ไม่มีสัจจะในหมู่ XXX

หลังจากข่าวการ Confirm การตอบรับเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐของ ภูมิใจไทย ทำให้กระแสใน Social Network เทมาด่าพรรคภูมิใจไทยกันเป็นขบวนนะครับ เนื่องจากวาจาที่เคยลั่นไว้ก่อนการเลือกตั้งต่างๆ  นา ๆ ว่าจะไม่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจและจะไม่ร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐอย่างแน่นอน

ซึ่งท่าทีล่าสุดของพรรคภูมิใจไทยถือเป็นการแสดงความชัดเจนครั้งแรก เพราะหลังจากการเลือกตั้งที่ผ่านมากว่า 3 เดือน พรรคภูมิใจไทยไม่เคยให้ความชัดเจนเลยว่า จะร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคใด

แม้เคยกล่าวไว้ว่าจะให้คำตอบเมื่อวันที่ 9 พ.ค. เพื่อรอให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศรับรองสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) อย่างเป็นทางการก่อน แต่เมื่อถึงกำหรดวันดังกล่าวก็ไม่มีท่าทีใดๆ และบอกว่ารอให้ถึงปลายเดือนพฤษภาคม ก่อนการประชุมสภา แต่แล้วก็ยังเงียบ จนกระทั่งในวันนี้ ที่มีการประกาศเลือกข้างอย่างชัดเจน ไม่ให้ผู้คนสงสัยกันอีกต่อไป

แม้คะแนนเสียงของพรรคภูมิใจไทย จะได้ระดับกลาง ๆ 50 กว่าเสียงเท่า ๆ กันกับพรรคประชาธิปัตย์ แต่ต้องบอกว่าสองพรรคนี้ ในการเลือกตั้งครั้งเรียกได้ว่ามีอำนาจต่อรองล้นเหลือในมือ เนื่องจากรวมกันก็ร้อยกว่าเสียง ไม่ต่างจากพรรคที่ได้ชัยชนะอย่างเพื่อไทย หรืออันดับสองอย่างพลังประชารัฐเลย

มันคือเกมส์การต่อรองทางการเมืองที่สนุกที่สุดครั้งนึงเลยก็ว่าได้สำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้ มีการหักเหลี่ยม เฉือนคมกันเอง แม้กระทั่งภายในพรรคตัวเองก็ยังมีให้เห็น ต้องเรียกได้ว่า การเมืองนั้นเป็นเรื่องของผลประโยชน์แทบจะทั้งสิ้น

ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่เชื่อเรื่องการอ้างของเหล่านักการเมืองทั้งหลาย ที่บอกว่าเข้ามาทำประโยชน์เพื่อประชาชน เพราะปัญหาใหญ่คือ เมื่อเข้าสู่การเมืองนั้น ขาข้างนึงก็ได้เข้าสู่ผลประโยชน์ที่มีมากมายมหาศาล จากงบประมาณแผ่นดิน ที่พวกเราเสียภาษีกันไปทั้งนั้น ซึ่งมันหอมหวนเสียจนทำให้คนดี ๆ หลายคนเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือมานับต่อนับแล้ว

เพราะฉะนั้น เรื่องสัจจะวาจาในเหล่านักการเมืองนั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย เพราะเราได้เห็นบทเรียนมานับต่อนับแล้วจากในอดีตที่ผ่านมาว่า คำพูด ของเหล่านักการเมืองนั้น เป็นสิ่งที่เชื่อถือไม่ได้ ซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่า ไม่มีคำว่าสัจจะในมวลหมู่นักการเมืองนั่นเองครับผม

Image References : https://www.matichon.co.th/wp-content/uploads/2019/03/%E0%B8%A0%E0%B8%9B-7%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%84.jpg

เมื่อยิ่งลักษณ์ยังต้องหนี

ไม่ค่อยเขียนเรื่องการเมืองเท่าไหร่ แต่ประเด็นที่โด่งดังในวันนี้ ในเรื่อง อดีตนายก ยิ่งลักษณ์ ที่มีข่าวหลบหนีออกนอกประเทศไปแล้ว ไม่มาฟังคำตัดสินของศาล โดยอ้าง ป่วย “น้ำในหูไม่เท่ากัน” นั้นก็อดที่จะเขียนถึงไม่ได้

ผมเป็นคนหนึ่งที่ติดตามข่าวการเมืองมาพอสมควร และไม่ค่อยออกความเห็นผ่านโลก social ในเรื่องการเมืองซักเท่าไหร่ เนื่องจากในโลก social นั้นหากออกความคิดเห็นใด ไปแล้วสาวกฝั่งนั้นไม่พอใจ ก็มักจะถูกถีบออกไปฝั่งตรงกันข้ามแทบจะทันที ซึ่งเราจะเห็นได้จากคนดังใน social หลายคน ที่ไม่สามารถที่จะออกความเห็นที่เป็นกลางทางการเมืองได้จริง ๆ เลย เพราะมักจะมองจากอีกฝั่งหนึ่งที่เสียประโยชน์ ว่าเป็นฝั่งตรงข้ามเสมอ

ความเชื่อส่วนตัวนั้นเชื่อว่าไม่มีประเทศไหนที่มีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ดังอุดมคติ อยู่แล้ว มันมักจะถูกปรับไปตามวัฒนธรรม ประเพณี รวมถึงความเชื่อเรื่องต่าง ๆ ของประเทศนั้น ๆ  และยิ่งพูดถึงเรื่องการคอร์รัปชั่นแล้วนั้น ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่เชื่อเลยว่าประเทศที่มีประชาธิปไตยสูงส่งอย่าง อเมริกา หรือ อังกฤษ ที่หลาย ๆ ประเทศยึดถือเป็นต้นแบบนั้น จะไม่มีการคอรัปชั่น

ส่วนตัวมองว่าสิ่งที่หลาย ๆ คนพูดเรื่องในอุดมคติ อย่างเรื่องการปลอดการคอร์รัปชั่นนั้น มันไม่มีจริง ๆ ในโลกใบนี้หรอก แม้กระทั่งอเมริกาเองก็ตาม ผมเชื่อว่า การได้มาซึ่งอำนาจ โดยเฉพาะ อำนาจทางการเมืองนั้น ทำให้คนสามารถเปลี่ยนได้ แม้ว่าจะเป็นคนดีแค่ไหน แต่อำนาจที่หอมหวนนั้น ก็อาจทำให้คนเปลี่ยนได้ ในอเมริกา เราอาจจะไม่เห็นการคอรัปชั่นกันตรง ๆ แต่ เค้าอาจจะมาในรูปแบบของ ล๊อบบี้ยิสต์ ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ที่ลงตัวกันของแต่ละฝ่าย ซึ่งมองไปลึก ๆ แล้วนั้น มันก็ไม่ต่างจากการคอรัปชั่นตรงไหนเลย ซึ่งผลประโยชน์ที่ว่านั้น อาจจะมหาศาลกว่า ที่ประเทศไทยเราเสียหายจากคอรัปชั่นไปเสียอีกก็เป็นได้

กลับเข้ามาที่เรื่องของนายกยิ่งลักษณ์ ต้องยอมรับว่าตอนที่แกเข้ามาเป็นนายกนั้น ต้องยกให้ทีมที่ออกแคมเปญในด้านนโยบายให้กับพรรคจริง ๆ เพราะถ้ามองจริง ๆ นั้น แทบจะทุกชั้นชั้นในประเทศไทย จะได้ผลประโยชน์จากนโยบายของพรรคเพื่อไทย ทั้ง นโยบายจำนำข้าวที่มอบให้ชาวรากหญ้า นโยบายขึ้นค่าแรงสำหรับแรงงาน นโยบายรถคันแรกสำหรับคนที่ทำงานใหม่ ๆ ต้องการมีรถ หรือ นโยบายบ้านหลักแรก ไปโดนใจกลุ่มคนมีอายุขึ้นมาหน่อยที่พร้อมจะมีบ้าน  เป็นการหว่านนโยบาย แบบทั่วถึง ซึ่งถือเป็นสิ่งแปลกใหม่ ที่ประเทศเราไม่ได้รับมานาน เพราะแทบจะทุกชนชั้น ได้ประโยชน์ จากภาษีที่เราเสียไป ไม่ใช่ไปเอาใจแต่คนจน หรือ ทำเพื่อคนรวยอย่างเดียว

แต่การนำนโยบายไปใช้จริง ๆ นั้นก็พบว่ามีปัญหามากมาย มีเพียงไม่กี่นโยบายที่สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ และถึงประชาชนจริง ๆ และด้วยความยากในการนำนโยบายไปใช้เช่น การจำนำข้าว ก็พบกับปัญหามากมาย รวมถึงการทุจริตต่าง ๆ ซึ่งก็คงมีมาแทบทุกยุคทุกสมัยอยู่แล้ว แต่เนื่องด้วยตัวเลขจำนวนเงินมันค่อนข้างมาก เลยทำให้เกิดความเสียหายกับประเทศมาก จึงทำให้คนไม่พอใจก็มากอยู่ เพราะมันกระทบกับภาษีที่ทุกคนเสียไป เลยเป็นปัญหาคาราคาซัง มาจนถึงวันนี้ ที่รัฐบาลคสช. เข้ามาบริหารประเทศ และ มีการเอาผิดกับโครงการต่าง ๆ ที่มีปัญหา

ซึ่งโครงการรับจำนำข้าวนั้นก็โดนไปเต็ม ๆ กับเรื่องนี้ มีผู้ที่เกี่ยวข้องมากมาย ทั้ง รัฐมนตรี ข้าราชการระดับสูงหลายคน รวมถึงพ่อค้าข้าว ก็โดนไปด้วย หากเราได้ติดตามมาตลอดกับเรื่องนี้ เราก็จะไม่สงสัยในการตัดสินของศาลวันนี้เลย หากเรามองให้เป็นกลางมาก ๆ ถึงแม้จะยาก แต่หากพิจารณารายละเอียดคดี มาตั้งแต่ที่มีการยื่นไม่ไว้วางใจรัฐบาลแล้วนั้น จะเห็นได้ว่า โครงการนี้ เป็นโครงการที่มีการคอรัปชั่นแบบน่าเกลียดมาก ๆ ผมไม่สงสัยกับคำตัดสินของศาลเลย ที่แต่ละคนโดนโทษจำคุกกันยาวหลาย ๆ ปีแทบจะทุกคน ซึ่งทีมงานของนายก ยิ่งลักษณ์ก็คงพิจารณากันถี่ถ้วนแล้วกับเรื่องนี้ว่า ยังไงก็แพ้ จึงชิงหนีไปก่อนดีกว่า ปล่อยให้ ลูกน้องรับกรรมไปแทน ซึ่งทำให้ท่านอาจจะหมดอนาคตทางการเมืองไปเลย และไม่ได้รับการนับถืออีกต่อไปจากลูกน้องที่ต้องมารับกรรมแทนลูกพี่ ที่ชิงหนีไปก่อนแบบนี้

ผมมองว่าการตัดสินครั้งนี้ เป็นบรรทัดฐานใหม่ ทำให้นักการเมืองนั้นเกรงกลัวต่อการคอรัปชั่นมากขึ้น ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ดี เหมือนการเขียนเสือให้วัวกลัวไว้ ต่อไปในอนาคต คงไม่กล้าทำอะไรแบบน่าเกลียดแบบนี้อีก ไม่ใช่ว่านโยบายจำนำข้าว เป็นสิ่งไม่ดี แต่การควบคุมไม่ให้เกิดการคอรัปชั่นนั้นผมมองว่า ท่านอดีตนายก บริหารได้ไม่มีประสิทธิภาพ ยิ่งเงินเป็นจำนวนมากขนาดนี้ ควรจะทำอะไรให้ละเอียดถี่ถ้วนกว่านี้ พูดแล้วก้เสียดายนโยบายดี ๆ หลายอย่างต้องมาพังเพราะ จำนำข้าว เจ้ากรรมนี่แหละ

Ref Image : manager.co.th