Bernard Arnault กลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกได้อย่างไร

เรื่องราวที่ Bernard Arnault ชอบเล่าคือการได้พบปะกับ Steve Jobs ผู้ร่วมก่อตั้ง Apple ผู้ล่วงลับและเป็นบิดาแห่ง iPhone 

ในขณะที่ Jobs กำลังจะเปิดตัว Apple Store  Arnault ชาวฝรั่งเศสซึ่งมีบริษัท LVMH ให้บริการสังคมชั้นสูงด้วยกระเป๋าเดินทางแบรนด์หรูอย่าง Louis Vuitton, Christian Dior couture, เครื่องประดับ Tiffany และแชมเปญ Dom Pérignon เป็นคนที่เข้าใจมากกว่าเกี่ยวกับการเปลี่ยนหน้าร้านให้กลายเป็นความคลั่งไคล้ของลูกค้า 

ขณะที่พวกเขาคุยกัน บทสนทนาก็หันไปที่ผลิตภัณฑ์ของพวกเขา Arnault ถาม Jobs ว่าเขาคิดว่า iPhone จะยังคงอยู่ในอีก 30 ปีข้างหน้าหรือไม่ Jobs ตอบว่าเขาไม่รู้ จากนั้น Jobs ก็ถามคำถามเดียวกันเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อย่าง Dom Pérignon ซึ่งเป็นเหล้าองุ่นที่เริ่มวางจำหน่ายมาตั้งแต่ปี 1921

การพบกันระหว่า Arnault และ Jobs (CR:Quora)
การพบกันระหว่า Arnault และ Jobs (CR:Quora)

Bernard Arnault เป็นชาวยุโรปคนแรกที่ขึ้นสู่ทำเนียบรายชื่อมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก เป็นตัวอย่างที่ดีของการทำธุรกิจในทวีปที่เก่าแก่อย่างยุโรป

เขาเป็นคนที่ชื่นชอบงานฝีมือ เอาชนะนักออกแบบชั้นนำ นักปรุงน้ำหอม และผู้เชี่ยวชาญด้านห้องเก็บไวน์ ในขณะที่มักจะเก็บงำความลับเกี่ยวกับรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ไว้สำหรับตัวเขาเองเพียงเท่านั้น 

การปรากฏตัวของเขาในฐานะผู้นำบริษัทยักษ์ใหญ่นั้นแทบจะไม่เคยเห็น ซึ่งแตกต่างจาก Elon Musk, Jeff Bezos และ Bill Gates ซึ่งเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกก่อนหน้าเขา

Arnault เป็นขาประจำของงานแฟชั่นโชว์ของกรุงปารีส คำบรรยายถึงภาพลักษณ์ของเขาคือ “เป็นคนที่มีรอยยิ้มที่มีเสน่ห์แต่มีฟันที่ดูเหมือนเหล็กกล้า” ซึ่งชื่อเสียงดังกล่าวนั้นเข้ากันได้ดีกับลุคหมาป่าของเขานั่นเอง

Arnault อยู่ในรายชื่อคนรวยมากว่า 15 ปี บางคนอาจคิดว่าการขึ้นสู่จุดสูงสุดในเดือนนี้ด้วยมูลค่าสุทธิตามข้อมูลของ Forbes ซึ่งมีมูลค่า 1.80 แสนล้านดอลลาร์ เป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญเพียงเท่านั้น

การแซงหน้าก้าวขึ้นมาเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกเป็นผลมาจากหุ้นเทคโนโลยีของอเมริการ่วงหนัก ทั้งจากวิกฤตค่าครองชีพ การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ที่เริ่มที่จะคลี่คลาย หรือ ปัญหาซัพพลายเชนด้าน CHIP ที่ส่งผลกระทบต่อบริษัทเทคโนโลยีทั่วโลก 

อย่างไรก็ตาม Arnault ในวัย 73 ปี แตกต่างจากเจ้าพ่อเทคโนโลยี เขาได้สร้างโลกของธุรกิจขึ้นมาใหม่เช่นกัน ในคำพูดของ Luca Solca แห่ง Bernstein ซึ่งเป็นบริษัทด้านการลงทุน Arnault เป็นคนที่คิดค้น: “การขายความพิเศษเฉพาะตัวด้วยเงินล้าน” 

เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว เขาได้นำกลยุทธ์ทางธุรกิจสไตล์อเมริกันมาสู่หนึ่งในอุตสาหกรรมแบบโบราณที่สุดอย่างธุรกิจแฟชั่น และเตรียมพร้อมสำหรับโลกระดับพรีเมียมระดับโลกที่ถูกขับเคลื่อนด้วยเครือข่ายโซเชียลมีเดียอย่าง Instagram  

การปลูกฝังลัทธิทุนนิยมของเขาเกิดขึ้นในนิวยอร์กในช่วงต้นทศวรรษ 1980 ซึ่งเขาหลบหนีจากลัทธิสังคมนิยมฝรั่งเศส ซึ่งแทบไม่ค่อยมีใครรู้เกี่ยวกับช่วงเวลาที่เขาอยู่ที่นั่น

แต่เมื่อเขากลับมาที่ฝรั่งเศสในปี 1984 เขาก็ใช้กลยุทธ์อันป่าเถื่อนที่เกิดขึ้นในวอลล์สตรีทได้อย่างรวดเร็ว อันดับแรกเขาเห็นรองเท้า Christian Dior ส้นเตี้ยที่กำลังดิ้นรนทางด้านธุรกิจอย่างหนัก เขาซื้อมาแล้วนำมาขัดเกลา Dior ให้กลายเป็นเพชรเม็ดงามได้สำเร็จ

ในช่วงปลายทศวรรษ 1980 เขาก็มุ่งเป้าไปที่ Moet Hennessy-Louis Vuitton และในที่สุดก็ได้มันมา เขาไม่ประสบความสำเร็จเสมอไปเมื่อ Gucci ราชาแฟชั่นแห่งอิตาลียังไม่ยอมที่จะให้เขาเข้าซื้อกิจการ แต่ส่วนใหญ่แล้ววิธีการทำงานของเขาคือการใช้งบดุลอย่างมีเล่ห์เหลี่ยมเพื่อซื้อกิจการแฟชั่นที่ตกอับและเปลี่ยนมันให้กลายเป็นแบรนด์ดัง 

Gucci ที่เคยตกเป็นเป้าหมายของ Arnault (CR:WSJ)
Gucci ที่เคยตกเป็นเป้าหมายของ Arnault (CR:WSJ)

LVMH ซึ่งมีมูลค่าเกือบ 3.5 แสนล้านยูโร (3.72 แสนล้านดอลลาร์)  เขาเป็นเจ้าแห่งการโฆษณา โดยสรรหานักออกแบบที่เตะตาหลายคนจากนอกฝรั่งเศส เพื่อเขย่าวงการแฟชั่น เขาไม่ได้จำกัดอยู่แค่บนแคทวอล์คเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเครื่องประดับแฟชั่นที่มีกำไรสูง เช่น น้ำหอมและกระเป๋าถือ อีกด้วย

LVMH ถูกบริหารให้ทุกกลุ่มธุรกิจมีประสิทธิภาพเหมือนเครื่องจักร ปรับปรุงกระบวนการผลิตให้ทันสมัย ​​โดยส่วนใหญ่ขายผ่านร้านค้าของ LVMH เองมากกว่าตัวแทนจำหน่าย และสรรหาสิ่งที่ดีที่สุดในธุรกิจอยู่เสมอ

แม้ว่าเขาจะมุ่งความสนใจไปที่คุณค่าของแบรนด์ในระยะยาว แต่ผลประกอบการรายไตรมาสก็แทบไม่เคยพลาดเป้า Louis Vuitton เป็นสินค้าเรือธง ประมาณการว่าเฉพาะ Louis Vuitton สร้างยอดขายได้ 2 หมื่นล้านยูโร (ประมาณหนึ่งในสามของรายได้ของ LVMH ในปี 2021) โดยมีอัตรากำไรจากการดำเนินงานสูงถึง 50% 

คู่แข่งอย่าง Gucci นั้นแทบจะไม่สามารถเทียบได้ กระแสเงินสดของ LVMH ทำให้เขาสามารถเอาชนะคู่แข่งในร้านค้าที่หรูหราที่สุดและแคมเปญการตลาดที่ยอดเยี่ยมที่สุด 

ตัวอย่างโฆษณาในช่วงก่อนถึงฟุตบอลโลก ถ่ายโดย Annie Leibovitz แสดงให้เห็นนักฟุตบอล Lionel Messi และ Cristiano Ronaldo เล่นหมากรุกบนกระเป๋าเอกสาร Vuitton (แม้ว่า Kylian Mbappé กองหน้าชาวฝรั่งเศสจะเป็นตัวเลือกที่เป็นแรงบันดาลใจมากกว่า Ronaldo ก็ตามที)

อาณาจักรแฟชั่นกับเครื่องจักรทำเงิน

Arnault มองเห็นกระแสโลกาภิวัตน์ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ โดยเริ่มจากการบุกญี่ปุ่น จากนั้นจึงบุกต่อไปที่จีนแผ่นดินใหญ่ที่ชนชั้นกลางกำลังเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด ในเอเชียซึ่งมีร้านค้า LVMH มากกว่า 2,200 แห่งในปี 2021 ได้กลายเป็นแหล่งรายได้ที่ใหญ่ที่สุดของบริษัท

อย่างไรก็ตาม การรุกรานยูเครนของรัสเซียได้เน้นย้ำถึงภัยคุกคามทางภูมิรัฐศาสตร์ หากบริษัทต้องถอนตัวออกจากจีน มันจะกลายเป็นหายนะ ยิ่งกว่านั้นด้วยความเป็นสินค้าพรีเมียมมันมาพร้อมกับการเพิ่มขึ้นของความไม่เท่าเทียมกันทางสังคมทั่วโลก 

อย่างไรก็ตาม มรดกในยุโรปของ Arnault ทำให้เขาได้เปรียบเป็นพิเศษในการเดิมพันด้านความมั่งคั่งที่คงไม่หยุดยั้งเพียงเท่านี้ เขามีความเชื่อในโลกธุรกิจยุคเก่า ซึ่งแตกต่างจาก Elon Musk ผู้ซึ่งขายหุ้น Tesla บางส่วนของเขาทิ้งเพื่อเข้าซื้อ Twitter, Jeff Bezos ผู้ซึ่งมอบหุ้นส่วนหนึ่งของ Amazon ให้กับอดีตภรรยาของเขา และ Bill Gates ผู้ซึ่งขายหุ้น Microsoft ส่วนใหญ่ของเขาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

สิ่งสำคัญอันดับหนึ่งของ Arnault คือการรักษาความมั่งคั่งของเขาไว้ และควบคุมมันทั้งหมด LVMH ซึ่งครอบครัวของเขาถือหุ้น 48% ลูกทั้งห้าคนของเขาล้วนทำงานในธุรกิจนี้ ต้องบอกว่าไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเจ้าพ่อแห่งความหรูหราถึงคุณค่าของการรักษาธุรกิจของครอบครัวจนสามารถก้าวมาเป็นมหาเศรษฐีอันดับดับหนึ่งของโลกได้อย่างที่เราเห็นในทุกวันนี้นั่นเองครับผม

References :
https://www.economist.com/business/2022/12/20/how-bernard-arnault-became-the-worlds-richest-person
https://www.bnnbloomberg.ca/bernard-arnault-s-son-takes-on-wider-role-at-billionaire-s-luxury-empire-1.1857084