Geek Monday EP19 : H&M กำลังเดิมพันกับ AI และ Big Data เพื่อพลิกฟื้นกำไร

ปีที่ผ่านมาของการทำงานที่สุดแสนจะน่าเบื่อและการลดลงของกำไรอย่างมีนัยสำคัญมากที่สุดในรอบหลาย ๆ ปี ขอบ Brand Fast Fashion อย่าง H&M

แบรนด์แฟชั่นค้าปลีก H & M กำลังมองหาวิธีการที่จำกลับมาทำกำไร โดย บริษัท หันมาใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างธุรกิจที่แข็งแกร่งผลักดันประสิทธิภาพใน Supplychain และการดำเนินงาน และมอบสิ่งที่พวกเขาต้องการให้ผู้บริโภคด้วยข้อมูลเชิงลึกที่ได้รับจาก Big Data และ AI เกี่ยวกับแนวโน้มแฟชั่นและความพึงพอใจของลูกค้า 

ซึ่งเวลาเท่านั้นที่จะบอกได้ว่าการลงทุนของพวกเขาเพียงพอที่จะทำให้พวกเขารอดพ้นจากการตกต่ำของยอดขายได้หรือไม่ และถ้าพวกเขาเดิมพันใน AI และ Big Data

ซึ่ง Geek Monday ใน EP เราจะพาไปพบกับวิธีการที่ H&M ใช้เทคโนโลยีเพื่อประโยชน์และความอยู่รอดทางธุรกิจของพวกเขากันครับ

*** กราบขออภัยที่อ่านชื่อแบรนด์ H&M ผิดเกือบตลอดทั้ง EP นี้ครับ ***

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ    

ฟังผ่าน Podbean : 
https://tharadhol.podbean.com/e/geek-monday-ep19-handm-ai-big-data-make-profit/

ฟังผ่าน Spotify : 
https://open.spotify.com/episode/5yAWklI6dPbe9VvVtTASEc

ฟังผ่าน Youtube :
https://youtu.be/ueDfTeSxhD4

Geek Monday EP17 : Tesla กับการใช้ AI , Big Data สร้างความแตกต่างทางธุรกิจ

เทสลารวบรวมข้อมูลจากยานพาหนะทุกคันและคนขับอย่างมีประสิทธิภาพด้วยเซ็นเซอร์ภายในและเซ็นเซอร์ภายนอกที่สามารถรับข้อมูลเกี่ยวกับการจัดวางตำแหน่งมือของคนขับบน ไปจนกระทั่งวิธีการใช้งานรถในแบบต่าง ๆ ของผู้ขับ

ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เป็นการช่วยเทสลาในการปรับแต่งระบบข้อมูล เพื่อใช้เพื่อสร้างแผนที่ ที่มีข้อมูลที่ละเอียดค่อนข้างสูง ซึ่งแสดงให้เห็นทุกอย่างตั้งแต่การเพิ่มความเร็วโดยเฉลี่ยในการจราจรบนถนน ไปจนถึงสถานที่อันตรายซึ่งทำให้ผู้ขับขี่ต้องระมัดระวัง

การนำเอาเทคโนโลยี Machine Learning ร่วมกับข้อมูลในระบบคลาวด์จะดูแลการให้ความรู้กับเหล่ายานพาหนะของเทสลาทั้งหมด

ในขณะที่การคำนวณที่ล้ำสมัยจะเป็นตัวตัดสินว่าการกระทำใดที่รถจำเป็นต้องดำเนินการ ณ ขณะกำลังขับขี่ และเทสลายังสามารถสร้างเครือข่ายกับรถเทสลาคันอื่น ๆ ในบริเวณใกล้เคียงเพื่อแบ่งปันข้อมูลและข้อมูลเชิงลึกในท้องถิ่นพื้นที่เหล่านั้น

ซึ่งในอนาคตอันใกล้ที่มีรถยนต์ขับเคลื่อนแบบอัตโนมัติเริ่มแพร่หลาย เครือข่ายเหล่านี้ ก็จะมีการติดต่อกับรถยนต์จากผู้ผลิตรายอื่น รวมถึงระบบอื่น ๆ เช่นกล้องจราจร เซ็นเซอร์ตามถนนหรือแม้กระทั่งโทรศัพท์มือถือที่ผู้ขับขี่ใช้งานอยู่นั่นเอง

ซึ่งการมุ่งเน้นในการนำเอาเทคโนโลยีใหม่ อย่าง AI หรือ Big Data มาช่วยเหลือผู้ขับขี่นั้นจะนำเทสลาไปสู่ชัยชนะในการต่อสู้ที่กำลังจะมาถึงเพื่อความเป็นเลิศของตลาดรถยนต์ในอนาคตนั่นเองครับ

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ  

ฟังผ่าน Podbean : 
https://tharadhol.podbean.com/e/geek-monday-ep17-tesla-ai-big-data/

ฟังผ่าน Spotify : 
https://open.spotify.com/episode/3JI2V2cYoXRpSuXmJIH5K7

ฟังผ่าน Youtube :
https://youtu.be/mAGRODwuc98

Geek Monday EP16 : JD.Com กับการใช้ AI , Big Data & Robotics ปฏิวัติการค้าปลีก

JD.Com ไม่เพียง แต่ลงทุนในเทคโนโลยีแห่งอนาคตเท่านั้น แต่พวกเขายังนำเทคโนโลยีของวันนี้ไปใช้ในการดำเนินงานในหลาย ๆ ด้านตั้งแต่คลังสินค้าอัจฉริยะไปจนถึงการส่งมอบด้วยโดรน และนี่เป็นตัวอย่างที่ JD.Com ใช้ AI ,Big Data และ หุ่นยนต์ในการดำเนินงานในปัจจุบัน: 

คลังสินค้าอัตโนมัติ: คลังสินค้าของ JD.Com ตอนนี้พวกเขากำลังดำเนินการเพื่อทำให้ทุกอย่างเป็นไปได้โดยอัตโนมัติ   

หุ่นยนต์: หุ่นยนต์ที่ก้าวหน้าที่สุดของบริษัท ทำงานในคลังสินค้ากว่า 500 แห่ง ซึ่งพวกมันสามารถวางสินค้าบนชั้นวาง และแพ็คสินค้า รวมถึงจัดส่งสินค้าเพื่อส่งไปยังผู้บริโภค  

Drone : JD Com ใช้โดรนเพื่อส่งมอบสินค้าไปทั่วประเทศจีนตั้งแต่เดือนมีนาคม 2016 พวกเขาใช้โดรนที่มีรูปร่างและขนาดต่าง ๆ และปัจจุบันพวกเขากำลังทำงานเพื่อสร้างโดรนที่สามารถบรรทุกได้มากถึงห้าตัน  

Facial Recognition : บริษัทกำลังทดสอบซอฟต์แวร์จดจำใบหน้าที่สำนักงานใหญ่ ซึ่งจะอนุญาตให้ผู้ซื้อนำสินค้าออกจากร้านโดยไม่ต้องหยุดจ่าย ซึ่งการชำระเงินจะถูกควบคุมผ่านการจดจำใบหน้านั่นเอง       

Big Data : JD คอมสร้างโมเดลจากข้อมูลผู้บริโภคที่มีการสร้างโปรไฟล์ของทุกคนที่ติดตามแบรนด์โปรด สถานะการสมรส และอื่น ๆ พวกเขาใช้ข้อมูลที่รวบรวมเพื่อแจ้งกลยุทธ์การตลาดในอนาคต และสร้างประสบการณ์การช็อปปิ้งที่เป็นส่วนตัวสำหรับลูกค้ามากยิ่งขึ้น   

JD ดอทคอมเติบโตอย่างมากเป็นและมีแผนการดำเนินการให้กลายเป็นตลาดค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดในโลก อย่างไรก็ตามในฐานะที่ JD เป็นหนึ่งในผู้นำของอีคอมเมิร์ซ พบว่า ต้องมีการคิดล่วงหน้าเพื่อพัฒนาโซลูชันที่ถูกสร้างขึ้นโดยใช้นวัตกรรมทางเทคโนโลยีล่าสุด และด้วยการลงทุนของบริษัท ในการวิจัยและพัฒนาและผลักดันให้ JD กลายเป็นผู้ค้าปลีกอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดและดีที่สุดนั่นเองครับ

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ    

ฟังผ่าน Podbean : 
https://tharadhol.podbean.com/e/geek-monday-ep16-jd-com-ai-big-data-robotics-retails/

ฟังผ่าน Spotify : https://open.spotify.com/episode/2JZEzRkAwhqmYJBd30k1vM

ฟังผ่าน Youtube :
https://youtu.be/U-ZtcIYOXvA

Geek Monday EP14 : Coca Cola กับการใช้นวัตกรรมยกระดับธุรกิจ

บริษัท Coca Cola เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของธุรกิจที่มีการดำเนินธุรกิจตามข้อมูลและนำมาวิเคราะห์ เพื่อกำหนดแผนธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด

แต่ก็ต้องยอมรับความจริงที่ว่าเทคโนโลยีในปัจจุบัน ได้สร้างโอกาสที่ไม่เคยมีมาก่อนในการประเมินทุกแง่มุมของการดำเนินธุรกิจ ซึ่งการที่ Coca Cola ทำการคิดใหม่ในฐานะบริษัทที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี

โดยให้ความสำคัญกับการดำเนินการตามกลยุทธ์ของข้อมูลและ AI ก็ทำให้มีแนวโน้มที่ Coca Cola จะรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาดเครื่องดื่มทั่วโลก ซึ่งเป็นตลาดที่มีมูลค่ามหาศาลได้อย่างมั่นคง ที่เป็นเรื่องยากที่คู่แข่งจะตามพวกเค้าทันนั่นเองครับ

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน Podbean : 
https://tharadhol.podbean.com/e/geek-monday-ep14-coca-cola-innovation/

ฟังผ่าน Spotify : https://open.spotify.com/episode/2gt6uoUIy71HaW8v9SAvOf

ฟังผ่าน Youtube :
https://youtu.be/eXRWfrgQyRU

Deep Learning ทำนายได้ว่าคุณต้องการ Taxi เมื่อไหร่?

คอมพิวเตอร์สามารถที่จะทำนายความต้องการบริการรถแท็กซี่และแบ่งปันเส้นทางในการขับขี่ให้กับเหล่าคนขับแท็กซีได้ดีขึ้น ซึ่งจะปูทางไปสู่ Smart City ที่มีความปลอดภัยและยั่งยืนมากขึ้น

ในการศึกษานักวิจัยใช้ Neural networks  วิเคราะห์รูปแบบความต้องการรถแท็กซี่ ซึ่งการใช้ร่วมกับเทคโนโลยีของ Deep Learning ซึ่งจะช่วยให้คอมพิวเตอร์สามารถที่จะเรียนรู้ด้วยตัวเอง และทำนายรูปแบบความต้องการอย่างมีนัยสำคัญได้ดีกว่าเทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบัน

“บริการอย่าง Uber ในสหรัฐอเมริกา และ Didi Chuxing ในประเทศจีนกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ และเปลี่ยนวิธีการเข้าถึงการขนส่งของเหล่าผู้คนทั่วไป” เจสซี หลี่ รองศาสตราจารย์ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและเทคโนโลยีของ Penn State กล่าวว่า “คุณสามารถจินตนาการได้ว่าการคาดการณ์ความต้องการรถแท็กซี่มีความสำคัญมากเพียงใดเนื่องจากจะช่วยให้บริษัทรถแท็กซี่สามารถจัดส่งรถยนต์ไปถึงลูกค้าได้ก่อนที่ความต้องการจะเกิดขึ้น”

บริการเรียกแท็กซี่ชื่อดังอย่าง Uber และ Didi
บริการเรียกแท็กซี่ชื่อดังอย่าง Uber และ Didi Chuxing

การคาดการณ์ที่ดีขึ้นสามารถลดเวลาที่รถแท็กซี่ไม่ได้ใช้งานต้องมาวิ่งบนถนนโดยเปล่าประโยชน์ และยังมีส่วนลดมลพิษในเมืองได้ดีขึ้น เนื่องจากอุบัติเหตุมักเกิดขึ้นบ่อยครั้งในพื้นที่แออัด เทคโนโลยีการทำนายการขับขี่ที่ดีขึ้นก็สามารถปรับปรุงความปลอดภัยได้เช่นกัน

นักวิจัยวิเคราะห์ชุดข้อมูลขนาดใหญ่ของการร้องขอการขับขี่ไปยัง Didi Chuxing หนึ่งใน บริษัท รถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีนจากข้อมูลของ Huaxiu Yao นักศึกษาปริญญาเอกสาขาวิทยาศาสตร์ข้อมูลและเทคโนโลยี

เมื่อผู้ใช้ต้องการนั่งรถพวกเขาจะทำการร้องขอผ่านทางแอปพลิเคชัน- ตัวอย่างเช่นแอพในโทรศัพท์มือถือ นักวิจัยกล่าวว่าการใช้คำร้องขอขี่เหล่านี้แทนที่จะอาศัยข้อมูลการขี่เพียงอย่างเดียวนั้นสะท้อนความต้องการโดยรวมได้ดีกว่า

ด้วยข้อมูลประวัติซึ่งรวมถึงเวลาและสถานที่ตั้งของการเรียกบริการแท็กซี่ ทำให้สามารถคาดการณ์ความต้องการที่จะมีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเมื่อเห็นภาพข้อมูลต่าง ๆ บนแผนที่ นักวิจัยสามารถเห็นความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปได้

“ในตอนเช้าคุณจะเห็นว่าในส่วนที่พักอาศัยมีรถปิคอัพมากขึ้นและมีรถไปส่งในตัวเมืองมากขึ้น” หลี่กล่าว “ในตอนเย็นมันกลับด้านสิ่งที่เรากำลังทำอยู่คือการใช้ข้อมูลรถกระบะในอดีตเพื่อคาดการณ์ว่าแผนที่นี้เปลี่ยนไปอย่างไรในอีก 30 นาที หรืออีกชั่วโมงต่อไปเป็นต้น”

ใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลจำนวนมหาศาลจาก Didi Chuxing  มาวิเคราะห์ผ่าน Deep Learning
ใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลจำนวนมหาศาลจาก Didi Chuxing มาวิเคราะห์ผ่าน Deep Learning

นักวิจัยที่นำเสนอสิ่งที่ค้นพบในการประชุม AAAI เมื่อเร็ว ๆ นี้ที่เป็นการประชุมทางด้านวิชาการที่เกี่ยวข้องปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในการประชุมที่ใหญ่ที่สุดในด้านการวิจัยของ AI

การใช้ข้อมูลเกี่ยวกับการเรียกบริการแท็กซี่ในกวางโจวประเทศจีนตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ถึง 26 มีนาคม 2017 ประมาณ 300,000 ครั้งต่อวัน จากการเปรียบเทียบ ในเมืองนิวยอร์กซึ่งมีประมาณ 500,000 ครั้งต่อวัน

ในขณะที่เทคโนโลยีใช้ Neural Network โดยนักวิจัยได้รวมเครือข่ายประสาทสองเครือข่ายซึ่ง ได้แก่ convolutional neural network (CNN) และ  Long Short Term Memory network (LSTM) เพื่อช่วยลำดับการทำนายที่มีความซับซ้อน โดย CNN สามารถสร้างแบบจำลองความสัมพันธ์เชิงพื้นที่ ที่มีความซับซ้อนได้ดียิ่งขึ้น และ LSTM สามารถจัดการกับแบบจำลองตามลำดับได้ดียิ่งขึ้น

“โดยทั่วไปเราใช้ Neural Network ที่มีความซับซ้อนมากๆ ในการจำลองว่าผู้คนย่อยข้อมูลที่เป็นรูปแบบของการจราจรได้อย่างไร” หลี่กล่าว

หลี่กล่าวว่าการเข้าถึงชุดข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และความก้าวหน้าในเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ที่สามารถประมวลผลข้อมูลจำนวนมากได้ ซึ่งช่วยให้โครงการนี้สามารถใช้ Deep Learning ในรูปแบบวิธีอื่น ๆ ได้

“ ในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์แบบดั้งเดิมผู้คนจำเป็นต้องบอกคอมพิวเตอร์ว่าใช้ค่าตัวแปรอะไร ซึ่งมันจำเป็นต้องดูจากข้อมูล ณ ขณะนั้น ทำให้ต้องสร้างแบบจำลองซึ่งต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการแก้ปัญหาดังกล่าว” หลี่กล่าว “แต่ Deep Learning คือการปฏิวัติที่ทำให้ตอนนี้เราสามารถข้ามขั้นตอนนั้นไปได้ คุณสามารถใส่ข้อมูลภาพจำนวนมหาศาลให้กับคอมพิวเตอร์เพื่อวิเคราะห์ได้ทันที  และไม่จำเป็นต้องบอกคอมพิวเตอร์ว่าต้องมาวิเคราะห์อะไรอีกต่อไป เพราะการพัฒนาของเทคโนโลยี Deep Learning ที่มาช่วยเติมเต็มในส่วนนี้นั่นเอง”

References : 
https://phys.org/news/2018-03-deep-people.html