MQ-9 Reaper โดรนที่น่ากลัวที่สุดในโลก ผู้ปลิดชีพ ยอดแม่ทัพ Soleimani แห่งอิหร่าน

ในปฏิบัติการสังหาร Soleimani นายพลของอิหร่าน เชื่อว่าได้รับการจัดการโดย CIA ผ่าน Drone อากาศยาน MQ-9 Reapers ที่เคลื่อนจากฐานทัพอากาศ Creech ในเนวาดา และได้รับการสนับสนุนจาก CIA ใน Langley รัฐเวอร์จิเนีย

จากข้อมูลของกองทัพอากาศสหรัฐฯ Reaper นั้นเป็น “เครื่องบินอเนกประสงค์ที่ใช้ในหลายภารกิจ ซึ่งสามารถทำระดับความสูงได้หลายระดับ และระยะการเดินทางที่รอบรับการบนในระยะไกล ซึ่งเป็นเครื่องบินขับไล่ระยะไกลที่ใช้เป็นหลักในการปฏิบัติตามกลยุทธ์ทางการทหารของอเมริกา

ประธานาธิบดีทรัมป์ เป็นคนสั่งการให้สังหาร Soleimani ขณะที่กำลังเดินทางใกล้สนามบินนานาชาติแบกแดด โดยการโจมตีดังกล่าวยังได้สังหาร Abu Mahdi al Muhandis รองผู้บัญชาการของกองกำลังเคลื่อนที่ของอิรักที่ได้รับการสนับสนุนจากอิรัก และเป็นผู้ก่อตั้ง Kataib Hezbollah กลุ่มก่อการร้ายที่สังหารผู้รับชาวเหมาสหรัฐเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

เมื่อถูกถามว่ากองทัพอากาศเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องนี้หรือไม่ ทางโฆษกของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ พ.ต.ท. โทมัส แคมป์เบล บอกกับ WashingtonExaminer : “เราไม่มีอะไรเพิ่มเติมนอกเหนือจากแถลงการณ์เมื่อวานนี้” คำสั่งของกระทรวงกลาโหมไม่ได้ระบุว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบในการโจมตี CIA บอกกับ WashingtonExaminer 

Soleimani  ยอดนายพลแห่งอิรัก ที่ถูกสังหาร
Soleimani ยอดนายพลแห่งอิหร่าน ที่ถูกสังหาร

เสียงพึมพำเงียบ ๆ ของ Reaper นั้นเหมาะสำหรับการใช้โจมตี ตามที่อดีตนักบินกองทัพอากาศที่เกษียณไปแล้วอย่าง John Venable กล่าว

“MQ-9 Reaper มีความแม่นยำ และด้วยความสามารถในการโจมตี ทำให้มันเป็นอาวุธที่เหมาะกับภารกิจ ISR [เฝ้าระวัง ข่าวกรอง ลาดตระเวน] เหมาะสำหรับสภาพแวดล้อมที่มีการคุกคามต่ำ” Venable บอกกับ WashingtonExaminer  “ ทางการสหรัฐใช้โดรนในการติดตาม Soleimani รวมถึงติดตามการเคลื่อนไหวของ Muhandis ทั้งในและรอบ ๆ กรุงแบกแดด ซึ่งความสามารถของ Reaper ทำให้สหรัฐฯไม่ใช่แค่ใช้มันเพื่อสังเกตการเพียงเท่านั้น แต่เพื่อกำจัดเป้าหมายเหล่านั้นด้วย ”

พล.ท. เดวิด เดอทูลา นายพลเกษียณจากกองทัพอากาศบอกกับ WashingtonExaminer :  “MQ-9 Reaper เป็นระบบอาวุธที่สมบูรณ์แบบสำหรับงานนี้ “การตอบโต้ครั้งนี้เป็นการการตอบสนองที่เหมาะสมหลังจาก 18 เดือนของการเข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีโดยทรัมป์ที่ดำเนินการเนื่องจากการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศของอิหร่านอย่างก้าวร้าวโดยทรัมป์ได้ขีดเส้นเตือนอิหร่านไว้ก่อนหน้านี้ และเมื่อพวกเขาล้ำเส้น ทรัมป์ก็พร้อมที่จะปกป้องบุคลากรและผลประโยชน์ของอเมริกา “

Reaper ผลิตโดย General Atomics ซึ่งเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2007 ด้วยราคาประมาณ 16 ล้านเหรียญจึงเป็นตัวเลือกที่ประหยัด สามารถปฏิบัติการทางอากาศด้วยระเบิดและขีปนาวุธที่หลากหลาย Reaper นั้นมีขนาดเล็กกว่าเครื่องบินจู่โจมทั่วไปโดยมีปีกกว้าง 66 ฟุตและมีน้ำหนักเพียง 4,900 ปอนด์ โดยทั่วไปจะทำงานที่ระดับความสูงประมาณ 25,000 ฟุตและใช้เครื่องยนต์ใบพัดทำให้ยากต่อการมองเห็นและได้ยินในสนามรบ ด้วยระยะทาง 1,200 ไมล์มันสามารถเดินทางไกลได้ในขณะที่นักบินอยู่ห่างออกไปหลายพันไมล์

Reaper มีอุปกรณ์ทางทหารที่ทันสมัยที่สุดในโลก ระบบถ่ายภาพประกอบด้วยเซ็นเซอร์อินฟราเรดกล้องถ่ายภาพสีและขาวดำและเครื่องค้นหาระยะเลเซอร์และอุปกรณ์การกำหนดเป้าหมายสำหรับการโจมตีที่มีความแม่นยำสูง

มีการใช้ Reapers ในอัฟกานิสถาน อิรัก เยเมน ลิเบีย และอีกหลายประเทศ มีรายงานการสังหารครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2007 เมื่อมีการยิงขีปนาวุธเฮลล์ไฟกับผู้ก่อความไม่สงบในอัฟกานิสถาน 

ความคิดเห็นเพิ่มเติมจากผู้เขียน

ต้องบอกว่าข่าวการสังหารนายพลของอิหร่าน ในมุมมองของเทคโนโลยีนั้นน่าสนใจมาก ๆ อย่างที่ผมได้เคยเขียนไปในหลาย ๆ Blog เกี่ยวกับเรื่องเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่กำลังมีบทบาทสำคัญในวงการทหาร

แน่นอนว่าผลพวงจากเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นในวงการทหารหลาย ๆ เทคโนโลยีล้วนมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจด้วย เราจะเห็นได้จากหลาย ๆ เทคโนโลยีที่เกิดจากแวงวงทหารเช่น อินเทอร์เน็ตเป็นต้น ซึ่งหลายชาติมหาอำนาจในโลกที่เป็นยักษ์ใหญ่ทางด้านเศรษฐกิจก็ล้วนแล้วแต่มีเทคโนโลยีทางด้านการทหารที่แข็งแกร่งมาก่อน ตัวอย่างเช่น อเมริกา ญี่ปุ่น หรือ เยอรมัน ที่กลายเป็นยักษ์ใหญ่วงการยานยนต์โลกก็ล้วนแล้วแต่มีพื้นฐานสำคัญมาจากการผลิต ยุทธโธปกรณ์ในสงครามโลกครั้งที่สองแทบจะทั้งสิ้น

และในข่าวใหญ่ครั้งก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ชัดเจนว่า ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทางด้านการทหารของอเมริกานั้น ไปไกลมาก ๆ พวกเขายังมีอาวุธลับอีกมากมาย ที่ผ่านการวิจัยและพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากเกิดสงครามขึ้นมาจริง ๆ ผมก็ยังมองว่า ไม่มีชาติใดในโลกนี้ที่จะสู้พวกเขาได้

และถามว่าทำไมพวกเขาจึงลงทุนไปมากมายกับเทคโนโลยีด้านการทหาร ก็เพราะความมั่นคงที่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่อเมริกามอง พวกเขาแม้จะแพ้ทางด้านเศรษฐกิจ แต่ด้านความมั่นคง พวกเขาไม่เคยแพ้ใคร และ สุดท้ายเมื่อเกิดสงครามขึ้นมาจริง ๆ ตัวชี้วัดว่าชาติใดจะเป็นมหาอำนาจของโลกตัวจริง มันอยู่ที่เทคโนโลยีทางด้านการทหารนั่นเองครับ

–> ฟัง podcast World War III เมื่อเทคโนโลยีใหม่ ๆ กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการชี้ขาดชัยชนะของสงครามยุคใหม่ : http://bit.ly/2MUHdph

References : https://www.washingtonexaminer.com/policy/defense-national-security/worlds-most-feared-drone-cias-mq-9-reaper-killed-soleimani https://www.researchgate.net/figure/MQ-9-Reaper-UAV-drone-and-its-zoom-camera_fig113_335455327

Geek Monday EP30 : World War III เมื่อเทคโนโลยีใหม่ ๆ กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการชี้ขาดชัยชนะของสงครามยุคใหม่

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ผู้นำการรบในอนาคต จะกลายมาเป็น AI ที่คอย วิเคราะห์แผนการรบที่ดีที่สุด ก่อนที่จะส่ง อาวุธ หรือ ทหารเข้าไปรบ จริง ๆ มันคงไม่เกิดเหตุการณ์แบบสงครามโลกครั้งที่สอง อย่างที่อ่าว omaha beach ในวัน D-Day ของสงครามโลกครั้งที่ 2  ซึ่งชัดเจนว่าเป็นการวางแผนการรบที่ผิดพลาดของ เหล่าเสนาธิการทหารฝ่ายพันธมิตร

การผิดพลาดดังกล่าวนั้น ทำให้เสียกำลังพลไปอย่างมากมาย ซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ แต่ในอนาคตนั้น หากมีการวิเคราะห์ผ่าน AI หรือ Machine Learning  โดยการ Training Data ที่ดีมากพอ สุดท้าย Strategy ที่ดีที่สุดในการรบนั้น ก็ไม่ได้มาจากสมองมนุษย์อย่างเราๆ  แน่นอน นายพล AI จะเป็นคนสั่งการมนุษย์เองว่าให้รบยังไง ถึงจะชนะสงครามได้

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน Podbean : http://bit.ly/37QUbxb

ฟังผ่าน Apple Podcast : https://apple.co/2lEqPPg

ฟังผ่าน Google Podcast : http://bit.ly/35TFzuO

ฟังผ่าน Spotify : https://spoti.fi/35SKUTn

ฟังผ่าน Youtube : https://youtu.be/8Ie-bF8NBD0

References : https://sputniknews.com/military/201811231070067598-royal-navy-ships-artificial-intelligece/

World of Warship ด้วยกัปตันเรือ AI

คงไม่ใช่เรื่องเกินเลยที่จะพูดได้ว่า หากเกิดสงครามโลกครั้งที่สาม ขึ้นมาจริง ๆ มนุษย์ คงไม่ได้รบกับมนุษย์ด้วยกันเอง เหมือน สงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 อย่างแน่นอน สงครามครั้งใหม่หากเกิดขึ้นจริง ๆ นั้น AI จะเข้ามามีส่วนร่วมในการรบในหลายรูปแบบ ซึ่งความได้เปรียบของแต่ละชาติ ไม่ใช่เพียงแค่มีกองกำลังที่มากกว่าเพียงอย่างเดียวเหมือนในอดีต อีกต่อไป

ข่าวล่าสุดจาก BAE Systems ผู้พัฒนา อาวุธยุทโธปกรณ์ ที่เกี่ยวข้องกับเรือรบนั้น ได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ โดยจะให้กัปตัน นั้นสามารถบังคับเรือรบ ได้บนแผ่นดิน ผ่านเทคโนโลยี Augmented Reality (AR)  ร่วมกับ AI

โดยราคาของตัว Remote Access ตัวนี้นั้น อยู่ที่ประมาณ 25 ล้านเหรียญสหรัฐ หากเรือรบลำใดที่ต้องการจะติดตั้งระบบดังกล่าว

ซึ่งโปรเจคดังกล่าว จะทำการย้าย command rooms จากภายในเรือรบที่ออกแล่นไปในทะเล ย้ายมาบังคับกันบนฝั่ง คล้าย ๆ การขับโดรน ของกองทัพอากาศ  ที่เราได้เห็นการใช้งานจริงมาแล้วในกองทัพสหรัฐอเมริกา

ซึ่งการย้ายมาบนฝั่ง นั้น จะทำให้ลดความเสี่ยง ต่อลูกเรือ ในระหว่างการรบจริง ๆ  โดยสามารถที่จะเข้าถึงการบังคับในทุก ๆ ส่วนของเรือ ผ่าน Augmented Reality (AR)

ซึ่งส่วนของ AI นั้นก็จะมาช่วยเหลือในการตัดสินใจให้ ทำได้เร็วมากยิ่งขึ้น ผ่านระบบการแนะนำโดย AI ซึ่งมีการ Learning จากแผนการรบในอดีตมาแล้ว รู้ถึงจุดแข็งจุดอ่อน ของกลยุทธ์การรบในแต่ละวิธี ทำให้มีโอกาสชนะข้าศึกสูงกว่าการตัดสินใจโดยกับตันเรือที่เป็นมนุษย์

จะเกิดอะไรขึ้นกับสงครามยุคต่อไป

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ผู้นำการรบในอนาคต จะกลายมาเป็น AI ที่คอย วิเคราะห์แผนการรบที่ดีที่สุด ก่อนที่จะส่ง อาวุธ หรือ ทหารเข้าไปรบ จริง ๆ มันคงไม่เกิดเหตุการณ์แบบสงครามโลกครั้งที่สอง อย่างที่อ่าว omaha beach ในวัน D-Day ของสงครามโลกครั้งที่ 2  ซึ่งชัดเจนว่าเป็นการวางแผนการรบที่ผิดพลาดของ เหล่าเสนาธิการทหารฝ่ายพันธมิตร

ความสูญเสียอย่างมากมายที่ omaha beach ส่วนนึงจากการผิดพลาดของการวางแผนการรบ

ความสูญเสียอย่างมากมายที่ omaha beach ส่วนนึงจากการผิดพลาดของการวางแผนการรบ

การผิดพลาดดังกล่าวนั้น ทำให้เสียกำลังพลไปอย่างมากมาย ซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ แต่ในอนาคตนั้น หากมีการวิเคราะห์ผ่าน AI หรือ Machine Learning  โดยการ Training Data ที่ดีมากพอ สุดท้าย Strategy ที่ดีที่สุดในการรบนั้น ก็ไม่ได้มาจากสมองมนุษย์อย่างเราๆ  แน่นอน นายพล AI จะเป็นคนสั่งการมนุษย์เองว่าให้รบยังไง ถึงจะชนะสงครามได้

References : sputniknews.com

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage : facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit : blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter : twitter.com/tharadhol
Instragram : instragram.com/tharadhol

 

 

 

Movie Review : Emperor


Review

โดยส่วนตัวเป็นคนชอบหนังที่เกี่ยวกับสงครามโลกอยู่แล้วนะครับ ซึ่งหนังส่วนใหญ่ ก็จะเล่าไปทางฝั่งสัมพันธมิตร ซะเป็นส่วนมากซึ่งส่วนใหญ่ก็จะมองไปทาง อเมริกาแลพันธมิตร เนื้อหาก็จะหนักไปทางนั้น มีน้อยเรื่องมากที่จะเล่าถึงฝั่งญี่ปุ่น บ้าง เช่นเรื่อง Letter from Iwogima  ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องนึงที่ดีมากที่ได้เล่าทางฝั่งของญี่ปุ่น

สำหรับหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องของเหตุการณ์ ใน ขณะที่ ญี่ปุ่นได้ยอมแพ้หลังจากถูก ระเบิดนิวเคลียร์ถล่มทั้งในเมือง นางาซากิ และ ฮิโรชิม่า  จึงต้องขอยอมแพ้ต่อ อเมริกา แต่โดยดี ซึ่งเรื่องนี้ เป็นเรื่องของการพิสูจน์ ว่า องค์จักรพรรดิ ของญี่ปุ่นนั้น มีส่วนเกี่ยวข้องกับสงครามหรือไม่ เพื่อนำตัวผู้ทำผิดมาลงโทษเป็นอาชญากร สงคราม  ซึ่งเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ดำเนินตอนที่ นายพล แม็คอาเธอร์ ของอเมริกา ได้เข้าไปบริหารประเทศญี่ปุ่นหลังสงคราม และรวมถึงเรื่องราวความรักของ นายพล ท่านหนึ่ง กับหญิงสาวชาวญี่ปุ่น ที่อาจจะมีผลต่อ การตัดสิน ความเกี่ยวข้องของจักรพรรดิ  ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับสงครามครั้งยิ่งใหญ่นี้หรือไม่

เก็บตกจากหนัง

  • ญี่ปุ่นถูกถล่มอย่างหนักในช่วงใกล้สิ้นสุดสงครามทำให้บ้านเมืองเสียหายไปเป็นจำนวนมาก
  • พระราชวังขององค์จักรพรรดิ เป็นสถานที่นึงที่ไม่โดนระเบิดจากอเมริกา
  • องค์จักรพรรดินั้น เป็นศูนย์รวมจิตใจที่ยิ่งใหญ่ของ ญี่ปุ่น
  • ถ้าไม่มีนายพลแม็คอาเธอร์วางรากฐานของญี่ปุ่นยุคใหม่ไว้ให้ เราอาจจะไม่ได้เห็นญี่ปุ่น ยิ่งใหญ่เหมือนทุกวันนี้

ระดับความมันส์

8/10


สรุป
“คอหนังสงครามโลกไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง”