Geek Daily EP165 : เรื่องราวเบื้องหลังความฮาร์ดคอร์แบบสุด ๆ ของ Elon Musk กับแพลตฟอร์ม Twitter

พนักงานของ Twitter ใช้เวลาหลายปีในการพยายามปกป้องเว็บไซต์สื่อสังคมออนไลน์จากบรรดามหาเศรษฐีใจร้อนที่ต้องการใช้การเข้าถึงของแพลตฟอร์มเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง แต่ก็ต้องกับฝันร้ายเมื่อเริ่มเห็น Elon Musk สนใจที่จะเข้ามาครอบครอง Twitter

การแบน Donald Trump ของ Twitter เป็นสิ่งที่ทำให้ Elon Musk โกรธมากจนเขาเชื่อว่าเขาต้องซื้อมัน ในมุมมองของเขา ภายในปี 2022 บริษัทได้รับความเสียหาย เพราะเป็นแหล่งเผยแพร่ข้อมูลเฉพาะของรัฐบาลและชนชั้นนำสื่อเสรีนิยม แต่กลับห้ามพวกอนุรักษนิยม ระงับวาทกรรมที่ถูกต้องเกี่ยวกับโควิด และเลือกแบนประธานาธิบดีที่ได้รับการเลือกตั้งออกจากแพลตฟอร์ม ไม่มีใครที่จะดีไปกว่าเขาในการฟื้นฟู Twitter สู่ความรุ่งโรจน์ในอดีตอีกครั้ง

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
http://bit.ly/3Hdk0ec

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
http://bit.ly/3XadNp7

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
http://bit.ly/3CW0fWh

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
http://bit.ly/3klEU1V

🎧 ฟังผ่าน Youtube : 
https://youtu.be/gRjMvNUexNM

References Image : https://www.theverge.com/23551060/elon-musk-twitter-takeover-layoffs-workplace-salute-emoji

Geek Monday EP161 : เทคโนโลยีกำลังกำหนดขอบเขตโครงสร้างของบริษัทใหม่ในอนาคตอย่างไร

รูปแบบใหม่ขององค์กรธุรกิจมันจะคล้ายกับ ระบบให้รับงานไปทำนอกโรงงาน (Putting – Out System) ในศตวรรษที่ 21 แต่ไม่ใช่สำหรับแรงงานระดับล่างอีกต่อไป แต่สำหรับมืออาชีพ พนักงานออฟฟิส และเหล่ามนุษย์เงินเดือนชนชั้นกลางส่วนใหญ่ทั่วโลก 

Micha Kaufman หัวหน้า Fiverr ซึ่งเป็นตลาดกลางในอิสราเอลที่จับคู่พนักงานอิสระกับลูกค้าองค์กรทั่วโลก สังเกตว่าบริษัทต่าง ๆ เริ่มวัดประสิทธิภาพของพนักงานโดยพิจารณาจากผลงานจริงของพวกเขามากกว่าเวลาที่ใช้ในการผลิตผลงาน สิ่งนี้เป็นความจริงทั้งกับพนักงานที่อยู่ภายใต้องค์กรและเหล่าพนักงานที่ outsource ซึ่งผลที่ได้คือองค์กรธุรกิจในยุคถัดไปจะมีการปรับโครงสร้างธุรกิจทั้งภายในและจะมีความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับบริษัทอื่นในระบบเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
http://bit.ly/3WeyYoD

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
http://bit.ly/3ZG5bYQ

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
http://bit.ly/3WiPeVI

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
http://bit.ly/3IQyv97

🎧 ฟังผ่าน Youtube : 
https://youtu.be/PDZLc2hPb04

8 บทเรียนจากความล้มเหลวของผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดตลอดกาล

ต้องเรียกได้ว่างาน Consumer Electronics Show (CES) ได้เป็นสถานที่เปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่ปฏิวัติวงการอย่างแท้จริง แต่ก็มีอีกหลากหลายผลิตภัณฑ์ที่ล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า ในงาน CES ปีนี้จึงมีการจัดแสดงเทคโนโลยีมีความล้มเหลวมากที่สุดในรอบ 50 ปีที่ผ่านมา ที่นำเสนอโดย Prelaunch.com ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับการเปิดตัวผลิตภัณฑ์

ต่อไปนี้คือผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดบางส่วนที่ล้มเหลวในประวัติศาสตร์ของโลกเทคโนโลยี

Amazon Fire Phone

ในปี 2014 Amazon ได้เปิดตัวสมาร์ทโฟนที่เปิดใช้งาน 3D เพื่อสานต่อความสำเร็จของแท็บเล็ต Fire มีฟีเจอร์เฉพาะที่ออกแบบมาสำหรับสาวก Amazon เช่น X-Ray (เทคโนโลยีซอฟต์แวร์ที่ระบุตัวนักแสดง เพลง และสิ่งอื่นๆ บนหน้าจอ ตลอดจนเรื่องเบ็ดเตล็ดในเนื้อหา) และเครื่องมือบริการลูกค้าโดยเฉพาะ ปรากฎว่าลูกค้าของ Amazon ที่ภักดีเหล่านั้นยังภักดีต่อ Apple และ Samsung อีกด้วย และไม่สนใจใยดีที่ Amazon จะนำสมาร์ทโฟนสมัยใหม่มาให้ใช้ 

TwitterPeek

นานมาแล้วก่อนที่ Elon Musk จะมีบทบาทในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย Twitter ตัดสินใจลองสิ่งที่แตกต่างออกไป โดยร่วมมือกับ Peek บริษัทเทคโนโลยีมือถือในปี 2009 เพื่อสร้างอุปกรณ์ที่เหมือนเพจเจอร์ที่ให้ผู้ใช้สามารถส่งและรับทวีตได้ โดยมีราคาอยู่ที่ 100 ดอลลาร์ และยังมีค่าบริการ 8 ดอลลาร์ต่อเดือนอีกด้วย ผู้บริโภคตัดสินใจอย่างรวดเร็วว่าพวกเขาต้องการใช้โทรศัพท์มากกว่าจ่ายเงินเพื่อทวีตแบบไร้สาระกับอุปกรณ์ดังกล่าวนี้ 

iPod HIFI

การนำระบบสเตอริโอในบ้านมาใช้ครั้งแรกของ Apple มีคุณภาพเสียงที่ยอดเยี่ยมและได้รับการยกย่องอย่างมากในการเปิดตัว แต่มันก็ไม่ใช่อุปกรณ์พกพาโดยเฉพาะ และเมื่อลำโพงพกพาคุณภาพสูงในราคาย่อมเยาเริ่มเข้าสู่ตลาด (และคู่แข่งอย่าง Sonos ก็เติบโตขึ้น) Apple ก็ทิ้งเจ้าลำโพงพกพาตัวนี้ทันที 

iPod HIFI จาก Apple (CR:Wikipedia)
iPod HIFI จาก Apple (CR:Wikipedia)

Sony Google TV Remote

แม้ดูเหมือน iPod HIFI จะเป็นการปฏิวัติห้องนั่งเล่นให้ทันสมัยด้วยอุปกรณ์ที่เป็นมิตรต่อผู้บริโภค  แต่ไม่ว่าจะเพราะการออกแบบที่ไม่ดีหรือความไม่ลงรอยกันระหว่างยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีทั้งสอง รีโมทแบบ 88 ปุ่มนี้มีความซับซ้อนเกินไปสำหรับผู้ใช้ส่วนใหญ่ ซึ่งคิดไม่ออกด้วยซ้ำว่าจะเปลี่ยนช่องอย่างไร 

Microsoft Zune

iPod ของ Apple อยู่ในตลาดมาเป็นเวลาห้าปีแล้วในช่วงเวลาที่ Microsoft กำลังจะเปิดตัวเครื่องเล่นเพลงดิจิทัลของตัวเอง และการเข้าสู่ตลาดครั้งแรกนั้นเป็นอุปกรณ์ที่เทอะทะซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ผู้บริโภคคาดหวัง แค็ตตาล็อกคลังเพลงของ Zune เทียบไม่ได้กับสิ่งที่มีใน iTunes และดูเหมือน Microsoft จะคิดล้ำหน้าไปนิด โดยเสนอบริการ subscription เพลง แทนที่จะมุ่งเน้นไปที่ผู้ที่ซื้อแบบซิงเกิ้ลและดาวน์โหลดอัลบั้มเหมือนที่ iTunes ทำ

Nike Magneto

Nike ทราบดีว่าลูกค้าที่เน้นการเล่นกีฬามันจะสวมแว่นกันแดด ดังนั้นจึงเหมาะสมที่จะแนะนำแบรนด์ Nike กับผลิตภัณฑ์ในตลาดดังกล่าวนี้

Nike Magneto ผลิตภัณฑ์แว่นกันแดดจาก Nike (CR:Y2K Aesthetic)
Nike Magneto ผลิตภัณฑ์แว่นกันแดดจาก Nike (CR:Y2K Aesthetic)

แต่เมื่อตระหนักว่าหนึ่งในจุดอ่อนที่สำคัญของนักกีฬาคือการที่แว่นตามีความลื่นเมื่อผู้สวมใส่เหงื่อออก บริษัทจึงใช้วิธีการที่ไม่ธรรมดา โดยขอให้ลูกค้าติดแม่เหล็กที่ขมับเพื่อให้แน่ใจว่าแว่นตาจะติดอยู่กับที่ น่าตกใจที่ผู้คนไม่เต็มใจที่จะทำเช่นนั้น

Rejuvenique Face Mask

อาจเป็นผลิตภัณฑ์ที่แปลกประหลาดที่สุด ความยิ่งใหญ่ของอุตสาหกรรมความงามนี้มีเป้าหมายเพื่อคืนความอ่อนเยาว์ด้วยการกระตุ้นด้วยไฟฟ้า แต่อุปกรณ์จริงซึ่งออกแบบมาให้รัดกับศีรษะของผู้ใช้ คล้ายกับบางอย่างในหนังสยองขวัญ แม้ตัวผลิตภัณฑ์จะได้รับการสนับสนุนจากดาราชื่อดัง แต่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาประกาศว่ามันไม่ปลอดภัยและในที่สุดก็หายไปจากชั้นวางของในร้านไปแบบเงียบ ๆ  

Nintendo Virtual Boy

ชุดหูฟังสำหรับเล่นเกม 3 มิติของ Nintendo เป็นนวัตกรรมรุ่นบุกเบิกของชุดหูฟัง VR ที่เราเห็นกันในทุกวันนี้ แต่มันเกิดความผิดพลาดเกินกว่าที่จะจินตนาการได้ 

Nintendo Virtual Boy เป็นนวัตกรรมรุ่นบุกเบิกของชุดหูฟัง VR (CR:Youtube)
Nintendo Virtual Boy เป็นนวัตกรรมรุ่นบุกเบิกของชุดหูฟัง VR (CR:Youtube)

โดยตัวผลิตภัณฑ์เองก็มีราคาสูงกว่าที่แฟน ๆ Nintendo ส่วนใหญ่จะสามารถซื้อได้ เอฟเฟกต์ 3 มิติของมันก็ไม่น่าประทับใจ และการสวมใส่มันทำให้ปวดคอ หลัง และตาสำหรับผู้ใช้บางคน หลังจากนั้นไม่ถึงปี บริษัทก็ตัดสินใจว่าได้ทำผิดพลาดครั้งใหญ่ 

References :
https://www.fastcompany.com/90831790/lessons-from-8-worst-tech-product-failures-all-time
https://www.businessinsider.com/biggest-product-flops-in-history-2016-12

เมื่อ TikTok ได้ทำการสอดแนมนักข่าวชื่อดังของ Forbes

การตรวจสอบภายในโดย ByteDance บริษัทแม่ของแพลตฟอร์มแชร์วิดีโอสั้นสุดฮอตอย่าง TikTok พบว่าพนักงานของพวกเขาได้สอดแนมนักข่าวหลายคน ทำให้เข้าถึงที่อยู่ IP และข้อมูลผู้ใช้อย่างไม่เหมาะสมเพื่อพยายามระบุว่าพวกเขาอยู่ในสถานที่เดียวกันหรือไม่

ByteDance ได้ติดตามนักข่าวของ Forbes หลายคนในฐานะส่วนหนึ่งของแคมเปญสอดแนมแบบลับๆ นี้ ซึ่งออกแบบมาเพื่อเปิดเผยต้นตอของการรั่วไหลภายในบริษัทตามเรื่องราวที่เปิดเผยความเชื่อมโยงอย่างต่อเนื่องของบริษัทไปยังประเทศจีน 

ผลจากการสอบสวนทำให้ ByteDance ได้ไล่ Chris Lepitak ซึ่งเป็นหัวหน้าผู้ตรวจสอบภายในซึ่งเป็นผู้นำทีมที่รับผิดชอบ  , Song Ye ผู้บริหารระดับสูงในจีนซึ่ง โดย Lepitak จะรายงานโดยตรงต่อ Rubo Liang ซีอีโอของ ByteDance

Forbes รายงานกลยุทธ์การสอดแนมเป็นครั้งแรก ซึ่งดูแลโดยทีมงานจากประเทศจีนที่ ByteDance ในเดือนตุลาคมปี 2022 ที่ผ่านมา 

โดยทาง TikTokได้ออกมาประกาศผ่าน Twitter หลังจากเรื่องราวถูกเผยแพร่โดยกล่าวว่า “TikTok ไม่เคยถูกใช้เพื่อ ‘กำหนดเป้าหมาย’ สมาชิกของรัฐบาลสหรัฐฯ นักเคลื่อนไหว บุคคลสาธารณะ หรือ นักข่าว” และ “TikTok ไม่สามารถติดตามหรือสอดแนมผู้ใช้ในสหรัฐฯได้” 

“นี่เป็นการโจมตีโดยตรงต่อแนวคิดของสื่อเสรีและบทบาทที่สำคัญในระบอบประชาธิปไตยที่กำลังดำเนินอยู่” Randall Lane หัวหน้าเจ้าหน้าที่เนื้อหาของ Forbes

การสืบสวนที่รู้จักกันเป็นการภายในในชื่อ Project Raven เริ่มขึ้นในฤดูร้อนนี้หลังจาก BuzzFeed Newเผยแพร่เรื่องราวที่เปิดเผยว่าพนักงานของ ByteDance ในจีนได้เข้าถึงข้อมูลผู้ใช้ในสหรัฐฯ ซ้ำแล้วซ้ำอีก

โดยอ้างอิงจากการบันทึกเสียงการประชุมภายใน TikTok มากกว่า 80 ชั่วโมง ตามเอกสารภายในของ ByteDance ที่ตรวจสอบโดย Forbes 

Project Raven เกี่ยวข้องกับ Chief Security and Privacy Office ของบริษัท ซึ่งเป็นตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายการปฏิบัติตามกฎหมายทั่วโลกของ TikTok และได้รับการอนุมัติจากผู้บริหารของ ByteDance ในประเทศจีน ให้สอดแนม Emily Baker-White, Katharine Schwab และ Richard Nieva นักข่าว Forbes สามคนที่เคยทำงานที่ BuzzFeed News

หลังจากเรื่องนี้เผยแพร่ โฆษกของ TikTok Hilary McQuaide กล่าวว่า “การประพฤติมิชอบของบุคคลบางคนซึ่งไม่ได้ทำงานที่ ByteDance อีกต่อไป เป็นการใช้อำนาจในทางที่ผิดอย่างร้ายแรงในการเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้ พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมนี้เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ และไม่แนวทางการปฏิบัติของ TikTok เพื่อให้ได้รับความไว้วางใจจากผู้ใช้ของเรา”

Jennifer Banks โฆษกของ ByteDance กล่าวเสริมว่า “ByteDance ขอประณามแผนการที่เลวร้ายนี้ซึ่งละเมิดจรรยาบรรณของบริษัท” 

เธอกล่าวว่า ByteDance ไม่พบหลักฐานว่าบริษัทได้ทำการสอดแนมนักข่าวคนอื่น ๆ ของ Forbes นอกเหนือจาก Baker-White แต่การสืบสวนยังดำเนินอยู่ เอกสารภายในบริษัทที่ตรวจสอบโดย Forbes ระบุว่ามีการเฝ้าระวังนักข่าวอีกสองคนคือ Schwab และ Nieva เช่นเดียวกัน

“เรื่องนี้ตอกย้ำความกังวลอย่างจริงจังว่าแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอนุญาตให้วิศวกรและผู้บริหารของ TikTok ในสาธารณรัฐประชาชนจีนเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ในสหรัฐฯ ซ้ำแล้วซ้ำอีก แม้จะอ้างต่อฝ่ายนิติบัญญัติและผู้ใช้หลายครั้งว่าข้อมูลนี้ได้รับการคุ้มครอง” วุฒิสมาชิก Mark Warner กล่าว 

“Department of Justice (DoJ) สัญญามานานกว่าหนึ่งปีแล้วว่าพวกเขากำลังมองหาวิธีที่จะปกป้องข้อมูลผู้ใช้ของสหรัฐฯ จาก Bytedance และ The Chinese Communist Party (CCP) ถึงเวลาแล้วที่จะต้องหาแนวทางแก้ไข มิฉะนั้นรัฐสภาอาจถูกบังคับให้เข้าร่วมการจัดการเรื่องนี้ในไม่ช้า”

นอกจากการปลดหัวหน้าผู้ตรวจสอบภายในของ TikTok แล้ว Chris Lepitak ซึ่งถูกสั่งพักงานหลังจาก รายงานเบื้องต้นเกี่ยวกับแผนการสอดแนมของ Forbes ในเดือนตุลาคม ByteDance ยังไล่พนักงาน TikTok เพิ่มอีกสองคนในสหรัฐอเมริกาและจีนอันเป็นผลมาจากการเรื่องอื้อฉาวนี้

ByteDance ไม่ใช่ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีรายแรกที่ใช้แอพเพื่อตรวจสอบผู้ใช้เฉพาะราย ในปี 2017 New York Times รายงานว่า Uber ได้ทำการสอดแนมตัวนักการเมืองและหน่วยงานกำกับดูแลในท้องถิ่นหลายแห่ง และให้บริการแอป Uber เวอร์ชันแยกต่างหากเพื่อหลีกเลี่ยงบทลงโทษด้านกฎระเบียบ 

ในเวลานั้น Uber ยอมรับว่าได้ดำเนินการโปรแกรมที่เรียกว่า “greyball” แต่ใช้เพื่อปฏิเสธคำขอเรียกรถไปยังฝ่ายตรงข้ามที่สมรู้ร่วมคิดกับเจ้าหน้ารัฐที่แบบลับๆ เพื่อดักจับคนขับที่เป็นหนอนบ่อนไส้

มีรายงานว่าทั้ง Uber และ Facebook ติดตามตำแหน่งของนักข่าวที่รายงานเกี่ยวกับแอพของพวกเขา การสืบสวนในปี 2017 โดยศูนย์ข้อมูลความเป็นส่วนตัวทางอิเล็กทรอนิกส์พบว่า Uber ได้ตรวจสอบตำแหน่งของนักข่าวที่รายงานข่าวบริษัท

หนังสือ An Ugly Truth ฉบับปี 2021 อ้างว่า Facebook ทำแบบเดียวกัน เพื่อพยายามระบุแหล่งที่มาของนักข่าว Facebook ไม่ได้ตอบโดยตรงต่อในเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด

แต่โฆษกคนหนึ่งของ Facebook ได้บอกกับ San Jose Mercury News ในปี 2018 ว่าเช่นเดียวกับบริษัทอื่นๆ Facebook “ใช้ข้อมูลที่บันทึกจากแพลตฟอร์มเป็นประจำในการสืบสวนในที่ทำงาน”

แต่ก็ต้องบอกว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้การรวบรวมข้อมูลผู้ใช้ส่วนตัวของ ByteDance แตกต่างจากกรณีของ Uber และ Facebook ก็คือ TikTok ได้บอกกับฝ่ายนิติบัญญัติในเดือนมิถุนายนปีที่แล้วว่าการเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้ในสหรัฐฯ บางอย่างซึ่งน่าจะรวมถึงตำแหน่งด้วย จะจำกัดเฉพาะบุคลากรที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นตามโปรโตคอลที่พัฒนาร่วมกับรัฐบาลสหรัฐฯ

References :
https://www.forbes.com/sites/emilybaker-white/2022/12/22/tiktok-tracks-forbes-journalists-bytedance
https://www.latimes.com/business/technology/la-fi-tn-uber-privacy-20150622-story.html
https://www.buzzfeednews.com/article/emilybakerwhite/tiktok-project-texas-bytedance-user-data
https://thevpn.guru/is-tiktok-safe-download-install-use/

Geek Daily EP164 : อาวุธทางกฏหมายใหม่ของเยอรมันเพื่อต่อต้านการผูกขาดจากบริษัท Big Tech ของ Silicon Valley

กฎหมายใหม่ของเยอรมันเป็นต้นแบบของแนวทางที่ยุโรปจะเข้ามาควบคุมอำนาจของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ กฎหมายมาตรา 19a ของพระราชบัญญัติการแข่งขันของเยอรมนีนั้นล้ำหน้ากว่ากฎหมายต่อต้านการผูกขาดของสหภาพยุโรป มีศักยภาพในการจับพฤติกรรมที่ผิดกฎหมายมากยิ่งขึ้นโดยการกำหนดพฤติกรรมต่อต้านการแข่งขันให้น้อยลง

กฎหมายให้อำนาจแก่หน่วยงานต่อต้านการผูกขาดในเยอรมนีในการดำเนินการตามสิ่งที่เรียกว่า gatekeepers เพื่อคอย montior บริษัท Meta, Google และ Amazon รวมถึงความสามารถในการกำหนดบทลงโทษ เช่น การบังคับขายกิจการต่อบริษัทต่างๆ และความเป็นไปได้ที่จะเลิกกิจการ

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/3Xdh1s8

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://bit.ly/3w3aRhW

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
https://bit.ly/3W5Azgy

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://bit.ly/3W7DCF4

🎧 ฟังผ่าน Youtube : 
https://youtu.be/qL3hAEmPPZE

References Image : https://root-nation.com/en/news-en/en-dma-big-tech-monopoly/