ประวัติ Steve Jobs ผู้สร้าง ipod ตอนที่ 9 : Let’s Build It

MP3 เป็นผลงานการคิดค้นของนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันกลุ่มหนึ่งในปี 1987 คล้าย  ๆ กับการตัดไฟล์วีดีโอเพื่อให้เล่นได้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยการตัดเอา data ที่ไม่จำเป็นออกมาให้มากเท่าที่จะเป็นไปได้ มันเป็นการนำ data ออกไปโดยที่ผู้ฟังไม่ทันสังเกตเห็น 

มันทำให้ไฟล์ที่ได้รับการตัดแต่งแล้วนั้น เป็นไฟล์ที่บรรจุข้อมูลน้อยที่สุด แต่ให้ผลแสดงออกมาที่เยี่ยมสมบูรณ์แบบเมื่อมนุษย์ ได้ยิน และ ได้ฟัง เป็นไฟล์ที่มีขนาดลดลงเหลือเพียง หนึ่งในสิบสองของไฟล์ต้นฉบับ ทำให้ลดจำนวนการเก็บข้อมูลได้มากโขเลยทีเดียว และมันกำลังรอคอยให้ จ๊อบส์ มาเพิ่มพูนคุณประโยชน์ให้กับมัน

ฟาเดลล์ พบจ๊อบส์ ครั้งแรกที่งานเลี้ยงวันเกิดที่บ้านของ แอนดี้ เฮิร์ตซเฟลด์ เมื่อหนึ่งปีก่อนหน้านั้น และเคยได้ยินกิตติศัพท์ของจ๊อบส์มามาก ซึ่งหลายเรื่องนั้นฟังแล้วน่าขนลุก แต่เพราะเขายังไม่รู้จักจ๊อบส์ดีพอ เขาจึงรู้สึกหวั่นใจพอสมควร เมื่อต้องมาประจันหน้ากับจ๊อบส์ จริง ๆ ในการประชุมงานเรื่อง iPod

เดือน เมษายน 2001 มีการประชุมนัดสำคัญ วันนั้นจ๊อบส์ ต้องตัดสินใจเลือกองค์ประกอบพื้นฐานสำหรับเครื่อง iPod ซึ่ง ฟาเดลล์ เป็นคนนำเสนอ โดย มี รูบินสไตน์ ,ชิลเลอร์ , เจฟฟ์ ร็อบบิน และ สแตน อึง ผู้อำนวยการฝ่ายตลาดของ apple เข้าร่วมฟังด้วย

ฟาเดลล์ เป็นผู้นำทีมสร้าง iPod
ฟาเดลล์ เป็นผู้นำทีมสร้าง iPod

การประชุมเริ่มด้วยการนำเสนอเรื่องของศักยภาพของตลาด และเนื้อหาทางการตลาดอื่น ๆ ที่เหล่านักการตลาดมักจะทำกัน แต่จ๊อบส์ เป็นคนที่มีความอดทนต่ำ สไลด์ชุดไหน ที่มีความยาวเกินหนึ่งนาที เขาจะไม่สนใจทันที และเมื่อถึงฟาเดลล์ ที่ต้องกล่าวถึงเรื่องคู่แข่งในตลาด ที่ขณะนั้น มีทั้ง Sony  , Creative หรือ Rio  ที่่อยู่ในตลาดเครื่องเล่น MP3 เหมือนกัน

แต่จ๊อบส์ นั้น โบกมืออย่างไม่แยแส จ๊อบส์ไม่เคยสนใจคู่แข่งเลยด้วยซ้ำ ตอนนี้ โปรเจค iPod ยังเป็นความลับอยู่ เหล่าคู่แข่งยังไม่รู้ว่า apple กำลังทำอะไรด้วยซ้ำ

จ๊อบส์ นั้นชอบให้เอาสิ่งที่จับต้องได้มาโชว์ เพื่อเขาจะได้ สัมผัส ลูบคลำ สำรวจ ฟาเดลล์ จึงได้นำโมเดล 3 แบบเข้ามาในห้องประชุมด้วย รูบินสไตน์ นั้นสอนเทคนิคให้จ๊อบส์ดูเรียงตามลำดับ เพื่อให้ชิ้นที่เขาชอบที่สุดเป็นชิ้นที่เด่นที่สุด ทีมงานจึงซ่อนโมเดล ที่ชอบไว้ใต้โต๊ะประชุม

จากนั้น ฟาเดลล์ เริ่มเอาโมเดลออกมาโชว์ ซึ่งโมเดลเหล่านี้ทำจากโฟมแบบเดียวกับที่ใช้ทำกล่องอาหาร ยัดไส้ตะกั่วเพื่อให้ได้น้ำหนักที่เหมาะสม ตัวอย่างแรกมีช่องใส่เมมโมรี่การ์ดสำหรับบันทึกเพลงแบบถอดได้ จ๊อบส์ตัดตัวอย่างนี้ออกทันทีมันดูซับซ้อนไป

โมเดล iPod จากโฟม เพื่อให้ จ๊อบส์ ได้ตัดสินใจ
โมเดล iPod จากโฟม เพื่อให้ จ๊อบส์ ได้ตัดสินใจ

ตัวอย่างที่สองนั้นใช้เมมโมรี่แบบ dynamic RAM ซึ่งราคาถูกกว่า แต่เพลงทั้งหมดจะถูก delete ทิ้งทันที หากแบตเตอรี่หมด ซึ่งแน่นอนว่าจ๊อบส์ไม่ปลื้มอย่างแน่นอน

จากนั้น แบบที่สามคือ ฟาเดลล์ ได้ทำการจับชิ้นส่วนต่อกันเหมือนเลโก้ เพื่อให้ดูว่าเครื่องเล่นบรรจุฮาร์ดไดร์ฟขนาด 1.8 นิ้วจะมีหน้าตาอย่างไร ซึ่ง โมเดลนี้ จ๊อบส์ดูสนใจมาก ๆ  ซึ่งสุดท้าย จ๊อบส์ ก็เลือกแบบดังกล่าว ซึ่ง ทำให้ฟาเดลล์ ถึงกับทึ่งมาก เพราะปรกติการประชุมแบบนี้ที่บริษัทอื่น จะต้องตัดสินใจแล้ว ตัดสินใจอีก แต่ กับ apple จ๊อบส์ ถือเป็นสิทธิ์ เด็ดขาด สามารถฟันธงได้ทันที ทำให้ทุกอย่างสามารถทำได้รวดเร็ว

 ต่อจากนั้นเป็นคิวของ ฟิล ชิลเลอร์ ซึ่งดำรงตำแหน่งรองประธานบริษัท มันเป็น idea ที่สำคัญที่สุดของ iPod ที่ทำให้แตกต่างจากเครื่องเล่น MP3 อื่น ๆ ในตลาด ชิลเลอร์ นั้นเสนอ ล้อกลม ๆ สำหรับใช้เลือกเพลง ( trackwheel ) แค่ใช้นิ้วโป้งหมุนวงล้อ ผู้ใช้จะสามารถเลือกเพลงใน Playlist ได้ ยิ่งหมุนนาน ก็ยิ่งไล่เพลงได้เร็วขึ้น ถึงจะมีเพลงเป็นร้อยเป็นพันเพลง ก็สามารถไล่ดูได้ง่าย ซึ่งไอเดียนี้ จ๊อบส์ร้องอุทาน “นั่นแหละใช่เลย!!!” แล้วสั่งให้ฟาเดลล์ กับทีมวิศวกร ลงมือทำทันที

ฟิล ชิลเลอร์ ผู้คิดค้น idea trackwheel ของ iPod
ฟิล ชิลเลอร์ ผู้คิดค้น idea trackwheel ของ iPod

โดยหลังจากเริ่มโครงการอย่างเป็นทางการ จ๊อบส์ ก็เข้ามาคลุกคลีด้วยทุกวัน จ๊อบส์ให้ concept หลักของ iPod คือ “ทำให้ง่ายเข้าไว้!” ทุกฟังก์ชัน ต้องทำได้ภายใน 3 click ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะบางครั้งทีมงาน ต้องพยายามแก้ไขปัญหาในส่วนของ User Interface แบบไม่ได้หลับไม่ได้นอน

แต่จ๊อบส์ก็พยายามหาจุดอ่อน ไปเรื่อย ๆ และให้ทีมงานไปคิดหาวิธีแก้มา ซึ่งบางครั้งทีมงานก็คิดไม่ออกว่าจะไปถึงสิ่งที่จ๊อบส์ต้องการได้อย่างไร มันเป็นเรื่องที่บ้ามาก ๆ ในหลายเรื่องที่ทีมงานต้องมานั่งแก้ไขเพื่อให้จ๊อบส์นั้นพอใจ จนตอนนั้น มันทำให้ปัญหาเล็ก ๆ ต่าง ๆ แทบมลายหายไปเลยทีเดียว เพราะจ๊อบส์ จะเห็นรายละเอียดในทุก ๆ จุด และสั่งให้แก้ไขมันทันที

แนวคิดที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่จ๊อบส์ได้กำหนดไว้ คือ ควรให้ ซอฟท์แวร์ iTunes ในคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือจัดการกับฟังก์ชั่นต่าง ๆ ให้มากที่สุด แทนที่จะทำในเครื่อง iPod

ให้ iTunes ช่วยจัดการ iPod ให้มากที่สุด
ให้ iTunes ช่วยจัดการ iPod ให้มากที่สุด

และมีคำสั่งอย่างนึงจากจ๊อบส์ ที่ทำให้ทีมงานต่างอึ้งกันไปเลยทีเดียว กับ ความเรียบง่ายตามความต้องการของจ๊อบส์  จ๊อบส์นั้นไม่ต้องการให้ iPod มีปุ่ม เปิด-ปิด และเราจะสังเกตได้ว่า อุปกรณ์อื่น ๆ ของ Apple ก็เป็นอย่างนี้เหมือนกัน คือ ไม่มี ปุ่ม สวิตช์ เปิด-ปิด โดยจะเข้าสู่โหมดพักทันที เมื่อไม่ได้ใช้งาน และ จะ ตื่น เมื่อแตะแป้นใด  ๆ ก็ได้

แล้วทุกสิ่งทุกอย่าง ก็เริ่มเข้าทางอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็น ชิปที่เก็บเพลงได้เป็นพันเพลง ส่วนของ User Interface และวงล้อที่ช่วยนำทางไปหาเพลงต่าง ๆ นั้น การเชื่อมต่อผ่าน FireWire ที่ช่วยให้ดาวน์โหลดเพลง ทั้ง 1,000 เพลง ได้ในเวลาไม่ถึง 10 นาที และแบตเตอรี่ ก็สามารถใช้งานได้ถึง 1,000 เพลงเช่นกัน

ตอนนี้ จ๊อบส์ เริ่มรู้แล้วว่า ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ มันเจ๋ง แค่ไหน ด้วยคอนเซ็ปต์ของเครื่องที่เรียบง่าย และงดงาม มันคือ “หนึ่งพันเพลงในกระเป๋าคุณ” 

iPod ต้องเรียบง่ายที่สุด และ เข้ากับ concept 1,000 เพลงในกระเป๋าคุณ
iPod ต้องเรียบง่ายที่สุด และ เข้ากับ concept 1,000 เพลงในกระเป๋าคุณ

แต่ปัญหาคือ 1,000 เพลงนั้นจะมาจากไหน จ๊อบส์นั้นรู้ดีว่าเพลงบางส่วนนั้นจะถูก คัดลอกมากจาก CD ที่ซื้อมาอย่างถูกกฏหมาย ซึ่งส่วนนี้ไม่ได้มีปัญหาแต่อย่างใด แต่อีกหลายเพลงนั้น อาจจะมาจากการดาวน์โหลดที่ผิดกฏหมาย

แต่จ๊อบส์ นั้น เชื่ออย่างนึงในเรื่องของการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา และเชื่อว่า ศิลปิน ควรได้รับเงินจากสิ่งที่ตนเองผลิตขึ้นมา ดังนั้น ในช่วงท้าย ๆ ของการพัฒนา iPod เขาจึงออกคำสั่งให้เครื่องสามารถเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ ได้เพียงทิศทางเดียวเท่านั้น 

ผู้ใช้สามารถที่จะย้ายเพลงจากคอมพิวเตอร์ลงมาเครื่อง iPod ได้ แต่ไม่สามารถย้ายเพลงจาก iPod ไปใส่คอมพิวเตอร์ได้ เพื่อป้องกันไม่ให้คนใส่เพลงลงเครื่อง iPod แล้วปล่อยให้เพื่อน ๆ อีกนับสิบถ่ายเพลงจากเครื่องไป นอกจากนี้เขายังตัดสินใจว่า พลาสติกใสที่หุ้มเครื่อง iPod ควรพิมพ์ข้อความเข้าใจง่ายว่า “อย่าขโมยเพลง”  ( “Don’t Steal Music”)

–> อา่นตอนที่ 10 : The Whiteness of the Whale

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :The Second Coming  *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Steve Jobs ผู้สร้าง iPod ตอนที่ 8 : The PodFather

ถ้าโลกนี้ไม่มีคนที่ชื่อ โทนี่ ฟาเดลล์ มันก็ไม่อาจจะทำให้ สตีฟ จ๊อบส์ สามารถพลิกฟื้น apple กลับมาได้สำเร็จ โปรแกรมเมอร์หนุ่ม มาดกร่าง หน้าตา และการแต่งตัวออกไปทางแนว ไซเบอร์พังค์ เป็นคนมีสเหน่ห์ที่รอยยิ้ม และมีหัวคิดแบบเจ้าของกิจการ และมีความเชี่ยวชาญทางด้าน ฮาร์ดแวร์ โดยเฉพาะอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับการฟังเพลง

และเป็น รูบินสไตน์ ที่เป็นไปค้นพบ โทนี่ ฟาเดลล์ เข้า ฟาเดลล์ นั้น เคยตั้งบริษัท ถึง 3 แห่งสมัยเรียนอยู่มหาวิทยาลัย มิชิแกน พอเรียนจบก็ได้เข้าไปทำงานที่ General Magic ผู้ผลิตอุปกรณ์อเล็กทรอนิกส์แบบพกพา แล้วย้ายข้ามห้วยไปยัง Philips บริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้าน อิเล็กทรอนิค ระดับโลก

ฟาเดลล์ นั้นมีไอเดียอย่างแรงกล้า ที่จะทำเครื่องเล่นเพลงที่ดีกว่าเครื่องที่มีขายอยู่ในท้องตลาด เขาเคยไปนำเสนอ idea ที่ RealNetwork , Sony และ Philips แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ  และในวันหนึ่งที่ฟาเดลล์ กำลังเล่นสกี อยู่ กับลุง ที่เมือง เวล รัฐโคโลราโด ระหว่างที่นั่งลิฟต์ขึ้นเขา เพื่อไปเล่นสกี เหมือนอย่างที่เคยทำมาเป็นประจำ

ฟาเดลล์ หนึ่งใน keyman คนสำคัญในการสร้าง iPod
ฟาเดลล์ หนึ่งใน keyman คนสำคัญในการสร้าง iPod

เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ปลายสายคือ รูบินสไตน์ ที่เป็น ผู้อำนวยด้านด้านฮาร์ดแวร์ ของ apple ซึ่งได้แจ้งเขาว่า กำลังหาคนที่จะมาช่วยทำ “อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็ก” ซึ่งคนระดับฟาเดลล์ นั้น มีความมั่นใจเต็มเปี่ยมอยู่แล้ว เขาทำอุปกรณ์พวกนี้เก่งในระดับที่หาตัวจับยาก รูบินสไตน์ จึงได้เชิญ ฟาเดลล์ เขาไปพบ ที่ office ของ apple ใน คูเปอร์ติโน่

ฟาเดลล์ เข้าใจว่า apple นั้นจะจ้างไปทำเครื่อง PDA แต่เมื่อได้พบตัวจริงกับ รูบินสไตน์ การสนทนา เปลี่ยนเป็นเรื่องเกี่ยวกับ iTunes ที่ apple เพิ่งได้ทำเสร็จก่อนหน้านั้นไม่นาน ปัญหาในตอนนั้น คือ ทาง apple พยายามที่จะใช้เครื่องเล่น mp3 ที่มีในตลาด เพื่อใช้งานกับ iTunes  ซึ่งพบว่า ไม่มีอุปกรณ์ไหนที่สามารถตอบโจทย์ของ apple ได้เลย ตอนนั้น มีแต่อุปกรณ์เล่น mp3 ที่ห่วย ๆ อยู่เต็มตลาดไปหมด apple อยากที่จะสร้างเวอร์ชั่นของตัวเองขึ้นมา

ตอนแรก ฟาเดลล์ เข้าใจว่าจะให้เขามาสร้าง PDA ใหม่แทน Newton
ตอนแรก ฟาเดลล์ เข้าใจว่าจะให้เขามาสร้าง PDA ใหม่แทน Newton

และมันทำให้ ฟาเดลล์ รู้สึกตื่นเต้นมาก ๆ ฟาเดลล์ นั้นเป็นคนที่รักในเสียงดนตรี และเคยพยายามนำ idea ที่เขาคิด ไปเสนอที่ RealNetworks เหมือนกัน ตอนที่ RealNetworks กำลังนำเสนอเครื่องเล่นไฟล์ mp3 ให้กับ บริษัท Palm แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ

แต่ฟาเดลล์ นั้นเป็นคนที่รักอิสระ เขาไม่อยากที่จะเป็นพนักงานเต็มตัวของ apple เขาแค่อยากร่วมงานในฐานะที่ปรึกษาเพียงเท่านั้น

แต่ รูบินสไตน์ นั้น บีบบังคับให้ ฟาเดลล์ ทิ้งไพ่ในมือ ด้วยมัดมือชก ด้วยการยืนกรานว่า หากฟาเดลล์ นั้นต้องการที่จะเป็นหัวหน้าทีม ก็ต้องเข้ามาเป็นพนักงานเต็มตัวของ apple เพียงอย่างเดียวเท่านั้น และมีการเรียกทีมงานทั้งหมดที่จะทำโปรเจคนี้กว่า 20 คนเข้ามารวมตัว แล้วยื่นคำขาดกับ ฟาเดลล์ ว่า ต้องให้ฟาเดลล์ นั้นตัดสินใจในโอกาสครั้งนี้เดี่ยวนั้น ซึ่ง มันก็เป็นเรื่องยากที่จะปฏิเสธ แม้ ตัวฟาเดลล์ จะไม่ค่อยเต็มใจนัก  ก็เสนอตอบรับมาร่วมทีมในที่สุด

รูบินสไตน์ ทำทุกวิถีทาง เพื่อให้ ฟาเดลล์ มาร่วมงานกับ apple
รูบินสไตน์ ทำทุกวิถีทาง เพื่อให้ ฟาเดลล์ มาร่วมงานกับ apple

และสุดท้าย Apple ก็ได้ว่าจ้าง ฟาเดลล์ ในปี 2001 และได้สร้างทีมพัฒนาขนาด 30 คนให้มีทั้ง Designer , Programmers รวมถึง Hardware Engineers เพื่อทำโครงการนี้ 

ช่วงเวลาไม่กี่เดือนหลังจากฟาเดลล์ เข้ามาร่วมทีม ทุกคนต่างยุ่งจนแทบจะไม่มีเวลาทะเลาะ กัน จ๊อบส์นั้นอยากให้ iPod (ชื่อที่เรียกแทนเจ้าอุปกรณ์ตัวใหม่นี้) ออกวางตลาดให้ทันช่วงคริสต์มาส์ ซึ่งมันแปลว่าต้องทำเสร็จพร้อมเปิดตัวในเดือนตุลาคม ซึ่งมันมีระยะเวลาเพียงแค่ 8 เดือน ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่บีบคั้นมาก ๆ สำหรับทุก ๆ คนภายในทีม

ตอนนั้นทีมงานต่างมองหาดูว่า มีบริษัทไหนออกแบบเครื่องเล่น MP3 ที่พอจะใช้เป็นพื้นฐานการทำงานของ Apple ได้บ้าง และได้ตัดสินใจเลือกบริษัทเล็ก ๆ ที่ชื่อ PortalPlayer ให้มาทำเป็นเครื่องต้นแบบของ Mp3 Player ของ apple

PortalPlayer นั้นมีเครื่องต้นแบบอยู่ตัวนึงที่มีขนาดเท่าซองบุหรี่ ซึ่งว่ากันว่า มันมีหน้าตาที่ดูน่าเกลียดมาก ๆ ดูเหมือนวิทยุราคาถูก ที่มีปุ่มเยอะ ๆ ซึ่งมันเป็นที่เข้าใจได้เพราะว่า บริษัท PortalPlayer เป็นบริษัทฮาร์ดแวร์ ผลิตภัณฑ์ทุกตัวจึงถูกออกแบบโดย Hardware Engineer

PortalPlayer 5002 ที่ใช้เป็นต้นแบบของ iPod รุ่นแรก
PortalPlayer ที่เป็นแหล่งผลิตเครื่องเล่นให้กับหลาย ๆ บริษัท มาเป็นต้นแบบของ iPod Gen1

แต่ฟาเดลล์ เห็นตรงกันข้าม เมื่อเขาได้เห็นเจ้าเครื่องตัวนี้ เขารู้สึกทึ่งมาก และคิดว่านี่แหละจะเป็นตัวต้นแบบของ iPod ที่ apple จะสร้างขึ้นมา โดยขณะนั้น PortalPlayer นั้นมีลูกค้าอยู่ถึง 12 ราย และหนึ่งในนั้นคือ IBM ที่ถือว่าเป็นคู่แข่งร่วมวงการกับ apple โดย IBM นั้นกำลังแอบซุ่มทำเครื่องเล่น MP3 ที่ใช้ฮาร์ดดิสก์ ขนาดเล็กของ IBM อยู่

ซึ่งฟาเดลล์ ก็ได้บีบให้ PortalPlayer ทิ้งลูกค้า 12 รายที่เหลือไป และให้มาร่วมงานกับ apple เพียงบริษัทเดียว ด้วยข้อเสนอ ที่ PortalPlayer มิอาจปฏิเสธได้ลง และเพิ่มทีมงานจนกลายเป็นทีมขนาดใหญ่ ด้วยจำนวนคนถึง 200 คนที่อยู่ในอเมริกา และ เหล่า Engineer อีก 80 คนในอินเดีย เพื่อเร่งทำให้มันเสร็จก่อนคริสมาสต์

ตอนนี้ เรียกได้ว่า iPod หรือ อุปกรณ์เครื่องเล่น MP3 ตัวใหม่ของ apple ได้ทีมงานที่เพียบพร้อมแล้ว โดย PortalPlayer นั้นจะดูแลเรื่อง Hardware , จ๊อบส์ และ ไอฟฟ์ นั้นจะมาดูแลเรื่อง “User Experience” โดยมี ฟาเดลล์ เป็นหัวเรือหลักในการคุมโปรเจ็คนี้

แต่ทุกอย่างมันก็ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด มันมีข้อบกพร่องมากมายกับเจ้าเครื่อง PortalPlayer ไม่ว่าจะเป็น User Interface ที่ดูซับซ้อน หรือข้อจำกัดในการทำ Playlist ที่ได้ไม่เกิน 10 เพลงเท่านั้น จ๊อบส์ , ฟาเดลล์ และทีมงาน จะจัดการอย่างไรกับปัญหาที่เกิดขึ้นกับเจ้า iPod โครงการที่ ฟาเดลล์ เคยพูดไว้ว่า “โครงการนี้จะปั้น Apple ขึ้นใหม่ และอีก 10 ปีจากนี้ไป Apple จะกลายเป็นบริษัทเพลง ไม่ใช่บริษัทคอมพิวเตอร์”  จะเกิดอะไรขึ้นกับ apple ต่อจากนี้ โปรดติดตามตอนต่อไป

–> อ่านตอนที่ 9 :Let’s Build It

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :The Second Coming  *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Steve Jobs ผู้สร้าง iPod ตอนที่ 7 : iTunes

เมื่อถึงปี 2000 เป็นปีที่เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นกับตลาดขายแผ่น ซีดีเปล่าของประเทศอเมริกา เพียงปีนี้ ปีเดียว บริษัทขายซีดี สามารถจำหน่ายซีดีเปล่าออกไปได้ถึง 320 ล้านแผ่น ทั้งที่ประชากรของประเทศสหรัฐอเมริกา มีเพียงแค่ 281 ล้านคน ในขณะนั้น

และอย่างที่เกริ่นไปในตอนที่แล้ว ธุรกิจเพลง กำลังจะกลายเป็นธุรกิจใหม่ที่มีขนาดใหญ่โตมหึมา การเกิดขึ้นของไดร์ฟที่ใช้ในการ rip และ burn CD เพลงจากคอมพิวเตอร์ลงแผ่นนั้น มันกลายเป็น Trend ใหม่ของเหล่านักฟังเพลงทั่วสหรัฐอเมริกา และมันมีการเกิดขึ้นของ Napster บริการแชร์ไฟล์ ชื่อดัง ที่แม้จะไม่ถูกกฏหมายเสียทีเดียว แต่ตอนนี้ โอกาสในตลาดเพลงของสหรัฐอเมริกา มันเกิดขึ้นแล้ว และ จ๊อบส์ ไม่รอช้าที่จะกระโจนเข้าสู่ธุรกิจนี้

การ Burn CD เพลงกลายเป็น Trend ใหม่ของนักฟังเพลง
การ Burn CD เพลงกลายเป็น Trend ใหม่ของนักฟังเพลง

ซึ่งต้องบอกว่า หลังจากที่จ๊อบส์กลับมาในรอบสองนั้น idea ของจ๊อบส์ที่เด่น ๆ คือ iMac เพียงเท่านั้น แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงหน้าร้อนของปี 2000 ซึ่งเป็นเวลา 2 ปีหลังจากมันถูกนำออกสู่ตลาด บริษัทกลับขาย iMac ได้เพียง 500,000 เครื่องเท่านั้น ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าที่ประมาณการ เครื่อง iMac หลากสีสัน ของ apple นั้นตกรุ่นอย่างรวดเร็ว เพราะตลาดมันเริ่มเข้าสู่จุดอิ่มตัวอย่างเห็นได้ชัด

และมันถึงเวลาที่จ๊อบส์ นั้นต้องเข้าสู่ธุรกิจเพลงแบบจริง ๆ จัง  ๆ โดยเขาได้เริ่มจากการเพิ่มไดร์ฟ ที่ใช้ในการ burn CD เพลงลงไปในเครื่อง iMac แม้จะเป็นเวลาที่ช้าไปหน่อยที่เพิ่งคิดจะมาติดตั้งไดร์ฟดังกล่าว และยังทำการอัพเดทระบบปฏิบัติการ OSX ให้รองรับการทำงานนี้ ซึ่งมันเป็นก้าวที่ทำให้ Mac ตามชาวบ้านเขาทันเสียที

iMac พร้อมไดร์ฟที่ใช้ rip burn เพลงลง CD
iMac พร้อมไดร์ฟที่ใช้ rip burn เพลงลง CD เพื่อเข้าสู่ตลาดเพลงเต็มตัว

แต่แค่นั้นยังไม่พอ เขาคิดว่าตอนนี้การถ่ายเพลงจากซีดี ไปยังคอมพิวเตอร์ นั้นมันยังยุ่งยากมากสำหรับผู้ใช้งานทั่วไป เขาตั้งเป้าที่จะสร้างซอฟท์แวร์ ที่จะทำให้การบริหารจัดการ และ burn เพลง หรือการสร้าง playlist เพลงนั้น ใช้งานง่ายกว่าที่มีอยู่ในตลาดในขณะนั้น

มันเป็นความสามารถที่แสนพิเศษอย่างหนึ่งของจ๊อบส์เลยก็ว่าได้ ในการเล็งเห็นตลาดที่มีผลิตภัณฑ์รองบ่อนอยู่จำนวนมากในตลาด เขาไล่มองดูซอฟท์แวร์ ที่มีอยู่ในตลาดในขณะนั้น ทั้ง Real Jukebox , Windows Media Player หรือ ซอฟท์แวร์ ที่ HP พ่วงไปกับไดร์ฟเบิร์น CD ของตัวเอง ซึ่ง ทั้งหมดเหล่านี้ มันซับซ้อน และใช้งานยาก เกินกว่าผู้ใช้งานทั่วไปจะใช้ได้

ซอฟท์แวร์ในตลาดอย่าง Windows Media Player ใช้งานยุ่งยากมาก
ซอฟท์แวร์ในตลาดอย่าง Windows Media Player ใช้งานยุ่งยากมาก

และชายคนหนึ่งที่ชื่อ  บิล คินเคด กำลังจะเข้ามามีบทบาทในส่วนนี้ เขาเคยเป็นวิศวกรรมซอฟท์แวร์ ที่ Apple และเป็นคนที่ชอบประลองความเร็วในสนามแข่ง  ในขณะที่เขาขับรถ วันหนึ่งเขาได้เปิดวิทยุสถานี National Public Radio ฟัง และได้ยินข่าวจากวิทยุว่า มีเครื่องเล่นเพลงแบบพกพา ที่ชื่อว่า Rio ซึ่งเล่นเพลงจากไฟล์ MP3 แต่ ข่าวร้ายก็คือ มันใช้ได้เฉพาะในระบบปฏิบัติการ Windows เท่านั้น ซึ่งคินเคด ก็คิดว่า ถึงเวลาที่เขาต้องแสดงฝีมืออีกครั้ง โดยทำให้มันสามารถเล่นบน Mac ได้

คิดเคด ได้โทรหาเพื่อนคือ เจฟฟ์ ร็อบบิน และ เดฟ เฮลเลอร์ ซึ่งทั้งสองนั้นเคยเป็นอดีตวิศวกรของซอฟท์แวร์ ของ apple เหมือนกัน และขอให้ทั้งสองคนช่วยเขียนโปรแกรมจัดระเบียบเพลงคล้าย ๆ Rio Manager เพื่อใช้งานสำหรับเครื่อง Mac

หลังจากใช้เวลาเพียงไม่นาน ทั้งสามก็ทำเสร็จ โดยผลงานของพวกเค้าที่ทำออกมานั้นมีชื่อว่า SoundJam มันมี User Interface ที่เรียบง่าย และ ทำให้สาวกชาว Mac สามารถใช้งานเจ้าเครื่อง Rio ได้ โดยโปรแกรม SoundJam นั้น จะทำหน้าที่คล้ายตู้เพลงหยอดเหรียญ ที่คอยจัดเก็บ และจัดระเบียบเพลงไว้ในคอมพิวเตอร์ โดยเวลาใช้งานจะมีแสงวูบวาบบนจอ ช่วยสร้างความเพลิดเพลินระหว่างฟังเพลง

โปรแกรม SoundJam บน Mac ที่กลายร่างมาเป็น iTunes
โปรแกรม SoundJam บน Mac ที่กลายร่างมาเป็น iTunes

และเมื่อถึงเดือน กรกฏาคม ปี 2000 ระหว่างที่จ๊อบส์กำลังเคี่ยวเข็ญลูกทีม ให้พัฒนาซอฟท์แวร์สำหรับบริหารจัดการเพลง Apple ก็ได้ทำการเข้าซื้อกิจการของ SoundJam และพาทั้งสามสหายผู้ก่อตั้งมาทำงานที่ Apple เสียเลย เป็นการลดเวลาในการพัฒนาซอฟท์แวร์ตัวใหม่

จ๊อบส์ ได้ลงมาคลุกคลี ทำงานร่วมกับทั้งสามคนด้วยตัวเอง เพื่อเปลี่ยน SoundJam ให้เป็นผลิตภัณฑ์ของ Apple ซอฟท์แวร์ตัวนี้ อัดแน่ไปด้วยโปรแกรมทำงานนานาชนิด จึงมีหลายหน้าต่าง ยุ่งเหยิงไปหมด จ๊อบส์สั่งการให้ทั้งสามออกแบบใหม่หมด ให้ดูใช้งานง่ายขึ้น สนุกขึ้น แทนที่ จะต้องให้ผู้ใช้ระบุว่าต้องการค้นหาชื่อศิลปิน หรือ ชื่อเพลง หรือ ชื่ออัลบั้ม จ๊อบส์ ให้ปรับให้เหลือช่องค้นหาเพียงกล่องเดียวเท่านั้น ให้ใช้งานง่ายที่สุด ผู้ใช้ทั่วไปสามารถใช้งานได้ทันที โดยไม่ต้องพึ่งคู่มือการใช้งาน และตั้งชื่อมันใหม่ว่า iTunes

การเปิดตัว iTunes ครั้งแรกต่อสาธารณะชน นั้นเกิดขึ้นในงาน Macworld เดือนมกราคม ปี 2001 มันเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ ดิจิตัลฮับ ของจ๊อบส์ และ ปล่อยให้ดาวน์โหลด ไปใช้งานได้ฟรี ๆ สำหรับผู้ใช้งาน Mac ทุกคน โดยใช้สโลแกน สั้น ๆ ง่าย ๆ ว่า “Rip. Mix. Burn.”

iTunes 1.0 ออกสู่ตลาด นำ apple เข้าสู่ตลาดเพลงแบบเต็มตัว
iTunes 1.0 ออกสู่ตลาด นำ apple เข้าสู่ตลาดเพลงแบบเต็มตัว

จ๊อบส์ ได้กล่าวในงานกับสาวก “มาร่วมปฏิวัติวงการเพลงกับ iTunes และทำให้อุปกรณ์เล่นเพลงของคุณมีค่ามากขึ้น 10 เท่า”  เขากล่าวบนเวที และ เรียกเสียงปรบมือเกรียวกราว จากเหล่าสาวก Apple ภายในงาน Macworld

และในที่สุด apple ก็มีซอฟท์แวร์ดนตรีกับเขาเสียที แต่สิ่งนี้จะช่วยให้บริษัทดีขึ้นได้จริงหรือไม่? หลังจาก 25 ปีผ่านไปจากการก่อตั้ง apple นั้น ดนตรีจะเป็นคำตอบที่แท้จริงของการเข้าสู่ยุคใหม่ของ apple ได้หรือไม่? โปรดติดตามตอนต่อไป 

–> อ่านตอนที่ 8 : The PodFather

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :The Second Coming  *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Steve Jobs ผู้สร้าง iPod ตอนที่ 6 : The Magical Port

ไม่ว่าจะเป็นในยุคไหน หรือ สมัยใดก็ตาม เวลาของมนุษย์เรานั้น ก็มีเพียงแค่ 24 ชั่วโมงเท่าเดิม และทุก ๆ คนนั้นมีเวลาเท่าเทียมกัน มันเป็นกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ ที่ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงความจริงในข้อนี้ได้

หากเราย้อนเวลากลับไปในช่วงยุคปลายของ ค.ศ. 1990 การถ่ายโอนข้อมูลต่าง ๆ เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์นั้น โดยเฉพาะข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ อย่าง ข้อมูลเพลง รูปภาพ หรือ วีดีโอ มันต้องใช้เวลานานมาก ๆ กับการที่ผู้คนจะนำเอาข้อมูล ดิจิตอล ไลฟ์สไตล์ เหล่านี้ลงไปยังคอมพิวเตอร์

และแทบไม่ต้องพูดถึงการ upload ขึ้นระบบ internet ซึ่งยุคนั้น ยังเป็นช่วงที่ใหม่มากสำหรับ internet บริษัทอย่าง google ก็เพิ่งเปิดตัวมาได้ไม่นาน ยังไม่ได้ใช้งานแพร่หลายทั่วโลกเหมือนปัจจุบัน  แทบจะยังไม่มีการใช้งาน internet แบบ hi-speed มีคนไม่มากนักที่จะได้เข้าถึง internet การใช้งานส่วนใหญ่เป็นการเชื่อมต่อผ่าน modem ที่มีความเร็วเพียง 56kbps ซึ่งถ้าเทียบกับปัจจุบัน ที่มีความเร็วระดับ 100 Mbps ใช้กันทั่วบ้านทั่วเมืองนั้น ต้องบอกว่ามันแตกต่างกันมาก ๆ แบบเทียบกันไม่ติด

ในยุคนั้นยังใช้ internet ผ่าน modem ความเร็ว 56kbps
ในยุคนั้นยังใช้ internet ผ่าน modem ความเร็ว 56kbps

วิสัยทัศน์ของ จ๊อบส์ ที่ว่า คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลสามารถที่จะผันตัวไปเป็น ดิจิตอลฮับส่วนตัวได้นั้น มันเริ่มต้นมาจากเทคโนโลยีที่ชื่อ FireWire ที่ apple ได้พัฒนาขึ้นในต้นทศวรรษ 1990 

FireWire เป็นซีเรียลพอร์ต ที่สามารถจะถ่ายโอนข้อมูลขนาดใหญ่ เช่น ไฟล์ วีดีโอ จากอุปกรณ์หนึ่ง ไปยังอีกอุปกรณ์หนึ่งด้วยความเร็วสูง ซึ่งในตอนนั้น ผู้ผลิตกล้องหลายรายในญี่ปุ่น เลือกจะนำเอาเทคโนโลยีนี้ไปใช้ และ จ๊อบส์ นั้นก็ได้ตัดสินใจที่จะบรรจุ FireWire Port นี้ไปในเครื่อง iMac เวอร์ชั่น ที่จะออกตลาดในเดือน ตุลาคม ปี 1999

FireWire Port ที่สามารถ transfer ข้อมูลได้เร็วถึง 400 Mbps
FireWire Port ที่สามารถ transfer ข้อมูลได้เร็วถึง 400 Mbps

ในตอนนั้น iMac ยังขาดซอฟต์แวร์ ตัดต่อวีดีโอชั้นเยี่ยม จ๊อบส์ จึงได้โทรติดต่อไปหาเกลอเก่าที่ Adobe บริษัทดิจิตอลกราฟิก ที่เขาช่วยให้สามารถแจ้งเกิดได้ เพื่อขอให้ Adobe ช่วยพัฒนาซอฟต์แวร์ Adobe Premiere ซึ่งขณะนั้น กำลังเป็นที่นิยมมากในหมู่ผู้ใช้งาน Windows ของ Microsoft

และเนื่องจาก ผู้ใช้ Mac ในขณะนั้น ยังมีน้อยเกินไป ทางผู้บริหารของ Adobe จึงปฏิเสธจ๊อบส์ อย่างไม่ใยดี ยิ่งกว่านั้น ยังปฏิเสธ ไม่ยินยอมเขียนโปรแกรมยอดฮิต อย่าง Photoshop และ Quark สำหรับระบบปฏิบัติการ Mac OSX แม้ว่าตัวเครื่อง Macintosh นั้นจะเป็นที่นิยมในหมู่นักออกแบบ และคนทำงานด้านครีเอทีฟ ที่ล้วนเป็นผู้ใช้งานหลักของ ซอฟต์แวร์เหล่านี้ก็ตาม มันทำให้จ๊อบส์ โมโหมาก และ รู้สึกเหมือนกำลังถูกหักหลัง เพราะเค้าเป็นคนเปิดโอกาสให้ Adobe ได้แจ้งเกิดในช่วงแรก ๆ ของการก่อตั้งบริษัท

และการถูกปฏิเสธครั้งนี้ ทำให้ จ๊อบส์ ได้รับบทเรียนที่สำคัญ คือ ไม่ควรไปทำธุรกิจใด ๆ โดยไม่สามารถควบคุมทั้งฮาร์ดแวร์ และ ซอฟต์แวร์ ไม่อย่างงั้นจะเจ็บตัวทุกที ซึ่งแนวคิดดังกล่าวก็ยังสืบทอดจนมาถึงปัจจุบัน ที่ apple มักจะ control ecosystem ของตัวเองไว้ทุกอย่าง

ดังนั้น ตั้งแต่ปี 1999 เป็นต้นมา apple จึงได้เริ่มสร้างซอฟต์แวร์สำหรับเครื่อง Mac ด้วยตัวเอง โดยกลุ่มเป้าหมายของ apple คือ กลุ่มคนที่อยู่ ณ จุดบรรจบระหว่างศิลปะ กับ เทคโนโลยี ซึ่ง ซอฟต์แวร์ เหล่านี้ประกอบไปด้วย Final Cut Pro สำหรับตัดต่อวีดีโอสำหรับมืออาชีพ iMovie ซึ่งทำหน้าที่คล้าย ๆ กัน แต่ใช้สำหรับผู้บริโภคทั่วไป iDVD สำหรับบันทึกวีดีโอ หรือ เพลงลงแผ่น CD , iPhoto ซึ่งตั้งใจออกมาแข่งกับ Adobe Photoshop โดยตรง  GarageBand สำหรับทำเพลงและมิกซ์เพลง และสุดท้ายและสำคัญอย่างยิ่งต่ออุปกรณ์เครื่องเล่นเพลงแบบพกพาตัวใหม่ของ apple คือ iTunes ที่ใช้สำหรับจัดระเบียบไฟล์เพลง ซึ่งมี iTunes Store สำหรับใช้ในการซื้อเพลงแบบดิจิตอล

ชุด ซอฟต์แวร์สามัญประจำเครื่อง mac ที่ apple ต้องสร้างขึ้นมาเองทั้งหมด
ชุด ซอฟต์แวร์สามัญประจำเครื่อง mac ที่ apple ต้องสร้างขึ้นมาเองทั้งหมด

ซึ่งเครื่องมือต่าง ๆ เหล่านี้นั้น ทำให้คนสามารถสร้างสรรค์งานที่แสดงออกถึงตัวตนได้ และสร้างสิ่งที่มีความหมายทางอารมณ์ และมันกำลังจะทำให้คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งนึงเลยทีเดียว

และมีเพียง apple บริษัทเดียวเท่านั้น ที่อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะที่สุดที่จะทำงานนี้ คู่แข่งอย่าง Microsoft นั้นผลิตเพียง ซอฟต์แวร์เพียงอย่างเดียว ส่วน Dell และ Compaq นั้นผลิตฮาร์ดแวร์ Sony นั้นทำอุปกรณ์ดิจิตอลหลากหลายประเภทไปหมด ส่วน Adobe นั้นทำได้เพียงพัฒนาแอพพลิเคชันมากมายเท่านั้น

แต่มีเพียง apple เท่านั้น ที่ทำทุกอย่างที่กล่าวมาได้ apple เป็นบริษัทเพียงแห่งเดียวที่เป็นเจ้าของหมดทุกอย่าง ทั้ง ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และ ระบบปฏิบัติการ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลทำให้ apple นั้นสามารถที่จะ control ประสบการณ์ของผู้ใช้งานได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นสิ่งที่บริษัทอื่นทำไม่ได้อย่างที่ apple ทำอย่างแน่นอน

apple สามารถควบคุมได้หมดทั้ง ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และระบบปฏิบัติการ
apple สามารถควบคุมได้หมดทั้ง ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และระบบปฏิบัติการ

แม้มีสิ่งนึง ที่จ๊อบส์มองพลาดไป คือ ในช่วงนั้น HP และ บริษัทอื่นอีก 2-3 บริษัท กำลังผลิตไดร์ฟ ที่สามารถเบิร์นซีดีเพลงได้ แต่จ๊อบส์นั้นยืนกรานอย่างหนักแน่นให้กำจัดดิสก์ไดร์ฟ แบบถาดที่ดูน่าเกลียดเหล่านี้ออกจากเครื่อง iMac แล้วใส่ไดร์ฟแบบสอดแผ่นซีดีเข้าไปแทน ซึ่งมันทำให้ไม่สามารถใส่ไดร์ฟ ที่สามารถเบิร์นซีดีเพลงลงไปได้ในเครื่อง iMac 

แต่คุณสมบัติของบริษัทที่สร้างนวัตกรรม ไม่ได้อยู่เพียงแค่การสร้างไอเดียใหม่ ๆ เป็นรายแรกเพียงอย่างเดียวเพียงเท่านั้น แต่อยู่ที่การรู้ว่า เมื่อตกเป็นฝ่ายตามหลัง จะต้องทำอย่างไรถึงจะกระโดดข้ามคู่แข่งได้ด้วยต่างหาก

และแน่นอน การที่จะกระโดดข้ามคู่แข่งที่นำหน้าไปได้แล้ว นั้นจ๊อบส์ ก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ บริษัทมาอยู่ในลู่วิ่งของการแข่งขันอีกครั้ง ตอนนั้น ถือว่ายังไม่มีใครที่สามารถคลองตลาดแบบเบ็ดเสร็จได้อย่างชัดเจน และเขาก็เริ่มจะตระหนักได้แล้วว่า ในไม่ช้าเพลงจะกลายเป็นธุรกิจขนาดใหญ่มหึมา เนื่องมาจาก หลังจากปี 2000 คนคัดลอกเพลงจากซีดีใส่คอมพิวเตอร์ หรือ ดาวน์โหลดจากบริการแชร์ไฟล์เพลงอย่าง Napster แล้วบันทึกเพลงที่น่าสนใจลงใน CD แผ่นเปล่าๆ   กันอย่างแพร่หลาย แล้ว จ๊อบส์ จะทำอย่างไรกับ ตลาดใหม่ ที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งเป็นตลาดที่คาดว่าจะใหญ่โต และเติบโตอย่ารวดเร็วที่สุดตลาดหนึ่งของโลกเรา  จ๊อบส์จะทำอย่างไรกับธุรกิจเพลงนี้ โปรดติดตามตอนต่อไป

อ่านตอนที่ 7 : iTunes

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :The Second Coming  *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Steve Jobs ผู้สร้าง iPod ตอนที่ 5 : Digital Hub

สถานการณ์ของ apple เริ่มกลับมาดูดีขึ้นอีกครั้ง หลังจากทำยอดขายได้ถล่มทลายจากผลิตภัณฑ์ตัวชูโรงตัวใหม่ อย่าง iMac ซึ่งเป็นผลงานการรังสรรค์ ที่ผสมผสานความงดงามด้านศิลปะ จาก ไอฟฟ์ และ โครงสร้างพื้นฐานทางวิศวกรรมที่แข็งแกร่ง ไร้ที่ติ จาก จ๊อบส์

การได้ ทิม คุก เข้ามาจัดการเรื่องซัพพลายเชน ของ apple ทำให้สถานการณ์ทางการเงินดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เรียกว่าเพียงไม่กี่ปีที่จ๊อบส์ เข้ามาทำงานอย่างหนักเพื่อปรับเปลี่ยนหลาย ๆ อย่างใน apple ในรอบสองนี้ มันกำลังเริ่มเห็นผลลัพธ์ ทุกอย่างกำลังเดินหน้าไปในทิศทางที่ดี ซึ่งมันแสดงให้เห็นชัดเจนอย่างยิ่งในเรื่องตัวเลข ของรายได้ และ กำไรของบริษัท apple ที่รายงานต่อสาธารณะชน

ได้ทิม คุก keyman คนสำคัญมาช่วยด้านซัพพลายเชน และการผลิต
ได้ทิม คุก keyman คนสำคัญมาช่วยด้านซัพพลายเชน และการผลิต

และในทุก ๆ ปี จ๊อบส์ จะพาพนักงานที่มีความสำคัญที่สุดไปเข้าค่ายประชุม และพักผ่อนนอกสถานที่ร่วมกัน ซึ่งเขาเรียกงานนี้ว่า “The Top 100”  ซึ่งเหล่า 100 คนที่ได้ถูกคัดเลือกนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นผู้บริหารหรือวิศวกรหัวกะทิระดับแนวหน้าของ apple แทบจะทั้งสิ้น

ซึ่งการเข้าค่ายในทุก  ๆ ปี ก็จะมีการรวมหัวกันคิดว่า apple ควรจะทำอะไรเป็นลำดับถัดไป โดยให้มีการ ลิสต์ 10 หัวข้อที่ apple ควรจะทำต่อจากนี้คืออะไร?  แล้วให้ผู้บริหารและพนักงานหัวกะทิ เหล่านี้ ถกเถียงกัน โดยจ๊อบส์ จะคอยเป็นกรรมการ และยังคอยช่วยคัดกรองหัวข้อที่เขาคิดว่า “ไม่ได้เรื่อง” ออกไปทีละหัวข้อ และสุดท้าย มันจะเหลือเพียง 3 หัวข้อที่ทั้งหมดสรุปกันว่าน่าจะทำได้เท่านั้น

ก้าวเข้าสู่ปี 2001 Apple ก็สามารถที่จะกอบกู้ผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลของบริษัทให้กลับมาฟื้นคืนชีพได้อีกครั้ง และตอนนี้มันถึงเวลาที่จะต้องคิดต่าง รายการลำดับต้น ๆ จากการเข้าค่าย “The Top 100” นั้น มันกำลังจะกลายเป็นโครงการลำดับถัดไปของ apple เพราะสถานการณ์ต่าง ๆ ในบริษัท เริ่มกลับมาอยู่ในภาวะปรกติแล้ว

ถึงเวลาที่ apple ต้องคิดต่าง เพื่อเข้าสู่ยุคใหม่
ถึงเวลาที่ apple ต้องคิดต่าง เพื่อเข้าสู่ยุคใหม่

ในขณะนั้น วงการเทคโนโลยี อยู่ในสภาวะ มืดมนเต็มที เกิดฟองสบู่ ดอทคอม ขึ้นในปี 2000 บริษัท it ใน ซิลิกอน วัลเลย์ โดยเฉพาะ startup หน้าใหม่ อยู่ในสภาวะล้มละลาย นักลงทุนเริ่มหนีหาย ตลาดหุ้น NASDAQ หล่นฮวบไปกว่า 50% จากยุคที่เคยเฟื่องฟูแบบสุด ๆ และมันถึงจุดอิ่มตัวของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลแล้ว

Digital Hub

และจ๊อบส์ ก็ได้เปิดวิสัยทัศน์ใหม่ โดย จะแปลงโฉม apple โดยทำการปรับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลให้กลายเป็นศูนย์กลางของกิจกรรมดิจิตอล หรือ “ดิจิตอลฮับ” มันจะปรับหน้าที่ของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ให้คอยประสานงานอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เป็น ดิจิตอล ตั้งแต่เครื่องเล่นเพลง กล้องวิดีโอ ไปจนถึง กล้องถ่ายรูป โดยให้คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเป็นศูนย์กลาง ให้อุปกรณ์ต่างๆ  เหล่านี้เข้ามาเชื่อมต่อ

จ๊อบส์ เปิดวิสัยทัศน์ใหม่ หลังจากบริษัทเริ่มกลับมาอยู่ในสภาวะปรกติ
จ๊อบส์ เปิดวิสัยทัศน์ใหม่ หลังจากบริษัทเริ่มกลับมาอยู่ในสภาวะปรกติ

คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล จะกลายเป็นอุปกรณ์ ที่คอยจัดการเพลง แสดงภาพ วีดีโอ หรือ ข้อมูลทางดิจิตอลต่าง ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่จ๊อบส์ เรียกมันว่า “ไลฟ์สไตล์แบบดิจิตอล” ซึ่งจะเป็นรากฐานที่สำคัญของ apple ในยุคต่อไป

apple นั้นจะไม่เป็นเพียงแค่บริษัทคอมพิวเตอร์เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป โดยจ๊อบส์ ได้ตัดคำว่า คอมพิวเตอร์ ออกจากชื่อบริษัทด้วย โดยเครื่อง Mac นั้นจะผันตัวเองมาเป็นศูนย์กลางสำหรับอุปกรณ์ใหม่ ๆ อีกหลากหลาย รูปแบบ 

ให้ Mac เป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อกับ อุปกรณ์ ดิจิตอลทั้งหลาย
ให้ Mac เป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อกับ อุปกรณ์ ดิจิตอลทั้งหลาย

มันมีหลายสาเหตุ ที่ทำให้จ๊อบส์ นั้นสามารถมองเห็น และอ้าแขนรับยุคใหม่แห่งการปฏิวัติ ดิจิตัล ได้ดีกว่าคนอื่น ๆ จ๊อบมีทั้งส่วนประกอบของศิลปศาสตร์และเทคโนโลยี เขารักเสียงเพลง รูปภาพ วีดีโอ และยังรักคอมพิวเตอร์อีกด้วย

ซึ่งหัวใจของวิสัยทัศน์ใหม่ของจ๊อบส์ ในเรื่อง ดิจิตอลฮับ คือ การเป็นตัวเชื่อมความนิยมชมชอบที่เขามี กับ ความคิดสร้างสรรค์ทั้งทางศิลปะและงานวิศวกรรม ที่มีการหลอมรวมกันได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด

ในตอนท้ายของการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ทุก ๆ ครั้ง จ๊อบส์ จะฉายสไลด์ เป็นรูปจุดที่มีการบรรจบระหว่างความเป็น “ศิลปศาสตร์” กับ “เทคโนโลยี” และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงคิดเรื่องดิจิตอลฮับได้ก่อนใครเพื่อน และเขาจะกำลังจะนำพา apple ก้าวไปยังจุดนั้นให้ได้

และด้วยความที่จ๊อบส์ นั้นเป็นคนที่รักในความสมบูรณ์แบบ เขาจึงรู้ว่า ต้องมีการบูรณาการทุกแง่มุมของผลิตภัณฑ์ เข้าด้วยกัน ทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ คอนเทนต์ และ การตลาด ซึ่งจะทำให้ apple เป็นฝ่ายได้เปรียบ ในโลกยุค ดิจิตอลฮับ เพราะ เขาสามารถ control ทุกอย่างได้ใน ecosystem ของเขา ข้อมูล หรือ คอนเทนต์ ในอุปกรณ์พกพาต่าง ๆ จะถูกควบคุมโดยคอมพิวเตอร์ของ apple ได้อย่างแนบเนียนแบบไม่สะดุด

ซึ่งตอนนี้ มันถึงเวลาแล้ว ที่เขาจะต้อง ทุ่มเทหมดหน้าตัก กับวิสัยทัศน์ใหม่ดังกล่าว ฟองสบู่ดอตคอมที่แตกไป ทำให้บริษัทเทคโนโลยีอื่น ๆ ต้องเริ่มระมัดระวังในเรื่องการลงทุนกับผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ซึ่งนี่เป็นช่องว่างที่สำคัญ ที่จะเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสของบริษัทอย่าง apple

เน้นทุ่มเทให้กับงานวิจัยและพัฒนา ในช่วงวิกฤต เพื่อฉีกหนีคู่แข่ง
เน้นทุ่มเทให้กับงานวิจัยและพัฒนา ในช่วงวิกฤต เพื่อฉีกหนีคู่แข่ง

จ๊อบส์ จึงตัดสินใจที่จะใช้วิธีลงทุนตลอดระยะเวลาที่เศรษฐกิจกำลังตกต่ำในขณะนั้น  ในช่วงเวลาที่คู่แข่งต่าง ๆ กำลังเก็บตัวเงียบ เขาได้ทุ่มเงินให้กับงบในการวิจัย และพัฒนา ประดิษฐ์นวัตกรรมใหม่ ๆ ออกมา และเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นมา apple ก็จะนำหน้าคู่แข่งไปไกลทันที ซึ่งจะเป็นที่มาของทศวรรษอันยิ่งใหญ่แห่งนวัตกรรมที่ยั่งยืนที่สุดของบริษัท apple ในยุคใหม่

ต้องบอกว่า มันเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมมากจริง ๆ สำหรับ apple ในขณะที่บริษัทเทคโนโลยีอื่น ๆ กำลังชะลอการลงทุนในผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ มันเป็นช่องว่างที่สำคัญ ที่จะทำให้ apple กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง และ นั่นเป็นที่มาของการสร้างนวัตกรรม ที่จะเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของความยิ่งใหญ่ของ apple ที่จะเกิดขึ้นในยุคหลังจากนั้น เพราะจ๊อบส์กำลังที่จะสร้าง อุปกรณ์เล่นเพลงแบบพกพา ที่ตอนนั้นแทบทุกยี่ห้อล้วนมีปัญหาใช้งานยาก และมี user interface ที่ซับซ้อน  แล้วจ๊อบส์นั้น จะสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาได้อย่างไร วิสัยทัศน์ เรื่อง ดิจิตอลฮับนั้น จะเปลี่ยนแปลง apple ไปได้แค่ไหน โปรดติดตามตอนต่อไป

–> อ่านตอนที่ 6 : The Magical Port

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :The Second Coming  *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ