TikTok Startup อันดับ 1 ของโลกเตรียมสร้างมือถือ

ByteDance บริษัท ที่อยู่เบื้องหลังแอปวิดีโอ TikTok กำลังสร้างสมาร์ทโฟนของตัวเองเช่นกัน ตามสองแหล่งข่าวใน สื่อดังอย่าง Financial Times ที่รายงานว่าโทรศัพท์จะมาพร้อมกับแอปหลายตัวของ ByteDance 

Financial Times กล่าวว่าซีอีโอ ByteDance Zhang Yiming มีความฝัน ในการสร้างมาร์ทโฟนเต็มรูปแบบเพื่อรองรับแอพพลิเคชั่นของ ByteDance บริษัทซึ่งมีฐานอยู่ในปักกิ่งยืนยันข้อตกลงกับผู้ผลิตโทรศัพท์ Smartisan เมื่อต้นปีที่ผ่านมาโดยกล่าวว่า บริษัท ได้รับสิทธิบัตรและว่าจ้างพนักงานของ Smartisan บางคน ByteDance อ้างว่าสิ่งนี้จะช่วยให้“ สำรวจความเป็นไปได้ของธุรกิจมือถือ” 

รายงานดังกล่าวไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการออกแบบโทรศัพท์หรือตลาดที่ตั้งใจไว้แม้ว่าจะแสดงให้เห็นว่า ByteDance อาจถูกขัดขวางจากรัฐบาลสหรัฐที่มีต่อ บริษัท โทรคมนาคมจีน ByteDance เผชิญกับปัญหาในอินเดียซึ่ง TikTok ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม แต่รัฐบาลสั่งห้ามในช่วงสั้น ๆ เพราะมีปัญหาในเรื่องการสร้างความเสื่อมโทรมทางวัฒนธรรมที่ไม่ดีให้กับวัยรุ่นชาวอินเดีย

TikTok ถูกแบนชั่วคราวในอินเดีย
TikTok ถูกแบนชั่วคราวในอินเดีย

โดยรวมแล้วรายงานของ FT ก็เกิดข้อสงสัยอย่างมากเกี่ยวกับโอกาสของธุรกิจโทรศัพท์ พวกขาตั้งข้อสังเกตว่า Facebook และ Amazon ได้เปิดตัวโทรศัพท์พร้อมกับแอปพิเศษ แต่ทั้งสอง บริษัท ก็ไม่สามารถแจ้งเกิดในธุรกิจมือถือได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของ Facebook ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดแอพที่พวกเขาต้องการบนโทรศัพท์ได้เหมือนมือถืออื่น ๆ แต่ก็ไม่สามารถดึงดูผู้ใช้ได้

ByteDance อาจต้องเผชิญความท้าทายแบบนี้เช่นเดียวกัน ซึ่งมือถือหลาย ๆ แบรนด์ในจีน เช่น Meitu ก็ประสบความสำเร็จในธุรกิจสมาร์ทโฟนได้เช่นเดียวกับ Xiami ที่ผู้ใช้ติดการใช้งาน MIUI ที่มีความลื่นเป็นพิเศษ เมื่อเทียบกับ มือถือ Android อื่น ๆ 

References : 
https://www.theverge.com/2019/5/27/18641295/bytedance-tiktok-owner-reportedly-building-smartphone-smartisan-patents

Amazon เตรียมออกเครื่องอ่านอารมณ์มนุษย์

รายงานล่าสุดจาก Bloomberg : Amazon กำลังสร้างอุปกรณ์ทำงานบนอุปกรณ์สวมใส่ที่เปิดใช้งานด้วยเสียงและสวมผ่านข้อมือ และสามารถตรวจจับ อารมณ์ของมนุษย์ ได้ ซึ่งนี่จะเป็นอุปกรณ์เพื่อสุขภาพที่ค่อนข้างแปลกใหม่ที่เรามักจะคุ้นเคยกับการเห็นในแคมเปญคราวด์ฟันดิ้ง แทนที่จะเป็นหนึ่งใน บริษัท เทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Amazon

Bloomberg ได้พูดคุยกับแหล่งข้อมูลและตรวจสอบเอกสารภายในของ Amazon ซึ่งมีรายงานว่าทีมพัฒนาซอฟต์แวร์ด้านเสียงของ Alexa และ ฝ่ายฮาร์ดแวร์ที่ชื่อว่า Lab126 ของ Amazon ร่วมมือกันพัฒนาอุปกรณ์สวมใส่ได้ อุปกรณ์ที่ทำงานพร้อมกับแอพสมาร์ทโฟนซึ่งจะมีไมโครโฟนที่สามารถ“ แยกแยะอารมณ์ของผู้สวมใส่จากเสียงของพวก” 

Lab126 จะรับผิดชอบในเรื่องของ Kindle, Fire Phone และลำโพง Echo ซึ่งได้มีการเปิดตัว Alexa เป็นครั้งแรกและรายงานเมื่อปีที่แล้วชี้ให้เห็นว่า Lab126 กำลังพัฒนาหุ่นยนต์ใช้งานในบ้านด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งความพยายามด้านฮาร์ดแวร์ทั้งหมดของอเมซอนในขณะนี้คือการสร้างระบบนิเวศของอุปกรณ์ที่มีคุณสมบัติของ Alexa ด้วยความสามารถของหุ่นยนต์ ที่มีข่าวลือว่าทำให้ Alexa สามารถการตรวจจับอารมณ์จากเสียงของผู้ใช้งานได้

ซึ่งเทคโนโลยีตามข่าวลือดังกล่าวนี้ เป็นหนึ่งในสิ่งที่ยังไม่มีใครทำได้เพราะมันยากที่จะทำให้เป็นจริง ซึ่งจากข่าวลือในตอนนี้ก็ยังไม่ชัดเจนว่าโครงการของ Amazon เข้าใกล้ความเป็นจริงแค่ไหน และจะทำให้เกิดเป็นผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ออกมาจำหน่ายได้หรือไม่ ดังนั้นในอนาคตอันใกล้นี้ เราอาจจะได้เห็นเครื่องมือที่สามารถตรวจสอบอารมณ์มนุษย์ได้จาก Amazon นั่นเองครับ

References : 
https://www.theverge.com/circuitbreaker/2019/5/23/18636839/amazon-wearable-emotions-report

What US Tech Needs? Data-not just market access

บริษัท เทคโนโลยีอเมริกันต้องการให้บริการคลาวด์ในประเทศจีนเพื่อให้สามารถเข้าถึงข้อมูลผู้บริโภคชาวจีน ซึ่งรัฐบาลปักกิ่งกลัวว่าสิ่งนี้จะทำให้ บริษัท ในสหรัฐฯมีอิทธิพลต่อความคิดเห็นในหัวข้อ Sensitive ที่ถกเถียงกันมากขึ้นของเหล่าประชากรชาวจีน

คำสั่งแบนที่รัฐบาลสหรัฐฯกำหนดให้ บริษัท อเมริกันที่ทำธุรกิจกับหัวเว่ย  การจับกุม Meng Wanzhou และความพยายามของสหรัฐที่ใช้อิทธิพลไม่ให้ประเทศอื่นซื้อเทคโนโลยี 5G ของหัวเว่ย เป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นมาก 

แม้ว่าการต่อสู้กับ Huawei จะเป็นเรื่องของความมั่นคง อำนาจทางเศรษฐกิจ และอธิปไตยรวมอยู่ด้วย สหรัฐฯกลัวว่าด้วยการเปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยีการสื่อสาร 5G จะทำให้จีนสามารถควบคุมเครือข่ายข้อมูลของโลกเป็นส่วนใหญ่ มันไม่ได้เกี่ยวกับว่าใครเป็นผู้จัดหาอุปกรณ์ แต่มันเป็นคำถามที่ว่าใครเป็นผู้ควบคุมการเข้าถึงระบบการส่งข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต

สำหรับ บริษัท ไฮเทคของอเมริกาจีนนั้นแตกต่างจากตลาดอื่นเกือบทุกแห่งในโลก พวกเขาไม่สามารถครองอุตสาหกรรมทางด้านเทคโนโลยีได้อย่างสมบูรณ์ เพราะจีนเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ประสบความสำเร็จในการสร้างคู่แข่งที่สามารถสู้กับบริษัทเทคโนโลยีจากอเมริกาได้ตัวอย่างเช่น – บริษัท อย่าง Weibo, Alibaba, JD.com, Baidu, Tencent และ Lenovo เป็นผลทำให้ บริษัทของสหรัฐมีการเข้าถึงข้อมูลจีนได้น้อยมาก

US มีอะไร จีนก็มีทั้งหมดได้ด้วยตัวเองไม่ต้องพึ่งพาบริษัท Tech จาก อเมริกา
US มีอะไร จีนก็มีทั้งหมดได้ด้วยตัวเองไม่ต้องพึ่งพาบริษัท Tech จาก อเมริกา

บริษัท เทคโนโลยีในสหรัฐส่วนใหญ๋ พบกับความผิดหวังในประเทศจีนเพราะบริการต่าง ๆ นั้นถูกบล็อก ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Bing, WhatsApp และ Twitter แม้กระทั่ง Windows และ MS Office ที่แทบจะไม่สามารถทำตลาดได้จริง เนื่องจากปัญหาของการละเมิดลิขสิทธิ์ 

ในขณะที่แอปเปิ้ลประสบความสำเร็จมากขึ้นในตลาดจีน แต่การเคลื่อนไหว “คว่ำบาตรแอปเปิ้ล” ได้รับการเปิดตัวเมื่อเร็ว ๆ นี้บน Social Network ชื่อดังของจีนอย่าง Weibo  ซึ่งบริษัทจีนบางแห่งมีรายงานว่าขู่ว่าจะยิงพนักงานที่เป็นเจ้าของโทรศัพท์มือถือของสหรัฐเลยด้วยซ้ำ

เมื่อพูดถึงธุรกิจคลาวด์คอมพิวติ้งปัจจุบัน บริษัท ต่างชาติจำเป็นต้องทำงานกับ บริษัท ในพื้นที่และให้สิทธิ์การใช้งานแก่คู่ค้า

พวกเขายังถูกบังคับให้เก็บข้อมูลบางอย่างในประเทศ ภายใต้แรงกดดันจากการเจรจาการค้าของสหรัฐฯที่ต้องการจะเปิดตลาดนี้ต่อไป ซึ่งจีนได้กล่าวว่า บริษัท สหรัฐสามารถตั้งบริกาการคลาวด์ของตัวเองได้ – แต่เฉพาะในเขตการค้าเสรี ซึ่งเป็นส่วนที่มี Great Firewall ล้อมรอบไว้

แต่สิ่งที่ บริษัท สหรัฐเหล่านี้ต้องการจริงๆนั้นคือการได้อยู่เบื้องหลัง Great Firewall พวกเขาแสวงหาความสามารถในเข้าถึงข้อมูลเช่นเดียวกับที่อื่น ๆ ในโลก

คิดจะมาล้วงข้อมูลจีน หมดสิทธิ์ เพราะติด The Great Firewall
คิดจะมาล้วงข้อมูลจีน หมดสิทธิ์ เพราะติด The Great Firewall

หากพวกเขาเป็นเจ้าของพื้นที่ในการเก็บข้อมูลเอง พวกเขาจะสามารถเข้าถึงข้อมูลที่เก็บไว้ได้อย่างง่ายดาย – อีเมลส่วนบุคคลและองค์กร รายงานของ บริษัท และแผนการสนทนาการทำธุรกรรมออนไลน์ รหัสผ่านและความสามารถในการเข้าใจสิ่งที่ผู้คนคิดและพูดทุกอย่าง ของชาวจีน ซึ่งบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐนั้นสามารถทำแบบนี้ได้ในทุก ๆ ประเทศทั่วโลกยกเว้นจีนเพียงเท่านั้น

ในขณะที่พวกเขาสามารถอ้างว่าพวกเขากำลังส่งเสริม เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และสนับสนุนสิทธิมนุษยชน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้อาจจะทำให้พวกเขาสามารถใช้เพื่อช่วย“ ขยายขอบเขต” ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจีนและผลักดันประเทศจีนไปสู่สิ่งที่อเมริกาเรียกว่า      “ การเปิดกว้างที่มากขึ้น”

จีนรู้ดีว่า แก๊งบริษัทในสหรัฐฯเหล่านี้เป็นเหมือนสุนัขจิ้งจอกที่ต้องการเข้าถึงเล้าไก่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาหลายคนมีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับกองทัพสหรัฐและคำตัดสินทางกฎหมายที่ถูกเผยแพร่ออกมาบางส่วนนั้น ได้แสดงความเชื่อมโยงกันระหว่าง Google และสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา

จีนนั้นเห็นความเชื่อมโยงระหว่างบริษัทเทคของอเมริกากับรัฐบาลอเมริกา
จีนนั้นเห็นความเชื่อมโยงระหว่างบริษัทเทคของอเมริกากับรัฐบาลอเมริกา

ซึ่งสิ่งที่เหล่าบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐเดิมพันที่ประเทศจีนนั้น ไม่ได้เป็นเพียงการเข้าถึงโอกาสทางธุรกิจ แต่มันเกี่ยวกับโอกาสที่จะมีอิทธิพลต่อความคิดของชาวจีนและการพัฒนาทางการเมืองในระยะยาวของประเทศ มันคือหัวใจของการต่อสู้เพื่อหัวใจและความคิดของชาวจีนล้วน ๆ 

ทุนนิยมอเมริกันจะชนะ หรือ ลัทธิคอมมิวนิสต์ของจีนจะดำเนินต่อไปหรือไม่? คนจีนจะยังคงยอมรับการควบคุมจากส่วนกลางหรือพวกเขาต้องการประชาธิปไตยที่มากขึ้นหรือไม่? พวกเขาต้องการเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นหรือจะยอมรับการเซ็นเซอร์แบบนี้ต่อไปหรือไม่?

นี่ไม่ใช่แค่การต่อสู้ทางการค้า มันเป็นสงครามเชิงอุดมการณ์ ระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนนั่นเองครับ

References : 
https://www.scmp.com/comment/insight-opinion/article/3011063/what-amazon-facebook-google-and-other-us-tech-companies-are

การลงทุนด้าน AI กลายเป็น Priority ที่สำคัญที่สุดของบริษัทยักษ์ใหญ๋ในอเมริกา

ต้องบอกว่า ณ ขณะนี้นั้น ยุค Mobile First ได้จบลงไปแล้ว สำหรับการแข่งขันของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของอเมริกา

ตอนนี้ ทุก ๆ บริษัทนั้นกำลังมุ่งเน้นมาที่ AI First ซึ่งเป็นคลื่นลูกใหม่ของเทคโนโลยี ที่จะมีผลต่อการแข่งขันของเหล่าบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น Google , Apple , Facebook , Amazon, IBM  หรือ Microsoft

จากการที่ Apple ได้ทำการจ้างอดีตหัวหน้าฝ่าย Search & AI มาจาก Google ได้นั้น ต้องถือว่าเป็นการย้ายสลับขั้วที่เป็นข่าวใหญ่เลยทีเดียว

เป็นการเสียมือดีอย่าง John Giannandrea ซึ่งฝากผลงานไว้อย่างมากมายกับเทคโนโลยีสุดล้ำของ Google ซึ่งสุดท้ายก็ได้ทำสิ่งที่เหลือเชื่อคือ การย้ายข้ามฝากมาทำงานกับ Apple ซึ่งจะดูเป็นรองในด้าน AI เมื่อเที่ยบกับ Google

ซึ่งจากรายงานของนักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley อย่าง Katy Huberty นั้น พบว่าในบริษัทยักษ์ใหญ่ในอเมริกาในขณะนี้นั้น Priority ที่สำคัญที่สุดในการที่จะแข่งขันกับคู่แข่งได้ คือ การลงทุนด้าน AI ไม่ว่าจะเป็นนักวิจัย หรือ ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI นั้นบริษัทเหล่านี้พร้อมที่จะทุ่มเทงบประมาณเต็มที่เสมอ เพื่อดึงตัว สุดยอดฝีมือทางด้าน AI ให้มาเข้าร่วมกับตนเองให้ได้ ดังตัวอย่างที่ Apple สามารถทำได้มาแล้ว

John Giannandrea

ซึ่งการจ้าง John Giannandrea ทำให้เค้ากลายเป็นผู้บริหารสำคัญลำดับต้น ๆ ของ Apple ในขณะนี้ โดยต้องรายงานตรงไปยัง Tim Cook CEO ของบริษัท Apple เพียงคนเดียวเท่านั้น ต้องถือว่าข่าวนี้เป็นการแสดงให้เห็นถึงการประกาศอย่างชัดเจนว่า Apple จะเป็นผู้เล่นรายสำคัญ ในอุตสาหกรรม AI/Machine Learning ที่จะมีบทบาทสำคัญต่อโลกของเราอย่างมากในอนาคตอันใกล้นี้ เนื่องจากทุก ๆ บริษัทยักษ์ใหญ่ตอนนี้ได้มุ่งเน้นมายัง AI First กันแทบทั้งหมด

การที่ apple เข้ามา Focus ในส่วนของ AI นั้น ก็เพื่อช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่าง SIRI ให้มีความสามารถมากยิ่งขึ้น รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ apple แอบซุ่มพัฒนาอยู่อย่าง self-driving car ซึ่งต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูงทางด้าน AI และต้องใช้บุคคลากรที่มีความสามารถสูงอย่าง John Giannandrea จึงจะบรรลุเป้าหมายที่ apple ต้องการได้

AI Vendor ระดับท็อป

สำหรับ Google , Apple และ Facebook นั้น ผลิตภัณฑ์ทางด้าน AI จะเน้นไปยังกลุ่ม Consumer เป็นหลัก แต่ ถ้าพูดถึงตลาดสำหรับองค์กรนั้น จากการสำรวจ AI Vendor ระดับท็อป อย่าง Amazon , Microsoft และ IBM ผ่านการสำรวจกับ CIO ของบริษัทต่าง ๆ ในสหรัฐอเมริกา และ ยุโรป พบว่า Amazon Machine Learning ใน AWS ของ Amazon และ Microsoft Machine Learning ใน Cortana ของ บริษัท Microsoft นั้นมาเป็นอันดับหนึ่งในผลการสำรวจ โดยได้คะแนนถึง 13% จากผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด โดยผู้ที่เข้าร่วมตอบแบบสอบนั้นจะเป็นคนที่ใช้เทคโนโลยีทางด้าน AI หรือ มีแผนที่จะใช้เทคโนโลยีทางด้าน AI เหล่านี้อยู่แล้ว

อันดับที่ 3 คือ IBM Watson จากบริษัท IBM ที่ได้คะแนน 12% ตามมาด้วย Salesforce.com (CRM) Machine Learning ที่ได้ไป 7%

ซึ่งผลจากการที่ปีที่แล้ว IBM นั้นได้เสียหัวหน้าฝ่ายวิจัยด้าน AI ไปให้กับคู่แข่ง และการพัฒนาขึ้นมาอย่างรวดเร็วของ Amazon และ Microsoft นั้นทำให้สามารถแซง IBM ที่ผลิตภัณฑ์เด่นอย่าง IBM Watson ขึ้นมาได้จากการสำรวจดังกล่าว

ซึ่งการแข่งขันทางด้าน AI/Machine Learning ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ของอเมริกานั้น ล้วนแล้วแล้วแต่ต้องพี่งพาผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ จากบริษัทเทคโนโลยีใน Silicon Valley แทบทั้งสิ้น ในทุก ๆ อุตสาหกรรม ที่มีการใช้ IT ในการขับเคลื่อนธุรกิจ

ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ของสหรัฐนั้น มีการใช้งบทางด้าน Information Technology อยู่ทีประมาณ 5.8% ในแต่ละปี ซึ่งตลอด 10 ปีที่ผ่านมางบดังกล่าว ก็ได้เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ตามกระแสของเทคโนโลยีที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว

ซึ่งในยุค AI First นั้น องค์กรต่าง ๆ ก็ต้องการผลิตภัณฑ์ที่จะตอบโจทย์ธุรกิจของตนเอง เพื่อให้สามารถเป็นอาวุธในการแข่งขันในตลาดที่ดุเดือด และเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอย่างเช่นในปัจจุบันได้ หากองค์กรใดที่ไม่ยอมปรับตัว ก็มีโอกาสที่ ธุรกิจที่มีมาร้อย ๆ ปี อาจจะล่มสลายได้ในเวลาเพียงไม่นาน เหมือนที่หลาย ๆ ธุรกิจ อย่าง สิ่งพิมพ์ เพลง หรือบริษัทมือถือยุคเก่าอย่าง Blackberry,Nokia เคยล้มมาแล้วในเวลาอันสั้น หากไม่ยอมคิดที่จะปรับตัว

 

References : thenextweb.com wikipedia.org www.investors.com

AI in Marketing : 10 Use Cases ที่น่าสนใจในการใช้ AI กับการตลาด

ไม่นานมานี้ เราอาจจะมอง AI เป็นแค่นวนิยาย SCI-FI ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นจริงกับโลกเราได้ในเร็ววัน แต่ด้วยการเติบโตอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีด้าน AI นั้นในปัจจุบัน เรื่องที่คิดว่าเป็นแค่ในนิยาย อย่างรถขับเองได้แบบอัติโนมัตินั้น เราก็เริ่มได้เห็นในชีวิตจริง ๆ กันแล้ว  ซึ่งในยุคปัจจุบันนั้น AI เริ่มเข้ามาอยู่รอบตัวเราแล้วผ่าน service ต่าง ๆ ที่เราใช้อยู่โดยรู้ตัวหรืออาจจะไม่รู้ตัวบ้าง และ AI กำลังมีบทบาทกับตัวเรามากขึ้นเรื่อย ๆ

หลาย ๆ การสำรวจจากเมืองนอกนั้นพบว่าเกินกว่าครึ่งจากผลสำรวจนั้นใช้เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ AI ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว แต่พวกเขายังไม่ทราบว่านั่นคือ AI ที่พวกเขากำลังใช้งานอยู่ เนื่องจากเทคโนโลยีด้นา AI นั้นกำลังพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ให้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ผ่านการทำงานแบบอัติโนมัติของระบบ AI ทำให้หลาย ๆ คนใช้มันไปโดยไม่รู้ตัว

สำหรับบทบาทของ AI ในแวดวงการตลาดนั้น ต้องบอกว่ามีการใช้งานอยู่แล้วในปัจจุบันในหลาย ๆ กรณี ตั้งแต่การจัดเนื้อหาในระบบ internet , การทำ SEO หรือแม้กระทั่ง การใช้ email marketing นั้นก็มีส่วนที่ใช้ AI ในการทำงาน ซึ่งหลากหลายเครื่องมือเหล่านี้นั้น ก็ใช้งานได้ประสิทธิภาพที่แตกต่างกันออกไป

ไม่ใช่เพียงแค่ทำให้เหล่านักการตลาดโดยเฉพาะ online นั้นสามารถทำงานได้ง่ายขึ้นเท่านั้น แต่ยังทำให้มีประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มขึ้นอีกด้วย โดยผ่านการโดยใช้เทคโนโลยีมาช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพต่าง ๆ  และไม่เพียงแค่ทำให้ธุรกิจต่าง ๆ ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นเท่านั้น แต่ทำให้เหล่านักการตลาดมีเวลามากขึ้นที่จะทำการวิเคราะห์ วางแผน ที่เกี่ยวข้องกับการตลาดให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งในปัจจุบันนั้นแบรนด์ หลาย ๆ แบรนด์นั้นได้คิดนำใช้ AI มาช่วยในเรื่องการตลาดอยู่บ้างแล้ว

10 Marketing Use Cases for AI

1.Website Design 

AI นั้นสามารถที่จะช่วยนักการตลาดได้ในหลาย ๆ รูปแบบ ซึ่งอาจเริ่มตั้งแต่ process ต้น ๆ ของการวางแผนการตลาด เช่น การสร้าง Website

อาจจะสงสัยกันว่า AI มาช่วยในการสร้าง Website ยังไง มาดูตัวอย่างของ The Grid  ที่ใช้ AI ชื่อว่า Molly  ในการ design websites  และ ยังมี platform “she” ที่สามารถทำงานได้ในรูปแบบเดียวกันคือเป็นการ design website ด้วย AI ซึ่งถ้าเทียบกับการสร้าง Website จริง ๆ นั้นเราต้องมีการจ้าง team developer หรือ Software Engineer ในการสร้าง website ซึ่งอาจจะใช้ค่าใช้จ่ายที่สูงมากรวมถึงค่าดูแลรักษาที่ต้องจ่ายรายปีให้เหล่า Engineer เหล่านี้อีก แต่  The Grid นั้นสามารถ start ด้วย budget เพียง 100$ ต่อปีเท่านั้นสำหรับ 1 website

2.Content Creation

เหล่า content writers หลาย ๆ คนอาจจะคิดว่างานของพวกเค้านั้นปลอดภัยไม่น่าจะถูกแย่งงานจาก AI แน่ ๆ แต่ไม่ใช่แล้วในปัจจุบัน  ตัวอย่าง tools เช่น  Wordsmith หรือ Quill เป็น tools ที่ใช้ AI ในการช่วยเหลือในการ Create Content  โดยรูปแบบการสร้างนั้นจะเป็น template ซึ่งเราสามารถที่จะกำหนดข้อมูลที่เกี่ยวข้อง และ กำหนด keyword ที่ต้องการ ซึ่ง tools เหล่านีจะช่วย create content ซึ่งแทบดูไม่ออกว่า content เหล่านี้นั้นถูกเขียนขึ้นมาโดย AI

ซึ่งหลังจากนั้น นักการตลาดก็สามารถที่จะแก้ไขเนื้อหาที่ถูกสร้างขึ้นโดย AI โดยใช้ Hemingway App ซึ่งเป็น AI รูปแบบง่าย ๆ ที่จะช่วยปรับแต่งเรื่องบทความให้กระชับขึ้น  จะมีการ hilight ประโยคที่มีความซับซ้อนที่มีการสร้างจาก AI  และทำการแนะนำตัวเลือกประโยคอื่น ๆ ให้ใช้แทน เพื่อให้บทความมีความสมบูรณ์ถูกต้องมากยิ่งขึ้น ดังตัวอย่าง

ตัวอย่างการใช้ Hemingway App

ตัวอย่างการใช้ Hemingway App

3.Content Curation

เราได้เห็นการใช้ AI กับ Content Curation ตัวอย่างของ Netflix เมื่อคุณได้ดู Series ที่คุณประทับใจมาก ๆ และเมื่อดูจนจบนั้น ระบบของ Netflix ก็จะแนะนำ series เรื่องอื่น ๆ ที่คุณไม่ควรพลาดดูต่อไป ซึ่งนี่คือตัวอย่างของพลังของ AI ใน Content Curation

Brand อย่าง Netflix หรือ Amazon นั้นก็ไม่พลาดในการแนะนำผลิตภัณฑ์ของตนเองเพื่อสร้าง engagement ให้อยู่กับระบบตัวเองต่อไป เพื่อสร้างพลังในการดึงดูดให้ลูกค้านั้นสมัครสมาชิก หรือ ต่อสมาชิกของบริการของตัวเองต่อไป หรือใน AI ที่มีความซับซ้อนอย่าง IBM Watson นั้นก็มีความสามารถในลักษณะเดียวกันที่สามารถเรียนรู้พฤติกรรมของลูกค้า และสามารถแนะนำบริการ หรือ content ที่เหมาะสมให้กับลูกค้าแต่ละราย

Under Armour เป็น Brand หนึ่งที่ใช้ข้อมูลของ Watson ในการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า แล้วนำมาปรับแต่ง message ที่จะทำการส่งต่อไปให้กับลูกค้า ส่วน San Francisco Museum of Modern Art ใช้บริการของ “artbot” ที่สามารถระบุชนิดของงานศิลปะรวมถึงตัวอย่างงานให้ลูกค้า ซึ่งลูกค้าสามารถที่จะส่งข้อมูลข้อความ Request ชนิดของงานศิลปะที่ต้องการได้

artbot ที่สามารถระบุชนิดของงานศิลปะรวม

4.Search

คงไม่มีใครที่ไม่รู้จัก google กับพลังการแห่งการ Search ของ google ซึ่งเบื้องหลังของงานด้านการ Search ของ google นั้น AI เป็นเบื้องหลังที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของประสิทธิภาพในการ Search ของ google ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงวิธีการในการสร้างและ optimize content ของนักการตลาดทั่วโลก ซึ่งต้องปรับไปตาม Search Engine Optimizaion หรือ SEO และ Google’s RankBrain

นวัตกรรมใหม่ ๆ อย่าง Amazon Echo , Google Home , Apple’s Siri และ Microsoft Cortana นั้น ทำให้การ Search เป็นไปได้ง่ายยิ่งขึ้นไปอีกเพียงแค่กดปุ่มและสั่งงานด้วยเสียง ซึ่งเหล่านี้นั้นทำให้สื่อให้เห็นว่ารูปแบบของการ Search  นั้นก็อาจจะเปลี่ยนไปเช่นกัน แทนที่จะพิมพ์คำว่า “ร้านอาหารย่านสีลม” แล้วกดปุ่มค้นหา ผู้ใช้อาจจะสอบถามกับอุปกรณ์เหล่านี้เพียงว่า “คืนนี้ฉันควรไป dinner ที่ไหนดี”  แทน

สำหรับ RankBrain ของ Google นั้นใช้เทคนิคของ machine-learning ในการสร้างผลการค้นหาที่เกี่ยวข้องกัน ซึ่งพลังของ AI นั้น สามารถให้ผลการค้นหาที่ดีที่สุด ซึ่งขึ้นอยู่กับการตีความของรูปแบบภาษา เช่น เมื่อเรา search คำว่า “president” ด้วย google ในสหรัฐอเมริกา RankBrain นั้นจะตีความว่าเราต้องการข้อมูลเกี่ยวกับ ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ซึ่งจะแสดงข้อมูลที่เป็นส่วนบุคคลเท่านั้น

ซึ่งนักการตลาดก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับ Algorithm เหล่านี้ ซึ่งอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับนโยบายของ google ซึ่งก็เนื่องมาจากการพัฒนาความสามารถขึ้นมาเรื่อย ๆ ของ AI นั่นเอง

5.Marketing Automation

หลาย ๆ แบรนด์เริ่มใช้พลังของ AI ในการปรับแต่ง marketing emails โดยใช้พื้นฐานของการวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้า และเพิ่มการ engage กับ แบรนด์เพิ่มมากขึ้น และทำการเปลี่ยนจาก engagement ให้มาซื้อสินค้ากับแบรนด์

Tool อย่าง Boomtrain  นั้นทำให้แบรนด์สามารถที่จะส่งรูปแบบของ newsletters โดยอาศัยพฤติกรรมของลูกค้าโดยการใช้ AI ในการวิเคราะห์ เพื่อให้เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละราย และทำให้เกิดการ interact กับแบรนด์ได้

ส่วนบริการ Online อย่าง Adore Me  นั้นใช้ Optimove‘s  ซึ่งเป็น AI ที่ช่วยในการแบ่งประเภทของลูกค้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการสมัครรับบริการของลูกค้าผ่านทาง membership pricing program ของ Adore Me ซึ่ง AI ตัวนีนั้นจะทำการปรับแต่ง Content ที่จะส่งให้ลูกค้าทาง Email , text message หรือ notification ผ่าน app ซึ่งการแบ่งกลุ่มของลูกค้าและทำการ contact กับลูกค้าผ่านทางบริการต่าง ๆ ตามที่ได้กล่าวข้างต้นนั้น ช่วยให้ Adore Me เพิ่มประสิทธิภาพในส่วนของ monthly recurring revenue (MRR) , average sales price (ASP) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญในประสิทธิภาพในการทำการตลาดผ่านเครื่องมือต่าง ๆ กับลูกค้า

ซึ่งเมื่อรูปแบบการทำตลาดแบบอัติโนมัติเหล่านี้สามารถทำโดยใช้ AI ได้แล้วนั้น ก็จะทำให้งานต่าง ๆ ของนักการตลาดลดน้อยลง และมีเวลาที่จะสามารถสร้าง target market ใหม่ ๆ เพื่อสร้างฐานลูกค้าเพิ่มได้

6.Social Media

ต้่องบอกว่าเป็นเรื่องที่น่ามหัศจรรย์ที่ social media ในปัจจุบันอย่าง facebook นั้นสามารถที่จะเชื่อมต่อผู้คนกว่าพันล้านคนเข้าด้วยกัน และมี share เรื่องราวระหว่างกัน ซึ่งเป็นระบบที่ทรงพลังอย่างมาก ซึ่งแน่นอนว่า social media นั้นได้ทำให้รูปแบการทำตลาดได้เปลี่ยนไปจากอดีต จากสื่อที่เป็น สื่อที่ mass อย่าง TV หรือ วิทยุ นั้นบัดนี้ ได้ลดอิทธิพลต่อผู้ชมลงไปแล้ว เนื่องจากคนรุ่นใหม่ ๆ หันไปเสพสื่อทาง social media กันหมด นักการตลาดทั้งหลายจึงต้องมีการปรับตัว ซึ่งแน่นอนว่า ผู้คนที่ลงโฆษณานั้นต้องการประโยชน์จากความนิยมของสื่อ social media

ซึ่ง Platform ใหญ่ ๆ อย่าง Facebook , Instragram หรือ Twitter นั้น user สามารถที่จะ hide ในส่วนของ ads ที่ user ไม่ถูกใจได้อย่างไม่ยากเย็น ซึ่งก็เพื่อเป็นข้อมูลให้เหล่า platform ต่าง ๆ เหล่านี้มาปรับปรุงรูปแบบการโฆษณาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สำหรับตัวอย่างข้างล่างจะแสดงว่าเราสามารถที่จะ hide ad จาก facebook ได้แค่เพียง 2 click

การ hide ads

การ hide ads

หากไม่ต้องการดู ads แบบดังกล่าว

หากไม่ต้องการดู ads แบบดังกล่าว

ซึ่ง Platform เหล่านี้นั้นต่างใช้ข้อมูล insights เพื่อทำการปรับปรุง การทำงานของ news feed ให้เหมาะกับ user แต่ละราย  และเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์กับผู้ลงโฆษณาด้วย เพราะไม่ต้องมานั่งเสียเงิน หรือ เสียเวลากับ user ที่ไม่ได้ชอบ brand หรือ service เหล่านั้น

Platform ใหญ่อย่าง Facebook นั้นใช้ AI ในการป้องกันไม่ให้ website ต่าง ๆ นั้นทำการ share เนื้อหาที่ให้ประสบการณ์ที่แย่กับผู้ใช้งาน และใช้ AI ในการ learning รูปแบบของ website ที่มีคุณภาพต่ำ เช่นพวก web clickbait หรือ เว๊บที่มีเนื้อหาเพียงน้อยนิด ซึ่งเป็นเหล่านี้ล้วนเป็น link ที่ไม่มีคุณภาพ และมีโอกาสสูงที่จะถูกลด traffic ลงใน News Feed

7.Images

เราอาจจะได้เห็น Features บางอย่างของ Snapchat  Social Media น้องใหม่มาแรงที่ใช้พลังของ AI image recognition เช่นการเปลี่ยนหน้าเราสลับหน้ากับสัตว์เลี้ยงของเรา ซึ่งล้วนมาจากพลังของ AI แทบทั้งสิ้น ซึ่ง Image นั้นก็ทำให้การสื่อสารทางการตลาดของ Brand ต่าง ๆ มีลูกเล่นเพิ่มมากขึ้น

Snapchat  กับการใช้ AI

Snapchat  กับการใช้ AI

แม้เราจะเห็นเป็น Features ที่ใช้งานง่าย ๆ แต่ ผ่านระบบการทำงานที่ซับซ้อนทาง Computer Algorithm ไม่ว่าจะเป็นการใช้ Neural Network ในการระบุรูปทรงบนใบหน้า รวมถึงใช้เทคโนโลยีของ AR หรือ Augmented Reality มาช่วยในการทำงาน ซึ่งช่วยให้ Brand ต่าง ๆ นั้นสามารถติดต่อกับกลุ่มลูกค้าของตนได้แบบ Specific มากยิ่งขึ้น เมื่อ user เหล่านี้ใช้เวลาอยู่บนโลก online หรือในโลกของ social media

8.Advertising

ถ้าคุณเป็นคนนึงที่ใช้บริการลงโฆษณาผ่าน GoogleAdWords นั้น ต้องบอกว่า คุณกำลังใช้งาน AI อยู่  ซึ่งรูปแบบของ automated bidding system ของ GooglAdWords นั้น นักการตลาดสามารถที่จะ bid ในราคาต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ของราคา cost per click (CPC) ซึ่งทำให้สามารถที่จะได้ผลของ Ads ในการแสดงในหน้าผลค้นหาของ user ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

และในตอนนี้นั้น Adgorithms ที่พัฒนาจาก AI ซึ่งมีชื่อว่า  Albert สามารถที่จะรวบรวม Marketing Campaigns ผ่านช่องทางต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น email , searh engine หรือ Social media โดยสามารถที่จะจัดการ bidding , management หรือ execution ads ให้กับทั้ง campaigns ได้ผ่านโปรแกรมเพียงแค่ตัวเดียว

ซึ่งเหล่านักการตลาด สามารถที่จะใช้ Albert ในการจัดการ campaigns โดยกำหนดกลุ่มเป้าหมาย ระบุ Geographic Area ได้ โดย Albert ซึ่งเป็น AI สามารถทำงานได้รวดเร็วกว่ามนุษย์ และสามารถที่จะวิเคราะห์รูปแบบที่เหมาะสมในการทำการตลาด เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

Harley-Davidson of NYC ได้เริ่มใช้ Albert และทำให้สามารถเพิ่มยอดขายได้ถึง 3 เท่าภายในสัปดาห์เดียวเท่านั้น ซึ่ง Albert นั้นสามารถทำยอดขายมอเตอร์ไซต์เพิ่มขึ้นได้ถึง 40% และเพิ่มยอดผู้เข้าชม website ได้ถึง 566% เลยทีเดียว

9.Chatbots

หลาย ๆ แบรนด์ เริ่มมีการสื่อสารกับลูกค้าโดยตรงโดยใช้ messenging apps เช่น WhatsApp , Facebook Messenger หรือ Line ซึ่ง messenging app เหล่านี้นั้นเริ่มเข้ามามีบทบาทกับลูกค้า ซึ่งลูกค้าโดยทั่วไปก็จะมีการสื่อสารกับเพื่อน หรือ เพื่อนร่วมงานผ่านทาง app เหล่านี้เป็นเรื่องปรกติอยู่แล้ว ซึ่งบางทีเหล่า Brand ทั้งหลายนั้นก็ต้องตอบคำถามหลาย ๆ คำถามซ้ำไปซ้ำมา และต้องคอย online ตลอดเวลาเพื่อคอยตอบปัญหาเหล่านี้ของลูกค้า

ซึ่ง Chatbots นั้นจะทำให้ process ที่ยุ่งยากและน่าเบื่อเหล่านี้ง่ายขึ้น ตัวอย่างเช่น GrowthBot  เป็น Chatbots ที่ใช้  AI ในการตอบปัญหาที่เดียวกับการขายอย่างมืออาชีพ ซึ่งสามารถที่จะทำงานเหล่านี้ได้แบบอัติโนมติ รวมถึงสามารถที่จะระบุคำถามในหลากหลายรูปแบบตามลักษณะของ Brand สามารถที่จะตอบคำถามเชิง Technical ได้อย่างรวดเร็ว โดยแทบไม่ต้องไปทำอะไรกับมัน

ตัวอย่างการใช้งาน chatbot

ตัวอย่างการใช้งาน chatbot

ตัวอย่างการใช้งาน chatbot

ตัวอย่างการใช้งาน chatbot

ซึ่ง Chatbots ที่มีความสามารถอย่าง GrowthBots นั้นได้ช่วยเหลือเหล่านักการตลาด หรือ นักขายในการวิเคราะห์ข้อมูล ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเดียวกัน หรือสามารถที่จะช่วยวิเคราะห์คู่แข่ง ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย

10.Sales Handoff

และในที่สุดแล้วนั้น เมื่อเหล่านักการตลาดได้ทำการสร้าง Content ที่เพิ่มโอกาสในการขายได้แล้วนั้น ก็ต้องมีการทำงานร่วมกับเหล่านักขาย ซึ่ง AI ก็สามารถมาช่วยในจุดนี้ได้

Conversica ได้ทำการสร้าง AI ที่ใช้ชื่อว่า “Angie”  ในการทำงานร่วมกัน บริษัท  CenturyLink ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านอุตสาหกรรมคมนาคม ซึ่ง บริษัท CenturyLink นั้นต้องการที่จะระบุ ถึง Marketing Campaign ไหนที่มีโอกาสที่จะเพิ่มยอดขายได้ดีที่สุด จากบรรดา Campaign นับพันที่เหล่านักการตลาดได้สร้างสรรค์ออกมา ซึ่งสามารถที่จะสื่อสารกับนักขาย โดยสามารถที่จะระบุได้ถึง 40 campaign ที่มีโอกาสสร้างยอดขายได้ในแต่ละสัปดาห์ ซึ่งเมื่อคำนวนออกมาแล้วนั้น เงินทุกดอลล่าร์ที่จ่ายให้ AI อย่าง “Angie” สามารถสร้างรายได้ถึง 20 ดอลล่าร์ ให้กับ CenturyLink เพราะ AI สามารถที่จะทำความเข้าใจกับ Email ที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างเหล่านักขาย เพื่อมาวิเคราะห์ Campaign ต่าง ๆ ได้ดีกว่ามนุษย์ ซึ่งทำให้บริษัทสามารถที่จะลดเวลา และ ช่วยเพิ่มโอกาสในการขายใน platform ของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

References : blog.hubspot.com , blog.firebrandtalent.com

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage :facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit :blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter :twitter.com/tharadhol
Instragram :instragram.com/tharadhol