ประวัติ Tim Cook ตอนที่ 1 : The Death of God

ในวันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม ปี 2011 Tim Cook ได้รับโทรศัพท์ที่จะเปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล เมื่อ Jobs ที่อยู่ปลายสาย ขอให้เขามาที่บ้าน ซึ่งในขณะนั้น Jobs ได้พักฟื้นจากการรักษาโรคมะเร็งตับอ่อน และเพิ่งได้รับการปลูกถ่ายตับไปก่อนหน้านั้นไม่นาน

เมื่อ Cook มาถึงบ้านของ Jobs ในพาโล อัลโต Jobs ได้บอกกับ Tim Cook ว่า ต้องการให้เขารับตำแหน่ง CEO ของ Apple ซึ่ง jobs มีแผนที่จะก้าวลงจากตำแหน่ง CEO เพื่อขึ้นไปเป็นประธานของบริษัท ซึ่งสถานการณ์ในตอนนั้นแม้ตัว Jobs เองจะยังเชื่อว่าเขาจะอยู่รอดได้อีกนานก็ตาม แต่เขาอยากที่จะเกษียณอายุก่อนกำหนด และหาแนวทางในการทำงานร่วมกับ Cook ในตำแหน่ง ประธานบริษัท

ซึ่ง Jobs ต้องการให้ Tim Cook ตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ของ Apple ทั้งหมดแทนเขา แม้ว่าโดยทางปฏิบัติ ณ ช่วงเวลานั้น Cook ก็ดูแลงานทุกอย่าง Operation แต่ละวันแทน Jobs แทบจะทั้งหมดแล้วในบทบาท COO ของเขา

แม้ในตอนแรก บอร์ดของ Apple ก็มีความลังเล โดยมีข่าวลือว่าบอร์ดเองก็ต้องการคนนอก มาแทน Jobs ในตำแหน่ง CEO แต่บอร์ดของ Apple ก็คือ บอร์ดของ Jobs ทุกคนต่างเชื่อฟัง Jobs เพราะ Jobs คุมเสียงทั้งหมดไว้ตั้งแต่เขาก้าวเข้ามาสู่ Apple ในคำรบสองในปี 1995

และตัว Jobs เองก็ต้องการคนใน ที่ได้รับวัฒนธรรมของ Apple มาอย่างดีแล้ว และเขาก็ไม่คิดว่าใครจะเหมาะสมกับตำแหน่งนี้มากกว่า Tim Cook นั่นเอง แม้หลาย ๆ คนรวมถึงสื่อต่าง ๆ จะมองไปถึง Jony Ive มากกว่า แต่ด้วยเบื้องลึกของจิตใจ Jobs เองนั้นเขารู้ดีว่า Cook เหมาะสมที่สุดที่จะพา Apple ก้าวต่อไปในอนาคตได้

Tim Cook ชายที่เหมาะสมที่สุดกับอนาคตของ Apple ในสายตา Jobs
Tim Cook ชายที่เหมาะสมที่สุดกับอนาคตของ Apple ในสายตา Jobs

หรือแม้แต่ Scott Forstall ผู้บริหารอีกคนที่มีความทะเยอทะยาน ซึ่งตอนนั้นเขารับตำแหน่งรองประธานอาวุโสของ Software iOS ซึ่งตัว Forstall เองนั้นได้ไต่เต้าขึ้นมาสู่ตำแหน่งระดับสูงจากผลงานมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Mac OS X รวมถึงประสบความสำเร็จอย่างมากกับ iPhone เนื่องจากเขาเป็นผู้นำในการดูแลการพัฒนา Software ต่าง ๆ ของ iPhone ถึงขนาดที่ว่า สำนักข่าวใหญ่อย่าง Bloomberg เคยเรียก Forstall ว่า “mini-Steve” เลยด้วยซ้ำ

ซึ่งท้ายที่สุด Cook ก็ได้รับเลือกให้มาดำรงตำแหน่ง CEO เนื่องจากตัว Cook เองก็เคยมีประสบการณ์ในการรับตำแหน่งชั่วคราว เมื่อคราวที่ Jobs หยุดงานสองครั้งในปี 2009 และ 2011 แม้ตัว Cook เองจะต่างจาก Jobs มาก แต่เขาก็บริหารบริษัทได้สำเร็จถึงสองครั้ง ทำให้ในท้ายที่สุดคณะกรรมการจึงรู้สึกว่า Cook น่าจะเป็นคนที่สามารถรักษาเสถียรภาพที่ยาวนานของ Apple ต่อไปได้หลังจากยุคของ Jobs

โดยหลังจากได้รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในฐานะ CEO Cook ก็ยอมรับว่าเขากำลังจะสานงานต่อในระบบที่ Jobs ได้สร้างเอาไว้ และจะนำพา Apple ในเส้นทางที่ Jobs ได้ปูทางไว้อย่างดีแล้วนั่นเอง และที่สำคัญในตอนนั้น Jobs เองก็ได้วางแผนการทางด้านผลิตภัณฑ์อย่างละเอียดที่จะขยายตลาดไปอีกราว ๆ 4 ปีเป็นอย่างน้อย เพื่อให้ทุกคนมั่นใจว่า Apple ยังคงจะดำเนินรอยตามสิ่งที่ Jobs ได้สร้างไว้

หลังจากนั้นไม่นานสิ่งที่ทุกคนไม่อยากให้เป็นเรื่องจริงก็เกิดขึ้น เมื่อ Jobs ได้เสียชีวิตลงในวันที่ 5 ตุลาคมปี 2011 มันทำให้ทั้งโลกสั่นคลอน ซึ่งเป็นเวลาเพียงหนึ่งเดือนหลังจากที่ Cook ได้เข้ามาดำรงตำแหน่ง CEO ของ Apple

ข่าวการเสียชีวิตของ Jobs นั้นได้สร้างความสั่นสะเทือนและความโศกเศร้าไปทั่วโลก การเสียชีวิตของตำนานนักธุรกิจ ที่มาพลิกฟื้น Apple จากกิจการที่ใกล้ล้มละลายกลายมาเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกนั้น ทำให้ทุกฝ่ายต่างอาลัยอาวรณ์กับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่มีใครอยากให้มันเป็นเรื่องจริง

เมื่อ Jobs เสียชีวิต คู่แข่งสำคัญอย่าง Microsoft ก็ลดธงลงครึ่งเสา เป็นการให้เกียรติ คู่ต่อสู้ที่ขับเคี่ยวกันมานานหลายทศวรรษ

ร้านค้า Apple Store ทั่วโลก กลายร่างเป็นสถานที่บูชาให้ Jobs ด้วยการ์ดที่แฟน ๆ ทำเพื่อระลึกถึง CEO ที่พวกเขาเทิดทูน ดอกไม้ และ เทียน เกลื่อนไปทั่วบริเวณทางเท้าด้านนอกของร้าน Apple Store ในแทบจะทุกสาขา

แฟน ๆ Apple ต่างโศกเศร้ามาไว้อาลัยที่ Apple Store ทั่วโลก
แฟน ๆ Apple ต่างโศกเศร้ามาไว้อาลัยที่ Apple Store ทั่วโลก

แต่แม้จะโศกเศร้าเพียงใด Cook ก็ต้องเดินหน้าพา Apple ก้าวต่อไปให้ได้ ภาระอันหนักอึ้งของเขายังเหลืออีกมากมาย แต่ยังถือว่าโชคดีที่ หลายเดือนหลังการตายของ Jobs ผลิตภัณฑ์ของ Apple นั้นยังเป็นที่นิยมเช่นเคย iPhone 4S มียอดสั่งซื้อถล่มทลาย โดยมียอดขายมากกว่า 4 ล้านเครื่อง ในสุดสัปดาห์แรกเพียงเท่านั้น

แต่เหล่าแฟน ๆ ของ Apple นั้นก็ยังกลัวกับอนาคตที่จะเกิดขึ้นกับบริษัท ต้องบอกว่า บทบาทของ CEO Apple ที่ Tim Cook ได้รับมานั้น เป็นตำแหน่งที่ในชีวิตคนส่วนใหญ่ไม่กล้าฝันถึง มันเป็นงานที่เสี่ยงที่สุดในโลก การเดินตามรอยเท้าของ Jobs ภายใต้แรงกดดันต่าง ๆ จากโลกภายนอกเป็นสิ่งที่น่ากังวล การทำงานกับ Apple ในฐานะ CEO ของ Cook นั้นจะเป็นงานที่มีคนจับตามองมากที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้

แน่นอนว่ามันเป็นเวลาที่น่ากลัวสำหรับ Tim Cook ในขณะที่เขาอยู่ที่ Apple มานานกว่าทศวรรษ และได้กลายมาเป็นรองประธานอาวุโสสูงสุดของ Jobs ในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการหรือ COO แต่ตอนนี้เขากำลังเผชิญกับภารกิจที่น่าเกรงขาม ในการกุมบังเหียน บริษัทที่เป็นสัญลักษณ์ที่มีแฟน ๆ ที่บ้าคลั่งที่เปรียบเหมือนเป็นดั่งศูนย์กลางของ Apple

บริษัทที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก การเผชิญกับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในการปฏิวัติการใช้ smartphone ที่กำลังขยายตัวทั่วโลกในขณะนั้น ต้องเรียกว่างานนี้ เป็นการเดิมพันครั้งสำคัญในชีวิตของชายที่ชื่อ Tim Cook เลยก็ว่าได้

แล้วเรื่องราวของ Tim Cook กว่าจะก้าวมาถึงจุด ๆ นี้มีความเป็นมาอย่างไร แล้วเขาจะนำพา Apple ไปในทิศทางไหน กับ ภาระอันหนักอึ้งที่เขาได้รับมา งานที่แทบจะพูดได้ว่า เป็นงานที่ยากที่สุดในโลก Tim Cook จะจัดการกับเรื่องทั้งหมดนี้ได้อย่างไร โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 2 : The Soul of the South

References : https://www.snopes.com/fact-check/steve-jobs-deathbed-speech/

Geek Story EP10 : How iPod Builds an Apple Empire (ตอนที่ 3 – ตอนจบ)

iPod มันกลายเป็นวัฒนธรรมใหม่ ยิ่งพวกที่คลั่งเรื่องดีไซน์ และ เหล่าสาวกของ apple ต่างหลงรัก iPod กันทั้งนั้น และ มันเริ่มแพร่ขยายลัทธิ ของ iPod กระจายไปทั่วโลก มันทำให้ iPod เป็น ไอคอน แห่งการฉีกกฏเกณฑ์ ต่าง ๆ ที่มีมาทั้งในเรื่องวิศวกรรม รวมถึง ศิลปะด้านการดีไซน์ และเพียงไม่นานก็กระโดดเข้าไปกินเรียบส่วนแบ่งการตลาดถึง 70% ของเครื่องเล่นเพลงแบบพกพาทั่วโลก

มีคนเปรียบเทียบ iPod ว่าเป็น walkman แห่งศตวรรษที่ 21 เป็น walkman แห่งยุคดิจิตอล เป็น walkman ที่ Sony นั้นลืมนึกถึง และเป็นสิ่งที่สื่อมวลชนกล่าวขวัญถึงอย่าแพร่หลายทั่วโลก

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน Podbean : http://bit.ly/3481UUl

ฟังผ่าน Apple Podcast :   https://apple.co/2lEqPPg

ฟังผ่าน Google Podcast :  http://bit.ly/2DZxLMt

ฟังผ่าน Spotify : https://spoti.fi/2LEr1YA

ฟังผ่าน Youtube :  https://youtu.be/RyhRtleJINo

ประวัติ Steve Jobs ผู้สร้าง iPod ตอนที่ 12 : GoodBye iPod

iPod มันกลายเป็นวัฒนธรรมใหม่ ยิ่งพวกที่คลั่งเรื่องดีไซน์ และ เหล่าสาวกของ apple ต่างหลงรัก iPod กันทั้งนั้น และ มันเริ่มแพร่ขยายลัทธิ ของ iPod กระจายไปทั่วโลก มันทำให้ iPod เป็น ไอคอน แห่งการฉีกกฏเกณฑ์ ต่าง ๆ ที่มีมาทั้งในเรื่องวิศวกรรม รวมถึง ศิลปะด้านการดีไซน์ และเพียงไม่นานก็กระโดดเข้าไปกินเรียบส่วนแบ่งการตลาดถึง 70% ของเครื่องเล่นเพลงแบบพกพาทั่วโลก

มีคนเปรียบเทียบ iPod ว่าเป็น walkman แห่งศตวรรษที่ 21 เป็น walkman แห่งยุคดิจิตอล เป็น walkman ที่ Sony นั้นลืมนึกถึง และเป็นสิ่งที่สื่อมวลชนกล่าวขวัญถึงอย่าแพร่หลายทั่วโลก

เปรียบได้กับ walkman แห่งศตวรรษที่ 21
เปรียบได้กับ walkman แห่งศตวรรษที่ 21

จ๊อบส์ เริ่ม ปรับให้มีการขายเพลงผ่าน iTunes Store เพื่อแบ่งส่วนแบ่งให้กับศิลปิน และค่ายเพลง เนื่องจากขณะนั้น มีการดาวน์โหลดเพลงที่ละเมิดลิขสิทธิ์ เป็นจำนวนมาก แล้วมาใช้งานกับ iPod 

เมื่อ iPod เริ่มกระจายไปยังตลาดต่าง ๆ ทั่วโลก จ๊อบส์ จึงต้องตัดสินใจครั้งสำคัญด้วยการสร้าง iTunes ในเวอร์ชั่น Windows เพื่อให้เหล่าสาวกของ Microsoft ที่มีจำนวนมหาศาลในขณะนั้น สามารถใช้งานร่วมกับ iPod ได้ เป็นการทลายกำแพง ครั้งสำคัญที่กั้น iPod ไว้กับ Macintosh

iTunes Store เพื่อแก้ปัญหาเรื่องละเมิดลิขสิทธิ์เพลงและแบ่งส่วนแบ่งให้ค่ายเพลงและศิลปินอย่างเป็นธรรม
iTunes Store เพื่อแก้ปัญหาเรื่องละเมิดลิขสิทธิ์เพลงและแบ่งส่วนแบ่งให้ค่ายเพลงและศิลปินอย่างเป็นธรรม

ในตลาดเครื่องเล่น MP3 แบบพกพานั้น หลังจากการมาของ iPod ทำให้คู่แข่งต่างๆ  เริ่มล้มลุกคลุกคลาน ไม่สามารถที่จะมาต่อกรกับ iPod ของ apple ได้เลย โดย apple ยังคงเดินหน้าสร้างนวัตกรรมอย่างไม่หยุดยั้ง มีการออก iPod รุ่นใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ iPod Shuffle , iPod Nano , iPod Video ไปจนถึง iPod Touch  และ ธุรกิจเพลงกลายเป็นส่วนสำคัญของธุรกิจ apple มากยิ่งขึ้น

จ๊อบส์ ได้พยายามสร้างนวัตกรรมใหม่ให้ iPod มาทุก ๆ ปี โดยมีหลากหลายรุ่นมาก
จ๊อบส์ ได้พยายามสร้างนวัตกรรมใหม่ให้ iPod มาทุก ๆ ปี โดยมีหลากหลายรุ่นมาก

ในเดือนมกราคม 2007 ยอดขาย iPod ทำรายได้ถึงครึ่งหนึ่งของรายได้รวมบริษัท และยังทำให้ แบรนด์ apple เปล่งรัศมีและมีอนาคต ที่สดใสมากยิ่งขึ้น แต่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นคือ iTunes Store ซึ่งขายได้ถึง 1 ล้านเพลงหลังเปิดตัวได้เพียง 6 วัน ในเดือนเมษายน 2003 และมียอดขายในปีแรกสูงถึง 70 ล้านเพลง เดือนกุมภาพันธ์ 2006 iTunes Store ขายเพลงที่ 1,000 ล้าน  ส่วนเพลงที่ 10,000 ล้านนั้นขายออกไปในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2010

จะเห็นได้ว่า ความสำเร็จของ iPod นั้นมันส่งต่อเนื่องมายัง iTunes Store และยังให้ประโยชน์ ที่ลุ่มลึกกว่านั้น ปี 2011 โลกมีธุรกิจใหม่ที่สำคัญเกี่ยวกับการชำระเงิน online ซึ่งตอนนั้นคนเริ่มเชื่อใน brand apple ผ่าน iTunes Store เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เมื่อ iTunes Store กลายร่างมาเป็น App Store และเริ่มจำหน่ายวีดีโอ แอพพ์ และเปิดรับสมาชิก ก็สามารถเพิ่มยอดลูกค้าที่ active ได้ถึง 225 ล้านคนภายในเดือนมิถุนายน 2011 ซึ่งช่วยให้ apple นั้นอยู่ในตำแหน่งที่พร้อมรับมือในยุค ดิจิตอล e-commerce ได้ต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะพวกเขาสามารถคุม ecosystem ทั้งหมดไว้ได้ จึงสามารถสร้างรายได้จากหลายส่วนจาก ecosystem ทั้งหมดนี้

จาก iTunes Store ที่ขายเพลงพัฒนามาจนเป็น App Store สำหรับ iPhone ในที่สุด
จาก iTunes Store ที่ขายเพลงพัฒนามาจนเป็น App Store สำหรับ iPhone ในที่สุด

ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของ iPod อุปกรณ์ที่ใช้การบูรณาการ แนวตั้งระหว่าง ซอฟต์แวร์ (iTunes) เข้ากับ ตัว iPod (ฮาร์ดแวร์) ที่เป็นกุญแจดอกสำคัญที่ไขความสำเร็จให้กับ Apple มันเป็นตัวอย่างของผลิตภัณฑ์ชั้นเยี่ยมยอดที่ประสบความสำเร็จในการเอาชนะคู่แข่งได้แบบเบ็ดเสร็จมาแล้ว และเจ้า iPod นี่แหละครับที่เป็นตัวอย่างของผลิตภัณฑ์ชั้นยอดที่ว่านั้น ผลิตภัณฑ์ที่เปลี่ยนบริษัท Apple จากบริษัทคอมพิวเตอร์ ไปสู่บริษัท consumer product และกลับมายิ่งใหญ่ได้สำเร็จอีกครั้งหนึ่ง

Goodbye iPod

หลังจากการกำเนิดของ iPhone ในปี 2007 นั้น ก็ทำให้ ยอดขายของ iPod เริ่มลดลงไปเรื่อย ๆ เพราะตัว iPhone นั้นมีคุณสมบัติ เป็นเครื่องฟังเพลง MP3 แบบพกพาได้ในตัวเหมือน iPod อยู่แล้ว 

เพราะฉะนั้น คนที่มี iPhone อยู่แล้วนั้น ก็มักจะไม่ได้ซื้อ iPod อีกต่อไป มันทำให้ตลาดของ iPod ค่อย ๆ หดตัวลงไปเรื่อย ๆ และถูกแทนที่ด้วย iPhone

และในวันที 27 กรกฏาคม 2017 นั้น apple ก็ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า จะทำการเลิกผลิต iPod Nano และ iPod Shuffle  โดยจะเหลือไว้เพียง iPod Touch เท่านั้น ถือเป็นการสิ้นสุดยุคของ iPod อย่างเป็นทางการ

แล้วเราได้อะไรจากการสร้าง iPod จาก Blog Series ชุดนี้

เหตุผลที่สำคัญอย่างนึงเลยที่ผมเลือก ส่วนของการสร้าง iPod มาถ่ายทอดลงใน Blog ชุดนี้ นั้น ก็เนื่องมาจาก มันคือ การเริ่มต้นยุคใหม่ของ จ๊อบส์ โดยการเข้ามาคุม Apple ในคำรบที่สองนั้น แทบจะติดลบด้วยซ้ำ ตอนที่ จ๊อบส์ เข้ามากู้วิกฤตินั้น สถานการณ์ของ apple แทบจะเป็นซากปรักหักพัง เป็นบริษัทที่รอวันล้มละลายเท่านั้น แต่ จ๊อบส์ สามารถพลิก Apple กลับมาได้ โดยใช้ระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี ด้วยนวัตกรรมที่เขาสร้างขึ้นมาใหม่ล้วน ๆ 

และสิ่งสำคัญที่จ๊อบส์ทำมาตลอดในช่วงดังกล่าว คือ การโฟกัส ซึ่ง เขาโฟกัส ในสิ่งที่ทำ การสร้าง iPod นั้นเต็มไปด้วยอุปสรรค ทั้งทางด้านวิศวกรรม และ การออกแบบมากมาย แต่จ๊อบส์ เชื่อมั่นว่า ทีมของเขาจะทำได้ เขาทำให้ทีมของเขาทำสิ่งที่ใครในโลก ไม่คิดว่าจะทำได้  iPod มันจึงกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่วิเศษที่สุด มันเป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมดนตรีได้เลยด้วยซ้ำ และมันเป็นการพลิกโฉมของ Apple เข้าสู่ยุคใหม่อย่างที่เห็นในปัจจุบันได้อย่างชัดเจน

และเพราะ ipod นี่เอง ที่ทำให้ จ๊อบส์ กล้าที่จะสร้าง iPhone หรือ iPad ตามมาได้ เพราะเขาสามารถทำเรื่องที่เหลือเชื่อ ด้วยทีมที่มีความพร้อมขนาดนี้ได้แล้ว มันทำให้จ๊อบส์ กล้าที่จะทำอะไรแหกกฏ ที่เคยมีมา ลองจินตนาการกลับไปทั้งยุคของเครื่องเล่น MP3 ก่อน ที่ iPod จะออก หรือ มือถือ ก่อนที่ iPhone จะออกมา

จ๊อบส์ ทำในสิ่งที่ ไม่มีใครคิดว่าจะทำได้ทั้งนั้น เพราะมันแตกต่าง มันไม่เหมือนใคร และมันเป็น DNA ของการ Think Different ที่เป็น DNA หลักของ Apple เลยก็ว่าได้ เมื่อจ๊อบส์ พร้อมจะลุย ลูกทีมของเขาก็พร้อมจะสู้กับจ๊อบส์ ไม่ว่าอุปสรรค จะยาก หรือ ท้าทายมากเพียงใด พวกเขาก็ไม่เคยกลัว

Think Different เป็น DNA ของ apple โดยการนำของจ๊อบส์
Think Different เป็น DNA ของ apple โดยการนำของจ๊อบส์

วันนึง เราอาจจะได้เห็น นวัตกรรมที่ พลิกโลก ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย เราบ้างก็เป็นได้ อยากให้ blog Series ชุดนี้เป็นแรงบรรดาลใจ ให้กับ ผู้ที่กำลังสร้างสรรค์ผลงานใด ๆ ก็ตาม ที่ยังท้อแท้อยู่ ก็ ดูสิ่งที่จ๊อบส์ ทำกับ iPod เป็นตัวอย่าง ว่าการโฟกัสในสิ่งที่ทำ และเชื่อในสิ่งที่ตัวเองทำ แม้จะดูเป็นเรื่องเหลือเชื่อ เกินความสามารถ แต่หากสุดท้าย มีความตั้งใจ และมีทีมงานที่พร้อมจะร่วมสู้ มันก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างยิ่งใหญ่เหมือนที่จ๊อบส์และทีมงานสร้าง iPod ขึ้นมาได้นั่นเอง

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :The Second Coming  *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

รวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุดรวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุด

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

อย่าลืมติดตามผลงานเรื่องต่อ ๆ ไปของผมก่อนใครได้ที่ blockdit นะครับ โหลดได้เลย

อย่าลืม ค้นหา “ด.ดล Blog” แล้ว กด follow กันด้วยนะครับผม

ประวัติ Steve Jobs ผู้สร้าง iPod ตอนที่ 11 : Welcome to the iPod era

จ๊อบส์ เผยโฉมเครื่อง iPod ครั้งแรก เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2001 ในงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจนเป็นแบบฉบับของตัวเอง ในบัตรเชิญที่ส่งไปยังสื่อ นั้น มีข้อความยั่วยวนว่า “คำใบ้: คราวนี้ไม่ใช่ Mac” 

และเมื่อถึงเวลาเผยโฉมผลิตภัณฑ์ หลังจากบรรยายสมรรถนะทางเทคนิคแล้วจ๊อบส์ไม่ได้เดินไปเปิดผ้าคลุมกำมะหยี่บนโต๊ะ อย่างที่เคยทำในทุก ๆ ครั้งที่มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ของ apple แต่เขาแค่พูดขึ้นว่า “ผมบังเอิญมีเจ้านี่อยู่ในกระเป๋า” เขาล้วงเอาอุปกรณ์สีขาววาววับออกจากกระเป๋ากางเกงยีนส์ “เจ้าเครื่องเล็ก ๆ น่าทึ่งนี่ จุเพลงได้ 1,000 เพลง และใส่กระเป๋าผมได้พอดี” เขาใส่มันกลับเข้าไปในกระเป๋า แล้วเดินลงจากเวทีท่ามกลางเสียงปรบมือเกรียวกราวจากเหล่าสาวก

นาที ที่จ๊อบส์ หยิบ เจ้า iPod ออกมาจากกระเป๋า
นาที ที่จ๊อบส์ หยิบ เจ้า iPod ออกมาจากกระเป๋า

ซึ่งในตอนแรกนั้นบรรดาสาวกแฟนพันธุ์แท้ทางเทคโนโลยีไม่ค่อยเชื่อราคาคุยของจ๊อบส์ สักเท่าไหร่ โดยเฉพาะการตั้งราคาไว้สูงถึง 399 เหรียญ ทำให้ชาวบล็อกต่างพากันไปเขียนล้อเลียนชื่อ iPod ย่อมาจาก “idiots price our devices” หรือแปลเป็นไทยว่า “คนปัญญาอ่อนเป็นคนตั้งราคาเครื่องให้เรา”

โดยที่วันวางจำหน่ายจริง ๆ ของ iPod ที่ออกสู่ตลาดคือ วันที่ 10 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นหลังเหตุการณ์ 9-11 เพียงหนึ่งเดือน ช่างเป็นลางที่ไม่ดีเลยสำหรับ iPod และไม่เพียงแต่เป็นการออกสู่ตลาดหลังเหตุการณ์เศร้าโศกครั้งยิ่งใหญ่ของชาวอเมริกาเท่านั้น แต่ยังเป็นช่วงเวลาที่ตลาดเทคโนโลยีร่วงตกต่ำแบบสุด ๆ อีกต่างหาก

ไม่เพียงแค่ราคาที่แพงสุดกู่ มันยังต้องใช้คู่กับเครื่อง Macintosh เท่านั้นด้วย ซึ่งขณะนั้น Windows แทบจะครองตลาดแบบเบ็ดเสร็จ ในตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล

จุดอ่อนอย่างนึงคือ ใช้ได้กับ macintosh เท่านั้น
จุดอ่อนอย่างนึงคือ ใช้ได้กับ macintosh เท่านั้น

ไอฟฟ์ ได้กล่าวหลังจากเปิดตัว iPod ไว้ว่า  “apple นำปรัชญาด้านการออกแบบมาใช้กับผลิตภัณฑ์ที่เรายังไม่มี และ iPod ก็เป็ฯผลิตภัณฑ์ที่เราต้องการมาก ๆ เพื่อเปลี่ยนแปลง apple เข้าสู่ยุคใหม่อย่างแท้จริง” ซึ่งสิ่งสำคัญอย่างนึงก็คือ พนักงานของ apple นั้น บ้าดนตรีอยู่เป็นจำนวนมาก พนักงานส่วนใหญ่ต่างคลั่งไคล้ในเสียงดนตรี แม้ว่าสุดท้ายแล้วบทสรุป คือ การสร้างเครื่องเล่น mp3 ตัวใหม่ขึ้นมา แต่เป้าหมายสำคัญของ apple ไม่ใช่การหาเงิน เป้าหมายอยู่ที่การผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคที่โครตเจ๋งออกสู่ตลาด เพื่อให้สามารถทำเงินมหาศาลจากมันได้มากกว่า

นอกเหนือจากนั้น iPod ยังกลายเป็นแก่นสำคัญของทุกอย่างที่ apple ถูกชะตาได้กำหนดมาแล้ว ทั้งบทกวี ที่เชื่อมโยงกับวิศวกรรม ศิลปะ และ ความคิดสร้างสรรค์ มาบรรจบกับเทคโนโลยี การออกแบบที่กล้าแต่เรียบง่าย การใช้งานที่ง่ายมาก ๆ ซึ่งมันเป็นผลจากการทำงานอย่างหนัก และทำอย่างบูรณาการตั้งแต่ต้นจนจบ ตั้งแต่ FireWire ถึงตัวเครื่อง ซอฟต์แวร์ และการจัดการคอนเทนต์ เมื่อลูกค้าหยิบเครื่อง iPod ออกจากกล่อง มันสวยจนดูคล้ายเรืองแสงได้ เทียบกันแล้ว ดูเหมือนเครื่องเล่นเพลงยี่ห้ออื่น ๆ ถูกออกแบบและผลิตในดินแดนที่ล้าหลังเลยทีเดียว

ต้องยอมรับว่า ตอนนั้น iPod โครตที่จะสมบูรณ์แบบเลย มันแทบจะสุดยอดนวัตกรรมใหม่ ที่คนทั่วโลกต่างตื่นเต้นกับเจ้า iPod เครื่องนี้ และเพียงไม่นาน ผู้บริโภคก็ทำให้มันกลายเป็นสินค้าขายดี 

iPod กลายเป็นสินค้าขายดีแทบจะทันทีหลังจากวางขาย
iPod กลายเป็นสินค้าขายดีแทบจะทันทีหลังจากวางขาย

และมันส่งผลชัดเจนในเรื่องตัวเลข  ยอดขายในไตรมาสแรก หลังจากวางตลาดนั้นสูงถึง 250,000 เครื่อง และอีกสิบแปดเดือนต่อมา ยอดขายก็ทะยานเพิ่มขึ้นมากกว่า 800,000 เครื่อง ส่งผลให้ iPod เป็นเครื่องเล่นเพลงดิจิตอลที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลกทันที

ต้องบอกได้ว่า นับตั้งแต่เครื่อง Mac รุ่นแรกเป็นต้นมา ไม่มีครั้งใดที่ความชัดเจนเรื่องวิสัยทัศน์ด้านผลิตภัณฑ์ผลักดันให้บริษัทก้าวสู่อนาคตได้มากเท่าครั้งนี้ ทุกคนต่างกล่าวชื่นชม ทั้งสื่อต่าง ๆ ดารา Celebrity ต่างชอบ iPod โดยเฉพาะ ศิลปินชื่อดัง แทบจะทุกคนต้องมี iPod เป็นอุปกรณ์ประจำกาย

มันเห็นได้ชัดเจนว่า วิสัยทัศน์ของจ๊อบ ในเรื่องการ control ทั้ง ecosystem ของระบบ ทำทั้ง ฮาร์ดแวร์ , ซอฟต์แวร์ รวมทั้ง คอนเทนต์ นั้น ผลที่ตามมาก็คือ ทุก ๆ ส่วนของผลิตภัณฑ์ทำงานได้อย่างเข้ากันได้ดีมาก และมันสามารถที่จะควบคุมประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ได้หมดทุกส่วน และทุกคนก็ตกหลุมรัก เจ้า iPod

ตอนหน้า จะเป็นตอนจบ ของ series ipod ชุดนี้แล้วนะครับ ต้องบอกว่ามันเป็นผลิตภัณฑ์ที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดของ apple ในยุคใหม่เลยก็ว่าได้ เพราะหลังจากสร้าง iPod ได้สำเร็จ ก็ไม่มีอะไรที่ จ๊อบส์ คิดว่า เขาสร้างไม่ได้อีกแล้ว เพราะ iPod มันเป็นการฉีกกฏเกณฑ์ ของทุกอย่าง ทั้งเรื่องวิศวกรรม การดีไซต์ ซึ่งล้วนแล้วแต่ผ่านความยากระดับหิน ๆ มาได้สำเร็จแล้วแทบจะทั้งสิ้น บทสรุปของ series ชุดนี้จะเป็นอย่างไร โปรดอย่าพลาดติดตามในตอนหน้ากันนะครับผม

–> อ่านตอนที่ 12 : GoodBye iPod (ตอนจบ)

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :The Second Coming  *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Steve Jobs ผู้สร้าง iPod ตอนที่ 10 : The Whiteness of the Whale

ผลงานอันโดดเด่นของ ไอฟฟ์ ในการ ดีไซต์ นั้นมันเห็นผลอย่างชัดเจนกับ iMac หลากสีสัน ที่ออกสู่ตลาดในปี 1998 ใช้เวลาเพียงหยุดสัปดาห์แรกเท่านั้น ก็สามารถทำยอดขายได้สูงเกิน 150,000 เครื่อง ด้วยโครงสร้างเครื่องที่โค้งลงตัว และดูแปลกแหวกแนวกว่าคอมพิวเตอร์ที่มีขายทั่วไปในตลาดอย่างชัดเจน

ไม่เพียง iMac จะตีรูปแบบคอมพิวเตอร์แบบเดิมให้แตกกระเจิงเท่านั้น ยังสร้าง คาแร็กเตอร์ ของตนเองขึ้นมาใหม่ เป็นคาแร็กเตอร์ที่คูลสุด ๆ มันทำให้ iMac นั้นไม่ใช่ พีซี ไม่ใช่เครื่องคอมพิวเตอร์ ที่ผลิตโดย Microsoft แถมการอัดแคมเปญโฆษณา “Chick , not Greek” ระดับ High Profile ส่งให้ผลให้ iMac ทะยานเป็นคอมพิวเตอร์ที่ขายดีที่สุดในอเมริการทันที

งานดีไซน์ ของ ไอฟฟ์ ประสบคามสำเร็จอย่างสูงกับ iMac
งานดีไซน์ ของ ไอฟฟ์ ประสบคามสำเร็จอย่างสูงกับ iMac

และการดีไซต์ iPod ให้ได้อยู่ในแถวหน้าระดับเดียวกับ iMac ที่ประสบความสำเร็จ นั้น  ก็ต้องถูกบรรจงสรรสร้างงานดีไซต์ โดย ไอฟฟ์ เช่นเดียวกัน  และ ไอฟฟ์ กำลังทราบดีว่าตนกำลังดีไซต์เครื่องเล่นเพลงเครื่องแรกที่เป็นตัวการสำคัญที่สุดในศตวรรษที่ 21 ซึ่งสำคัญแท้ทั้งในด้านการใช้งาน และ การปฏิวัติอุตสาหกรรมเพลงไปตลอดกาล

งานทางด้านวิศวกรรมนั้น เป็นหน้าที่ของ ฟาเดลล์ แต่สิ่งสำคัญที่สุดของ iPod ที่จะทำให้แตกต่างจากเครื่องเล่น MP3 ที่มีในตลาดได้ คือ งานด้านการ Design ผลิตภัณฑ์ ซึ่ง ไอฟฟ์ เข้ามารับหน้าที่สานงานดังกล่าว ต่อ จาก ฟาเดลล์

จ๊อบส์ นั้น ต้องการผลิตภัณฑ์ ที่ดูเป็นธรรมชาติ และเห็นแล้วอยากเป็นเจ้าของทันที รวมถึงใช้งานง่ายในแบบที่ใครก็คิดไม่ถึงว่าจะ ดีไซน์ออกมาได้ และ ยังยืนยันว่าต้องเป็นสีขาว สีขาวในแบบของ Apple ซึ่งแตกต่างจากใคร

ไอฟฟ์ เล่นกับโมเดล เครือง iPod ที่ทำจากโฟม และพยายามนึกว่าเครื่องที่เสร็จแล้วนั้น จะมีหน้าตาอย่างไร เช้าวันหนึ่งระหว่างขับรถจากบ้านแถบซานฟรานซิสโก เขาก็เกิดความคิดว่าด้านหน้าของ iPod ควรเป็นสีขาวบริสุทธิ์ ซึ่ง เป็นแนวคิดเดียวกับจ๊อบส์ และต้องเชื่อมติดกับฝาหลังเหล็กกล้ากันสนิมขัดมันอย่างแนบเนียนไร้รอยต่อ

และที่สำคัญ มันต้องทำจากการฉีดพลาสติกสองชั้น ซึ่งถือเป็นกรรมวิธีการผลิตของจากพลาสติก ที่ไม่เคยมีบริษัทใดทำมาก่อน ในการหล่อพลาสติกครั้งที่สองนั้น เป็นการขึ้นแม่พิมพ์ที่ใช้วัสดุต่างประเภทกัน อาจเป็นชนิดพลาสติกที่แตกต่างกัน หรือ ใช้พลาสติกเชื่อมกับโลหะ ซึ่งกรรมวิธีเช่นนี้เป็นการเปิดโอกาสให้วิศวกร ได้คิดค้นความเป็นไปได้ในการวางแบบแม่พิมพ์และกระบวนการทำงานอย่างที่ไม่เคยที่จะปรากฏมาก่อนในตำราไหนๆ  iPod ต้องไม่มีสลักและช่องใส่แบตเตอรี่

และสีขาวที่เขาจะใช้ไม่ใช่ขาวแบบธรรมดา แต่เป็นขาวบริสุทธิ์ และ ไม่ใช่แค่เพียงตัวเครื่องเท่านั้น แต่ หูฟัง สาย และแท่งแบตเตอรี่ก็ต้องเป็นสีขาวด้วยเหมือนกัน แม้จะมีทีมงานหลายคนเถียงว่า หูฟังนั้น ต้องเป็นสีดำเหมือนหูฟังทั่วไป แต่จ๊อบส์ เข้าใจทันที และยอมให้ใช้สีขาวอย่างเต็มใจ และ การที่สายหูฟังมีสีขาว จะทำให้ iPod กลายเป็นไอคอน ที่มีความเป็นเอกลักษณ์ แตกต่างจากผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่มีอยู่ในตลาด ผู้คนจะรู้ทันทีว่านี่คือ iPod

สีขาวทั้งตัวเครื่องรวมถึงหูฟัง ที่เป็นเอกลัษณ์ที่สำคัญของ iPod
สีขาวทั้งตัวเครื่องรวมถึงหูฟัง ที่เป็นเอกลัษณ์ที่สำคัญของ iPod

ทีมโฆษณา ของ ลี คลาว ที่ TBWA\Chiat\Day อยากฉลองความเป็นไอคอนแลความขาวของเครื่อง iPod แทนที่จะทำโฆษณาเปิดตัวสินค้าโดยเน้นองค์ประกอบของอุปกรณ์เป็นหลัก แบบที่ทำกันทั่วไปในตลาด

เจมส์ ิวินเซนต์ หนุ่มอังกฤษ ร่างผอมสูง ซึ่งเคยเป็นสมาชิกวงดนตรี และเคยเป็นดีเจมาก่อน จะมาทำงานกับเอเยนซี่แห่งนี้ เป็นตัวเลือกที่เหมาะมากสำหรับการทำให้โฆษณา ของ apple โดนใจกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ที่รักเสียงเพลง ลี คลาว ได้ร่วมงาน กับ ซูซาน อลินซันกัน อาร์ต ไดเร็กเตอร์ ออกแบบบิลบอร์ดโฆษณา และ โปสเตอร์ สำหรับ iPod แล้วนำผลงานการออกแบบทั้งหมด ไปให้จ๊อบส์ดูในห้องประชุม

ด้านขวาสุดของโต๊ะ ทีมโฆษณา วางเลย์เอาต์งานที่ออกแบบตามแนวดั้งเดิมที่สุด เป็นรูปถ่ายเครื่อง iPod บนพื้นแบ็กกราวด์สีขาว เรียบง่าย และ มีความตรงไปตรงมา ด้านซ้ายสุด เป็นโฆษณา ที่ใช้ กราฟฟิก และสัญลักษณ์เข้ามาช่วยให้มากที่สุด เป็นร่างเงาทึบของใครบางคนกำลังเต้นตามจังหวะเพลงจากเครื่อง iPod อย่างสนุกสนาน จนสายหูฟังพลิ้วไหวไปตามจังหวะเพลง 

กราฟฟิก โฆษณา ที่สุดแหวกแนว เป็นชิ้นที่คลาสสิกที่สุดชิ้นนึงของ apple
กราฟฟิก โฆษณา ที่สุดแหวกแนว เป็นชิ้นที่คลาสสิกที่สุดชิ้นนึงของ apple

จ๊อบส์ ไปประดับใจตอนแรกที่เห็น เพราะไม่ได้โชว์ตัวสินค้า และก็ไม่ได้บอกด้วซ้ำว่ามันคืออะไร วินเซนต์ จึงเสนอให้เติมข้อความตบท้ายเข้าไปว่า “1,000 เพลงในประเป๋าคุณ” เท่านี้ก็สื่อความได้ครบทุกอย่างที่จ๊อบส์ต้องการ

จ๊อบส์ นั้น รู้ดีว่าการที่ apple มีระบบบูรณาการที่เอาทั้ง คอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ และ อุปกรณ์พกพาเข้าด้วยกัน ยังมีข้อได้เปรียบอีกอย่างหนึ่ง คือ ยอดขาย iPod จะช่วยหนุดยอดขายเครื่อง iMac ซึ่งแปลว่าสามารถโยกงบโฆษณา 75 ล้านเหรียญ ที่ apple จัดไว้สำหรับโฆษณา iMac ไปใช้กับโฆษณา iPod และได้ผลตอบแทนเป็นสองเท่าสำหรับเงินที่ใช้โฆษณาเท่าเดิม หรือ อาจจะเป็นสามเท่าก็ได้ เพราะโฆษณา iPod จะช่วยเพิ่มราศี และ ความสดใหม่ให้กับแบรนด์ apple

การค้นหาเพลงเพื่อมาประกอบภาพยนต์โฆษณา นั้น เป็นเรื่องที่สนุกลำดับต้น ๆ ในกระประชุมเรื่องโฆษณา ของ iPod อย่างที่หลายคนรู้กันว่า จ๊อบส์ นั้นชอบศิลปิน อย่าง บ๊อบ ดีแลน หรือ ศิลปิน เก่า ๆ ในยุคเขา แต่การจะโฆษณา ให้เข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่เป็นเป้าหมายหลักของ iPod ต้องเป็นเพลงที่นำยุคสมัย

ซึ่งโฆษณา ของ iPod นั้นทำให้เกิดวงดนตรีหน้าใหม่หลายวงเลยทีเดียว ที่โดดเด่นที่สุดน่าจะเป็น วง Black Eyed Peas เจ้าของเพลง “Hey Mama” ซึ่งใช้ประกอบโฆษณาชิ้นที่คลาสสิกที่สุดในกลุ่มที่ใช้ภาพเงาทึบ

ถึงตอนนี้ จ๊อบส์ นั้นโครตมั่นใจกับผลิตภัณฑ์ตัวนี้มาก เขาเที่ยวบอกใครต่อใคร ถึงคุณสมบัติที่สุดเจ๋งของมัน  เครื่องเล่นเพลงที่จะมาเป็นตัวกำหนดตลาด เครื่องเล่นที่สามารถเก็บเพลงทุกเพลงที่มีไว้เพื่อฟัง เป็นเครื่องที่ใช้ง่าย ทั้งยังต้องเป็นสิ่งที่มีคุณภาพสุดยอดแบบ Apple อีกด้วย และ ตอนนี้มันก็พร้อม ที่จะเปิดเผยตัวต่อชาวโลกแล้ว จะเกิดอะไรขึ้น กับ iPod สินค้านวัตกรรมตัวใหม่ของ apple และเป็นสินค้าที่ apple ไม่เคยทำมาก่อน เป็นการฉีก Apple ออกจากกฏเกณฑ์เดิม ๆ ที่เคยมีมา แล้วชาวโลกล่ะ จะคิดยังไงกับ iPod โปรดติดตามตอนต่อไป

–> อ่านตอนที่ 11 : Welcome to the iPod era

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :The Second Coming  *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ