“ซานตาเฟ่” ควงแม็กกี้ ครีเอทเมนูใหม่ “สเต๊กสามเกลอ” เสิร์ฟความอร่อยครบรสให้ลูกค้า

“ซานตาเฟ่” ร้านอาหารประเภทสเต๊กและอาหารสไตล์ตะวันตก ภายใต้บริษัท ฟู้ด แฟคเตอร์ จำกัด ครีเอทเมนูใหม่ “สเต๊กสามเกลอ” ผนึก “แม็กกี้” ผู้นำซอสปรุงอาหารนำผลิตภัณฑ์ แม็กกี้ อีซี่คุ๊ก “ซอสสามเกลอ” หมักกับไก่และหมูชีวา เสิร์ฟความอร่อยเติมรสให้ลูกค้า

คุณสมบัติ หงส์ไพฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เคที เรสทัวรองท์ จำกัด เปิดเผยว่า ซานตาเฟ่สเต๊ก เป็นร้านอาหารที่อยู่คู่กับผู้บริโภคชาวไทยมานานกว่า 20 ปี กลยุทธ์ที่ทำให้ร้านครองใจลูกค้าอย่างแข็งแกร่ง ด้วยการเสิร์ฟวัตถุดิบคุณภาพ และรสชาติอร่อยโดนใจ รวมถึงการสร้างสรรค์เมนูใหม่ตอบสนองกลุ่มเป้าหมาย

ล่าสุด ซาตาเฟ่ ร่วมพันธมิตรอย่างแม็กกี้ นำผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด แม็กกี้ อีซี่คุ๊ก “ซอสสามเกลอ” ที่รวมส่วนผสม 3 ชนิด ได้แก่ กระเทียม พริกไทย และรากผักชี มาผสมผสานกันอย่างลงตัวและเพิ่มความเข้มข้น ทำให้ปรุงกับจานไหนก็อร่อย มีกลิ่นหอม ถึงเครื่องทุกเมนูไทย

พร้อมกันนี้ ยังเปิดตัวครั้งแรกกับซานตาเฟ่ ด้วยการรังสรรค์เมนูพิเศษ “สเต๊กสามเกลอ” ซึ่งเป็นการนำซอสสามเกลอหมักวัตถุดิบคุณภาพทั้งไก่ และหมูชีวา ช่วยเพิ่มความอร่อยโดน ครบรส ถึงเครื่องทุกเมนูไทยทุกจาน

ด้านคุณเครือวัลย์ วรุณไพจิตร ผู้อำนวยการบริหารหน่วยธุรกิจ เนสท์เล่ โพรเฟชชันนัล ภูมิภาคอินโดไชน่า กล่าวว่า การร่วมมือกับซานตาเฟ่ ในการนำผลิตภัณฑ์ใหม่ แม็กกี้ อีซี่คุ๊ก“ซอสสามเกลอ” มารังสรรค์เมนูสเต๊กใหม่ๆ จะช่วยสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้บริโภคในการรับประทาน

อีกทั้งแนะนำให้รู้จักต่อยอดสูตรความอร่อยไปสู่ทุกครัวเรือน เพราะสามารถนำซอสสามเกลอไปหมักวัตถุดิบไก่ หมู ฯ ได้ตามต้องการ สำหรับแม็กกี้ อีซี่คุ๊ก ซอสสามเกลอ บรรจุในซอง สะดวก ใช้ง่าย ผู้บริโภคทำเมนูอร่อยได้เองที่บ้านเพียงแค่ฉีก-เท-หมัก หรือผัด ก็สามารถรังสรรค์จานโปรดได้มากกว่า 20 เมนู  

สำหรับเมนู “สเต๊กสามเกลอ” จะวางจำหน่ายพร้อมโปรโมชั่นสุดพิเศษ เซตสเต๊กไก่สามเกลอ ซอสแจ่ว พร้อมชามะนาวเย็น เพียง 149 บาท และ สเต๊กสันคอหมูชีวาสามเกลอ พร้อมชามะนาวเย็น 209 บาท พิเศษสำหรับลูกค้าที่รับประทานเมนู “สเต๊กสามเกลอ” รับฟรีซอสสามเกลอ “แม็กกี้ อีซี่คุ๊ก” กลับไปปรุงความอร่อยต่อที่บ้าน ของมีจำนวนจำกัด เชิญชวนมาลิ้มลองเมนูความอร่อยโดน ครบรส  เริ่มตั้งแต่ 23 เมษายน 2567 ถึง 25 มิถุนายน 2567 ที่ซานตาเฟ่ สเต๊ก ทุกสาขาทั่วประเทศ

“เพอร์ร่า” ออกคอลเล็กชั่น 2024 ดึง “Malika Favre” ศิลปินชาวฝรั่งเศส ดีไซน์ฉลากลิมิเต็ด เอดิชั่น ย้ำจุดแข็งน้ำแร่ เบอร์ 1

“เพอร์ร่า” ตอกย้ำผู้นำตลาดน้ำแร่ ภาพลักษณ์แบรนด์แฟชั่นและไลฟ์สไตล์ ดึงศิลปินระดับสากลร่วมดีไซน์ฉลากลิมิเต็ด เอดิชั่น ประจำปี 2024 ล่าสุดร่วมกับ “Malika Favre” (มาลิกา ฟาฟเร่) นักวาดภาพประกอบและนักออกแบบกราฟิกชื่อดังชาวฝรั่งเศสออกคอลเล็กชั่นใหม่ “The joy of life” มาพร้อมคอนเซ็ปต์ให้คุณสนุกและเอนจอยไปกับโมเมนต์เล็กๆ ในทุกวัน

คุณพรรณทิพย์ ลีตะชีวะ ผู้อำนวยการกลุ่มการตลาดแบรนด์น็อนแอลกอฮอล์ บริษัทบุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด เปิดเผยว่า การทำตลาดของน้ำแร่เพอร์ร่าด้วยกลยุทธ์ที่แตกต่าง เพื่อตอบสนองผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ “เพอร์ร่า” ครองความเป็นเบอร์ 1 ในตลาดน้ำแร่อย่างแข็งแกร่งติดต่อกันเป็นปีที่ 4

ด้วยกลยุทธ์การทำตลาดผ่านการนำเสนอความเป็นแฟชั่นและไลฟ์สไตล์แบรนด์ ที่ผ่านมาได้ร่วมงานกับดีไซน์เนอร์ชื่อดังทั่วไทยและต่างประเทศ ในการออกฉลากลิมิเต็ด เอดิชั่นแต่ละปีและเป็นการยกระดับความเป็นแฟชั่นแบรนด์ให้แข็งแรงมากขึ้น 

สำหรับการออกฉลากลิมิเต็ด เอดิชันแห่งปี 2024 น้ำแร่เพอร์ร่าได้ทำงานร่วมกับศิลปินนักวาดภาพประกอบและนักออกแบบกราฟิกชาวฝรั่งเศส “Malika Favre” (มาลิกา ฟาฟเร่) มาดีไซน์ ออกแบบฉลากคอลเล็กชั่นพิเศษ “The Joy of Life” และมาพร้อมคอนเซ็ปต์ “The Joy of Life Collection” Cherish every little moment of your day.

สนุกไปกับโมเมนต์เล็กๆ ในทุกวัน มาลิกา ฟาฟเร่ เป็น illustrator ที่มีจุดเด่นในการสร้างสรรค์ผลงานที่มีลักษณะเฉพาะ คือความเรียบง่ายแบบป๊อปอาร์ตและศิลปะแบบออปอาร์ต (Pop Art meets Op Art) ด้วยการผสมผสานภาพประกอบที่เรียบง่ายเข้ากับรูปแบบทางเรขาคณิต การใช้พื้นที่และสีมีความโดดเด่น

จนทำให้ได้ร่วมงานกับแบรนด์ดังมากมาย เช่น นิตยสาร Vogue และ The New Yorker และ ร้านจำหน่ายเครื่องสำอางชื่อดัง Sephora เป็นต้น

น้ำแร่เพอร์ร่าคอลเล็คชั่นใหม่ มี 2 ขนาด ได้แก่ขนาด 600 มิลลิลิตร จำหน่ายผ่านช่องทางร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่น ส่วนขนาด 600 มิลลิลิตร และ 1,500 มิลลิลิตร มาในรูปแบบแพ็คพิเศษ จะวางจำหน่ายผ่านห้างค้าปลีกชั้นนำทั่วไป ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 พฤษภาคม 2567

และกิจกรรมพิเศษ เมื่อซื้อน้ำแร่เพอร์ร่า รับของ Premium สุดเก๋จากคอลเล็กชั่น “The Joy of Life”(สินค้ามีจำนวนจำกัด) หาซื้อได้ที่ (Emporium, Emsphere, Emquartier, Paragon) ระหว่างวันที่9 พ.ค.-21 พ.ค. 2567 และช่องทาง Online FB: Singha Online ระหว่างวันที่ 22 เม.ย.-28 เม.ย. 2567

HPE ยกระดับ GenAI เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน AIOps บนแพลตฟอร์ม HPE Aruba Networking Central

บริษัทฮิวเลตต์ แพคการ์ด เอนเตอร์ไพรส์ [Hewlett Packard Enterprise (NYSE: HPE)] ได้ประกาศเปิดตัว ส่วนขยายของความสามารถในการบริหารจัดการเครือข่าย AIOps  โดยการผสานรวมโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ของ AI ชนิดสร้างเนื้อหา (Generative AI) ไว้ภายใน HPE Aruba Networking Central ซึ่งเป็นโซลูชันการจัดการเครือข่ายแบบคลาวด์เนทีฟของ HPE ซึ่งโฮสต์อยู่บนแพลตฟอร์ม HPE GreenLake Cloud

นอกจากนี้ HPE ยังประกาศว่า Verizon Business กำลังจะขยายพอร์ตโฟลิโอบริการที่มีการจัดการ (Managed services) ให้ครอบคลุมถึง HPE Aruba Networking Central

ชุดโมเดล LLM ที่มีในตัวแบบใหม่ของ HPE Aruba Networking Central นั้นต่างจากวิธีจัดการเครือข่าย GenAI แบบอื่น ๆ ที่ไม่ใช่แค่ส่งการเรียกใช้ API ไปยัง LLM สาธารณะ เพราะชุดโมเดล LLM ใหม่นี้ได้รับการออกแบบด้วยนวัตกรรมการประมวลผลล่วงหน้าและการ์ดเรลเพื่อปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้และประสิทธิภาพการทำงาน

โดยเน้นที่ระยะเวลาในการตอบสนองการค้นหา ความถูกต้อง และความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ด้วย Data Lake ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในอุตสาหกรรม จึงทำให้ HPE Aruba Networking สามารถรวบรวมข้อมูลระยะไกลจากอุปกรณ์ที่อยู่ในการจัดการของเครือข่ายเกือบ 4 ล้านเครื่อง และระบบปลายทางของลูกค้าที่ไม่ซ้ำกันมากกว่า 1 พันล้านระบบ ซึ่งขับเคลื่อนโมเดลการเรียนรู้ของเครื่องของ HPE Aruba Networking Central เพื่อใช้ในการวิเคราะห์และการแนะนำเชิงคาดการณ์

ฟังก์ชั่นการทำงานของ GenAI LLM ใหม่จะถูกรวมเข้ากับฟีเจอร์ AI Search ของ HPE Aruba Networking Central ซึ่งจะช่วยเสริมประสิทธิภาพ AI ที่ใช้การเรียนรู้ของเครื่อง (ML) ที่มีอยู่แล้วทั่วทั้งเครือข่าย HPE Networking Central เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกที่ลึกยิ่งขึ้น การวิเคราะห์ที่ดีขึ้น และความสามารถที่เป็นเชิงรุกมากขึ้น

นายพลาศิลป์ วิชิวานิเวศน์ กรรมการผู้จัดการ ฮิวเลตต์ แพคการ์ด เอ็นเตอร์ไพรส์ ประเทศไทย และเวียดนาม กล่าวว่า “ลูกค้าระบบเครือข่ายสมัยใหม่ต้องการข้อมูลเชิงลึกที่ความปลอดภัยมาก่อนเป็นอันดับแรกและขับเคลื่อนด้วย AI ในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของตน

และนั่นคือสิ่งที่เรากำลังนำเสนอ และ HPE ยังสร้างประวัติศาสตร์ที่แข็งแกร่งในด้านนวัตกรรม AI ต่อไปด้วยการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญนี้ รวมถึงแนวทางใหม่ของ HPE Aruba Networking Central ในการปรับใช้โมเดล LLM หลายแบบเพื่อรองรับความสามารถของ GenAI”

HPE Aruba Networking ยังคงมุ่งมั่นที่จะใช้ประโยชน์จาก AI อย่างปลอดภัยด้วยการให้ความปลอดภัยมาเป็นอันดับแรกในส่วนของข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลที่สามารถระบุตัวตนลูกค้าได้ (PII/CII) เนื่องจาก LLM นั้นได้รับ “การพัฒนาโดยการทดสอบในระบบปิด หรือ แซนด์บ็อกซ์” ไว้ภายใน HPE Aruba Networking Central ซึ่งทำงานบน HPE GreenLake Cloud Platform

อีกทั้ง HPE Aruba Networking Central ยังรับประกันความปลอดภัยของข้อมูลลูกค้าด้วย LLM ที่เป็นกรรมสิทธิ์และสร้างขึ้นโดยเฉพาะ ซึ่งจะลบข้อมูล PII/CII และปรับปรุงความแม่นยำในการค้นหา คุณสมบัติทั้งหมดนี้มาพร้อมกับบริการตอบคำถามเกี่ยวกับการทำงานของเครือข่ายได้อย่างรวดเร็วเพียงเสี้ยววินาที

ความสามารถที่ขยายเพิ่มเติมนี้ยังรวมถึงชุดการเทรนของ HPE Aruba Networking Central สำหรับโมเดล GenAI ที่มีขนาดใหญ่กว่าแพลตฟอร์มบนคลาวด์อื่น ๆ ถึงสิบเท่า และมีเอกสารที่มาจาก HPE Aruba Networking นับหมื่นรายการในโดเมนสาธารณะ รวมถึงคำถามมากกว่าสามล้านข้อที่รวบรวมมาจากฐานลูกค้าตลอดระยะเวลาหลายปีที่บริษัทได้ดำเนินงานมา

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นับตั้งแต่การเปิดตัวในปี 2014 HPE Aruba Networking Central ได้ส่งมอบความสามารถที่มีประสิทธิภาพสูงในการกำหนดค่า จัดการ ติดตามตรวจสอบ และแก้ไขปัญหาเครือข่ายผ่าน LAN แบบมีสายและไร้สาย, WAN และ IoT

โดยผสานรวมฟังก์ชันต่าง ๆ ตลอดวงจรชีวิตของการทำงานของเครือข่าย HPE Aruba Networking Central เป็นข้อเสนอบริการ SaaS ที่จำหน่ายโดยการสมัครสมาชิกรายปีเป็นหลัก พร้อมรูปแบบสิทธิ์การใช้งานแบบสองระดับ (พื้นฐานและขั้นสูง)

เครื่องมือค้นหาที่ใช้ GenAI LLM ใหม่นี้จะพร้อมใช้งานในไตรมาสที่ 2 ปีงบประมาณ 2024 ของ HPE และรวมอยู่ในสิทธิ์การใช้งานทุกระดับ นอกเหนือจากจะมีในรูปแบบข้อเสนอบริการ SaaS แบบแยกเดี่ยวแล้ว HPE Aruba Networking Central ยังเป็นส่วนหนึ่งของการสมัครสมาชิก HPE GreenLake for Networking (NaaS) และมีให้บริการผ่านแพลตฟอร์ม HPE GreenLake อีกด้วย

ทุกวันนี้ ลูกค้ากำลังมองหาแอปพลิเคชัน AI ที่ใช้งานได้จริง ซึ่งสามารถปรับปรุงธุรกิจของพวกเขาได้อย่างชัดเจน และเมื่อพูดถึงการจัดการเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพ ข้อมูลและโมเดลย่อมมีความสำคัญ AI ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับงานด้านเครือข่ายและการรักษาความปลอดภัย

แต่ AI สร้างเนื้อหามาช่วยเสริมอินเทอร์เฟซด้วยภาษาที่เป็นธรรมชาติ ความท้าทายอยู่ที่การจัดวางคำถามให้สอดคล้องกับอัลกอริธึมของ AI เพื่อส่งมอบผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ตรงกับความต้องการและตรงจุดประสงค์ ชุด LLM ที่สร้างขึ้นตามวัตถุประสงค์ ซึ่งส่งมอบในแซนด์บ็อกซ์ที่มีชุดโมเดลในตัวให้ทั้งความเป็นส่วนตัวและประสิทธิภาพที่ดีที่สุด ตามประกาศจาก HPE Aruba Networking Central นี้ HPE กำลังจะเปิดตัวฟังก์ชัน AI สร้างเนื้อหา (Generative AI) ที่น่าสนใจ ซึ่งช่วยให้เราไม่ต้องลดประสิทธิภาพเพื่อให้ได้ความปลอดภัยที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

อีกทั้งพันธมิตรอย่าง Verizon Business ยังใช้งาน HPE Aruba Networking Central หรือ Verizon Managed SD Branch เพื่อช่วยให้องค์กรปรับปรุงประสิทธิภาพของเครือข่ายและแอปพลิเคชัน รวมทั้งสนับสนุนผลลัพธ์ที่คล่องตัวและคาดการณ์ได้มากขึ้น โดยไม่ส่งผลกระทบต่อทรัพยากร IT ภายในองค์กร

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับการประกาศในวันนี้ในบล็อก HPE Aruba Networking, “Let’s welcome GenAI’s arrival in HPE Aruba Networking Central”

เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส ประเทศไทย ใส่ใจทุกบริการ มอบความสุขให้ทุกยิ้มกับแคมเปญ “Ha Hai”

เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส ประเทศไทย ประกาศความมุ่งมั่นสู่ภารกิจในการสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นกับผู้บริโภค เปิดตัวแคมเปญเบื้องหลังการส่งมอบรอยยิ้มผ่านบริการกับ #JnTBehindYourSmile ในปี 2567

โครงการนี้ดังกล่าวถูกออกแบบขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทของบริษัทฯ ในการยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าและมุ่งหวังที่จะส่งต่อรอยยิ้มไปทั่วประเทศไทย เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส พร้อมที่จะเดินหน้าเพื่อพัฒนาการบริการให้ทุกวันเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขและการเฉลิมฉลอง 

นอกจากนี้ แคมเปญ #JnTBehindYourSmile ยังแสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทของพนักงาน เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส ทุกท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพนักงานส่งพัสดุ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “สปรินเตอร์ (Sprinter)” บุคคลเหล่านี้ทำงานอย่างเหนือความคาดหมายอยู่เสมอ เพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจว่าพัสดุทุกชิ้นจะถูกส่งไปถึงปลายทางอย่างรวดเร็วและปลอดภัย สะท้อนถึงความมุ่งมั่นที่จะทำให้ เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส เป็นเบื้องหลังรอยยิ้มของคุณ

“Ha Hai” ฉลองครบรอบห้าปีแห่งการให้บริการอันเปี่ยมสุข

เริ่มต้นกับกิจกรรมแรกของแคมเปญที่มีชื่อว่า “Ha Hai” ที่จะเผยแพร่บนช่องทางออนไลน์เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 5 ปี ของ เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส ประเทศไทย ซึ่งจะถูกจัดตั้งแต่เดือนมีนาคมไปจนถึงเดือนมิถุนายน 2567

กิจกรรม “Ha Hai” นี้ สร้างสรรค์จากการเล่นคำ อย่าง “Ha” หรือ (ห้า) หมายถึงห้าปีของการให้บริการ และ “Hai” (ให้) เป็นสัญลักษณ์ของพันธกิจในการส่งมอบความสุขของ เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส กิจกรรมนี้จะนำเสนอด้วยการสัมภาษณ์ผู้คนตามสถานที่ต่างๆ ทั่วประเทศไทย โดยผู้เข้าร่วมจะมีโอกาสลุ้นรับรางวัลที่น่าตื่นเต้นอีกด้วย

แคมเปญ #JnTBehindYourSmile ครั้งนี้ จะไม่หยุดอยู่เพียงแค่กิจกรรม “Ha Hai” เท่านั้น โดย เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส วางแผนที่จะเปิดตัวกิจกรรมอีกมากมายตลอดทั้งปี ทั้งบนแพลตฟอร์มออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อส่งมอบความสนุกและรอยยิ้ม รวมถึงสร้างการมีส่วนร่วมให้กับผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น

โดยสามารถติดตามการอัปเดตล่าสุดและการเข้าร่วมในกิจกรรมต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นตามมา ได้ทางโซเชียลมีเดียของ เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส ประเทศไทย ซึ่งช่องทางเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงแหล่งอัปเดต แต่ยังเป็นพื้นที่แบ่งปันข้อมูลต่างๆ ทั้งความสุขและความสนุกด้วยกันภายในกลุ่มผู้บริโภคของ เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส อีกด้วย 

ฟิลิปส์เผย 10 เทรนด์เทคโนโลยีด้านสาธารณสุขที่น่าจับตามองของปี 2024

ด้วยปัญหาการขาดแคลนบุคลากรบวกกับปริมาณงานที่เพิ่มมากขึ้น และความผันผวนทางเศรษฐกิจล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ท้าทายผู้ให้บริการทางสาธารณสุขทั่วโลกในการพัฒนาประสิทธิภาพในการดำเนินงานและคิดค้นรูปแบบการดูแลรักษาผู้ป่วยใหม่ๆ

ในขณะเดียวกัน ผู้บริหารแถวหน้าในวงการสาธารณสุขยังตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้น ด้วยการหันมาให้ความสำคัญกับการยกระดับความเท่าเทียมด้านการเข้าถึงระบบสาธารณสุข ตลอดจนความจำเป็นในการลดก๊าซคาร์บอนในอุตสาหกรรมเพื่อการรักษาสุขภาพของโลกเช่นเดียวกัน เพื่อเป็นการตอบสนองต่อความท้าทายดังกล่าว ฟิลิปส์จึงได้รวบรวม 10 เทรนด์เทคโนโลยีสาธารณสุขที่คาดว่าจะมาแรงในปี ค.ศ. 2024 นี้

1.การเพิ่มประสิทธิภาพระบบการทำงานอัตโนมัติ (Workflow Automation) ด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI)

ปัจจุบันองค์กรด้านสาธารณสุขต้องเผชิญกับภาวะการขาดแคลนบุคลากรอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้องค์กรเหล่านี้ต้องปรับกลยุทธ์การทำงาน เพื่อดึงดูดบุคลากรใหม่ๆ และดูแลบุคลากรเดิมในองค์กร ด้วยการเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ที่มองหาสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานที่ดีขึ้น

นอกจากนี้ภายในองค์กรยังหันมาใช้ระบบการทำงานอัตโนมัติและ AI เพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและแบ่งเบาภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์

ยกตัวอย่างเช่น ในด้านรังสีวินิจฉัย (Diagnostic Imaging) การบูรณาการ AI ให้เข้ากับระบบเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT) จะช่วยลดเวลาการทำงานในขั้นตอนที่ใช้เวลามากที่สุดของนักรังสีการแพทย์ เพื่อให้พวกเขาได้ใช้เวลากับผู้ป่วยมากขึ้น ด้วยการใช้ AI สร้างภาพถ่ายรังสีที่มีคุณภาพสูง เพื่อช่วยในการวินิจฉัยได้อย่างแม่นยำขึ้น

นอกจากนี้ AI ยังช่วยลดความซับซ้อนของ การอัลตราซาวด์หัวใจ  ด้วยการจำลองภาพหัวใจแบบ 3 มิติรวมถึงการประเมินแบบอัตโนมัติในอวัยวะอื่นๆ ซึ่งจะช่วยให้นักรังสีการแพทย์สามารถวิเคราะห์ภาพถ่ายได้อย่างแม่นยำ รวมถึงช่วยให้แพทย์มีแนวทางการดูแลรักษาหัวใจได้ดียิ่งขึ้น และในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ระบบอัตโนมัติจะได้รับการส่งเสริมเพิ่มเติมจากการเพิ่มขึ้นของ Generative AI ในด้านสาธารณสุข 

2. การทำงานร่วมกันแบบเสมือนเพื่อจัดการกับปัญหาการขาดแคลนบุคลากรและทักษะความรู้ความเชี่ยวชาญ

เทรนด์ของเทคโนโลยีด้านสาธารณสุขที่ควบคู่ไปกับระบบอัตโนมัติคือการทำงานร่วมกันแบบเสมือนเพื่อลดผลกระทบของการขาดแคลนบุคลากรและทักษะความรู้ความเชี่ยวชาญ การเติบโตที่คาดหวังในด้านนี้มีประโยชน์เพิ่มเติมในการปรับปรุงการเข้าถึงการดูแลในพื้นที่ห่างไกลและในชนบท ที่ซึ่งบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านมีแนวโน้มที่จะขาดแคลนเป็นพิเศษ

ระบบ Tele-ICU (เทเล-ไอซียู) จะยังคงถูกนำมาใช้งานอย่างต่อเนื่อง โดยผู้ให้บริการด้านสาธารณสุขจะยิ่งมองหาระบบบูรณาการเพื่อดูแลผู้ป่วยข้างเตียงแบบเสมือนจริงที่ไร้รอยต่อ เจ้าหน้าที่และพยาบาลสามารถดูแลผู้ป่วยวิกฤติแบบทางไกลได้ โดยมีระบบเฝ้าระวังและแจ้งเตือนอัตโนมัติที่ทำงานด้วย AI สามารถลดภาระงานของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ได้

แม้ว่าบุคลากรทางการแพทย์จะมีอายุมากขึ้น แต่รูปแบบการทำงานเสมือนจริงนี้จะช่วยให้พวกเขาสามารถถ่ายทอดประสบการณ์และความเชี่ยวชาญต่างๆให้แก่บุคลากรทางการแพทย์รุ่นน้องได้เป็นอย่างดี ซึ่งถือเป็นการรักษาองค์ความรู้ความเชี่ยวชาญให้คงอยู่ต่อไป เนื่องด้วยสถานการณ์ที่แพทย์จำนวนมากเลือกที่จะเกษียณอายุก่อนกำหนดมากขึ้น รวมถึงกลุ่มพยาบาลเองก็มีแผนที่จะลาออกจากระบบสาธารณสุข อีกด้วย

3. การวินิจฉัยแบบบูรณาการที่สนับสนุนการทำงานร่วมกันแบบสหวิทยาการ

ความก้าวหน้าในการวินิจฉัยแบบบูรณาการจะช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขในต่างสาขาสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลผู้ป่วยได้ง่ายขึ้น เพื่อช่วยให้พวกเขาทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผลมากขึ้น

เปรียบเหมือนกับเป็นการสร้าง ‘ห้องนักบิน’ ที่ใช้ทำงานร่วมกัน เป็นที่ซึ่งรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกันจากโดเมนต่างๆ
ในสภาพแวดล้อมดิจิทัลของ Vendor-agnostic เพื่อสนับสนุนการวินิจฉัยที่รวดเร็วและแม่นยำสำหรับผู้ป่วย

ยกตัวอย่างเช่น ในเคสผู้ป่วยโรคมะเร็งการได้รับการวินิจฉัยที่ตรงจุดแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้การรักษาเห็นผลลัพธ์ที่ดีมากขึ้น ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ ยังได้รับข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมว่าการค้นพบของพวกเขามีความสอดคล้องกันมากเพียงใด ทำให้เกิดวงจรความคิดเห็นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการวินิจฉัยให้ดียิ่งขึ้นได้

4. ยกระดับการทำงานร่วมกัน เพื่อการติดตามและการประสานการดูแลที่ดียิ่งขึ้น

ความสามารถในการทำงานร่วมกันเป็นความท้าทายที่เกิดขึ้นในด้านสาธารณสุขมาอย่างยาวนาน โดยเกิดจากความซับซ้อนและกระจัดกระจายของเทคโนโลยีสารสนเทศด้านสุขภาพและโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลด้านการดูแลสุขภาพส่วนใหญ่

ผู้บริหารในวงการสาธารณสุข บนรายงาน Future Health Index (FHI) ของฟิลิปส์ปี 2023 ระบุว่ารายงานนี้เป็นหนึ่งในสี่ปัจจัยแห่งความสำเร็จอันดับต้นๆ ในการมอบแนวทางใหม่ๆในการดูแลที่ผสมผสานการดูแลแบบตัวต่อตัวและแบบเสมือนจริงในทุกสภาพแวดล้อม

ความสามารถในการทำงานร่วมกันแบบใหม่สามารถรวบรวมอุปกรณ์และระบบทางการแพทย์ที่แตกต่างกันมาไว้ในอินเทอร์เฟซเดียวกันเพื่อสร้างมุมมองภาพรวมที่ครอบคลุมเกี่ยวกับอาการของผู้ป่วย ซึ่งจะช่วยให้ผู้ดูแลสามารถให้คำแนะนำการรักษาได้อย่างมั่นใจได้จากทุกที่ในโรงพยาบาล ช่วยลดความผันผวนที่เกิดจากภาวะข้อมูลที่มีมากเกินไป

โดยนวัตกรรมล่าสุดอย่างภาพเสมือนของผู้ป่วยแบบอวตาร สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติม โดยการแปลข้อมูลผู้ป่วยที่สำคัญแต่ซับซ้อนให้เป็นจอแสดงผลที่เข้าใจง่าย

5. การตรวจจับความเสี่ยงตั้งแต่เนิ่นๆ และการแทรกแซงโดยอาศัยการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ 

การวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ถือเป็นหนึ่งในเทรนด์ของเทคโนโลยีด้านสาธารณสุขในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยการได้รับข้อมูลเชิงลึกด้านการปฏิบัติงานและทางคลินิกจากข้อมูลแบบเรียลไทม์และข้อมูลในอดีต

การวิเคราะห์เชิงคาดการณ์สามารถช่วยให้ผู้ให้บริการด้านสาธารณสุขปรับปรุงประสิทธิภาพและดำเนินการเตรียมรับมือล่วงหน้าได้ รายงาน Future Health Index (FHI) ของฟิลิปส์ปี 2023 แสดงให้เห็นว่าผู้บริหารในวงการสาธารณสุข  39% วางแผนอย่างไรที่จะลงทุนใน AI เพื่อคาดการณ์ผลลัพธ์ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 30% ในปี 2021

ในปัจจุบัน การวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ช่วยให้ผู้ให้บริการด้านสาธารณสุขคาดการณ์และบริหารจัดการกระบวนการไหลของผู้ป่วยในแต่ละจุดบริการภายในสถานบริการ ซึ่งช่วยให้พวกเขาสามารถบริหารทรัพยากรบุคลากรในตำแหน่งที่ต้องการมากที่สุดได้

ความสามารถเหล่านี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีความสำคัญโดยเฉพาะในช่วงที่เกิดวิกฤต (เช่น การแพร่ระบาดของโควิด-19) และตอนนี้กำลังกลายเป็นส่วนสำคัญในการดำเนินงานของโรงพยาบาลที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ด้วยการตรวจสอบอุปกรณ์ทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง เช่น เครื่องสแกน MR

การวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ยังช่วยระบุได้อีกด้วยว่า อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์บางอย่างถึงเวลาที่ต้องตรวจเช็คบำรุงหรือเปลี่ยนใหม่แล้ว ซึ่งทำให้ 30% ของเคสการให้บริการ สามารถแก้ไขได้และยังช่วยป้องกันเหตุไม่คาดฝันจากกรณีที่อุปกรณ์หยุดทำงานในระหว่างการตรวจได้

เช่นเดียวกันกับในทางด้านคลินิก การวิเคราะห์เชิงคาดการณ์สามารถรองรับการตรวจหาความเสี่ยงด้านสุขภาพของผู้ป่วยได้ตั้งแต่เนิ่นๆ โดยพิจารณาจากสัญญาณชีพและข้อมูลผู้ป่วยรายอื่นประกอบกัน ความสามารถเหล่านี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการดูแลผู้ป่วยระยะเฉียบพลัน ซึ่งอาจเกิดโรคแทรกซ้อนได้ในระยะนี้

การวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ยังสามารถช่วยดูแลผู้ป่วยที่บ้านผ่านการระบบทางไกล ตัวอย่างเช่น ในการศึกษาหนึ่งแสดงให้เห็นว่า ระบบนี้สามารถใช้เพื่อช่วยทำนายภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะที่อาจทำให้เสียชีวิตได้ ด้วยการตรวจจับความเสี่ยงตั้งแต่เนิ่นๆ การวิเคราะห์เชิงคาดการณ์สามารถเปลี่ยนจากการดูแลเชิงรับเป็นการดูแลเชิงป้องกัน ซึ่งท้ายที่สุดแล้วส่งผลให้อาการของผู้ป่วยดีขึ้นได้

6. การใช้เทคโนโลยีจัดการปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านสุขภาพ

ยังคงมีประชากรหลายพันล้านคนทั่วโลกที่ไม่สามารถเข้าถึงการให้บริการทางสาธารณะสุขที่พวกเขาต้องการได้ แม้กระทั่งในประเทศที่มีทุนสนับสนุนเครื่องมือแพทย์เป็นอย่างดี ความเหลื่อมล้ำด้านสุขภาพยังคงเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ความต้องการในเรื่องของ ระบบสาธารณสุขที่เท่าเทียมและยั่งยืน ไม่เคยกลายมาเป็นเรื่องเร่งด่วนมากเท่านี้มาก่อน

ด้วยความร่วมมือกับองค์กร Heart of Australia ภายใต้โครงการโรงพยาบาลเคลื่อนที่ (Hospital on wheels) ได้นำ การถ่ายภาพรังสีวินิจฉัย เช่น X-ray และ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT) ให้เข้าถึงในพื้นที่ห่างไกลได้มากขึ้น

7. เทคโนโลยีอัจฉริยะที่ช่วยสร้างกิจวัตรประจำวันที่ดีต่อสุขภาพ

เป็นเวลามากกว่า 15 ปีแล้วที่เทคโนโลยีอย่างสมาร์ทวอทช์ทำให้การออกกำลังกายเป็นกิจวัตรเพื่อสุขภาพที่ได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างแพร่หลาย และยังก่อให้เกิดอุปกรณ์อัจฉริยะเพื่อสุขภาพที่มีความหลากหลายมากขึ้นตามมา อีกทั้งอุปกรณ์เหล่านี้ยังสามารถตรวจจับสัญญาณชีพจรได้อีกด้วย[1,2]- ซึ่ง

แสดงให้เห็นว่าผู้คนมีความต้องการเทคโนโลยีด้านสาธารณสุขที่สามารถเข้ากับการใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างลงตัวและสามารถปรับแต่งตามความชอบและความต้องการของผู้ใช้งานได้

ในปี 2024 นี้มีคาดการณ์ว่าแนวโน้มเทรนด์ของเทคโนโลยีด้านเฮทล์แคร์ยังคงขยายตัวขึ้นเรื่อยๆและผลักดันพฤติกรรมที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น เช่น ส่งเสริมให้ผู้คนดูแลสุขภาพช่องปากเป็นประจำ เป็นที่ทราบกันดีว่า [3] สุขภาพช่องปากมีความสำคัญต่อสุขภาพโดยรวม

ในขณะที่ผู้คนต้องการที่จะดูแลสุขภาพความเป็นอยู่ของตนเองให้ดีขึ้น แต่ยังคงขาดความเข้าใจและความมุ่งมั่นในการดูแลสุขอนามัยของช่องปากในแต่ละวัน จึงต้องมีการให้คำแนะนำในเรื่องนี้โดย แปรงสีฟันไฟฟ้าใช้งานผ่านAIที่เชื่อมต่อบนแอปพลิเคชั่น สามารถรวบรวมข้อมูลการแปรงฟันและเสนอคำแนะนำส่วนบุคคลเพื่อที่ผู้ใช้งานสามารถนำไปปรับใช้ได้

8. จัดการกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของไอทีด้านการดูแลสุขภาพ 

จากเทรนด์เทคโนโลยีด้านสาธารณสุขที่กล่าวมาทั้งหมดแสดงให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ระบบดิจิทัลได้สร้างพื้นที่มหาศาลสำหรับการส่งมอบการดูแลที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้นด้วยการใช้การตัดสินใจทางคลินิกแบบอัลกอริธึมและการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ เช่น เราสามารถใช้ข้อมูลเพื่อส่งมอบข้อมูลเชิงลึกเฉพาะบุคคล
ที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ เช่น การแจ้งเตือนทีมดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินถึงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น หรือ สอนการส่งเสริมพฤติกรรมที่ดีต่อสุขภาพผ่านแอปพลิเคชั่น

วิธีแก้ปัญหาแบบดิจิทัลสามารถปรับขยายได้อย่างชัดเจน ดังนั้นจึงช่วยสนับสนุนการป้องกันในวงกว้างขึ้น รวมถึงช่วยปรับค่าใช้จ่ายในการตรวจคัดกรองและการดูแลให้ลดลงได้ และยังช่วยปรับรูปแบบการดูแลเช่นเดียวกับสถานพยาบาลขนาดใหญ่ให้เข้ากับการดูแลภายในบ้านได้ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายบางส่วนลงได้

เพราะในปัจจุบันยังมีผู้คนจำนวนว่า 3.5 พันล้านคนทั่วโลกที่ยังไม่สามารถเข้าถึงระบบสาธารณสุขได้ ดังนั้นเทคโนโลยีการดูแลสุขภาพแบบดิจิทัลจึงมีส่วนช่วยขยายการเข้าถึงโมเดลการดูแลสุขภาพที่ยั่งยืนซึ่งเป็นที่ต้องการอย่างมากได้ เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งที่ได้เห็นถึงแนวโน้มของการเติบโตของบริษัทเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพ เครื่องมือแพทย์ ซัพพลายเออร์และผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆทำงานร่วมกันเพื่อให้แน่ใจว่าได้ตัดสินใจถูกต้องเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของไอทีด้านการดูแลสุขภาพที่กำลังดำเนินอยู่ในปี 2024 และในปีต่อๆไป

9.  การปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์ของระบบซัพพลายด์ด้านสาธารณสุขที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 

เพื่อตอบสนองความเร่งด่วนในการลดการปล่อยคาร์บอนในด้านสาธารณสุข เรามองเห็นแนวโน้มที่เป็นไปได้มากขึ้นของบริษัทเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพ ระบบสาธารณสุขและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆที่ร่วมกันขับเคลื่อนการทำงานที่ยั่งยืนในทุกภาคส่วนของระบบสาธารณสุข รวมไปถึงด้านการจัดการ นวัตกรรม การบริการและการส่งมอบ โดยการเปลี่ยนแปลงด้านความยั่งยืนที่มีผลกระทบมากที่สุดประการหนึ่งกำลังเกิดขึ้นในด้านการจัดซื้อจัดจ้าง

ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการขยายข้อกำหนดการเปิดเผยข้อมูล ESG ทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ การจัดซื้อที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจะเปลี่ยนภูมิทัศน์ด้านการจัดหา การดูแลสุขภาพจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โดยคาดหวังว่าฝ่ายจัดซื้อจะใช้เกณฑ์การประเมินลำดับความสําคัญในการจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์และวิธีการแก้ปัญหาของเทคโนโลยีด้านสาธารณสุข เช่น  อุปกรณ์ที่พัฒนาโดยPhilips

  1. ตรวจสอบให้แน่ใจว่าซัพพลายเออร์มีการรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและวางแผนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
  2. มุ่งเน้นการหมุนเวียนอุปกรณ์เทคโนโลยีด้านสาธารณสุขและด้านโซลูชั่น
  3. กำหนดให้ซัพพลายเออร์มีความโปร่งใสเกี่ยวกับประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์และEcoDesignสำหรับผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์
  4. กำหนดให้ซัพพลายเออร์สาธิตวิธีที่ข้อเสนอดิจิทัลสนับสนุนการลดคาร์บอนและการลดการใช้วัสดุวัตถุโดยการเพิ่มประสิทธิภาพทรัพยากรและประสิทธิภาพเวิร์กโฟลว์
  5. กําหนดให้ซัพพลายเออร์รายงานผลกระทบทางสังคมต่อสาธารณะ

นับจากนี้เป็นต้นไป การใช้มาตรฐานการจัดซื้อที่ยั่งยืนเช่นนี้จะเป็นกลยุทธ์ที่จำเป็นสำหรับบริษัทเครื่องมือแพทย์และรัฐบาลที่ต้องการบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ควบคู่ไปกับการปกป้องสุขภาพของมนุษย์และส่งเสริมความเสมอภาคด้านการดูแลสุขภาพ

10. ร่วมมือกันเพื่อลดผลกระทบด้านสาธารณสุขบนโลก  

ระบบสาธารณสุขเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่คุณค่าที่กว้างขึ้น-เริ่มตั้งแต่อุตสาหกรรมต้นน้ำไปจนถึงการดำเนินงาน, โลจิสติกส์ ระยะการใช้งานและสิ้นสุดระยะการใช้งานที่ปลายน้ำ ซึ่งมีผลกระทบอย่างมากต่อ ความหลากหลายทางชีวภาพ ผ่านการใช้ประโยชน์จากที่ดิน มลพิษ  การบริโภคและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

เนื่องจากมีการตระหนักอย่างเป็นวงกว้างถึงผลกระทบต่อสุขภาพของสิ่งแวดล้อมที่มีต่อสุขภาพของผู้คน จึงจะเห็นแนวโน้มอย่างต่อเนื่องของระบบสาธารณสุขที่นำกลยุทธ์มาใช้อย่างแข็งขันในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น  การเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยีด้านสาธารณสุขที่ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและวิธีแก้ปัญหาดิจิทัลอัจฉริยะหรือการปรับใช้เป้าหมายตามหลักวิทยาศาสตร์ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก-เป้าหมายบังคับสําหรับบริษัททั้งหมดในแคลิฟอร์เนียที่มีมูลค่ามากกว่า1พันล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2025

อย่างไรก็ตามความเสี่ยงทางธรรมชาติที่ขยายเพิ่มมากขึ้นอาจถูกมองข้ามเนื่องจากองค์กรเชื่อว่าผลกระทบทางการเงินของความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศมีมากกว่าความเสี่ยงเช่น การตัดไม้ทําลายป่าหรือการสูบน้ำ ซึ่งอย่างหลังมีผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพของประชากร

ดังนั้นจึงมีการคาดหวังที่จะเห็นแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นในการนำ ‘การประเมินต้นทุนทางธรรมชาติ’ มาใช้เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจให้ดีขึ้นเกี่ยวกับการจัดการการใช้ทรัพยากรและบริษัทต่างๆที่ทุ่มเทเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามหลักวิทยาศาสตร์เพื่อธรรมชาติที่ฟิลิปส์ได้มีการพัฒนาโปรแกรมเพื่อเพิ่มมูลค่าทางนิเวศวิทยาของร่องรอยผลกระทบจากการผลิต

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 Morgan Stanley รายงานไว้ว่า ‘ไม่ต้องสงสัยเลยว่าวิกฤตปัญหาน้ำที่เพิ่มขึ้นจำเป็นต่อทุกอุตสาหกรรมที่ควรต้องทบทวนเกี่ยวกับการใช้น้ำ’ ฟิลิปส์ไม่ใช่บริษัทที่มีการใช้น้ำมาก อย่างไรก็ตามเนื่องจากโรงงานผลิตหลายแห่งของเราตั้งอยู่ในภูมิภาคที่มีปัญหาเรื่องน้ำจึงได้ริเริ่มโครงการลดปริมาณการใช้น้ำทั้งหมดลง 5% จากระดับปริมาณน้ำในปี 2019

มุมมองจากทั่วโลก รอยเท้าความหลากหลายทางชีวภาพขององค์กรเดียวอาจไม่ใหญ่มากนัก แต่แตกต่างจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เมื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพียงอย่างเดียวจะมีผลโดยตรงและการฟื้นฟูระบบนิเวศจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นหากเริ่มการกระจายตัวของพื้นที่รวมเข้าด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านนี้ การทํางานร่วมกันตลอดห่วงโซ่คุณค่าเป็นสิ่งสําคัญ