หยุดนะเจ้าแมวน้อย! AI กับการป้องกันแมวนำเหยื่อเข้าบ้าน

เทคโนโลยี Machine Learning สามารถสร้างเครื่องมือใหม่ ๆ  ได้อย่างไม่น่าเชื่อ มันยังช่วยแก้ไขปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตที่ไม่มีเครื่องมือจัดการแบบจริงจังที่มีขายตามร้านค้าทั่วไป แต่สำหรับวิศวกรของอเมซอน BenHamm ปัญหาของเขานั้นก็คือการหยุด “เจ้าแมวจอมสังหาร” ที่ชอบพาเหยื่อที่ตายแล้วกลับบ้านกลางดึกนั่นเอง

Hamm นำเสนอความวิธีการแก้ปัญหาในหัวข้อนี้ที่ Ignite Seattle   ซึ่งในระยะสั้นเพื่อที่จะหยุดไม่ให้เจ้าแมวทำตามสัญชาตญาณของมัน  Hamm ก็จัดการล็อคมันไว้ที่ประตู โดยมีการตรวจสอบด้วยกล้องที่เปิดใช้งาน AI ( DeepLens ของ Amazon ) และระบบล็อคที่ขับเคลื่อนด้วย Arduino

ภาพการ Training ที่รวบรวมและติดป้ายกำกับโดย Hamm
ภาพการ Training ที่รวบรวมและติดป้ายกำกับโดย Hamm

กล้องที่ใช้ตรวจสอบนั้นเต็มไปด้วยอัลกอริธึม Machine Vision ซึ่งทำการ Training โดย Hamm โดยตัวชี้วัดนั้นคือ เจ้าแมวกำลังกลับมาหรือกำลังออกไปเพื่อล่าเหยื่อของมัน และไม่ว่ามันจะมีเหยื่อเข้าไปในปากของมันหรือไม่ 

ซึ่งหากคำตอบคือ“ ใช่” ช่องประตูทางเข้าของแมวจะล็อคเป็นเวลา 15 นาที และ Hamm จะได้รับข้อความเตือนว่าเจ้าแมวน้อยของเขาได้เหยื่อมาอีกแล้ว 

แม้มันเป็นการนำเสนอแบบสั้น ๆ แต่มันแสดงให้เห็นถึงประโยชน์ในการนำเอา Machine Learning มาใช้ในชีวิตประจำวัน ได้่อย่างสมบูรณ์แบบ เช่นเดียวกับที่ Hamm แสดงให้เห็นถึงความเฉลียวฉลาดเพียงเล็กน้อยของเขา – และมันสามารถเอาชนะแมวได้นั่นเอง

References : 
https://www.theverge.com/tldr/2019/6/30/19102430/amazon-engineer-ai-powered-catflap-prey-ben-hamm

Thailand E-commerce War

ต้องบอกว่า ศึก E-Commerce Platform ของไทยระหว่างยักษ์ใหญ่ทั้งสามเจ้า ไม่ว่าจะเป็น Lazada ยักษ์ใหญ่ที่มี Alibaba หนุนหลัง , Shopee น้องใหม่ไฟแรงที่อัดงบการตลาดอย่างบ้าคลั่ง รวมถึง JD.com ที่เพิ่งเข้ามาทำตลาดในปีแรก หลังจากการร่วมมือกับ Central ของประเทศไทย เรามาลองส่องงบการเงิน ธุรกิจยักษ์ใหญ่ E-Commerce ไทยทั้ง 3 เจ้า กันดูครับว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง

JD Central (เริ่มปีแรก)

  • รายได้ 458 ล้านบาท
  • ขาดทุน 944 ล้านบาท

Lazada

  • รายได้ 8.16 พันล้านบาท
  • ขาดทุน 2.64 พันล้านบาท

Shopee (หนักสุด)

  • รายได้ 165 ล้านบาท
  • ขาดทุน 4.11 พันล้านบาท

จะเห็นได้ว่า ธุรกิจ E-Commerce ที่หวังจะใช้สูตร Winner take all มันดูจะไม่ง่ายซะแล้ว เพราะต่างฝ่ายต่างสู้กันอย่างเต็มที่เหมือนกัน ไม่ยอมลดราวาศอก กันเลยทีเดียวเรียกได้ว่าอัดงบกันเต็มที่ ทั้ง 3 Platform

ศึกนี้ดูแล้ว รอแค่จะเหลือใครเป็นรายสุดท้ายที่จะรอดจากมหาสงครามครั้งนี้ ต้องบอกว่า คงพูดไม่เกินเลยนักว่า Platform เหล่านี้เอาเงินมาแจกคนไทยเล่น เลยก็ว่าได้ ผ่านโปรโมชั่น ส่วนลดต่าง ๆ แลกกับ Data ที่พวกเขาได้รับไป ก็ต้องดูกันยาว ๆ ว่าจะคุ้มค่ากับที่ลงทุนไปหรือไม่ 

ซึ่งต่อให้เค้าหว่านเงินจนเราใช้กันจนติดหนึบก็จริง แต่คนไทยก็พร้อมจะเปลี่ยนเสมอเหมือนกัน หากได้โปรโมชั่นที่ดีกว่า คนไทยไม่ได้ Royalty ขนาดนั้นกับธุรกิจ E-Commerce มันไม่ง่ายเหมือนตลาดอื่น ๆ เลยสำหรับ E-Commerce ในไทย เหมือนยิ่งโต ก็ยิ่งขาดทุน และคนไทยพร้อมจะ Switch ไปที่อื่นทันทีหากเจอ Promotion ที่ดีกว่า

แต่สิ่งสำคัญสำหรับการเติบโตของ E-Commerce ทั้ง 3 Platform คือ มันช่วยให้ธุรกิจใน Ecosystem ของ E-Commerce ทำกำไรเสียมากกว่า อย่าง Kerry, ไปรษณีย์ บริการคลังสินค้า ระบบบริหารงานสินค้า Chatbot รวมถึง Order Fullfillment Service ต่างๆ ที่โตเอา ๆ

แต่ก็มีส่วนที่คนไทยเราเสียให้กับแพตฟอร์มเหล่านี้คือ เหล่าพ่อค้าแม่ค้าชาวจีนที่หลั่งไหลกันเข้ามาเปิดร้านในแพล็ตฟอร์มเหล่านี้ จนพ่อค้าแม่ค้าชาวไทยเราขยาด เนื่องจากการทำราคาที่ต่ำมาก เพราะส่งมาจากจีนโดยตรง ทำให้พ่อค้าแม่ค้าที่คิดจะขายสินค้าจากจีนนั้นแทบจะล้มหายตายจากไปเลยก็ว่าได้

แต่ถ้าให้ ด.ดล ฟันธง รายที่น่าจะไปก่อนเพื่อนในศึกนี้น่าจะเป็น Shopee ที่ดูแล้วขาดทุนหนักสุด และหนักมาหลายปีแล้ว ยิ่งทุ่มยิ่งเสีย ซึ่งต่างจาก Lazada กับ JD ที่มีพี่ใหญ่จากจีนคอยหนุนหลัง ซึ่งเศษเงินแค่นี้ คงไม่ซีเรียสกันเท่าไหร่

สุดท้ายไทยน่าจะเหลือแค่ 2 เจ้า คือ Lazada กับ JD ที่น่าจะสู้กันต่อเหมือนในจีน ที่ไม่ยอมแพ้กันเลย ในหลาย ๆ ธุรกิจ

และยังไม่พูดถึง ยักษ์ใหญ่จากอเมริกาอย่าง Amazon ที่เหมือนจะซุ่มดูตลาดบ้านเราอยู่เหมือนกัน และพร้อมที่จะลงมาเล่นทุกเมื่อเหมือนกัน ขนาดตลาดญี่ปุ่นที่ว่าแน่ ๆ Amazon ยังตีได้สำเร็จมาแล้ว

และแน่นอนเหมือนทุก ๆ ครั้งหาก Amazon เข้ามาจริง ๆ ในบ้านเรา ก็ต้องมาพร้อมอัดโปรโมชั่นสู้อย่างแน่นอน ซึ่งคนไทยก็พร้อมที่จะ Switch ไปอยู่เสมออยู่แล้ว หากโปรโมชั่นมันโดนจริง ซึ่งดูแล้ว ตลาด E-Commerce น่าจะเป็นตลาดที่หลาย ๆ แพลตฟอร์มเหนื่ยแน่นอนกว่าจะทำกำไรได้จริง ๆ จากคนไทย

Image References : https://www.prachachat.net/wp-content/uploads/2018/11/collage.jpg
https://www.facebook.com/pawoot

ค้นหา Fashion ด้วยพลัง AI กับเทคโนโลยีใหม่ของ Amazon

amazon เป็นร้านค้าปลีกออนไลน์อันดับต้น ๆ ของโลก ที่รุกรานอุตสาหกรรมอื่น ๆ ไปทั่ว แต่ก็มีภาคส่วนหนึ่งที่ amazon ยังไม่สามารถเจาะเข้าไปได้แบบเต็มที่นัก นั่นก็คือ : แฟชั่น และเพื่อที่จะช่วยในการเจาะเข้าสู่ตลาดที่มีกำไรสูงอย่างตลาดสินค้า แฟชั่น บริษัท ได้เปิดตัวเครื่องมือที่ขับเคลื่อนด้วย AI ใหม่ที่ชื่อว่าStyleSnapซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าหาเสื้อผ้าที่จะซื้อได้ง่ายดายมากยิ่งขึ้น

StyleSnap นั้นโดยทั่วไปคือ Shazam (แอพค้นหาเพลงจากเสียง) สำหรับเสื้อผ้าที่สร้างไว้ในแอพมือถือของ Amazon ผู้ใช้สามารถถ่ายภาพหรืออัปโหลดภาพและ StyleSnap จะใช้เครื่องมือในการเรียนรู้ที่จะ “ตรงกับลักษณะในภาพ” และหารายการที่คล้ายกันสำหรับการขายบนเว๊บไซต์ Amazon.com

เจฟฟ์ วิลค์ Cosumer Worldwide CEO ของอเมซอน ได้เปิดตัวฟีเจอร์นี้ที่การประชุมเรื่อง Re: MARS conference ของบริษัท ในเมืองลาสเวกัสในวันนี้ โดยกล่าวว่า:“ ประสบการณ์ที่เรียบง่ายของลูกค้าคือความซับซ้อนของเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลัง”

แต่จำนวนของ startups เสนอบริการที่คล้ายกัน ซึ่งรวมทั้งบริษัทออนไลน์ยักษ์ใหญ่แฟชั่นอย่าง  Asos ซึ่งจะเห็นว่า StyleSnap สามารถอยู่ได้เพราะความต้องการของ Amazon ที่มองว่าอาจเป็นเรื่องง่ายสำหรับ AI ในการระบุสิ่งของพื้นฐานของเสื้อผ้าเช่นกระโปรงแบบต่าง ๆ  หรือ เสื้อลายต่าง ๆ  แต่ไม่ได้ช่วยผู้บริโภคที่สามารถระบุสิ่งของเหล่านี้ได้ด้วยตนเอง ไม่ว่าคุณลักษณะนั้นจะสามารถจับคู่ไอเท็มและสไตล์เฉพาะหรือไม่นั้น ก็ถือเป็นความท้าทายที่แท้จริงในตลาดแฟชั่นขนาดมหึมาเช่นนี้

StyleSnap ที่ amazon นำพลังของ AI มาช่วย
StyleSnap ที่ amazon นำพลังของ AI มาช่วย

อเมซอนไม่ได้พิสูจน์อย่างแน่นอนว่าเป็นกูรูด้านแฟชั่นเช่นกัน ย้อนกลับไปในปี 2017 ได้เปิดตัว Echo Look กล้องขับเคลื่อนด้วย AI ที่ให้คำแนะนำด้านแฟชั่นแก่ผู้ใช้ ในการตรวจสอบของเราพบว่าซอฟต์แวร์ทำผิดพลาดเป็นประจำไม่สามารถระบุชุดที่แตกต่างกันในภาพอย่างที่ทาง Amazon ได้โม้ไว้ได้

แต่การเปิดตัว StyleSnap แสดงให้เห็นว่าอเมซอนจะไม่ยอมแพ้กับธุรกิจแฟชั่น และ บริษัท เชื่อว่าความเชี่ยวชาญในด้านปัญญาประดิษฐ์จะทำให้มีความเหนือกว่าคู่แข่ง ซึ่งมันแค่ต้องการใช้พลังของ AI ในการค้นหารูปลักษณ์ที่ถูกต้องเพียงเท่านั้น

References : 
https://www.theverge.com/2019/6/5/18653967/amazon-fashion-ai-stylesnap-mobile-app-clothes-search

หุ้น Big Tech ดำดิ่งหลัง FTC เตรียมตรวจสอบการผูกขาด

หุ้น Facebook ร่วงลง 7.5% ในวันจันทร์จากรายงานของ Wall Street Journal ที่ระบุว่า
Federal Trade Commission (FTC) จะสามารถตรวจสอบการใช้ Facebook ในการแข่งขันของธุรกิจดิจิทัล ว่าเป็นการผูกขาดหรือไม่?

การลดลงของหุ้น Facebook ส่งผลกระทบต่อมูลค่าของบริษัทมากกว่า 38,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จากมูลค่าถึงกว่า 469,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ของ Facebook หลังจากอยู่ภายใต้การตรวจสอบโดย FTC ในเรื่องการผูกขาดธุรกิจ

หุ้นของยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีรายอื่น ๆ ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน หุ้นของAmazonลดลง 4.6% เมื่อวันจันทร์หลังจากรายงานของวอชิงตันโพสต์ว่าหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายต่อต้านการผูกขาดในสหรัฐอเมริกามีข้อตกลงใหม่เกี่ยวกับการกำกับดูแลด้านเทคโนโลยี การลดลงดังกล่าวเป็นมูลค่ามากกว่าสี่หมื่นล้านเหรียญ

และหุ้นของ บริษัท แม่ของ Google ลดลง 6.1% หลังจากมีการรายงานเช่นเดียวกันว่า เมื่อวันศุกร์ กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ กำลังเตรียมการสอบสวนการต่อต้านการผูกขาดของ Google ทำให้มูลค่าหุ้นหายไปประมาณ 47,000 ล้านเหรียญ สหรัฐจากมูลค่าตลาดที่ 721,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

กฎระเบียบต่อต้านการผูกขาดยังคงเป็นภัยคุกคามต่อเหล่าบริษัท Big Tech ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเนื่องจากเรื่องอื้อฉาวอย่าง Cambridge Analytica ในเรื่องข้อมูลส่วนตัวของผู้งานที่หลุดออกมา และในการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2563 ที่จะถึงนี้ เริ่มมีการใช้แคมเปญ “ Stop Big Tech” เพื่อหยุดอิทธิพลของเหล่าบริษัท Big Tech เหล่านี้ที่นับว่าจะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ 

แต่ข้อตกลงที่ได้รับการรายงานใหม่ระหว่าง Federal Trade Commission และกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐ ทำให้ภัยคุกคามต่อบริษท Big Tech เหล่านี้เริ่มใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากขึ้น 

โดย FTC จะเป็นผู้นำในการกำกับดูแลของ Amazon ในขณะที่ DOJ จะมีอำนาจดูแลใน Case ของ Google ซึ่งก่อนหน้านี้ FTC จัดการสอบสวนวในกรณีของ Google  แต่ตอนนี้ ทางกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ จะพิจารณาแนวทางปฏิบัติของ Google ต่อตลาดอีกครั้งทั้งในด้านการค้นหาและด้านอื่น ๆ ตามที่ระบุในวารสารที่ถูกปล่อยออกมา

References : 
https://www.cnbc.com/2019/06/03/amazon-facebook-and-google-stocks-stumble-over-antitrust-concerns.html

อิทธิพลมากไป! ผู้สมัครประธานาธิบดี 2020 ออกนโยบาย ล้ม Big Tech

เมื่อวันพุธที่ผ่านมาผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี 2020 Elizabeth Warren ได้วางบิลบอร์ดขนาดยักษ์ใจกลาง Silicon Valley เพื่อกดดัน บริษัท ใหญ่ ๆ อย่าง Facebook, Amazon และ Google 

ป้ายโฆษณาตั้งอยู่ที่บริเวณใจกลางของเมืองที่มีคนงานด้านเทคโนโลยีของ South Bay เดินทางมาทำงานทุกเช้า แม้มันจะไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมมากนัก เพราะมันไม่ได้หันหน้าไปทางสถานี Caltrain หรือไปตามทางเดินที่มีการจราจรมากที่สุดสำหรับพนักงานที่เดินทางกลับไปยัง South Bay

แต่ป้ายโฆษณานั้นอยู่ ห่างจากสำนักงานใหญ่ของ Lyft และ Dropbox เพียงนิดเดียว นอกเหนือจากการเรียกร้องให้ดำเนินการต่อต้านการผูกขาด ป้ายโฆษณายังมีหมายเลขรหัสสั้น ๆ สำหรับผู้สัญจรผ่านเพื่อสมัครรับข้อมูลอัปเดตจากแคมเปญของ Warren ซึ่งเป็นกลยุทธ์การระดมทุนของเธอ โดยป้ายโฆษณาดังกล่าวมีกำหนดที่จะแสดงจนถึงวันพุธหน้าเท่านั้น

วางบิลบอร์ด ใจกลาง ซิลิกอน วัลเลย์
วางบิลบอร์ด ใจกลาง ซิลิกอน วัลเลย์

เมื่อต้นปีที่ผ่านมาวอร์เรนได้ประกาศข้อเสนอที่ยิ่งใหญ่ เพื่อแยก บริษัท เทคโนโลยียักษ์ ออกมา โดยการเปิดตัวแคมเปญนี้ที่ก่อนหน้านี้ถูกจัดขึ้นเพียงในแวดวงวิชาการเพียงเท่านั้น ในข้อเสนอของเธอ วอร์เรนชี้ให้เห็นว่า บริษัท เช่น Facebook มีขนาดใหญ่เกินไปและมีอิทธิพลสูงทำให้กลืนกินบริษัทเช่น WhatsApp และ Instagram เข้าไปใน บริษัท ของตนเอง

ข้อเสนอของเธอยังมีแผนจะผ่านกฎหมายที่จะห้ามเจ้าของแพลตฟอร์มที่มีรายได้มากกว่า  25 พันล้านเหรียญ ไม่ให้เข้าร่วมใช้ในแพลตฟอร์มของพวกเขาเองด้วย ซึ่งนโยบายนี้ส่วนใหญ่จะส่งผลกระทบต่อ บริษัท เช่นอเมซอน ที่เป็นทั้งแพลตฟอร์มการขายและขายผลิตภัณฑ์ของตัวเองบนเว็บไซต์อีกด้วย

“ บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในปัจจุบันมีอิทธิพลมากเกินไป” ผู้ช่วยของวอร์เรนกล่าว “ พวกเขาแข่งขันกันอย่างดุเดือดใช้ข้อมูลส่วนตัวของเราเพื่อทำกำไร และในกระบวนการนี้พวกเขาได้ทำร้ายธุรกิจขนาดเล็ก  แผนของเอลิซาเบธ จะช่วยให้มั่นใจว่ายักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีจะไม่ร่วมมือกับคู่แข่งที่มีศักยภาพพยายามปิดกั้น บริษัทเทคโนโลยีรุ่นใหม่และใช้อิทธิพลมากจนพวกเขาสามารถทำลายประชาธิปไตยของเราได้เลย”

Facebook, Google, Amazon และ Apple ไม่ตอบสนองต่อการร้องขอความคิดเห็นในเรื่องนี้ทันที เพราะพวกเขาได้รับผลกระทบโดยตรงต่อนโยบายดังกล่าวนี้

References : 
https://www.theverge.com/2019/5/29/18644590/elizabeth-warren-break-up-big-tech-billboard-amazon-facebook-apple-google