Delivery robots กับการปฏิวัติการขนส่งใหม่ของ Amazon

Amazon ได้เปิดตัวหุ่นยนต์ส่งสินค้าอย่างเป็นทางการใน testbed ที่อยู่ในแคลิฟอร์เนียตอนใต้ ซึ่งหุ่นยนต์จัดส่งถูกออกแบบมาเพื่อทำการส่งพัสดุจากจุดแจกจ่ายในเมืองให้กับลูกค้า Amazon Prime 

ก่อนหน้านี้ Amazon ได้ทดสอบหุ่นยนต์ส่งสินค้า ในรัฐวอชิงตัน แต่นี่ถือได้ว่าเป็นการใช้งานครั้งแรกของรัฐแคลิฟอร์เนีย หุ่นยนต์ที่ถูกปรับใช้ในพื้นที่จะใช้ในช่วงเวลากลางวัน แม้ว่าจะออกแบบมาเพื่อทำงานแบบอัตโนมัติ แต่หุ่นยนต์ทดสอบก็จะมีมนุษย์คอยติดตามเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดปกติ 

Amazon นั้นถือได้ว่าเดินตามหลังบริษัทอื่นๆ ในเทคโนโลยีหุ่นยนต์เพื่อส่งสินค้า ซึ่ง บริษัท อื่น ๆ เช่น Starship Technologies มีการใช้งานอย่างแพร่หลายในสหราชอาณาจักรและในวิทยาเขตของ George Mason University มีรายงานว่า มีการส่งพัสดุมากกว่า 50,000 ชิ้น

บริษัท Refraction AI  สร้างหุ่นยนต์นำส่งน้ำหนักเบา ราคาต่ำ ในชื่อ REV-1 ซึ่งสามารถทำงานได้ทั้งในเลนจักรยานและบนไหล่ถนนปรกติ โดย Refraction AI นั้นเป็นผลงานของศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยมิชิแกนสองคนคือ Matthew Johnson-Roberson และ Ram Vasudevan

อันที่จริงหนึ่งในปัญหาใหญ่ที่คาดไม่ถึงเกี่ยวกับหุ่นยนต์ส่งสินค้าของอเมซอนคือมันต้องมีการแบ่งพื้นที่ทางเท้ากับคนเดินเท้า ซึ่งเหล่าโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมี่ยมในเมืองใหญ่หลายแห่ง ไม่ต้องการให้หุ่นยนต์เข้าถึงทางเท้า เพราะจะเป็นการรวบกวนเหล่าลูกค้าเศรษฐีของพวกเขา 

ยังไม่มีใครในอุตสาหกรรมเชื่อมั่นว่า Amazon จะกลายเป็นผู้นำตลาดของหุ่นยนต์ภาคพื้นดินแบบไร้คนขับในอนาคตอันใกล้นี้ ในขณะที่ บริษัท อย่าง Uber หรือ Bird นั้นได้พิสูจน์แล้วว่าบางครั้งเมืองต่างๆก็ไม่สามารถที่จะต้านทานกับเหล่าเทคโนโลยีใหม่ ๆ โดยเฉพาะหุ่นยนต์ เมื่อสุดท้ายมันได้กลายเป็นความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวกและรวดเร็วในการส่งของนั่นเอง

References : 
https://www.zdnet.com/article/amazon-delivery-robots-are-officially-on-the-streets-of-california/

The Dark Side of SIRI

ถ้าคุณใช้ Apple และใช้บริการผู้ช่วยส่วนตัวอย่าง SIRI  หรือเป็นเจ้าของอุปกรณ์ที่ใช้ SIRI  ตอนนี้มีความเป็นไปได้ว่า จะมีบุคคลอื่นสามารถฟังเสียงของคุณได้ แม้จะเป็นเรื่องลับ  ๆ อย่าง เรื่องบนเตียงของคุณนั่นเอง

ซึ่ง พวกเขาอาจได้ยินการสนทนาที่คุณมีกับเจ้านายของคุณเกี่ยวกับกลยุทธ์การตลาดใหม่ หรือการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับแพทย์ของคุณเกี่ยวกับปัญหาทางการแพทย์ที่เป็นส่วนตัวของคุณที่ไม่อยากให้มีใครรับรู้

และนั่นเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้จากการรายงานของสำนักข่าวใหญ่อย่าง The Guardian ซึ่ง Apple whistleblower ได้ให้รายละเอียดว่า มีบริษัท Sub Contract ที่สามารถตรวจสอบเสียงของคำสั่ง SIRI ของผู้ใช้ได้ รวมถึงการบันทึกที่ไม่ได้มีไว้สำหรับฟังก์ชันการทำงานแบบปรกติของ SIRI

แม้ว่าทาง Apple จะรับรู้ถึงกระบวนการดังกล่าวแต่ทาง Apple  บอกว่ากระบวนการตรวจสอบทั้งหมดโดยบริษัท Sub Contract เหล่านี้ดูเหมือนจะไม่เป็นอันตรายสำหรับผู้ใช้งานทั่วไป

โดย Apple ได้บอกกับ The Guardian ว่าจะมีการส่งข้อมูลการเปิดใช้งานของ SIRI เพื่อที่ผู้ตรวจสอบจะมีการฟังคลิป ซึ่งโดยปกติจะใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีและจะมีการถอด ID และชื่อผู้ใช้ของ Apple ออกไปนั่นเองเพื่อไม่ให้ระบุตัวตนถึงผู้ใช้งานได้

ซึ่งมีจำนวนน้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ของการเปิดใช้งาน SIRI ทั้งหมด ที่จะมีการอยู่ภายใต้กระบวนการนี้ Apple กล่างถึงเป้าหมายคือ เพื่อปรับปรุงความสามารถของ SIRI ในการทำความเข้าใจและช่วยเหลือผู้ใช้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

แต่ Apple ไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนในเอกสารข้อมูลส่วนบุคคลที่ต้องมีกระบวนการดังกล่าวเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งอาจจะมีบริษัท หรือ ใครบางคนที่อาจจะฟังเสียงของคุณเมื่อมีการพูดคุยกับ SIRI

นอกจากนี้ Apple ยังไม่ได้ใช้ความพยายามในการว่าจ้าง Sub Contract ที่น่าเชื่อถือ หรือตรวจสอบให้แน่ใจว่าคลิปเสียงจาก SIRI นั้นไม่สามารถสืบหาไปยังตัวตนของผู้ใช้งานจริงได้ ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลอย่างชัดเจน

“ มีคนไม่มากนักที่ทำงานอยู่ที่นั่นและจำนวนข้อมูลเสียงที่เรามีอิสระที่จะตรวจสอบดูค่อนข้างเป็นข้อมูลที่กว้างมาก” พวกเขากล่าวเสริมในภายหลังว่า“ มันดูไม่เหมือน Apple จะถูกกระตุ้นให้พิจารณาความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้  ซึ่งหากมีใครบางคนที่มีเจตนาชั่วร้ายมันคงไม่ยากที่จะระบุไปยังคนผู้ใช้จริงได้ ” ข้อมูลจากแหล่งข่าวกล่าว

“ มีการบันทึกตัวอย่างจำนวนนับไม่ถ้วนที่มีการพูดคุยอย่างเป็นส่วนตัวระหว่างแพทย์และผู้ป่วย หรือแม้กระทั่งข้อตกลงทางธุรกิจ การติดต่อเรื่องคดีความที่ดูเหมือนจะเกิดขึ้น การเผชิญหน้าในเรื่องทางเพศและอื่น ๆ ” ผู้แจ้งเบาะแสกล่าว “ การบันทึกเหล่านี้มาพร้อมกับข้อมูลผู้ใช้ที่แสดงตำแหน่งรายละเอียดการติดต่อและข้อมูลแอพทั้งหมด”

ซึ่งการบันทึกข้อมูลเหล่านี้อาจใช้เวลานานกว่า 2-3 วินาที ตามที่ Apple ได้อธิบายออกมา แต่ผู้แจ้งเบาะแสกลับแจ้งว่า บางรายการมีการบันทึกในเวลาที่เกิน 30 วินาทีด้วยซ้ำ

ไม่น่าแปลกใจเลยที่ Apple อนุญาตให้มีมนุษย์มาคอยทบทวนเสียงที่บันทึกโดยผู้ช่วย AI อย่าง SIRI  เนื่องจากเรารู้แล้วว่า Amazon และ Google ก็ทำในสิ่งเดียวกันนั่นเอง

และดูเหมือนว่าผู้ช่วยดิจิทัลจะแพร่หลายมากขึ้นในอนาคต ซึ่งหมายความว่า บริษัทเหล่านี้อาจจะไม่หยุดที่จะพยายามทำให้เทคโนโลยีเหล่านี้สมบูรณ์แบบในเวลาอีกไม่นาน

ดังนั้นหาก Apple, Google, Amazon และยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอื่น ๆ มุ่งมั่นที่จะให้มนุษย์มาคอยตรวจสอบเสียงที่บันทึกโดยผู้ช่วย AI ของพวกเขา ซึ่งพวกเขาควรมุ่งเน้นไปที่การทำให้ระบบนี้สมบูรณ์แบบโดยไม่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลเสียก่อน เพราะข้อมูลเหล่านี้ที่ถูกเผยแพร่ออกไปนั้น บางส่วนเป็นข้อมูล Sensitive ซึ่งเหล่าผู้ใช้คงไม่อยากให้ถูกเผยแพร่ออกไปให้คนอื่นรู้นั่นเอง

References : 
https://www.theguardian.com/technology/2019/jul/26/apple-contractors-regularly-hear-confidential-details-on-siri-recordings

ข้อคิดสำคัญสำหรับพ่อค้าแม่ค้า Online ชาวไทย

พอดีผมได้มีโอกาสนั่งอ่าน กระทู้แนะนำใน Pantip.com ในเรื่อง “Shopee ประเทศไทย เริ่มเอาสินค้าที่ขายด้วยร้านอื่นๆ ออก แล้วนำมาขายเอง”

ซึ่งต้องมองตามความเป็นจริงว่า สิ่งที่บริษัทพวกนี้ยอมขาดทุนมหาศาลทุก ๆ ปี แน่นอนอยู่แล้วว่าต้องการ Data จากพฤติกรรมผู้บริโภคของเรา ว่าชอบซื้อสินค้าแบบไหน มูลค่าเท่าไหร่ หรือช่วงเวลาใด

ด้วยการอัดโปรโมชั่นมากมายทำให้พ่อค้าแม่ค้า เข้าไป join ใน platform เหล่านี้ แน่นอนว่า ยอดขายกระฉูด หากเจอโปรโมชั่นที่ดี ๆ ของ Shopeee ซึ่งมองแล้วเหมือนได้ประโยชน์กันหมดทั้งพ่อค้าแม่ค้า รวมถึงลูกค้าเองก็ตาม

แต่บริษัทเหล่านี้ ไม่ใช่นักบุญแน่นอน มาหว่านเงินแจกเล่น พวกเขาเอาข้อมูลไปวิเคราะห์อยู่แล้ว ซึ่งสุดท้าย สินค้าพวกนี้ที่พ่อค้าแม่ค้าชาวไทยหามานั้น เขาก็สามารถหาได้ในราคาที่ถูกกว่า และสุดท้ายก็นำมันมาขายเอง เหมือนที่ amazon ยักษ์ใหญ่ Ecommerce จาก อเมริกาทำนั่นแหละ

เพราะฉะนั้น สิ่งที่เหล่าพ่อค้าแม่ค้า รวมถึงเหล่าลูกค้าเองด้วย ที่ควรทำ platform กับเหล่านี้ คือ รีบโกยมาให้มากที่สุด ให้เร็วที่สุด ส่วนพ่อค้าแม่ค้านั้น ควรมีร้านค้าของตัวเองที่เป็น website ส่วนตัวเป็น platfrom หลักที่เราสามารถ control ทุกอย่างได้ เพราะยังไงบ้านตัวเองก็ไม่มีใครสามารถมาเปลี่ยนอะไรเราได้อยู่แล้ว

แล้วเปลี่ยนมุมมองกับพวก platform ต่าง ๆ ที่เรากำลังพึ่งพานั้นเป็นเพียงการกระจายช่องทางการตลาดเพิ่มเติมเพียงเท่านั้นให้เราเท่านั้น อย่ามองเป็นช่องทางทำรายได้หลักเด็ดขาด เพราะวันนึง เค้าจะเปลี่ยนนโยบายอะไรก็ได้ เราไม่สามารถที่จะ control ได้เลย ตัวอย่างมีให้เห็นมากมายแล้วที่อยู่ดี ๆ ก็เปลี่ยน policy เพื่อให้เราเสียตังค์เพิ่มสุดท้าย ก็อยู่ไม่ได้อย่างเช่นใน facebook , shopee , lazada หรือ อะไรก็แล้วแต่ ซึ่งสุดท้ายพวกนี้เค้าก็ต้องหาเงินจากเราอยู่ดีนั่นเองครับ

References : 
https://pantip.com/topic/39047751

CartonWrap กับหุ่นยนต์บรรจุกล่องใหม่ล่าสุดของ Amazon

จากข้อมูลของสำนักข่าว Reuters  อเมซอนกำลังเปิดตัวเครื่องจักรที่ทำขึ้นเป็นพิเศษที่สร้างขึ้นเพื่อให้สามารถรองรับกับคำสั่งซื้อจำนวนมาก ซึ่งในปัจจุบันนั้นเป็นงานของคนงานที่เป็นมนุษย์หลายพันคนภายในคลังสินค้าของ อเมซอน

หุ่นยนต์ CartonWrap สร้างกล่องกระดาษแข็งตามคำสั่งซื้อที่ได้รับ เมื่อเหล่าสินค้าที่ต้องการแพ็คไหลมาตาสายการผลิต ตามแหล่งที่มาของรอยเตอร์ โดยหุ่นยนต์แต่ละตัวนั้นสามารถรองรับการทำงานได้ถึง 600 ถึง 700 กล่องต่อชั่วโมง ซึ่งมากกว่า 5 เท่าโดยประมาณเมื่อเทียบกับความสามารถของมนุษย์ในการบรรจุหีบห่อ

CartonWrap หุ่นยนต์บรรจุหีบห่อที่ประสิทธิภาพมากกว่ามนุษย์ 5 เท่า
CartonWrap หุ่นยนต์บรรจุหีบห่อที่ประสิทธิภาพมากกว่ามนุษย์ 5 เท่า

ซึ่งตอนนี้ต้องบอกว่าสถานการณ์ของคนงานที่เป็นมนุษย์นั้นค่อนข้างสุ่มเสี่ยง รอยเตอร์ คาดการณ์ว่าหุ่นยนต์เหล่านี้จะสามารถลดแรงงานมนุษย์ได้มากกว่า 1,300 ตำแหน่งจาก 55 ศูนย์ปฏิบัติงานในสหรัฐอเมริกา ในที่สุดตามแหล่งที่ไม่ระบุชื่อที่ทำงานในเครื่องมือใหม่นี้กล่าวชัดเจนว่าวัตถุประสงค์ของอเมซอนคือการเป็นคลังสินค้าเพื่อให้ไร้คนงานที่เป็นมนุษย์นั่นเอง

โฆษกอเมซอนได้รับการยืนยันเทคโนโลยีดังกล่าว กับ  สำนักข่าวรอยเตอร์

“ เรากำลังนำเทคโนโลยีใหม่นี้มาใช้เพื่อเพิ่มความปลอดภัย รวมถึงเร่งเวลาในการส่งมอบและเพิ่มประสิทธิภาพในเครือข่ายคลังสินคาของเรา” พวกเขากล่าว

ถึงกระนั้นอเมซอนยังไม่พร้อมที่จะแทนที่มนุษย์อย่างสมบูรณ์ เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาผู้อำนวยการของ Amazon Robotics Fulfillment กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่าจะใช้เวลา “ อย่างน้อย 10 ปี” ก่อนที่ Amazon จะทำให้กระบวนการปฏิบัติทั้งหมดในคลังสินค้าเป็นไปโดยรูปแบบอัตโนมัติด้วยหุ่นยนต์ AI

References : 
https://www.reuters.com/article/us-amazon-com-automation-exclusive/exclusive-amazon-rolls-out-machines-that-pack-orders-and-replace-jobs-idUSKCN1SJ0X1

Amazon ใช้ AI ในการติดตามและไล่พนักงานที่ห่วยออกไป

เวลานี้ปัญญาประดิษฐ์กำลังเข้ามาไล่ล่ามนุษย์คนทำงานอย่างแท้จริง เอกสารที่ได้รับจากสื่อออนไลน์ชื่อดังอย่าง The Verge แสดงให้เห็นว่า Amazon ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ในการติดตามและไล่พนักงานในศูนย์ปฏิบัติจำนวนหลายร้อยคนโดยอัตโนมัติ เนื่องจากล้มเหลวในการผลิตไม่ทันกับความต้องการของลูกค้า 

แม้ว่าจะไม่ใช่ทุกการตัดสินใจนั้นเกิดจากระบบคอมพิวเตอร์ แต่เอกสารรวมถึงจดหมายลงนามโดยทนายความของอเมซอนเองก็ได้ เปิดเผยว่ากระบวนการนี้เป็นไปโดยอัตโนมัติจริงๆ แต่ยังไม่ชัดเจนว่า Amazon ยังคงใช้ระบบเหล่านี้อยู่หรือไม่ ในปัจจุบัน

“ ระบบของ Amazon ติดตามอัตราการผลิตของพนักงานแต่ละคน”  “ และทำการสร้างคำเตือนหรือให้พนักงานหยุดงานที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพหรือผลผลิตของงานนั้น ๆ โดยอัตโนมัติโดยไม่ต้องรับฟังข้อมูลจากหัวหน้างานแต่อย่างใด”

หลังจากที่เรื่องราวนี้ถูกเผยแพร่ออกไปทางโฆษกของอเมซอน แอชลีย์ โรบินสัน ได้ออกมาพร้อมกับแถลงการณ์ที่ปฏิเสธตามรายงานของ The Verge 

“ คล้ายกับหลายบริษัท เรามีความคาดหวังด้านประสิทธิภาพไม่ว่าพวกเขาจะเป็นพนักงาน บริษัท หรือว่าจะเป็นศูนย์ปฏิบัติงานก็ตาม”  “ เราช่วยเหลือผู้ที่ไม่สามารถปฏิบัติงานตามระดับที่คาดหวังของบริษัทด้วยการฝึกสอนโดยเฉพาะ เพื่อช่วยให้พวกเขาพัฒนาและประสบความสำเร็จในอาชีพการงานที่ Amazon ได้ เราจะไม่เลิกจ้างงาน โดยไม่แน่ใจก่อนว่าพวกเขาได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากเรา รวมถึงมีการฝึกสอนโดยเฉพาะเพื่อช่วยให้พวกเขาปรับปรุงและฝึกอบรมเพิ่มเติม เนื่องจากเราเป็น บริษัท ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องซึ่แน่นอนว่ามันเป็นเป้าหมายทางธุรกิจอย่างหนึ่งของเราเพื่อสร้างโอกาสในการพัฒนาอาชีพในระยะยาวให้กับพนักงานของเรา”

ทางศูนย์ปฏิบัติงานของ Amazon ได้สร้างระบบอัตโนมัติขึ้นมากมายในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ระบบที่ซับซ้อนของหุ่นยนต์จัดการคลังสินค้าได้เปลี่ยนงานรูปแบบเดิม ๆ ของพนักงาน ในขณะที่บางครั้งก็สร้างงานใหม่ขึ้นมาเช่นเดียวกัน

สภาพการทำงานที่เลวร้ายมากของบริษัทผู้ค้าปลีกออนไลน์: จากพนักงานที่ไม่ระบุชื่อ  เขียนถึงสื่อใหญ่อย่าง The Guardian เมื่อปีที่แล้วเกี่ยวกับความต้องการที่มากเกินแบบผิดปกติของบริษัทที่ทำงานกับเหล่าพนักงานคลังสินค้า

“ ด้วยการใช้อุปกรณ์ติดตามและใช้ตัวชี้วัดแบบดิจิตอล ซึ่งการทำงานของเหล่าพนักงานนั้นจะถูก track ในทุกที่ทุกเวลา จนถึงระดับวินาทีเลยทีเดียว” 

แต่ระบบการติดตามแบบอัตโนมัติเหล่านี้นั้นฟังดูน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม ซึ่งอยู่ภายใต้เงื้อมมือของ เหล่า AI ที่ติดตามรายละเอียดที่เปรียบเสมือนการรุกรานพนักงาน เช่น ระยะเวลาที่พนักงานใช้ ทำอย่างอื่นที่ไม่ใช่งาน มันเป็นการรุกล้ำความเป็นส่วนตัวเกินไปกับพนักงาน

“หนึ่งในสิ่งที่เราได้ยินอย่างต่อเนื่องจากเหล่าคนงานที่พวกเขาได้รับการปฏิบัติเหมือนหุ่นยนต์ เพราะพวกเขากำลังถูกตรวจสอบและดูแลโดยระบบอัตโนมัติเหล่านี้” นักวิจารณ์ Amazon สเตซี่ มิทเชลล์บอกว่า  “ พวกเขากำลังถูกควบคุมและดูแลโดยหุ่นยนต์”

References : 
https://futurism.com/amazon-ai-fire-workers