาก social network อื่น ๆ ในสมัยนั้น โดยเน้นกลุ่มไปที่ลูกค้าที่เป็นกลุ่มคนทำงานแทน จึงได้รับผลตอบรับจากนักลงทุนเป็นจำนวนมาก และทำให้สามารถขยายกิจการได้อย่างรวดเร็ว

โดยจุดประสงค์หลักของ Linkedin คือ อนุญาตให้ผู้ใช้ที่ลงทะเบียนแล้ว สามารถสร้างรายการที่ติดต่อของผู้คนที่พวกเขารู้จักและเชื่อถือในการทำธุรกิจ ซึ่งผู้คนในรายการนี้เรียกว่า “Connections” โดยผู้ใช้สามารถเชิญใครก็ได้ (ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้ลิงกต์อินหรือไม่ก็ตาม) เข้ามาเป็น connectionของพวกเขา ซึ่งประโยชน์ของ Connection เหล่านี้ ก็เพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้รายการอันนี้ในการหางานหรือหาผู้ร่วมงานได้แบบง่าย ๆ นั่นเอง

โดย Linkedin มีรูปแบบการทำรายได้จากสามทางคือ การโฆษณา , Premium Subscribtion และ  Hiring solution for company ซึ่งก็คือรูปแบบการหาเงินจากบริษัทจัดหางานแบบเก่า แต่ linkedin แตกต่างตรงมีส่วนของการเป็น social network ทำให้แตกต่างจาก web หางานแบบเดิม ๆ ที่แข่งขันกันในตลาดอยู่ทำให้ได้ผลตอบรับที่ดีจากกลุ่มคนทำงานทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน

ในช่วงปี 2008 เขาก็ได้ตัดสินใจปล่อยงานบริหารบริษัทให้กับ Jeff Weiner ที่ได้ย้ายมาจาก Yahoo เพื่อเข้ารับตำแหน่ง CEO ต่อจากเขา และ เขาก็เริ่มเข้าไปตั้งบริษัทด้านการลงทุนในบริษัทด้านเทคโนโนยี  คือ GreylockPartner ในปี 2009 เพื่อลงทุนในบริษัทเกิดใหม่เช่นเจริญรอยตามอดีตเพื่อนร่วมงานของเขาที่ paypal อย่าง peter thiel 

และในที่สุดในปี 2016 Microsoft ก็ได้ประกาศซื้อหุ้นของ LinkedIn  ด้วยมูลค่าสูงถึง 26.2 พันล้านเหรียญ  ซึ่งแน่นอนว่าเหตุผลที่ไมโครซอฟท์ทุ่มเม็ดเงินก้อนใหญ่มหาศาลขนาดนี้ ก็เพราะจำนวนผู้ใช้งานของ LinkedIn ซึ่งมีมากถึง 433 ล้านรายแล้วในขณะนั้น อีกทั้งยังมี Data มหาศาลของผู้ใช้งาน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผู้ใช้ที่เป็นมืออาชีพที่เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับธุรกิจหลักของ Microsoft นั่นเอง

ซึ่งดีลดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากบอร์ดบริหารทั้งสองฝั่ง โดย Jeff Weiner จะดำรงตำแหน่ง CEO ของ LinkedIn ต่อไป แล้วทำงานรายงานตรงต่อ Satya Nadella ซีอีโอของไมโครซอฟท์

Linkedin ที่สุดท้ายได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของ Microsoft
Linkedin ที่สุดท้ายได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของ Microsoft

และจากเรื่องราวประสบการณ์ต่างๆ เหล่านี้ของ Reid Hoffman ที่ทำให้เขาได้กลายมาเป็นวิทยากรคอยสอนคนรุ่นใหม่ๆ ให้ตามโลกแห่งธุรกิจให้ทัน โดยในบทสัมภาษณ์หนึ่งเขาเคยได้กล่าวไว้ว่า “Hard work isn’t enough. And more work is never the real answer,” การขยันมากๆ นั้นไม่เพียงพอ และการทำงานหนักๆ นั้นก็ไม่ใช่คำตอบเช่นกัน

ซึ่งก็เปรียบเทียบเหมือนกับการที่คนพยายามขับรถขึ้นเนินสูงชัน แต่ไม่สามารถขึ้นได้ทั้งๆ ที่พยายามหลายรอบโดยที่ไม่เปลี่ยนวิธีการเลย ซึ่ง Reid Hoffman บอกว่าทุกๆครั้งที่เราทำอะไรพลาด เราก็ควรจะพยายามหาข้อแก้ไขที่คิดว่ามีประสิทธิภาพสูงสุด ใช้แรงน้อยที่สุด โดยให้คิดเสมอว่าแรงที่เราใช้นั้นมันเป็นสิ่งล้ำค่ามาก ๆ นั่นเองครับ

โดยในปัจจุบัน Reid Hoffman มีทรัพย์สินมากถึง 3.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1.2 แสนล้านบาท และอยู่ในอันดับที่ 159 ของผู้ที่รวยที่สุดในโลกตามการจัดอันดับจาก Forbes

References : 
https://www.wikipedia.org/
https://about.linkedin.com/

Blog Series : Paypal Mafia – Billion Dollar Boys’ Club of Silicon Valley

Paypal Mafia กลุ่มทีมงานก่อตั้งของบริการชำระเงินในตำนานของ Silicon Valley อย่าง Paypal เราอาจจะได้ยินข่าวเพียงแค่ Elon Musk หรือ Peter Thiel ที่มีบทบาทต่อการขับเคลื่อน Silicon Valley มาจวบจนถึงปัจจุบัน

แต่ Paypal Mafia นั้นยังมีบุคคลอีกหลายคนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งพวกเขาเหล่านี้นั้นล้วนแต่มีอิทธิพลต่อ Silicon Valley แม้กระทั้งอิทธิพลต่อโลกของเราไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เหล่านักเทคโนโลยีที่หันเห มาเป็นนักลงทุน เพื่อขับเคลื่อน Silicon Valley ให้กลายเป็นดินแดนที่น่าหลงไหล ดึงดูด วิศวกร อัจฉริยะจากทั่วโลกให้เข้ามาทำงาน

แม้ Paypal นั้นจะถูกซื้อกิจการไปเป็นที่เรียบร้อยในปี 2002 แต่พวกเขาเหล่านี้ เหล่า Paypal Mafia ยังไม่ยอมหยุดเพื่อไปเสวยสุขจากเงินส่วนแบ่งก้อนโต แต่ตรงกันข้ามพวกเขามีพลังอันเหลือล้นที่จะช่วยกันปฏิวัติอุตสาหกรรมทางเทคโนโลยีใน Silicon Valley สืบเนื่องต่อมาจวบจนถึงปัจจุบัน ให้อเมริกา และ Silicon Valley กลายเป็นแนวหน้าของโลกเทคโนโลยีอย่างที่เราได้เห็นกัน

แล้วพวกเขาเหล่านี้เป็นใครกันบ้าง มีบทบาทอย่างไร อย่าพลาดติดตามใน Blog Series ชุดนี้นะครับกับ Paypal Mafia – Billion Dollar Boys’ Club of Silicon Valley

–> อ่านตอนที่ 1 : Jawed Karim