Geek Monday EP5 : สงครามการค้า or สงครามอุดมการณ์ ?

สิ่งที่เหล่าบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐเดิมพันที่ประเทศจีนนั้น ไม่ได้เป็นเพียงการเข้าถึงโอกาสทางธุรกิจ แต่มันเกี่ยวกับโอกาสที่จะมีอิทธิพลต่อความคิดของชาวจีนและการพัฒนาทางการเมืองในระยะยาวของประเทศ มันคือหัวใจของการต่อสู้เพื่อหัวใจและความคิดของชาวจีนล้วน ๆ 

ทุนนิยมอเมริกันจะชนะ หรือ ลัทธิคอมมิวนิสต์ของจีนจะดำเนินต่อไปหรือไม่? คนจีนจะยังคงยอมรับการควบคุมจากส่วนกลางหรือพวกเขาต้องการประชาธิปไตยที่มากขึ้นหรือไม่? พวกเขาต้องการเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นหรือจะยอมรับการเซ็นเซอร์แบบนี้ต่อไปหรือไม่?

นี่ไม่ใช่แค่การต่อสู้ทางการค้า มันเป็นสงครามเชิงอุดมการณ์ ระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนนั่นเองครับ

คนบ้านเดียวกัน ทำกันลง Panasonic ประกาศแยกทาง Huawei อีกราย

พานาโซนิคของญี่ปุ่นกล่าวว่าได้หยุดทำธุรกิจกับหัวเว่ยเพื่อให้สอดคล้องกับข้อ จำกัด ของทางการสหรัฐฯ

เมื่อสัปดาห์ที่แล้วรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ส่งคำสั่งอย่างเป็นทางการออกมาว่า บริษัทอเมริกันจะไม่สามารถทำการค้ากับหัวเว่ยได้เว้นแต่พวกเขาจะมีใบอนุญาต

การห้ามดังกล่าวนำไปใช้กับทุกสินค้าที่มีอย่างน้อย 25% ที่มีส่วนประกอบที่มาจากสหรัฐอเมริกาตามรายงาน

ซึ่งเรื่องดังกล่าวนั้นได้บ่งชี้ถึงการยกระดับความพยายามของสหรัฐฯในการบล็อก Huawei ซึ่งทางการสหรัฐกล่าวว่ามีความเสี่ยงในด้านความปลอดภัย

“พานาโซนิคประกาศในการแจ้งเตือนภายในบริษัทว่ามีการระงับธุรกรรมกับหัวเว่ยรวมถึง บริษัท ในเครืออีก 68 แห่งซึ่งถูกรัฐบาลสหรัฐสั่งห้ามทำการค้ากับหัวเว่ย” บริษัท กล่าวในแถลงการณ์

เมื่อสัปดาห์ที่แล้วผู้บริหารทรัมป์ได้เพิ่มชื่อหัวเว่ยซึ่งเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรายใหญ่อันดับสองของโลกลงใน “entity list” ซึ่งห้ามไม่ให้ บริษัท ซื้อเทคโนโลยีจาก บริษัท สหรัฐโดยที่ไม่ได้รับการอนุมัติจากรัฐบาล

Softbank และ KDDI ซึ่งเป็นบริษัทของญี่ปุ่นทั้งคู่กล่าวว่าพวกเขาจะไม่จำหน่ายมือถือใหม่ของ Huawei ในตอนนี้

ข่าวของ Panasonic ออกตามหมาหลังจากข่าว ARM ผู้ออกแบบชิปในสหราชอาณาจักรได้แจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่าต้องระงับธุรกิจกับหัวเว่ยตามเอกสารภายในที่ได้รับจาก BBC เช่นเดียวกัน

เรียกได้ว่า ตอนนี้สถานการณ์เริ่มรุมเร้า หัวเว่ย บริษัทยักษ์ใหญ่จากจีนเข้าทุกที สหรัฐพยายามทำทุกอย่างเพื่อกีดกันการเติบโตของ หัวเว่ย ที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดดในไม่กี่ปีที่ผ่านมา

References : 
https://www.bbc.com/news/business-48375411

แค่นี้ขี้ประติ๋ว สีจิ้นผิง ประกาศกร้าว ศึกนี้พร้อมสู้กันอีกนาน

เนื่องจากข้อพิพาททางการค้าทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาเปรียบย้อนไปในภาพยนตร์จีนแบบคลาสสิกที่เกี่ยวกับ “สงครามต่อต้านอเมริกาและช่วยเหลือชาวเกาหลี” ของสงครามเกาหลีในปี 1950 ซึ่งเป็นสงครามที่เป็นที่รู้จักกันอย่างดีของชาวจีน

นี่เป็นหนึ่งในสัญญาณหลายอย่างในประเทศจีนที่บ่งบอกถึงสิ่งที่นักวิเคราะห์เชื่อว่าตอนนี้จะเป็นข้อขัดแย้งทางการค้าที่ยืดเยื้อกับสหรัฐ และทางจีนเต็มใจที่จะยอมรับ  เงื่อนไขที่โดนัลด์ทรัมป์เรียกร้องเพื่อยุติการทะเลาะวิวาทกันทางการค้าที่มีมากว่า 2 ปี

สีจิ้นผิง ประธานพรรคคอมมิวนิสต์ และผู้นำสูงสุดของจีน กำลังเตรียมการที่จะนำประเทศของเขาสู่ความขัดแย้งทางการค้าที่เต็มไปด้วยขุมทรัพย์พลังงานและความเกี่ยวข้องกับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลก เช่น เดียวกับเมื่อคราวที่เหมาเจ๋อตงส่ง “อาสาสมัคร” ของจีนไปสู้รบกับกองกำลังสหรัฐในช่วงสงครามเกาหลีในช่วงปี 1950 เป็นเวลากว่าสี่ปี 

เช่นเดียวกับการตัดสินใจของเหมาเพื่อเข้าสู่ความขัดแย้งของเกาหลี เมื่อหกสิบปีก่อนกองทหารที่มีอาวุธที่ไร้ประสิทธิภาพของเหมาต้องเผชิญกับกองกำลังทหารอเมริกันที่เหนือกว่าในเรื่องเทคโนโลยีในสงครามเกาหลี 

ทุกวันนี้เศรษฐกิจของจีนขึ้นอยู่กับการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกามากกว่าสหรัฐอเมริกาที่จะส่งออกไปยังประเทศจีน หลังจาก 30 ปีของการเติบโตใกล้ตัวเลขสองหลักจนเศรษฐกิจของจีนก้าวขึ้นมาจนใหญ่เป็นอันดับสองของโลก

แต่ในขณะที่กองกำลังจีนที่กำลังจนตรอกต่อสู้กับสหรัฐในสงครามเกาหลีในท้ายที่สุด ทำให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมากเมื่อเทียบกับกองกำลังติดอาวุธของอเมริกา

ทหารจีนที่ส่งไปช่วยรบในสงครามเกาหลี ต้องล้มตายเป็นจำนวนมากด้วยเทคโนโลยีที่เหนือกว่าของสหรัฐ
ทหารจีนที่ส่งไปช่วยรบในสงครามเกาหลี ต้องล้มตายเป็นจำนวนมากด้วยเทคโนโลยีที่เหนือกว่าของสหรัฐ

แต่ในศึก Trade War ครั้งนี้ สีจิ้นผิง แสดงให้เห็นว่าเขาสามารถควบคุมการต่อสู้ในศึกครั้งนี้ให้สามารถประสบความสำเร็จได้ และ กองกำลังจากจีนจะไม่มีทางซ้ำรอยเดิมในเหตุการณ์สงครามเกาหลี อย่างแน่นอน

โดยเจ้าหน้าที่จีนเชื่อว่าพวกเขามีข้อได้เปรียบที่แตกต่างกันสองอย่างเมื่อเผชิญหน้ากับฝ่ายตรงข้ามในช่วงสงครามการค้า สิ่งแรกคือ การควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จ ที่ สีจิ้นผิงนั้น ต้องการเพียงแค่นิ้วมือของเขาและรัฐบาลที่ควบคุมโดยพรรค, ฝ่ายนิติบัญญัติ, สื่อและระบบธนาคารของจีน ซึ่งเขาควบคุมได้อย่างเบ็ดเสร็จ ต่างจากทรัมป์ ที่สามารถควบคุมได้แค่ใน Twitter ของเขาเพียงเท่านั้น

สีจิ้นผิง นั้นสามารถควบคุมทุกอย่างในประเทศจีนได้แบบเบ็ดเสร็จเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญ
สีจิ้นผิง นั้นสามารถควบคุมทุกอย่างในประเทศจีนได้แบบเบ็ดเสร็จเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญ

พรรคคอมมิวนิสต์จีนมี “ทีมชาติ” ของนายหน้าธนาคารและ บริษัท ยักษ์ใหญ่ในการจัดการเพื่อ “ซื้อ” แบบทุ่มตลาดในจีนเมื่อมีความจำเป็น เมื่อดัชนีคอมโพสิตเซี่ยงไฮ้ร่วงลงเกือบ 6% มาอยู่ที่ 2,906 จุดในวันนี้หลังจากการเพิ่มขึ้นของสงครามการค้าครั้งล่าสุดของนายทรัมป์ การตอบสนองของรัฐบาลจีนโดยเหล่าทีมชาติของพวกเขาสามารถเสก ให้วันรุ่งขึ้น ดัชนีคอมโพสิตเซี่ยงไฮ้ ดีดตัวขึ้นได้ทันที เพราะพวกเขาพร้อมจะรบในศึกนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

ข้อได้เปรียบที่สองของ สีจิ้นผิง คือความรู้สึกเดือดดาลในอดีตที่เกี่ยวข้องกับความไม่พอใจในอดีตต่ออำนาจจากต่างประเทศที่ก่อนหน้านี้เขามองว่าจีนนั้น “ถูกกลั่นแกล้ง” และ “ถูกทำให้ดูต่ำต้อย” เกินไปเมื่อเทียบกับสภาพความเป็นจริงของจีนในปัจจุบัน

เมื่อความต้องการการเจรจาการค้าของทรัมป์เริ่ม  รั่วไหลในเดือนพฤษภาคมปีที่แล้วความโกรธเคืองที่คนจีนหลายคนรู้สึกได้ ฟรีดริชวู ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยางแห่งสิงคโปร์ สรุปความรู้สึกของหลาย ๆ คนเมื่อเขาอธิบายว่าสิ่งที่ทรัมป์ และ สหรัฐต้องการนั่นก็คือ “การบังคับให้จีนนั้นยอมรับความพ่ายแพ้”

“ซึ่งมันเหมือนการดูถูกจีนในยุคปัจจุบัน ภาพแบบนั้นมันต้องมองย้อนกลับไป ถึงศตวรรษที่ 19 เมื่ออำนาจของตะวันตกและญี่ปุ่นกำหนดเงื่อนไขทั้งหมดในสนธิสัญญาไม่เท่าเทียมกันที่น่าอับอายต่อราชวงศ์ชิงของจีนที่กำลังอ่อนแออยู่ในขณะนั้น” 

ดูเหมือนว่าศึกนี้ คงจะไม่จบลงง่ายๆ  อย่างแน่นอน การควบรวมอำนาจแบบเบ็ดเสร็จของ สีจิ้นผิง นั้น ต้องเรียกได้ว่า มีพลังมากกว่าที่ ทรัมป์มีเยอะ แม้อเมริกาจะเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็จริง แต่ทรัมป์ ยังมีแผลเบื้องหลังที่คอยทิ่มแทงเขา หากสงครามครั้งนี้ ทรัมป์แพ้ มันส่งผลโดยตรงต่อ ตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยหน้าอย่างแน่นอน ต้องเรียกว่าศึกครั้งนี้มีการเดิมพันสูง กับอนาคตทางการเมืองของทั้งทรัมป์ และ สีจิ้นผิง เลยก็ว่าได้

References : 
https://www.ft.com/content/52a6731c-7882-11e9-be7d-6d846537acab