ครบรอบรัฐประหาร 5 ปี กับสิ่งที่ชอบและไม่ชอบ

เผลอแป๊บเดียว เราก็อยู่ในรัฐบาลชุดคสช ที่ทำการรัฐประหารรัฐบาลของนายกยิ่งลักษณ์มาครบ 5 ปีแล้ว ต้องบอกว่าบ้านเมืองเราเปลี่ยนไปมากพอสมควร ทั้งด้านดีและด้านร้าย ซึ่งก็เปรียบเหมือนกับทุก ๆ รัฐบาล ที่มีทั้งความดี และความแย่ อยู่ที่ว่าน้ำหนักแต่ละส่วนจะมากน้อยแตกต่างกันเพียงใด ซึ่งมันเป็นสัจธรรม ไม่ว่าจะมาจากรัฐบาลรูปแบบไหน

ในเมื่อทุกอย่างมันผ่านมาแล้ว สำหรับตัวผมนั้น ก็มีทั้งสิ่งที่ชอบ และ ไม่ชอบ กับรัฐบาลชุดนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนโยบาย หรือ วิธีการต่างๆ  ที่รัฐบาลชุดนี้ใช้จัดการกับปัญหาต่าง ๆ ของประเทศเรา แต่วันนี้ ในฐานะครบรอบ 5 ปี ผมก็จะมาบอกสิ่งที่ชอบที่สุดและไม่ชอบที่สุดสำหรับรัฐบาลชุดนี้ ในวาระ ที่เรากำลังจะได้รัฐบาลใหม่เสียที ซึ่งไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนยังไงประเทศเราก็ต้องเดินหน้าต่อไปเหมือนเคย

สิ่งที่ชอบที่สุดสำหรับรัฐบาลชุดนี้

ต้องบอกว่า เหมือนหลายๆ รัฐบาล มีนโยบายที่เจ๋ง ๆ ออกมามากมาย อย่างรัฐบาลคุณทักษิณ เราอาจจะว้าวกับนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ที่สามารถนำมา Implement ได้จริงกับประเทศไทยอย่างเหลือเชื่อ และใช้มาอย่างยาวนานโดยที่ไม่มีรัฐบาลไหนกล้าไปแตะต้องเลยด้วยซ้ำ

แต่สำหรับรัฐบาลชุดนี้ ผมยกให้ การสร้างบริการอย่าง PROMPT PAY (พร้อมเพย์) ขึ้นมาได้สำเร็จ ผมไม่รู้ว่าแนวคิดนี้ใครเป็นคนเริ่ม แต่ต้องยกเครดิตให้รัฐบาลชุดนี้ที่ทำให้มันเกิดขึ้นได้สำเร็จ

โดยบริการ PROMPT PAY (พร้อมเพย์) ชื่อเดิมคือ Any ID ถือเป็นโครงแรกใน ยุทธศาสตร์ National e-Payment ของรัฐบาล เพื่ออำนวยความสะดวกทั้งประชาชนในการโอนเงิน และภาครัฐในการจ่ายสวัสดิการของรัฐ และเกี่ยวกับการคืนเงินภาษีแก่ประชาชนด้วย ซึ่งเปิดตัวเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2559 ที่ผ่านมา

เรียกได้ว่าบริการนี้ ส่งผลกระทบหลายอย่างต่อประชาชนชาวไทย ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ การเมือง การคอรัปชั่น ฯลฯ มันเป็นการยกระดับประเทศไทยสู่ Cashless Society ซึ่งเราจะเห็นได้ในปัจจุบันว่า การชำระเงินออนไลน์นั้นกลายเป็นเรื่องปรกติ และ PROMPT PAY นั้นถือเป็นหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญของเรื่องนี้เลยก็ว่าได้ การโอนเงินข้ามไปข้ามมาโดยไม่เสียค่าธรรมเนียม ที่ควรจะเกิดขึ้นนานแล้วสุดท้ายมันก็เกิดขึ้นได้ในรัฐบาลชุดนี้

และมันยังส่งผลไปอีกหลาย ๆ เรื่องทั้งเรื่องการคืนภาษี การตรวจสอบฐานรายได้เพื่อเก็บภาษี ซึ่งส่วนนี้คิดว่าจะทำให้ประเทศสามารถจะเก็บภาษีเพิ่มขึ้นได้ และ ช่วยให้เกิดความเป็นธรรมในการจ่ายภาษีให้กับคนในประเทศนี้ เพื่อนำเงินเหล่านี้ไปเป็นต้นทุนในการพัฒนาประเทศในที่สุด

สิ่งที่ไม่ชอบที่สุดสำหรับรัฐบาลชุดนี้

สิ่งที่ไม่ชอบ แน่นอนว่าหลายคนน่าจะเห็นปัญหาหลาย ๆ อย่างจากรัฐบาลชุดนี้ มีหลายเรื่องที่มีปัญหา แต่โดยส่วนตัวแล้วนั้น สิ่งที่เป็นปัญหาที่สุดน่าจะเป็นเรื่องการตรวจสอบในเรื่องการทุจริต ซึ่งเราเห็นหลายๆ เคสในเรื่องประเด็นของการทุจริตนั้น ด้วยความที่ คสช. มีอำนาจมากล้นฟ้า มี ม.44 ทำให้มันเหนืออำนาจการตรวจสอบทุกอย่าง

แม้กระทั่ง ปปช. หน่วยงานหลักในการตรวจสอบทุจริต เรายังไม่สามารถพึ่งได้ นี่ยังไม่รวม การที่ไม่มีฝ่ายค้านในสภา ทำให้หลาย ๆ อย่าง หลาย ๆ โครงการที่เกิดขึ้น แม้อาจจะเป็นโครงการที่ดี แต่มันไม่มีใครที่จะมากล้าตรวจสอบความตรงไปตรงมา เพราะอำนาจที่มากเกินไปของรัฐบาลชุดนี้นั่นเอง

แล้วเพื่อน ๆ มีสิ่งที่ชอบและไม่ชอบ สำหรับรัฐบาลชุดนี้ ยังไงกันบ้าง กับรัฐบาลที่เราใช้ชีวิตร่วมกันมากว่า 5 ปี มีความเห็นกันอย่างไรบ้างครับ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้น้า

Movie Review : ฉลาด เกมส์ โกง

Review

เอาตรง ๆ ผมก็ถือว่าเป็นแฟนพันธ์แท้ของค่าย GDH หรือ GTH เก่า มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ค่อนข้างคาดหวังได้กับหนังของค่ายนี้ ว่าดูแล้วคุ้มกับเงินที่เสียไป

แต่ช่วงหลัง ๆ มา หนังของ GDH นั้นมาสไตล์เดิม ๆ มาตลอด แทบจะไม่มีแนวใหม่ ๆ เข้ามาเลย แต่เนื่องจากการทำการตลาดที่ดี และมีแฟนหนังที่มฐานคนดูอยู่มากพอสมควร จึงมั่นใจได้ว่าหนังในแนวทางเดิม ๆ ของ GDH นั้นทำแล้วไม่เจ๊งแน่นอน อย่างเช่นหนังเรื่องแรกของค่ายคือ แฟนเดย์ นั้น ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงบ้าง แต่ concept ของหนังก็ไม่ต่างจากหนังเดิม ๆ ของ GDH เท่าที่ควร ซึ่งคิดว่า ทาง GDH ก็คงไม่ค่อยกล้าฉีกแนวตัวเองเยอะ เพราะหนังสไตล์นี้สามารถทำเงินได้แน่ ๆ อยู่แล้ว

แต่สำหรับหนังเรื่องที่สองของ GDH นั้นแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง ถือว่าเป็นการสร้างทางเลือกใหม่ให้คนดู ที่จะเปิดรับประสบการณ์ใหม่ ๆ ของหนัง GDH ที่มี production และบทของหนังต่างจากที่ผ่านมาอย่างชัดเจน ถือว่า GDH สามารถทำได้อย่างดีกับหนังเรื่องนี้

โดยส่วนตัวเคยชมผลงานของผู้กำกับ นัฐวุฒิ พูนพิริยะ  จากหนังเรื่อง เคาท์ดาวน์ ซึ่งก็ค่อนข้างประทับใจกับหนังเรื่องแรกของเค้า และเฝ้ารอคอยหนังเรื่องใหม่ของเค้าอยู่เหมือนกัน จากหนังเรื่อง ฉลาด เกมส์ โกง เราจะได้กลิ่นอายของ เคาท์ดาวน์ อยู่บ้างเหมือนกัน จะฉีกแนวจาก GTH เดิม ๆ อย่างชัดเจน

สำหรับนักแสดงในเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นเด็กยุคใหม่แทบจะทั้งสิ้น แทบจะไม่มีดาราเก๋าประสบการณ์มาเล่นด้วยเลย ถือว่าเป็นการเสี่ยงพอสมควรสำหรับบทหนัก ๆ อย่างหนังเรื่องนี้

แต่เหมือนการ design character ของแต่ละตัวละคร นั้นเหมาะกับนักแสดงนำทุกคนอยู่แล้ว อย่างเช่น ชุติมณฑน์ จึงเจริญสุขยิ่ง (ออกแบบ) ที่รับบท ลิน ในเรื่องนั้น สามารถสื่อสารความเป็นลิน ได้อย่างลงตัว การแสดงสีหน้า ท่าทาง ก็ถือว่าทำได้ไม่ขี้เหร่ สำหรับการเล่นหนังครั้งแรกของเธอ แต่ก็ต้องยอมรับว่าบางช่วงการแสดงก็ไม่ค่อยสมจริงเท่าไหร่ ยังเหมือนหุ่นยนต์มากเกินไป แต่โดยรวมก็ค่อนข้างทำได้ดี

แต่ที่ผมชอบที่สุดในหนังเรื่องนี้ น่าจะเป็น ชานน สันตินธรกุล  ที่รับบทแบงค์ ถ้าเทียบกับลินที่เป็นตัวละครหลักแล้ว แบงค์ ก็ถือว่าเป็นตัวละครที่เป็นตัวหลักที่ไม่แตกต่างจาก ลิน แม้จะได้รับบทน้อยกว่ามาก แต่ key หลักของเรื่องน่าจะอยู่ที่เจ้าแบงค์ นี่แหละ ที่ตีบท ในเรื่องได้แตก ไม่แน่ใจว่าด้วยบุคลิก และลักษณะส่วนตัวของเค้าเป็นอย่างงี้ด้วยหรือ ป่าว จึงทำให้ง่ายต่อการรับบทบาทดังกล่าว  ดูแล้วค่อนข้างอินกับตัวละครนี้มาก ถ้าเทียบกับลินแล้ว บทของแบงค์นั้น แสดงได้ดีกว่าอย่างชัดเจน ส่วน เกรซ กับ พัฒน์ นั้นก็ถือเป็นส่วนเติมเต็มเรื่องได้อย่างน่าประทับใจ

ที่ เซอร์ไพร์ อีกอย่างสำหรับหนังเรื่องนี้คือการนำเอานักแต่งเพลงระดับตำนานอย่าง พี่  ธเนศ วรากุลนุเคราะห์ ที่มารับบทพ่อของลิน ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ใหม่ในการเห็น พี่ ธเนศ เล่นหนัง ต้องยอมรับว่าพี่เค้าไม่ได้แต่งเพลงเก่งเพียงอย่างเดียว บทพ่อที่ได้รับ ก็ถือว่าตีบทนี้ได้แตกกระจาย เหมือนกัน

โดยรวมหนังให้แง่คิดในหลาย ๆ เรื่อง ทั้งความสัมพันธ์ของพ่อลูก ความสัมพันธ์ของเพื่อน รวมถึงการกล่าวถึงเรื่องการโกง หรือ คอร์รัปชั่น ซึ่งเป็นประเด็นหลักของเรื่อง และบทสรุปที่่ถือได้ว่าทำออกมาได้ดี ยกให้เป็นหนังยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่ได้ดูมาของ GTH เลยก็ว่าได้

 

เก็บตกจากหนัง

  • หนังมีการเชื่อมโยงการโกง กับ การคอร์รัปชั่น ได้อย่างน่าสนใจ
  • เราจะได้เห็นนักแต่งเพลงชื่อดังอย่าง พี่ ธเนศ มารับบทหลักของหนังที่น่าสนใจไม่ใช่น้อย
  • ตัวละครเอก แบงค์ กับ ลิน ถือว่าเล่นคู่กันได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก
  • เป็นหนังที่รูปแบบบท และ production แตกต่างจากที่ GTH ทำมาอย่างสิ้นเชิง
  • อาจเปรียบเปรยได้ว่าหนังเรื่องนี้ให้ประสบการณ์แบบดูหนัง hollywood เลยทีเดียว

คะแนน

9/10


สรุป
“โดยส่วนตัวถือเป็นหนังยอดเยี่ยมที่สุดของ GTH ตั้งแต่ได้ดูมา”