Smartphone War ตอนที่ 15 : The Winner Is

และในที่สุดการปฏิวัติวงการมือถือโลก ก็สามารถทำได้สำเร็จ ด้วยพลังของ iPhone ที่ได้มาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตมนุษย์เราไปตลอดกาล โลกของเรายุคหลังการเกิดขึ้นของ iPhone นั้น เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เพราะข้อมูล ความรู้ ทุกสรรพสิ่งในโลกนี้ สามารถเข้าถึงได้ด้วยเพียงปลายนิ้วของเราเท่านั้น

Smartphone ได้นำพาชีวิตของมนุษย์เราก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้น เพื่อรองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ต รายละเอียดต่าง ๆ ในชีวิตของเรา เช่น เบอร์โทรศัพท์ของเพื่อน รูปภาพ ข้อความ หรือข้อความต่าง ๆ ที่ได้บันทึกไว้ จะต้องอยู่ในโทรศัพท์เพียงเท่านั้นโดยบันทึกไว้ในหน่วยความจำของเครื่องโทรศัพท์ แต่ตอนนี้ข้อมูลทุกอย่างของเราถูกบันทึกไปอยู่บนระบบ Cloud แทบจะทั้งหมด

Smartphone ได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของทุก ๆ อาชีพ ไม่ว่าจะเป็นเหล่าพนักงานขาย ที่สามารถโชว์สินค้าให้ลูกค้าได้เห็นทันทีผ่านมือถือ เหล่าพ่อค้าแม่ค้าต่าง ๆ ก็สามารถเข้าถึงลูกค้าได้อีกจำนวนมหาศาลผ่าน Ecommerce บนมือถือ เราสามารถเรียก Taxi มารับได้ถึงที่ด้วยเพียงปลายนิ้ว หรือ อาชีพอื่น ๆ อีกมากมายที่ smartphone ได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของพวกเค้าเหล่านี้

และเมื่อประชาการในประเทศกำลังพัฒนาเริ่มสามารถเข้าถึง smartphone ก็ทำให้พวกเขาสามารถเข้าถึงบริการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น App ให้คำแนะนำทางการแพทย์ ข้อมูลการเงิน การธนาคาร การศึกษา ทุกอย่างสามารถเข้าถึงได้ผ่าน smartphone เหล่านี้แทบจะทั้งสิ้น

หรือแม้กระทั่งปรากฏการณ์ระดับโลกอย่าง Arab Spring ในช่วงปี 2011 มือถือ smartphone ก็ได้เป็นปัจจัยสำคัญให้เกิดผลกระทบต่อการเมือง สังคม ผ่านบริการเครือข่าย Social Network ต่าง ๆ ที่อยู่บนมือถือ smartphone เหล่านี้

และการเติบโตของ iPhone มากขึ้นในทุก ๆ ปีนั้น ส่งผลบวกต่อ Google ด้วยเช่นเดียวกัน เพราะบริการต่าง ๆ ของ Google ที่อยู่บนมือถือนั้น ลูกค้ามักเลือกบริการของ Google ก่อนเสมอ ไมว่าจะเป็น Maps , Youtube หรือแม้กระทั่ง Google Docs

แต่มันเป็นข่าวร้ายสำหรับ Microsoft ซึ่งมีกำไรกว่าครึ่งมาจากการขาย PC ส่วนที่เหลือมาจากบริการ Software หลัก ๆ ของพวกเขาไม่ว่าจะเป็นชุด Microsoft Office หรือ Software Enterprise สำหรับองค์กร

และตลาดของ PC มันได้เริ่มถึงทางตันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะตอนนี้เป็นยุคของมือถือ และ smartphone จะกลายมาแทนที่ PC ในพื้นที่ห่างไกลกันดาร เพราะสามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่า รวมถึงการเกิดขึ้นของ มือถือ Android ราคาถูกจากจีน จะทำให้แย่งตลาดนี้ไปจาก Microsoft เป็นจำนวนมาก

และในด้านตลาดมือถือนั้น แม้สุดท้าย Microsoft จะ Take Over Nokia มาสำเร็จในช่วงปลายปี 2013  แต่ด้วยความล่าช้า รวมถึงไม่ได้รับความสนใจจากเหล่านักพัฒนา App ให้มาสนใจ Windows Phone ทำให้ App ดี ๆ ที่คนใช้งานทั่วไปในทั้ง Android และ iOS ไม่มาสร้างบน Windows Phone

Microsoft ที่ take over Nokia มาได้สำเร็จแต่ก็ไม่สามารถผลักดัน Windows Phone ได้สำเร็จอยู่ดี
Microsoft ที่ take over Nokia มาได้สำเร็จแต่ก็ไม่สามารถผลักดัน Windows Phone ได้สำเร็จอยู่ดี

แม้กระทั่ง App Facebook เองที่เป็น Social Network ยักษ์ใหญ่ และ Microsoft มีหุ้นอยู่ด้วยนั้น ก็ไม่ได้มาทำ Official App บน Windows Phone ทำให้ขาดแรงดึงดูดต่อลูกค้าผู้ใช้งานเป็นอย่างมาก ซึ่งสุดท้าย Windows Phone ก็ไม่สามารถสอดแทรกมาเป็นระบบปฏิบัติทางเลือกที่สามได้ และล่มสลายไปในที่สุดอย่างที่เราได้เห็นในปัจจุบัน

ซึ่งเราอาจจะมองได้ว่า Android ของ Google กลายเป็นผู้ชนะในศึกสงคราม smartphone ครั้งนี้ เมื่อ Android ได้กลายเป็นแพลตฟอร์มหลักบนอุปกรณ์มือถือถ้าเทียบในเรื่องปริมาณผู้ใช้งานในแพลตฟอร์ม

และที่สำคัญมันยังทำให้ Google ได้ครอบครองธุรกิจค้นหาบนมือถือ ซึ่งแม้ Google เองนั้นก็ไม่ได้สนใจว่าแพลตฟอร์มตัวไหนจะเป็นหลัก ตราบใดเท่าที่มีคนใช้ Search Engine ของ Google 

แต่เมื่อ Android กำลังรุดหน้าไปครองตลาดใหม่ ๆ ในทุก ๆ แห่งผ่านเหล่าผู้ผลิตมือถือยักษ์ใหญ่ทั่วโลก โดยเฉพาะแบรนด์จีนที่ทำให้ smartphone ราคาถูกลงเป็นอย่างมาก แต่ Apple ก็จะไปแย่งชิงเอาลูกค้าที่ดีที่สุดไปเหมือนเคยในทุก ๆ ครั้ง

และด้วยการพัฒนาของมือถือ ที่รุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว ทำให้สุดท้ายเราได้เห็น Features ต่าง ๆ ที่เมื่อก่อนยุค iPhone จะเกิดนั้นใครจะไปคาดคิดว่าเราจะใช้งานมือถืออย่างที่เราเห็นได้ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น Maps , Voice Assistant อย่าง SIRI หรือ การ Streaming ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเพลง หนัง หรือแม้กระทั่งการใช้งานบน Cloud ที่ง่ายแสนง่ายอย่างที่เราได้เห็นในปัจจุบัน 

เราได้ใช้ Features ล้ำ ๆ ที่แทบจะเคยคาดคิดมาก่อนว่าจะใช้งานได้บนมือถือ
เราได้ใช้ Features ล้ำ ๆ ที่แทบจะเคยคาดคิดมาก่อนว่าจะใช้งานได้บนมือถือ

จะได้เห็นว่าหลังจากการเกิดขึ้นของ iPhone นั้นมันได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของมนุษย์บนโลกเราไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่ง คงไม่เกินเลยที่จะกล่าวได้ว่า iPhone ได้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการปฏิวัติด้านเทคโนโลยีของโลกมนุษย์เรา นับตั้งแต่ก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 นั่นเองครับ

แล้วเราได้อะไรจากการเรื่องราวของ สงคราม Smartphone War จาก Blog Series ชุดนี้

สำหรับเรื่องราวการต่อสู้ในศึก Smartphone War จาก Series ชุดนี้เราได้เห็นถึงการต่อสู้ของ เหล่าผู้ที่ต้องการปฏิวัติวงการมือถือที่ย่ำอยู่กับที่มานานแสนนาน ทั้ง Apple หรือ Google เองนั้นต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงธุรกิจมือถือที่มันผิดที่ผิดทาง ให้อุตสาหกรรมมันสามารถเดินหน้าไปเหมือนอุตสาหกรรมอื่นๆ  ได้ด้วยนวัตกรรม

สิ่งแรกที่เราเห็นได้ชัดที่เป็นอุปสรรคขัดขวางของนวัตกรรมในธุรกิจมือถือ ก็คือเหล่าเครือข่ายมือถือที่มีอำนาจคอยควบคุมเส้นทางข้อมูลต่าง ๆ ที่มีอยู่ทั่วโลก และคิดหาเงินจากการเป็นทางผ่านข้อมูลของพวกเขา ทำให้เหล่าบริษัทมือถือยักษ์ใหญ่ในอดีตอย่าง Nokia แทบที่จะสยบอยู่แทบเท้าพวกเค้าเหล่านี้

ซึ่งต้องบอกว่ามันเป็นสิ่งที่ควรจะพัฒนาไปตั้งนานแล้ว จากยุคก่อนที่ iPhone จะเกิดขึ้นนั้น เราจะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีทางด้านอินเทอร์เน็ตมันก้าวล้ำไปมากแล้ว แต่กับอุตสาหกรรมมือถือ มันเหมือนย้อนกลับไปในโลกยุคปี 90 ที่อินเทอร์เน็ตบนมือถือ มันได้กลายเป็นเรื่องที่น่าเบื่อมาก ประสบการณ์ใช้งานเว๊บไซต์ที่ห่วยแตก จะเห็นได้ว่าอุปสรรคต่าง ๆ เหล่านี้ถูกพังทลายลงหลังจากการเกิดขึ้นของ iPhone แทบทั้งสิ้น

ซึ่งแน่นอนว่าโลกเราต้องขอบคุณสตีฟ จ๊อบส์ ที่ได้สรรค์สร้างผลิตภัณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของมนุษย์เราไปอย่างสิ้นเชิงอย่าง iPhone ขึ้นมา และต้องของคุณ Google ที่ทำให้คนทั่วโลกสามารถเข้าถึง smartphone ได้ โดยไม่ลำบากในเรื่องภาระทางการเงินจนเกินไป และต้องขอบคุณ Microsoft ที่เข้ามาแข่งขันในตลาดนี้ด้วย เพราะ เป็นตัวเร่งให้เกิดนวัตกรรมต่าง ๆ ขึ้นมามากมายเพื่อทำการฉีกหนีคู่แข่งที่แข็งแกร่งอย่าง Microsoft ให้ได้นั่นเอง

และเรื่องราวครั้งนี้มันยังเป็นการต่อสู้ทางกลยุทธ์ทางธุรกิจ ที่มีการหักเหลี่ยมเฉือนคม ถึงกับต้องมีการฟ้องร้องในชั้นศาล เพื่อเป็นแต้มต่อในด้านธุรกิจ อย่างที่ Microsoft ทำได้สำเร็จ ซึ่งสุดท้าย ทั้งสามฝ่าย ทั้ง Apple , Google และ Microsoft ทุกบริษัทที่แข่งกัน ไม่ว่าด้วยวิธีการใดก็ตามแต่สุดท้ายหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรมมือถือได้สำเร็จ ทุกบริษัทก็ได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการปฏิวัตินี้ไปในที่สุดไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

ซึ่งสุดท้ายมันก็ได้พาพวกเขาทั้งสามทะยานขึ้นเป็นบริษัทที่มีมูลค่าอันดับต้น ๆ ของโลก ( 2.Apple $309.5 billion, 3. Google $309 billion , 4. Microsoft $251.2 billion)  ซึ่งแน่นอนว่ามันมาจากการที่พวกเขามีส่วนร่วมไม่ทางใดก็ทางหนึ่งต่อสงครามในการปฏิวัติอุตสาหกรรมมือถือโลกในครั้งนี้นั่นเองครับ

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 Phone & Microsoft *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

รวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุดรวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุด

อย่าลืมติดตามผลงานเรื่องต่อ ๆ ไปของผมก่อนใครได้ที่ blockdit นะครับ โหลดได้เลย

อย่าลืม ค้นหา “ด.ดล Blog” แล้ว กด follow กันด้วยนะครับผม

Blog Series : Smartphone War Apple vs Google vs Microsoft

สงคราม Smartphone ถือได้ว่าเป็นสงครามธุรกิจ Case ที่ Classic Case นึงทีเดียวในวงการธุรกิจโลก การล่มสลายของ Nokia ผู้ครองตลาดมาอย่างยาวนาน รวมถึง Microsoft ที่มีที่ยืนอยู่ใน Windows Mobile ในช่วงเริ่มต้นของ Smartphone นั้น ถือว่าเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง

การเกิดขึ้นของ iPhone จาก Apple ในปี 2007 ได้เปลี่ยนแปลง รูปแบบธุรกิจมือถือ ที่มีเจ้าตลาดอย่าง Nokia เคยครองมาก่อนอย่างสิ้นเชิง ซึ่ง เหล่ายักษ์ใหญ่ที่เป็นอดีตเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่ประมาท การแจ้งเกิดของ iPhone เป็นอย่างมาก ไม่คิดว่า Apple จะสามารถมาล้มล้าง การครองตลาดแบบเบ็ดเสร็จของ Nokia ลงได้ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น

รวมถึง Android ระบบปฏิบัติการของ Google ที่ถือว่าสามารถแจ้งเกิดได้อย่างทันท่วงที ซึ่งคงกล่าวไม่เกิดเลยว่า พวกเขานั้นได้รับแรงบันดาลใจที่สำคัญจากระบบปฏิบัติการ iOS ของ Apple นั่นเอง

แล้วมันเกิดอะไรขึ้นระหว่างศึกครั้งนี้ ที่ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปี แต่ได้ปฏิวัติวงการมือถือ รวมถึงได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้คนทั่วโลกไปตลอดกาลผ่านระบบ SmartPhone ที่ได้แจ้งเกิดขึ้นใหม่นี้ อย่าพลาดติดตามได้จาก Series ชุดนี้ครับผม

–> อ่านตอนที่ 1 : Phone & Microsoft

เซ่นพิษสงครามการค้า Apple เตรียมลดการผลิตจากจีน

แอปเปิลขอให้ซัพพลายเออร์รายใหญ่ในประเทศจีน ประเมินผลกระทบด้านต้นทุนเพิ่มขึ้นจาก 15% เป็น 30% ของกำลังการผลิตของพวกเขาที่เดิมนั้นผลิตในจีน เพื่อเตรียมย้ายไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แทน

คำร้องขอของยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีจากแคลิฟอร์เนียถูกกระตุ้นโดยความตึงเครียดทางการค้ายืดเยื้อระหว่างวอชิงตันและปักกิ่ง แต่ข่าวจากหลายแหล่งกล่าวว่าแม้ว่าการทะเลาะวิวาทกันจะได้รับการแก้ไขสถานการณ์ก็จะไม่มีการหวนกลับไปเป็นดังเก่าอย่างแน่นอน

Apple ตัดสินใจว่ามีความเสี่ยงในการพึ่งพาการผลิตในประเทศจีนเป็นอย่างมากซึ่งบริษัททำมาหลายทศวรรษแล้วและมันเริ่มมีความเสี่ยงสูงขึ้นเรื่อย ๆ Apple บอกกับ Nikkei

“ อัตราการเกิดที่ต่ำ ต้นทุนแรงงานที่สูงขึ้น และความเสี่ยงของการรวมศูนย์การผลิตในประเทศใดประเทศหนึ่งมากเกินไป “ผู้บริหารคนหนึ่งที่มีความรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ดังกล่าว

ประเทศจีนเป็นฐานการผลิตที่ประสบความสำเร็จทั่วโลกของ Apple ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศจีนไม่เพียงแต่สามารถรวบรวมคนงานที่มีทักษะหลายแสนคนในระยะเวลาอันสั้นเพื่อเติมเต็มคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อบริษัทเติบโต ซึ่งเหล่า Ecosystem ที่ซับซ้อนของส่วนประกอบต่างๆ ความสามารถด้านโลจิสติกส์และความสามารถอื่น ๆ นั้นได้เกิดขึ้นรอบ ๆ โรงงานผลิตของ Apple

งานในจีนจำนวน 5 ล้านงานนั้นล้วนเกี่ยวกับบริษัท Apple ซึ่งรวมถึงงานที่มีมากกว่า 1.8 ล้านงานด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์บน iOS และอีกส่วนนึงคือเหล่าพนักงานของบริษัท Apple เองมีซึ่งมีถึง 10,000 คนในประเทศจีน บริษัท กล่าว

จีนได้แซงอเมริกากลายเป็นซัพพลายเออร์ปริมาณสูงสุดให้กับ apple
จีนได้แซงอเมริกากลายเป็นซัพพลายเออร์ปริมาณสูงสุดให้กับ apple

เหล่าซัพพลายเออร์ในจีนยอมรับว่าเครือข่ายนี้จะต้องใช้เวลาหาก Apple คิดจะย้ายฐานการผลิตจริง ๆ และจีนน่าจะยังคงเป็นฐานการผลิตที่สำคัญที่สุดของ Apple ในอนาคตอันใกล้นี้ “ มันเป็นความพยายามระยะยาวจริง ๆ และอาจเห็นผลลัพธ์บางอย่างในอีกสองหรือสามปีนับจากนี้” ซัพพลายเออร์รายหนึ่งกล่าว “ มันเจ็บปวดและยาก แต่นั่นคือสิ่งที่เราต้องรับมือ”

แต่สงครามการค้าทำให้แอปเปิลพิจารณาการกระจายความเสี่ยงอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก ในช่วงปลายปีที่แล้ว บริษัทเริ่มขยายทีมการศึกษาค่าใช้จ่ายด้านต้นทุนที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น

Apple ใช้ทีมงานมากกว่า 30 คนหารือเกี่ยวกับแผนการผลิตกับซัพพลายเออร์และเจรจากับรัฐบาลเกี่ยวกับสิ่งจูงใจทางการเงินที่พวกเขาอาจยินดีเสนอเพื่อดึงดูดการผลิตของ Apple รวมถึงกฎระเบียบและสภาพแวดล้อมทางธุรกิจในท้องถิ่นนั้นๆ ที่ apple จะเข้าไปลงทุน

โดยส่วนประกอบของ iPhone ที่สำคัญไม่ว่าจะเป็น Foxconn , Pegatron , Wistron , ผู้ผลิต MacBook รายใหญ่อย่าง Quanta Computer , ผู้ผลิต iPad, Compal Electronics และผู้ผลิต AirPods Inventec, Luxshare-ICT และ Goertek ล้วนถูกขอให้ประเมินทางเลือกในการผลิตนอกประเทศจีน ซัพพลายเออร์ของ Apple อื่น ๆ เช่นบริษัทผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ และผู้ให้บริการด้านเคสมือถือ กำลังตรวจสอบอย่างใกล้ชิดว่าผู้ผลิตรายใหญ่เหล่านี้จะเปลี่ยนการผลิตอย่างไรได้บ้าง

“ เราจำเป็นต้องทราบว่าเหล่าผู้ผลิตรายใหญ่เหล่านั้นกำลังมุ่งหน้าไปที่ใดเพื่อให้เราสามารถเริ่มต้นแผนของเราได้เช่นกัน” ผู้บริหารของบริษัทซัพพลายเออร์ Apple กล่าวกับ Nikkei

แม้ว่าซัพพลายเออร์ของ Apple อย่างบริษัท Wistron ได้เริ่มทำไอโฟนราคาถูกในอินเดียตั้งแต่ปี 2017 แต่ปริมาณยังน้อยมาก มากกว่า 90% ของผลิตภัณฑ์ของ Apple ประกอบในประเทศจีน เมื่อปีที่แล้วจำนวนซัพพลายเออร์จีนแผ่นดินใหญ่และฮ่องกงมีจำนวนมากกว่าซัพพลายเออร์ในสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกโดยคิดเป็น 41 บริษัท จากซัพพลายเออร์ทั้งหมด 200 ราย จากการวิจัยของนิกเกอิ

จีนและฮ่องกง มีจำนวนซัพพลายเออร์สูงถึง 41 บริษัท
จีนและฮ่องกง มีจำนวนซัพพลายเออร์สูงถึง 41 บริษัท

สำหรับประเทศที่ Apple กำลังพิจารณาที่จะการกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง ได้แก่ เม็กซิโก อินเดีย เวียดนาม อินโดนีเซีย และมาเลเซีย อินเดียและเวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศยอดนิยมสำหรับการกระจายความเสี่ยงของการผลิตสมาร์ทโฟน

Apple ไม่ได้กำหนดเส้นตายสำหรับซัพพลายเออร์ในการทำข้อเสนอทางธุรกิจใหม่ ทั้งสองฝ่ายกำลังทำงานร่วมกันเพื่อหาสิ่งที่ดีที่สุดในการพิจารณา รวมถึงการตรวจสอบสภาพแวดล้อมทางธุรกิจหากต้องย้ายออกนอกประเทศจีน

นักวิเคราะห์กล่าวว่าการเคลื่อนไหวของ บริษัท Apple ในครั้งนี้นั้นน่าสนใจ “เรารู้สึกว่าคำเตือนของทรัมป์เกี่ยวกับการปรับขึ้นภาษี 25% … ได้เป็นตัวกระตุ้นที่พวกเขาต้องใส่ใจมากขึ้น” เจฟฟ์ปูนักวิเคราะห์ผู้เชี่ยวชาญของ บริษัท หลักทรัพย์จีเอฟกล่าว “ทุกคนต้องเริ่มวางแผน และเริ่มดูโรงงานผลิตนอกประเทศจีนแม้ว่าจะต้องใช้เวลาในการเปลี่ยนผ่านก็ตาม” โดยประมาณ 37% ของการจัดส่งไอโฟนแต่ละปีนั้นจะถูกส่งไปที่ตลาดในอเมริกาเหนือ

แต่มันอาจเป็นเรื่องยากที่ประเทศต่างๆ เหล่านี้จะเอาชนะสิ่งที่จีนเสนอ ในช่วงต้นทศวรรษ 2000 รัฐบาลท้องถิ่นในประเทศจีนลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเช่นการประปา สาธารณูปโภค ถนน และแม้แต่หอพักสำหรับพนักงาน พวกเขายังเสนอ process ในการนำเข้าและส่งออกที่ง่ายขึ้นและกฎพื้นฐานด้านแรงงานที่ต่ำมาก”สิ่งที่ Apple ต้องทำก็คือตัดสินใจให้ละเอียดที่สุด” แหล่งข่าวกล่าว

ประเทศอื่น ๆ ที่มีโครงสร้างพื้นฐานที่ด้อยกว่าอาจต่อสู้กับสิ่งจูงใจดังกล่าวได้ยาก ซัพพลายเออร์บางรายใช้เวลา “สามถึงห้าเดือนเพียงแค่เพื่อการประเมินแหล่งการผลิตใหม่เพียงแห่งเดียวเท่านั้น” และสุดท้ายก็ค้นพบในภายหลังว่ามีความเสี่ยงต่อการขาดแคลนพลังงานที่จะส่งมายังโรงงาน แหล่งข่าวกล่าว

แหล่งข้อมูลกล่าวว่าจะใช้เวลาอย่างน้อย 18 เดือนในการเริ่มต้นการผลิตหากต้องย้ายฐานการผลิตจริงๆ “ สายการผลิตสำหรับผลิตภัณฑ์ของแอปเปิลนั้นซับซ้อนมาก” ผู้บริหารกล่าว

Foxconn ผู้ประกอบสมาร์ทโฟนหลักของ Apple กล่าวเมื่อต้นเดือนมิถุนายนว่าพร้อมที่จะช่วยให้ Apple เปลี่ยนสายการผลิตไปยังประเทศอื่นหากสถานการ์ณนั้นบังคับจริง ๆ ส่วนผู้จำหน่ายเคสที่สำคัญของ iPhone อย่าง Catcher Technology ได้รับทราบถึงการประเมินความเป็นไปได้ในการสร้างความสามารถในดารผลิตใหม่นอกประเทศจีนเนื่องจากความไม่แน่นอนของสงครามการค้า

ซัพพลายเออร์บางรายกล่าวว่าพวกเขาจะต้องหาลูกค้าใหม่จากประเทศจีนหรือลูกค้าที่ให้บริการในตลาดจีนเพื่อรักษาอัตราการใช้กำลังการผลิตในช่วงการเปลี่ยนผ่านนี้

ในที่สุดความสามารถในการผลิตใหม่นอกประเทศจีนไม่เพียง แต่จะให้บริการเพียงในตลาดสหรัฐเท่านั้น แต่ยังเพื่อเป้าหมายที่มากกว่านั้น ซึ่งก็คือเพื่อรองรับ supplychain ใหม่ที่ทาง Apple จะต้องมีการสร้างขึ้นมาในอนาคตนั่นเอง

References : 
https://asia.nikkei.com/Economy/Trade-war/Apple-weighs-15-30-capacity-shift-out-of-China-amid-trade-war

โครตเจ๋ง! Excel on iOS Import ข้อมูลจากรูปภาพได้เลย

Microsoft Excel กำลังเพิ่ม Featues ใหม่สุดล้ำ “การแทรกข้อมูลจากรูปภาพ”ในแอป iOS ซึ่ง Features ดังกล่าวถูกขับเคลื่อนด้วยพลังของ AI ช่วยให้ผู้ใช้Excelถ่ายภาพบนโทรศัพท์ของข้อมูลและแปลงเป็นสเปรดชีทในไม่กี่วินาที 

ฟังก์ชั่นใหม่เปิดตัวในงาน Ignite ของ Microsoft เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาและได้เปิดตัวแล้วสำหรับ Android เมื่อรวมเทคโนโลยี Image Recognition และ AI เข้าด้วยกันมันก็ได้กลายเป็น Features ที่มีประโยชน์มหาศาลสำหรับผู้ใช้ Excel ทั้งแบบมืออาชีพและแบบผู้ใช้งานทั่วไป ซึ่งจะช่วยลดเวลาที่ต้องใช้ในการป้อนข้อมูลด้วยตนเองลงไปได้อย่างมาก

“การแทรกข้อมูลจากภาพ” จะพร้อมใช้งานสำหรับผู้สมัครใช้งาน Office 365 ผ่านทางแอพ Android และ iOS ซึ่งการใช้งานนั้นง่ายดายมากแค่ เปิด Excel บนโทรศัพท์หรือแท็บเล็ตแล้วแตะ “แทรกข้อมูลจากรูปภาพ” ซึ่งจะโปรแกรมจะเปิดกล้องในโทรศัพท์ของคุณ หันโทรศัพท์ของคุณไปที่ข้อมูลที่คุณต้องการบันทึกและซูมเข้าจนกว่าคุณจะเห็นเส้นขอบสีแดง แตะ ที่ปุ่มจับภาพแล้วรอเป็น Excel แปลงลงในตารางได้ทันที

ซึ่ง Features นี้จะสนับสนุนใน 21 ภาษาที่แตกต่างกันทั่วโลก สำหรับแนวคิดเกี่ยวกับการทำงานของ “แทรกข้อมูลจากรูปภาพ” สามารถดูตัวอย่างได้จาก Video ข้างบนได้เลยครับผม

References : 
https://www.engadget.com/2019/05/29/microsoft-excel-insert-data-from-picture-ios/

Book Review : Hit Refresh แค่เปลี่ยนผู้นำ องค์กรก็วิ่งฉลุย

ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจเลยทีเดียว สำหรับ CEO ของ ไมโครซอฟท์ คนใหม่ ที่ก้าวผ่านจากกลุ่มผู้ก่อตั้งเดิมอย่าง บิลล์ เกตท์  , สตีฟ บัลเมอร์. รวมถึง พอล อัลเลน  ซึ่ง CEO สองคนแรกของ Microsoft อย่าง. บิลล์ เกตท์ รวมถึง สตีฟ บัลมอร์ นั้น ถือเป็นกลุ่ม founder กลุ่มแรก ๆ ในการนำพา microsoft ขึ้นสู่จุดสูงสุด

สตีฟ บัลเมอร์ ซีอีโอ ยุคผู้ก่อตั้งคนสุดท้าย

สตีฟ บัลเมอร์ ซีอีโอ ยุคผู้ก่อตั้งคนสุดท้าย

เมื่อเข้าสู่ยุคปลาย ของ CEO คนที่สองอย่างสตีฟ บัลเมอร์ นั้น ต้องบอกว่า เป็นช่วงขาลงที่ตกต่ำที่สุด ของ microsoft เลยก็ว่าได้ มีการก้าวเดินที่ผิดพลาดหลายอย่างในยุค สตีฟ บัลเมอร์ ขึ้นคุมบังเหียน ทั้งการพลาดในตลาดมือถือ ทั้งที่ตัวเองเป็นผู้นำอยู่ก่อนใน  Smart Phone ยุคก่อนหน้า Iphone ที่มี Windows Mobile ซึ่งถือว่าล้ำที่สุดในสมัยนั้นครองตลาดอยู่

ส่วนแบ่งการตลาดที่ต่างกันลิบลับระหว่าง Google vs Bing

ส่วนแบ่งการตลาดที่ต่างกันลิบลับระหว่าง Google vs Bing

การประเมินบริษัทอย่าง google ต่ำไป ทำให้กลายมาเป็นริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกในปัจจุบัน กับการที่ออก Bing มาสู้นั้น ถือว่าช้าเกินไปแล้ว google ได้ครองส่วนแบ่งตลาดไปเกือบแทบจะทั้งสิ้นแล้ว ทั้งที่ Microsoft นั้น เป็นบริษัทแรก ๆ ที่ทำให้ผู้คนทั่วไปสามารถเข้าสู่โลกอินเตอร์เน็ตได้ผ่านทาง Internet Exproler

Microsoft กลายเป็นบริษัทที่ใหญ่เทอะทะ มีพนักงานมากมาย ไม่เหลือเค้าลางของบริษัท นวัตกรรมเหมือนในอดีต. การบริหาร ก็มีลำดับชั้นมากมาย ปัญหาเหล่านี้ IBM นั้นเคยประสบมาก่อน การกลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ทำให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้ช้า ไม่ได้สนับสนุนนวัตกรรมใหม่ ๆ เหมือนในอดีต

เมื่อถึงเวลา ก็ต้องเปลี่ยนผู้นำเพื่อรับการเปลี่ยนแปลงของโลก ที่คนยุคเก่า ๆ เริ่มตามไม่ทัน ซึ่งเป็นที่มาของหนังสือเล่มนี้. Hit Refresh ของ สัตยา นาเดลลา ที่เปรียบเสมือนการเข้ามา Refresh องค์กรใหม่ทั้งหมด ผ่านการบริหารงานของเค้าหลังจาได้รับไม้ต่อมาจาก สตีฟ บัลเมอร์

สัตยา นาเดลลา ผู้มาปฏิวัติองค์กร Microsoft ยุคใหม่

สัตยา นาเดลลา ผู้มาปฏิวัติองค์กร Microsoft ยุคใหม่

การเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดของ สัตยา นาเดลลา คือ วัฒนธรรมองค์กร ของ microsoft เมื่อตอนที่เค้าได้รับตำแหน่งนั้น องค์กร มีขนาาดใหญ่เทอะทะ มาก ๆ การสั่งการเป็นลำดับขั้น ซึ่งเป็นปัญหาที่หลาย ๆ องค์กรใหญ่น่าจะเคยเจอ ทำให้ขับเคลื่อนเรื่องต่าง ๆ ได้ช้า มีการตัดสินใจหลายชั้นมากเกินไป โปรเจคหลาย ๆ ตัวถูกทิ้งไว้ ไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์ให้กับบริษัท

มุ่งสู่ cloud first

มุ่งสู่ cloud first

และเริ่มที่จะปรับทิศทางผลิตภัณฑ์ของบริษัทใหม่ ให้ก้าวทันสู่โลกยุคใหม่มากยิ่งขึ้น ไม่พึ่งพาเพียงแค่ windows และ office เหมือนอดีด ผลิตภัณฑ์สำคัญที่ช่วยพลิกโฉมหน้าของ microsoft ยุคใหม่คือ Cloud Service อย่าง Windows Azure ซึ่ง  สัตยา นาเดลลา ได้โฟกัส กับ cloud service เป็นอย่างมาก โดยให้เป็นผลิตภัณฑ์หลักของบริษัท ซึ่งทำให้บริการต่าง ๆ ของ microsoft นั้นเปลี่ยนมาให้บริการบน cloud เช่น office365 ทำให้สามารถเพิ่มรายได้ให้กับ microsoft มหาศาล

และการทิ้งผลิตภัณฑ์ Windows Phone ที่ไม่น่าจะต่อกรได้กับยักษ์ใหญ่ได้อีกแล้ว ที่ microsoft ทำการ take over Nokia เข้ามาในตอนแรกนั้น ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่สำคัญอย่างนึงของ สัตยา นาเดลลา ซึ่งมองว่า ในระยะยาว การลงทุนด้าน Windows Phone นั้นไม่น่าจะสามารถแย่งส่วนแบ่งจากเจ้าตลาดอย่าง IOS และ Android ได้อีกต่อไปแล้ว การตัดขาดทุน รวมถึงการโละพนักงานออกไปเป็นจำนวนมากเป็นสิ่งที่ยากของคนระดับ CEO แต่เพื่อพยุงบริษัทในระยะยาวนั้น ต้องถือว่า เป็นการที่ตัดสินใจที่ถูกต้องอย่างยิ่ง

ตัวอย่างของการเปลี่ยนผู้นำก็พลิกบริษัทได้

ถ้าถามว่าในยุคปลายของ สตีฟ บัลเมอร์ ในตอนนั้น ภาพลักษณ์ของ Microsoft ดูย่ำแย่ไปทุก ๆ อย่าง ทั้งเรื่อง รายได้ ภาพลักษณ์ในเรื่องนวัตกรรม  ที่ไม่มีนวัตกรรมออกมาเลยจากฝั่ง microsoft และสิ่งที่สำคัญคือ ไม่สามารถที่จะดึงดูดคนรุ่นใหม่ ๆ ให้มาทำงานได้ เพราะ ไม่มีความ cool ให้ดึงดูดเด็กรุ่นใหม่ ๆ อีกต่อไป

การแค่เพียงเปลี่ยนผู้นำเป็น สัตยา นาเดลลา ต้องบอกว่าเป็นการเลือกตัดสินใจที่ถูกต้องครั้งนึงของ Microsoft เพราะใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่ปี ทุกอย่างก็พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ ภาพลักษณ์ของ microsoft ดูดีขึ้นมาทันที ทั้งในเรื่องรายได้ กำไร ความเป็นบริษัทนวัตกรรม เริ่มดึงดูดคนรุ่นใหม่กลับมาทำงานได้อีกครั้ง ซึ่งล้วนแล้วเป็นสิ่งได้เรียนรู้จากหนังสือเล่มนี้แทบทั้งสิ้น เป็นหนังสือที่เหล่าผู้บริหารระดับต่าง ๆ ควรหามาอ่านเป็นอย่างยิ่ง

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage :facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit :blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter :twitter.com/tharadhol
Instragram :instragram.com/tharadhol