เมื่อแฟนบอลเริ่มหมดศรัทธา

ผ่านเกมส์ถือได้ว่าทำร้ายจิตใจแฟนบอลมากที่สุด ในรอบหลายปีเกมหนึ่งเลยก็ว่าได้ สำหรับผลงานการลิเวอร์พูลในนัดล่าสุดที่แพ้อย่างหมดสภาพ 4-0

ผมในฐานะแฟนบอลอาเซน่อล ที่เชียร์มาก็ค่อนข้างนาน ไม่เคยรู้สึกถึงความหดหู่ และสิ้นหวังได้เหมือนเกม เกมนี้ ทุกอย่างมันบรรจบกันหมด เป็นการพ่ายแพ้แบบหมดรูป สู้ไม่ได้ทุกอย่าง ตั้งแต่ แทคทิค ยัน โค้ช ซึ่งต้องยอมรับการทำทีมสไตล์ของ เจอร์เกน คลอป ว่าทำได้ดุดันดั่ง style heavy metal ที่เค้าชอบจนผลงานเริ่มจะปรากฏในปีนี้

หลายปีที่ผ่านมาอาจจะมีเกมส์ที่ทีมแพ้แบบหลุดลุ่ย หลายเกมส์ มาก แต่อย่างน้อยก็ยังมีใจสู้ มีการสู้เพื่อเอาประตูคืน ซึ่งแฟนบอลก็ยังพอรับได้ เพราะได้สู้เต็มที่แล้ว แต่ความศรัทธามันคงได้เริ่มหมดลงหลังจากเกมนี้ ทุกอย่างมันผิดพลาดตั้งแต่การวางตัวผู้เล่น ทุกอย่างมั่วไปหมด แบ๊คขวา ไปเล่นซ้าย กองหน้าซื้อมาใหม่ ไม่ให้ลง รวมถึงกองหลังเด็กอ่อนอย่าง Rob Holding ที่เกรดยังไม่ถึงระดับ premier league ด้วยซ้ำ เอามาลงตัวจริงและต้องมาเจอ จรวดทางเรียบทั้งสองข้างอย่าง มาเน่ และ ซาล่า ซึ่งโดนพาทัวร์แทบทั้งเกมส์ จนเสียคน

ไหนจะแผนการเล่นที่หลังจากปลายปีที่แล้ว ปรับมาเล่นหลัง 3 ซึ่งเหมือนจะดี แต่ดูจากผลงานนัดหลัง ๆ จะรู้ว่า แผนนี้ทำให้กองหลังรั่วมาก ๆ โอกาสหลุดเข้าไปยิงของลิเวอร์พูลนับ สิบ ดีที่มี ปีเตอร์ เชค ช่วยเซฟไว้หลายหน จึงทำให้ไม่ได้โดนถล่มไปมากกว่านี้ แผนนี้ จะเห็นได้ว่านักเตะหลายคนเล่นไม่ออกเลย ทั้ง โอซิล  อเล็กซิส ที่เป็นตัวหลัก ไม่สามารถโชว์ฟอร์มได้ดีกับแผนนี้เท่าไหร่ เพราะต้องมาช่วยรับด้วยตลอดเวลา มันเป็นแผนที่ไม่เหมาะกับทีมเราอย่างยิ่ง แต่ยังงงว่าทำไม เวนเกอร์ ก็ยังดื้อด้านใช้อยู่ จากความมั่นใจผิด ๆ ในปลายปีที่แล้ว

ปัญหาการซื้อตัวผู้เล่น รวมถึงการต่อสัญญานักเตะ ที่ยังไม่เคลียร์ซักราย ยังไม่รู้ว่าอนาคต จะเอายังไงกันแน่ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องปล่อยให้มันคาราคาซัง ขนาดนี้ นักเตะก็ไม่ได้โฟกัส กับการแข่งขัน เพราะ อนาคตยังไม่แน่นอน รวมถึงการซื้อนักเตะใหม่ ที่เอาจริง ๆ ได้มาแค่ตัวเดียวเท่านั้น คือ ลากาแซตต์ หากหันไปมองทีมลุ้นแชมป์รอบข้างที่ทุ่มซื้อกันอย่างบ้าคลั่ง ทำให้แฟนบอลก็รู้สึกหมดศรัทธากับทั้งผู้จัดการ รวมถึง ผู้บริหารสโมสรที่เอาแต่เงิน อาเซน่อลเป็นทีมที่ทำกำไรจากธุรกิจได้แทบจะอันดับต้น ๆ ของโลก ค่าตั๋วเข้าสนามที่แพงเป็นอันดับหนึ่งของโลก แต่ให้ผลงานแค่นี้ต้องถือว่าน่าผิดหวังมาก ๆ สำหรับแฟนอาเซน่อล

ตอนนี้ก็หวังอย่างเดียวว่าต้องมีการเปลี่ยนแปลงซักที ทั้งเจ้าของสโมสร รวมถึง ผู้จัดการทีม ควรจะยกเครื่องใหม่แบบยกชุด อยากได้เจ้าของที่รักสโมสรจริง เหมือนเสี่ยหมีของเชลซี ที่พร้อมจะทุ่มทรัพยากรให้กับทีมทุก ๆ ปีเพื่อให้ได้ลุ้นแชมป์ จนในที่สุดจำนวนแชมป์ พรีเมียร์ลีค ก็แซงอาเซน่อลจนสำเร็จ ซึ่งผู้บริหารทีมเราควรจะดูเป็นแบบอย่างว่าคนที่รักฟุตบอลนั้นเค้าพร้อมที่จะทุ่มให้ทุกอย่างเพื่อความสุขของแฟนบอล

Image Ref :  paininthearsenal.com

เหมือนเคย

ผ่านนัดที่สองไปแบบเจ็บช้ำใจ สำหรับแฟน ๆ ทีมอาเซน่อล หลังจากบุกไปแพ้ stoke แบบครองบอลอยู่ฝั่งเดียวแทบจะทั้งเกมส์ แต่โดนทีเด็ดของนักเตะใหม่อย่าง เฆเซ่ ที่มาปิดบัญชีให้อาเซน่อล แพ้อย่างไม่น่าให้อภัย

จากเปอร์เซ็นต์การครองบอลหลังจบเกมส์ที่กว่า 80% เป็นของอาเซน่อล แต่ก็ไม่สามารถแม้กระทั่งจะตีเสมอทีมอย่าง stoke ได้ ซึ่ง ก็แทบไม่ต่างจากหลาย season ที่ผ่าน ๆ ที่เน้นการเคาะบอลไปมา ดูเหมือนจะครองเกมส์อยู่ฝ่ายเดียวแต่แทบไปไม่ถึงเขตอันตรายของ stoke ได้เลย โอกาสการทำประตูก็ไม่ต่างจาก stoke ที่เน้นเล่นสวนกลับซักเท่าไหร่ กองหลังก็อ่อนปวกเปียกเหมือนเดิม ไม่ต่างจาก season ที่แล้ว

ถ้าจะพิจารณาในรายละเอียดของเกมส์นั้น การเล่นหลัง 3 นั้น เหมือนจะทำให้หลุดเข้าไปสู่เขตอันตรายของอาเซน่อลได้ง่ายกว่าเดิมด้วยซ้ำ จะเห็นในหลาย ๆ จังหวะ ที่กองหลังดันสูง แล้วโดนสวน ให้เสียววาบกันหลายครั้ง โดยส่วนตัวคิดว่าแผนนี้ยังไม่เหมาะกับทีมซักเท่าไหร่ ดูโอซิลเล่นไม่ค่อยออกกับแผน 3-4-3 แต่หลังจากเปลี่ยนมาเล่น 4-3-3 เหมือนเดิมนั้น โอซิลสามารถเล่นได้คล่องตัวมากกว่า และอาจจะถนัดมากกว่าการเล่นหลังสาม ซึ่งดูแล้วอึดอัดมาก

การปรับมาใช้แผนนี้ก็เลียนแบบมาจากเชลซี ใน season ที่แล้วที่พอเปลี่ยนมาเล่นหลัง 3 ก็สามารถไต่อันดับขึ้นไปและครองแชมป์ได้อย่างสมศักดิ์ศรี  ปีนี้เลยมีหลายทีมเปลี่ยนมาเล่นหลัง 3 กันมากขึ้น ซึ่งอาจจะไม่ใช่ข้อได้เปรียบเหมือนเชลซีในปีที่แล้วอีกต่อไป  สาเหตุนึง ก็น่าจะเป็นเพราะปีที่แล้ว มีน้อยทีมที่เล่นแผนเดียวกับเชลซี ทำให้เชลซีเล่นง่าย และเป็นแผนที่ถนัดของ คอนเต้ โดยตรงตั้งแต่คุม ยูเวนตุส อยู่แล้ว แต่ปีนี้ ก็คงจะยากขึ้น เมื่อหลาย ๆ ทีมเริ่มเลียนแบบที่จะใช้หลัง 3 คน เช่นเดียวกับ อาเซน่อล ที่ผมมองยังไงก็ไม่ work กับการมาเล่นแผนนี้

สุดท้าย ก็อยากจะฝากถึงกองเชียร์ ว่ายังไงปีนี้ก็ยังมีอีกยาวไกล ให้ได้ลุ้น ดูจากผลสองนัดแรก แต่ละทีมก็เสียแต้มกันพอสมควร ทำให้คะแนนก็ไม่ห่างมาก มีแมนยู ทีมเดียวเท่านั้นที่ฟอร์มร้อนแรก ชนะ 2 นัดรวมมาได้ ทีมลุ้นแชมป์อื่น ๆ ก็เสียแต้มกันหมด คิดว่าสถานการณ์ในตอนนนี้ก็ยังบอกอะไรไม่ได้มาก ต้องดูกันยาวๆ  ว่าใครจะเป็นแชมป์ตัวจริงในฤดูกาลนี้

Image Ref : bleacherreport.com

ทีมที่บาร์เซโลน่าเกรงกลัวที่สุด

ผ่านพ้นไปสำหรับผล UCL รอบ 16 ทีมสุดท้าย ก็แทบจะเป็นไปตามคาดในผลการแข่งขันทุกคู่ ไม่มีการพลิกล็อกแต่อย่างใด ทีมใหญ่ ๆ ก็เข้ากันครบทั้ง Real Madrid , Barcelona หรือ เสือใต้ Bayern Munich  ทั้งสามทีมเต็มก็พาเหรดกันเข้ารอบไปได้ครบ

สำหรับ อาเซน่อล ก็คงอยู่ในวังวนเดิม ๆ กับรอบนี้ ถึงแม้เกมส์ที่บุกไปเยือนบาร์เซโลน่าที่ คัมป์นูร์ จะเล่นได้ดีพอสมควร แต่ก็ไม่สามารต้านทานพลังของ MSN 3 แนวรุกของบาร์เซโล่น่าได้ ก็ออกไปพ่ายมา 3-1 รวมผลสองนัดแพ้ไปอย่างขาดลอย 5-1 ซึ่งว่ากันตรง ๆ เกมส์นี้ก็ไม่ได้เล่นได้ขี้เหร่ซักเท่าไหร่ โอกาสการทำประตูก็พอ ๆ กัน แต่ความคมที่ห่างชั้นกันเยอะ โดยโดนจัดกันไปคนละดอกทั้ง เนย์มาร์  ซัวเรส และ เมสซี่ ตกรอบไปแบบไม่ต้องลุ้นอะไรมากมาย

มาว่ากันถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ผลการจับสลากออกมา ทีมที่น่าจะสบายในก็คงเป็นทั้ง Bayern Munich และ Real Madrid ที่ได้เจอทีมรองบ่อน กว่า และน่าจะผ่านไปได้ไม่ยากเย็นเท่าไหร่ สำหรับบาร์เซโลน่า ถือว่าเป็นเกมส์ที่หนักที่สุดของพวกเขาเลยก็ว่าได้ที่จับได้มาเจอกับ Atletico Madrid เอาตรง ๆ ผลงานการเจอกันของทั้งคู่ในช่วงหลัง ๆ นั้น Atletico Madrid อาจจะดูดีกว่าด้วยซ้ำ หลังจากการเข้ามาคุมทีมของ Diego Simeone ถ้าถามว่าทีมไหนที่บาร์เซโลน่าไม่อยากเจอที่สุด คงไม่ใช่ Bayern Munich หรือ Real Madrid แต่คงเป็น Atletico Madrid ทีมนี้มากกว่าที่ บาร์เซโลน่าอยากเลี่ยง ซึ่ง Atletico Madrid นั้นมักจะทำผลงานได้ดีเสมอในการเล่นกับ บาร์เซโลน่าไม่ว่าจะเป็นเจ้าบ้านหรือไปเยือน เหมือนกับ Diego Semione นั้นมีแผนในการพิชิตบาร์เซโลน่าได้ในหลาย ๆ ครั้งในช่วงหลัง ๆ

สำหรับอาถรรพ์ เรื่องการป้องกันแชมป์ UCL ที่ไม่สามารถมีทีมใดที่เป็นแชมป์เก่าสามารถป้องกันแชมป์ในปีถัดไปได้เลยในช่วงหลัง ๆ โดยมีการสลับหน้าทีมที่จะเป็นแชมป์ตลอด ซึ่งปีนี้ตามหน้าสื่อนั้นบาร์เซโลน่า น่าจะมีโอกาสสูงสุดในการป้องกันแชมป์ได้ทีมแรกในรอบหลายปีหลัง เนื่องจากศักยภาพของทีมนั้น โดดเด่นกว่าทีมคู่แข่งอย่างชัดเจน จากการได้ตัว ซัวเรสมาในฤดูกาลที่แล้ว พูดถึงก็เสียดายโอกาสที่ ซัวเรสจะย้ายมาอาร์เซน่อลในช่วง 2 ปีก่อน น่าจะมีการยื่นข้อเสนอแบบจริง ๆ จัง ๆ หน่อย ผมคิดว่าถ้าได้ซัวเรส มานี่ น่าจะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของอาร์เซน่อลเลยก็ได้ แต่เสียดายที่มันไม่เกิดขึ้น เนื่องจากบอร์ดบริหารก็ไม่ได้พยายามที่จะซื้อตัวซัวเรสมาแบบเต็มที่ สุดท้าย ก็เลือกอยู่ลิเวอร์พูลต่อ และย้ายมาบาร์เซโลน่าในที่สุด

สำหรับปีนี้นั้นผมเชื่อว่า หากทีมที่จะหยุดบาร์เซโลน่านั้น ผมมองเพียงทีมเดียวคือ Atletico Madrid ในรอบ 8 ทีมนี่แหละ หากไม่สามารถหยุด บาร์เซโลน่าในรอบนี้ได้ ผมว่า บาร์เซโลน่าก็คงคว้าแชมป์ไปได้อีกปีแบบไม่ยากเย็นเหมือนปีที่แล้วอย่างแน่นอน เพราะคิดว่า Bayern Munich หรือ Real Madrid ไม่ใช่ทีมที่จะมีพลังพอมาต่อกรกับ บาร์เซโลน่าในชุดนี้อย่างแน่นอน

Img Ref : soccerparole.com

เข้าสู่วงโคจรเดิม

เพิ่งเขียนใน blog ล่าสุดเกี่ยวกับอาเซน่อลไปหมาด ๆ สำหรับการเข้าสู่การลุ้นแชมป์เต็มตัวในช่วงวันวาเลนไทน์ ซึ่งตอนนั้นถือว่าเป็นช่วงเวลาที่หอมหวานอย่างยิ่งสำหรับกองเชียร์อาเซน่อลในปีนี้

แต่เพียงแค่ไม่ถึงเดือนผ่านพ้นไป สถานการณ์ของทีมได้เปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือทันที จากการพ่ายแพ้ 3 นัดรวดในทุกรายการตั้งแต่ แพ้ บาเซโลน่า ตามด้วยแพ้ทีม U21 ของ แมนยู และแมตช์ที่เจ็บปวดรวดร้าวสำหรับแฟน ๆ ทีมอาเซน่อลมากที่สุดเห็นจะเป็นการพ่ายแพ้ต่อทีมอย่าง สวอนซี คาบ้านตัวเอง จากการลุ้นแชมป์ตามหลังทีมนำอย่าง เลสเตอร์เพียง 2 แต้ม กลับกลายมาเป็นตามถึง 8 แต้มเมื่อสิ้นสุดนัดที่ 29

ตอนนี้ทำไปทำมาสถานการณ์ของทีมจากทีมลุ้นแชมป์กลายมาเป็นทีมต้องลุ้นอันดับ 4 แทนแล้ว เมื่อแมนยูที่อยู่ดี ๆ ก็ฟอร์มดีขึ้นมาชนะหลาย ๆ นัดติดกัน มีโอกาสที่จะไล่จี้เข้ามาใกล้เต็มที่เพื่อลุ้นแย่ง อันดับ แชมเปี้ยนลีค ไม่ต้องพูดถึงการเข้ารอบต่อไปใน แชมเปี้ยนลีค การพ่ายแพ้คาบ้าน 0-2 ต่อบาเซโลน่า ก็คงไม่ต้องพูดถึงการเข้ารอบต่อไปแทบจะ 100% แล้ว ถ้าสังเกตดีๆ  วงโคจรนี้ จะมีมาแทบทุกปีในช่วงหลัง ๆ ในช่วงเดือนนี้ เริ่มจากตกรอบแชมเปี้ยนลีก และ ฟอร์มจะหลุดต่อเนื่องในลีคจนหมดลุ้นแชมป์ในช่วงนี้  แต่ก็จะประคองทีมในช่วงปลายฤดูกาลจนสามารถคว้าโควต้าแชมเปี้ยนลีคไปได้อีกตามเคย

ก็คงเป็นวังวนเดิม ๆ สำหรับแฟน ๆ อาเซน่อล ที่คิดว่าปีนี้น่าจะเปลี่ยนเป็นทีมที่ได้แชมป์กะเขาซักที หลังจากรอคอยมากว่า 12 ปีนับจากการคว้าแชมป์ครั้งสุดท้ายในปี 2004 ปีนี้เป็นปีที่มีลุ้นแทบจะมากที่สุดแล้ว ทีมอื่น ๆ ล้วนสะดุดกันหมด แต่จนแล้วจนรอด สถานการณ์ก็ไม่ต่างจากปีที่ผ่าน ๆ มา การที่ได้เห็นทีมอย่าเลสเตอร์ กำลังนำเป็นจ่าฝูง โดยที่ทีมเรามีความพร้อมมากกว่าในขณะนี้ ถือเป็นภาพที่เจ็บปวดสำหรับแฟนอาเซน่อลทุกคน หลังจากปีนี้ คงเป็นปีที่ลุ้นยากขึ้นเรื่อย ๆ  เนื่องจากการมาของ โครต โค้ชอย่าง เป๊ป ที่จะมาคุมทีมแมนซิตี้ ในปีหน้า ก็คงใส่เต็มที่แน่ๆ  สำหรับปีหน้า ไหนจะลิเวอร์ที่ได้เจอร์เก้น คล็อป น่าจะปีนป่ายขึ้นมาได้ในปีหน้า หรือ แม้แต่เชลซีที่ยังไม่มีผู้จัดการทีมที่ชัดเจน แต่คาดว่าคงต้องเป็น big name แน่ ๆ  เสี่ยหมีคงจะลุยเต็มที่เหมือนกัน

มามองถึงทีมตัวเองแม้สถานการณ์ทางการเงินของทีมเราจะสุดยอดแค่ไหนก็ตาม แต่ในเมื่อมันไม่มี Trophy แชมป์ลีคมาให้แฟน ๆ ชื่นชมซักที เชื่อว่ากระแสการกดดันใน อาเซน เวนเกอร์ ลาออกคงมาเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างแน่นอน ถึงแม้เขาจะทำผลงานได้ดีถ้าหากมองในเรื่องผลกำไร แต่ไม่ใช่สำหรับแฟน ๆ ทีมอาเซน่อลอย่างแน่นอน

Momentum to Champions

ถามว่าตอนนี้ อาเซน่อลนั้น พร้อมจะลุ้นแชมป์เต็มตัวแล้วหรือยัง ก็คงจะปฏิเสธไปไม่ได้แล้วหลังจากผลการแข่งขัน นัดล่าสุดที่เฉือนชนะ leicester ในช่วงต่อเวลานาทีสุดท้ายจากประตูชัยของมหาเทพ Danny Wellbeck

ถือว่าเป็นผลการแข่งขันที่มีผลต่อจิตใจนักเตะอาเซน่อลมากเลยทีเดียวกับผลการแข่งขันในนัดนี้ ที่จากเดิมตามจ่าฝูงอย่าง leicester ถึง 5 แต้ม ขยับเข้ามาเหลือแค่ 2 แต้ม โดยเหลือเกมส์อีก 12 นัดให้สู้กัน ก็ถือว่ามีโอกาสสูงเลยทีเดียว เนื่องจากอาเซน่อลเป็นทีมเดียวในกลุ่มทีมลุ้นแชมป์ล่าสุด ที่มีประสบการณ์ในการลุ้นแชมป์มากกว่าใครเพื่อน

ผ่านมา 2 ใน 3 ของฤดูกาล ตอนนี้ก็คงพอเห็นถึงสถานการณ์ของแต่ละทีมได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น โดยกลุ่มผู้นำตอนนี้ดูจากฟอร์มการเล่นล่าสุดให้ทีมที่ลุ้นแชมป์น่าจะเป็นแค่ 3 ทีมคือ เลสเตอร์ , สเปอร์ และ เต็งหนึ่งในตอนนี้อย่าง อาเซน่อล ทำไมถึงตัด แมนซิตี้ออก จากเกมส์สองนัดล่าสุดนั้น ทำให้มองเห็นปัญหาหลาย ๆ ของ แมนซิตี้ รวมถึงการที่ ผู้จัดการอย่าง เปเยกรินี่ ที่ต้องตกงานหลังจากหมดฤดูกาลนี้นั้น ทำให้ใจของเขาก็ไม่ค่อยอยู่กับ แมนซิตี้ซักเท่าไหร่แล้ว รวมถึงปัญหาอาการบาดเจ็บของผู้เล่นสำคัญอย่าง เควิน เดอ บรอยด์ ที่เป็น keyman ของ ฤดูกาลนี้ที่เจ็บพักยาว ก็น่าจะทำให้ แมนซิตี้น่าจะหมดลุ้นแชมป์ไปแล้ว

ตอนนี้ momentum ของการลุ้นแชมป์น่าจะมาเข้าทางทีมอย่าง อาเซน่อลแล้ว และผู้เล่นคงได้รับกำลังใจอย่างล้นเหลือจากผลการแข่งขันนัดล่าสุด ซึ่งก็ต้องดูกันต่อว่าการรอคอยจะสิ้นสุดซักทักในปีนี้หรือไม่หลังจากให้แฟนปืนใหญ่รอคอยแชมป์พรีเมียลีคมาถึง 12 ปี

Img Ref : Skysports.com