Geek Daily EP102 : เหตุใด Microsoft สามารถที่จะเอาชนะ Meta ในการเป็นผู้นำในโลก ​​metaverse ได้

Microsoft ได้ตกลงซื้อ Activision Blizzard ผู้ผลิตวิดีโอเกมในราคาประมาณ 68.7 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นข้อตกลงที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาสำหรับบริษัทเทคโนโลยีที่ก่อตั้งโดย Bill Gates

เมื่อโลกกำลังเข้าสู่ยุคของ metaverse จะเห็นได้ว่า เมื่อมองภาพรวมจริง ๆ แล้วนั้น Microsoft มีอาวุธที่ครบมือมากกว่า Meta อย่างเห็นได้ชัด ทั้ง know how ในธุรกิจเกม หรือ การสามารถปรับใช้ไลฟ์สไตล์จากเครือข่ายของ Microsoft เพื่อเข้าสู่โลกของ metaverse ได้ดีกว่า

ดังนั้นในขณะที่เรายังไม่เห็นภาพที่ชัดเจนว่าโลก metaverse ที่มีรูปแบบสมบูรณ์จะมีลักษณะอย่างไร แต่ถ้ามองกันที่องค์ประกอบรวมทั้งหมดดูเหมือน Microsoft จะมีความได้เปรียบ Meta อยู่มากเลยทีเดียวครับผม

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/3Fznrb7

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/3rqDPFT

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
https://bit.ly/3rwji2D

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/3tDrYXG

🎧 ฟังผ่าน Youtube : 
https://youtu.be/LcVrAgqGGiE

ผู้สนับสนุน..

Fillgoods ผู้ช่วยมืออาชีพของธุรกิจออนไลน์ ที่จะทำให้ชีวิตง่ายและสะดวกสบายขึ้นกว่าเดิม ด้วยฟีเจอร์ทั้งหมดออกแบบมาเพื่อซัพพอร์ตการทำงานของธุรกิจออนไลน์อย่างแท้จริง

ให้ทุกธุรกิจสามารถทำกำไรและสามารถขยายธุรกิจให้เติบโตได้ตามที่ต้องการอย่างไร้กังวล ร้านค้าที่ยังประสบปัญหาที่คอยฉุดยอดขายและโอกาสเติบโตให้ดิ่งเหว

สามารถติดต่อให้ Fillgoods เข้าไปเป็นผู้ช่วยธุรกิจคุณได้ที่สมัครใช้งานและติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://fillgoods.co/  สมัครตอนนี้มีโปรโมชันพิเศษมากมาย อัปเดตกิจกรรมและข่าวสารที่ https://www.facebook.com/fillgoods.co/ หรือโทร 021146800 กด 1

Gulf จับมือ Binance ปะทะ SCB จับมือ Bitkub กับตาอยู่ที่ชื่อ Thai Digital Assets Exchange (TDX)

ต้องเรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งตลาดที่กำลังแดงเดือดเลยทีเดียวสำหรับแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัล ที่ตอนนี้ข่าวล่าสุดที่ Binance ซึ่งเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้จับมือกับบริษัท Gulf Energy Development ประเทศไทย

โดย Gulf ได้มีการเปิดเผยต่อตลาดหลักทรัพย์ว่าข้อตกลงกับ Binance นั้นเป็นการตอบสนองต่อการเติบโตอย่างรวดเร็วของโครงสร้างพื้นฐานด้านสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย ซึ่งสินทรัพย์ดิจิทัลและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กรับระบบการเงินของประเทศ

Binance กล่าวว่าจะจัดตั้งแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน crypto และธุรกิจที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย

“เป้าหมายของเราคือการทำงานร่วมกับรัฐบาล หน่วยงานกำกับดูแล และบริษัทที่มีนวัตกรรมเพื่อพัฒนาระบบนิเวศคริปโตและบล็อคเชนในประเทศไทย” โฆษกของ Binance กล่าว

Binance กับเส้นทางในการถูกควบคุม และการบุกไปทั่วโลก

ในการให้สัมภาษณ์กับ CNBC Zhao กล่าวว่าเขาเต็มใจที่จะก้าวลงจากตำแหน่ง CEO เนื่องจากบริษัทพยายามที่จะกลายเป็นสถาบันการเงินที่มีการควบคุมมากขึ้น

ในขณะที่เขาไม่มีแผนที่จะยกเลิกบทบาทของเขาในทันที เขาเปิดเผยว่า Binance มีแผนในการสืบทอดตำแหน่งของเขาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“เรากำลังจะเปลี่ยนเป็นสถาบันการเงินที่มีการควบคุมอย่างเต็มที่ในอนาคต” Zhao กล่าว พร้อมเสริมว่าเขาจะ “เปิดกว้างมาก” ในการหา CEO ทดแทนที่มีประสบการณ์ด้านการกำกับดูแลมากขึ้นในระหว่างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้น

การวางแผนฉุกเฉินของ CEO เริ่มต้นในวันที่ 0 เช่นเดียวกับบทบาทอื่นๆ Zhao รู้สึกว่าซีอีโอไม่ควรอยู่เกินสิบปี เราอาศัยอยู่ในโลกที่มีพลวัต เราต้องการความคิดใหม่ แม้กระทั่งตำแหน่งประธานาธิบดีก็ทำหน้าที่เพียงแค่สี่ปีเท่านั้น

“ผมไม่จำเป็นต้องเป็น CEO และผมจะไม่จากไป ผมจะหาวิธีที่จะช่วยเหลือชุมชนที่อยู่เบื้องหลังรอยสักโลโก้ที่ปลายแขนของผมเสมอ ผมภูมิใจที่ได้เป็นสมาชิกของระบบนิเวศ #binance ให้มันเติบโตต่อไป– Zhao Changpeng ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Binance กล่าวในกระทู้ผ่านทาง Twitter

สำหรับตอนนี้ Binance ตั้งเป้าที่จะตั้งสำนักงานใหญ่ระดับภูมิภาคหลายแห่งทั่วโลก และจะขอใบอนุญาตทุกที่ที่มี

ล่าสุด Binance ยังได้ประกาศว่าพวกเขากำลังเริ่มว่าจ้างเพื่อเพิ่มทีมการปฏิบัติตามกฎระเบียบเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับบริษัท 1,600 ถึง 1,700 ตำแหน่ง Zhao เน้นว่าความสำคัญสูงสุดของเขาคือการจ้างผู้ที่มีประสบการณ์ด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบและข้อบังคับ

Binance ยังเพิ่มการจ้างงานในสิงคโปร์ด้วยตำแหน่งงานว่างมากกว่า 50 ตำแหน่ง ตั้งแต่การพัฒนาธุรกิจ การเงิน และการดำเนินงาน

“เรามีเงินสดเพียงพอ ดังนั้นเราจึงสามารถเติบโตได้ด้วยตัวเอง เราไม่จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากเรามีผลกำไรและเรามีการเจริญเติบโตที่ดีเพียงพอ” Zhao กล่าว

Gulf จับมือ Binance ปะทะ SCB จับมือ Bitkub

ถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากนะครับ สำหรับบริษัทยักษ์ใหญ่ในประเทศไทยทั้ง Gulf เอง หรือ SCB ที่เข้ามาลุยในตลาดนี้แบบเต็มตัว แต่การจับมือกับ Binance ของ Gulf นั้นต้องบอกว่ามีความได้เปรียบอย่างมากในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานทางด้านเทคโนโลยี

Binance เองนั้นแทบจะเป็นเบอร์หนึ่งของโลกแล้วสำหรับแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล มีการให้บริการไปทั่วโลก และผ่านการทดสอบมามาก ด้วยจำนวนผู้ใช้งานมหาศาลจากทั่วโลก ซึ่งถ้าเทียบในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีหลังบ้าน Binance ก็ยังได้เปรียบอยู่มากหากจะเข้ามาเจาะตลาดไทยจริง ๆ

แต่แน่นอนว่าแพลตฟอร์มของไทยทั้ง Bitkub หรือแม้กระทั่ง Zipmex ที่ตอนนี้เรียกได้ว่า ขับรถไปถนนเส้นไหนในกรุงเทพฯ เราก็จะเห็นป้ายโฆษณาแพลตฟอร์มเหล่านี้แทบจะทุกพื้นที่ไปเสียแล้ว มันเป็นการสร้าง brand awareness อย่างต่อเนื่องของแพลตฟอร์มของไทย

แต่การจับมือกับ Gulf ของ Binance นั้นหากรุกตลาดแบบจริง ๆ จัง ๆ เงินทุนในการทำ marketing คงไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับพวกเขา ซึ่งแน่นอนว่าจะทำให้การต่อสู้กันเพื่อแย่งฐานลูกค้าสนุกมากขึ้นอย่างแน่อน ไม่ถูกผูกขาดเหมือนในปัจจุบัน

ตาอยู่ที่ชื่อ Thai Digital Assets Exchange (TDX)

เมื่อคนรุ่นใหม่มุ่งหน้าสู่สินทรัพย์ดิจิทัลมากยิ่งขึ้น ซึ่งอาจจะเมินสินทรัพย์เดิม ๆ อย่างตลาดหุ้นไปเลยด้วยซ้ำ แถม ยักษ์ใหญ่ของแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนก็มีความชัดเจนว่าจะยอมรับในการถูกควบคุมมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะสามารถเข้าสู่ตลาดขนาดใหญ่มาก ๆ จากคน Generation อื่นๆ ที่เริ่มหันมาสนใจสินทรัพย์ดิจิทัลมากยิ่งขึ้น และแน่นอนว่าเงินทุนก็ต้องถูกถ่ายเทมาจากตลาดเดิมอย่างตลาดหุ้นนั่นเอง

ซึ่งทำให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ออกประกาศบนเว็บไซต์ SET ว่ากำลังเตรียมพัฒนา ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลไทย (Thai Digital Assets Exchange: TDX) เพื่อตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ เชื่อมต่อการซื้อขายจากสินทรัพย์ในปัจจุบันไปสู่สินทรัพย์ดิจิทัล โดยคาดว่าจะเปิดให้บริการภายในไตรมาส 3 ที่กำลังจะถึง

ดูเหมือนว่าหุ้นมันจะไม่ cool สำหรับคนรุ่นใหม่อีกต่อไป ซึ่ง อาจส่งผลต่อรายได้ของตลาดหลักทรัพย์ในอนาคตอย่างแน่นอนหากไม่ทำอะไรเลย ซึ่งการสร้างแพลตฟอร์มขึ้นมาสู้ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้กับคนไทย และทำให้การแข่งขันสนุกขึ้นอย่างแน่นอน

บทสรุป

ตลาดแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนเข้าสู่ตลาดแดงเดือด ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีต่อผู้บริโภคอย่างคนไทยแน่นอน เพราะมีทางเลือกเพิ่มขึ้น และการแข่งขันก็จะสูงขึ้น จะเกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นอีกมากมาย เหมือนที่เกิดขึ้นในตลาดที่แข่งขันสูงในตลาดอื่นๆ ตัวอย่างที่ชัดเจนเช่นใน วงการ ecommerce

เราคงไม่เห็นภาพการผูกขาดจำนวนผู้ใช้ระดับ 90% ++ เหมือนเดิมอีกต่อไปอย่างแน่นอน เมื่อทุกแพลตฟอร์มต้องแข่งขันกันมากขึ้น เม็ดเงินที่เข้าสู่วงการนี้ก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และคนที่ได้ประโยชน์ที่แท้จริงก็คือผู้บริโภคอย่างพวกเรานั่นเองครับผม

References : https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-01-17/binance-ties-up-with-bangkok-billionaire-on-thai-crypto-exchange
https://www.reuters.com/technology/gulf-energy-binance-announce-thailand-crypto-partnership-2022-01-17/
https://www.forbes.com/sites/jonathanburgos/2021/09/06/crypto-billionaire-changpeng-zhao-to-cease-some-binance-services-in-singapore-amid-regulatory-scrutiny/
https://infomediang.com/changpeng-zhao-binance-founder/
https://en.wikipedia.org/wiki/Changpeng_Zhao
https://vulcanpost.com/757584/zhao-changpeng-binance-ceo-22nd-richest-man-singapore/
https://coinmarketcap.com/currencies/binance-coin/
https://www.forbes.com/sites/pamelaambler/2018/02/07/changpeng-zhao-binance-exchange-crypto-cryptocurrency/

Geek Monday EP116 : บทเรียนจากการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลจาก 6 สตูดิโอยักษ์ใหญ่ของฮอลลีวูด

เหตุใดสตูดิโอภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่ของฮอลลีวูดจึงสามารถตอบสนองต่อภัยคุกคามที่เกิดจากเทคโนโลยีดิจิทัลใหม่ ๆ ได้ และปกป้องโมเดลธุรกิจที่มีอยู่ จากเดิมที่ต้องขายตั๋วในโรงภาพยนตร์ การขายโฆษณาทางโทรทัศน์ในช่วงเวลาไพรม์ไทม์ และการขายแผ่นดิสก์ในราคา 20 ดอลลาร์ พวกเขาสามารถค้นพบธุรกิจพื้นฐานที่สำคัญของพวกเขาอีกครั้ง นั่นคือ การสร้างความบันเทิงที่ยอดเยี่ยมและนำเสนอต่อผู้ชมที่เหมาะสม

จากมุมมองใหม่นั้น สตูดิโอเริ่มเปิดรับเทคโนโลยีใหม่และโมเดลธุรกิจใหม่ ทำให้เกิดการสร้างแพลตฟอร์มการจำหน่ายดิจิทัลใหม่ ซึ่งรวมถึง Disney+, HBO Max, Peacock และ Hulu;  โดยแพลตฟอร์มเหล่านี้มีส่วนร่วมอย่างมากในการปรับโครงสร้างองค์กรเดิมให้สอดคล้องกับความเป็นจริงทางธุรกิจใหม่ และการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมที่สำคัญจากการตลาดแบบเดิม ๆ ไปสู่การตัดสินใจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/3KdiSqC

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/3GEti0f

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
https://bit.ly/3qwXsNc

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/3fw86xG

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/rOwcP8xcXC4

ผู้สนับสนุน..

Fillgoods ผู้ช่วยมืออาชีพของธุรกิจออนไลน์ ที่จะทำให้ชีวิตง่ายและสะดวกสบายขึ้นกว่าเดิม ด้วยฟีเจอร์ทั้งหมดออกแบบมาเพื่อซัพพอร์ตการทำงานของธุรกิจออนไลน์อย่างแท้จริง

ให้ทุกธุรกิจสามารถทำกำไรและสามารถขยายธุรกิจให้เติบโตได้ตามที่ต้องการอย่างไร้กังวล ร้านค้าที่ยังประสบปัญหาที่คอยฉุดยอดขายและโอกาสเติบโตให้ดิ่งเหว

สามารถติดต่อให้ Fillgoods เข้าไปเป็นผู้ช่วยธุรกิจคุณได้ที่สมัครใช้งานและติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://fillgoods.co/  สมัครตอนนี้มีโปรโมชันพิเศษมากมาย อัปเดตกิจกรรมและข่าวสารที่ https://www.facebook.com/fillgoods.co/ หรือโทร 021146800 กด 1

Ryvval กับ Crypto Startup ที่ทำให้คุณสามารถระดมทุนในการต่อสู้คดีของผู้อื่น

บริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีรายใหม่วางแผนที่จะวางตัวเป็น “ตลาดหุ้นของการจัดหาเงินทุนเพื่อการดำเนินคดี” โดยอนุญาตให้ชาวอเมริกันเดิมพันคดีแพ่งผ่านการซื้อโทเค็น ซึ่งบริษัทหวังที่จะให้เงินทุนแก่บุคคลที่ไม่สามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนได้

สตาร์ทอัพที่มีชื่อว่า Ryvval กำลังสร้างโลกแห่งการระดมทุนในการดำเนินคดีเพื่อต่อกรกับระบบศาลของสหรัฐฯ ในลักษณะที่จะเป็นประโยชน์ต่อลูกความและนักลงทุน

กระบวนการระดมทุนในการดำเนินคดีเป็นวิธีสำหรับคนที่มีเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ไม่มีเงินทุนในการฟ้องร้อง และในทางกลับกัน พวกเขาจะได้รับส่วนแบ่งจากการชนะคดีที่อาจเกิดขึ้น

อุตสาหกรรม cypto ที่เฟื่องฟู ได้สร้างการระดมทุนรูปแบบใหม่ในการดำเนินคดีโดยมีการเสนอคดีฟ้องร้องเบื้องต้น (Initial Litigation Offerings – ILO) ซึ่งใช้แนวคิด crypto โดยอนุญาตให้นักลงทุนรายย่อยค้นหาและให้ทุนกับเคสที่เกิดขึ้นต่าง ๆ บนบล็อคเชนได้

โดยมีการเปิดตัวในปลายปี 2020 บนบล็อคเชน Avalanche ซึ่ง ILO แรกอนุญาตให้ นักลงทุนซื้อ “โทเค็นการดำเนินคดี” ในเคสของ Apothio, LLC ซึ่งเป็นบริษัทผู้ปลูกกัญชาในแคลิฟอร์เนียที่ฟ้องมณฑลของตนที่ทำลายพืชผล 500 เอเคอร์ คดีนี้หยุดชะงักไปตั้งแต่ต้นปี 2021 แต่นั่นไม่ได้หยุดนักลงทุนจากการทุ่มเงินมากกว่า 330,000 ดอลลาร์ในคดีซึ่งสูงกว่าเป้าหมายการระดมทุน 250,000 ดอลลาร์

Ryvval ซึ่งก่อตั้งโดยทนายความ Kyle Roche ได้สร้างแนวคิดของ ILO ซึ่ง Roche ได้ทำการสร้างแพลตฟอร์มที่ช่วยให้บุคคลต่างๆ สามารถลงทุนในคดีในศาลของ ILO ได้

ในขณะที่ Roche กล่าวว่า “เป้าหมายของ Ryval คือการเข้าถึงความยุติธรรมในราคาที่ถูกกว่า” และเขาต้องการ “ทำให้ระบบศาลของรัฐบาลกลางสามารถเข้าถึงได้มากขึ้นสำหรับทุกคน” 

ซึ่งข้อมูลจากเว็บไซต์ของ Ryvval อ้างว่านักลงทุนจะสามารถเข้าถึงระดับการลงทุนมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เปิดให้สาธารณชนเข้ามาลงทุน

Roche กล่าวว่า ” นักลงทุนที่ได้รับการรับรองเท่านั้น (เช่น คนรวย นักธุรกิจ และหน่วยงานอื่นๆ บริษัทหลักทรัพย์ ที่ถือว่ามีสิทธิ์ได้รับการยกเว้นด้านกฎระเบียบ) จะสามารถซื้อขายได้ทันที ในขณะที่คนกลุ่มอื่น ๆ ที่อยากจะลงทุนต้องรอไปอย่างน้อยอีก 1 ปี

น่าสังเกตว่าแพลตฟอร์ม Ryval นั้นยังไม่พร้อมใช้งานจริง แต่ผู้ร่วมก่อตั้งหวังว่าจะสามารถใช้งานได้ภายในสิ้นไตรมาสแรก จนถึงตอนนี้ ปรากฏว่า Apothio , LLC เป็น ILO เพียงเคสเดียวที่มีการซื้อขายต่อสาธารณะ แต่ Roche หวังว่าจะมีอีกห้าถึงสิบแห่งเมื่อถึงเวลาที่แพลตฟอร์มพร้อมและมีการเปิดแบบเต็มตัว

ต้องบอกว่า แนวคิดของ Ryval นั้นน่าสนใจ โอกาสที่นักลงทุนใจดีจะช่วยเหลือผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงเงินทุนที่ใช้ในการฟ้องบริษัทหรือรัฐบาลนั้นเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น แนวคิดในการสร้างสิ่งจูงใจให้สอดคล้องกันระหว่างคนจนกับคนรวยนั้นก็ถือว่าส่งผลดีต่อทั้งสองฝ่าย

บทสรุป

อ่านข่าวนี้แล้วต้องบอกว่า เป็นอีกหนึ่งสตาร์ทอัพ crypto ที่น่าสนใจมาก ๆ เลยทีเดียว ต้องบอกว่าปัญหาใหญ่ในการสร้างความยุติธรรมให้กับทุก ๆ คน ก็คือเงินทุน ยิ่งการต้องต่อสู้กับอำนาจรัฐ หรือ กลุ่มนายทุนใหญ่ ที่ต้องอาศัยเงินจำนวนมหาศาลในการทำคดีให้ชนะ

มันมีบทเรียนมากมายที่เกิดขึ้น จากความไม่เป็นธรรมเหล่านี้ แม้กระทั่งในประเทศสหรัฐอเมริกาเอง ในสารคดีของ Netflix ก็มีการฉายภาพเรื่องราวเหล่านี้ ว่าเงินทุนมันสำคัญขนาดไหนในการต่อสู้คดี มันสามารถชี้ถูกเป็นผิด หรือ ผิดเป็นถูกได้เลย

การเกิดขึ้นของนวัตกรรมแบบนี้ถือว่าน่าสนใจนะครับ แต่อาจจะเกิดกับพวกคดีแพ่งที่สามารถเรียกร้องส่วนแบ่งได้ก่อน ซึ่งก็ถือเป็นการเปิดโอกาสให้กับผู้ขัดสนอีกหลาย ๆ คน ที่จะกล้าลุกขึ้นมาทวงความยุติธรรมให้กับตนเองมากยิ่งขึ้นนั่นเองครับผม

References : https://www.unilad.co.uk/technology/tech-startup-wants-to-enable-people-to-bet-on-court-cases-with-crypto/
https://www.vice.com/en/article/v7d7x3/tech-startup-wants-to-gamify-the-us-court-system-using-crypto-tokens
https://futurism.com/crypto-startup-fund-lawsuits

บทเรียนจาก Second Life เมื่อโลกแห่ง metaverse ไม่ได้สวยหรูเหมือนคำโฆษณา

ในปี 2007 Philip Rosedale ผู้ก่อตั้ง Second Life ได้ประกาศอย่างยิ่งใหญ่ว่า “เว็บ 3D จะเป็นสิ่งที่โดดเด่นอย่างรวดเร็วและทุกคนจะมีอวาตาร์เป็นของตนเอง” เมื่อพิจารณาถึงความสำเร็จในการสร้างสรรค์ของเขาในตอนนั้น ต้องบอกว่ามันไม่ใช่ความคิดที่ไกลตัวเลย 

Second Life โลกเสมือนจริงที่ผู้เข้าร่วมสามารถสำรวจภูมิประเทศที่น่าอัศจรรย์และสร้างคฤหาสน์ ป่าไม้ และยานอวกาศของตนเอง กำลังได้รับความนิยมสูงสุด

โดยมีผู้ใช้งานแพลตฟอร์มหลายแสนคน และสร้าง GDP ในระบบมูลค่า 500 ล้านดอลลาร์ Second Life ขึ้นปกนิตยสาร BusinessWeek แบรนด์ยักษ์ใหญ่อย่าง Reebok และ Dell ลงทุนในร้านค้าเสมือนจริง เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับยุคใหม่ของการขายและการตลาด นิตยสาร Rolling Stone เรียกมันว่าเป็น “อนาคตของอินเทอร์เน็ต”

Second Life โด่งดังจนเคยขึ้นปก นิตยสาร Business Week มาแล้ว (CR:Huter Wlak)
Second Life โด่งดังจนเคยขึ้นปก นิตยสาร Business Week มาแล้ว (CR:Huter Wlak)

คำพูดเหล่านี้รู้สึกคุ้นเคยกันหรือไม่? เป็นการยากที่จะไม่มองย้อนกลับไปถึงความคลั่งไคล้ของ Second Life ในยุคนั้นและดูความคล้ายคลึงกันของวาทกรรมที่เกิดขึ้นกับ metaverse ในทุกวันนี้ 

Rosedale และผู้มองโลกในแง่ดีจาก Second Life มักใช้สำนวนที่เหมือนกันกับสำนวน crypto ในปัจจุบัน: เขาเรียก Second Life ว่า “The Wild West” เปรียบเทียบการเติบโตของมันกับอินเทอร์เน็ตในยุคแรก ๆ และคาดการณ์ว่า “โลกทางกายภาพทั้งหมดจะถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง ”

และแล้ว Second Life ก็หยุดเติบโต ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้ใช้จะต้องดิ้นรนเพื่อเข้าสู่โลกเสมือนเหล่านี้เป็นเวลาหลายชั่วโมง แต่จะพบว่าตัวเองเดินไปรอบ ๆ เมืองผีที่มีหน้าร้านที่ว่างเปล่า สำนักข่าว Reuters ซึ่งเปิดสำนักงานใน Second Life ในปี 2006 และปิดมันไปในเวลาสองปีต่อมา เหล่าแบรนด์ละทิ้งโพสต์ของพวกเขา

ในทางกลับกัน การมองว่า Second Life เป็นความล้มเหลวถือเป็นการบิดเบือนความจริงอย่างร้ายแรง เพราะมันได้แนะนำผู้คนนับล้านเข้าสู่โลกเสมือนเป็นครั้งแรก เพื่อส่งเสริมชุมชนที่แน่นแฟ้นอย่างไม่น่าเชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่อยู่ชายขอบหรือผู้พิการทางร่างกาย 

และสำหรับผู้บุกเบิกเศรษฐกิจดิจิทัล โฆษกของบริษัทแม่ของ Second Life อย่าง Linden Lab กล่าวว่าผู้ใช้ใช้เวลา 500,000 ปีใน Second Life และผู้ใช้ที่ใช้งานรายเดือน 750,000 คนยังคงอาศัยอยู่ทั่วโลกเสมือนนี้: บินไปรอบ ๆ สร้างและซื้อสิ่งของเลี้ยงดูครอบครัวเสมือนจริง

มีหลายอย่างที่ผู้สร้าง metaverse ในปัจจุบันสามารถเรียนรู้จาก Second Life ทั้งในแง่ดีและแง่ร้าย เมื่อมองย้อนกลับไปและมองไปข้างหน้า

Philip Rosedale ผู้ก่อตั้ง Second Life และ Tom Boellstorff นักมานุษยวิทยาที่ใช้เวลาสองปีในโลกเสมือนจริงจนถึงจุดสูงสุด จากนั้นจึงเขียนหนังสือ Coming of Age in Second Life: Anthropologist Explores the Virtually Human .

Philip Rosedale ผู้ก่อตั้ง Second Life (CR:Rolling Stone)
Philip Rosedale ผู้ก่อตั้ง Second Life (CR:Rolling Stone)

Second Life ไม่ใช่เกม: “มันไม่มีคะแนน มันไม่มีผู้ชนะหรือผู้แพ้” ความไร้จุดหมายนี้เองที่สร้างความสับสนให้กับผู้ใช้ในช่วงแรกๆ จำนวนมาก และการวิจารณ์ที่คล้ายคลึงกันนี้ยังคงส่งผลต่อแนวคิดล่าสุดของ metaverse  อะไรคือคุณสมบัติที่ทำให้ผู้ใช้ขาดไม่ได้แล้วอะไรคือประเด็นของโลกเสมือนเหล่านี้ที่ไม่ตอบสนองความต้องการที่ชัดเจนนัก?

Rosedale กล่าวว่าศักยภาพอันไร้ขอบเขตสำหรับการสร้างสรรค์นี้เป็นเหตุผลสำคัญสำหรับความสำเร็จช่วงสั้น ๆ ของ Second Life “ผมคิดว่าเหตุผลที่ผู้คนหลายสิบล้านคนลองใช้มัน เพราะมันมีความสามารถในการสร้างสรรค์และแสดงออกในขอบเขตที่เหมือนจริง” Rosedale กล่าว “คุณต้องการชุดเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้คนสามารถสร้างสิ่งต่าง ๆ ได้จากชิ้นส่วนเล็ก ๆ ซึ่งจะต้องมีอยู่ใน metaverse เพื่อให้ประสบความสำเร็จ”

ผู้คนจะใช้จ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้าดิจิทัล แต่มีครีเอเตอร์เพียงไม่กี่รายเท่านั้นที่จะหาเลี้ยงชีพได้

ในช่วง 10 ปีหลังการเปิดตัว ผู้ใช้ Second Life ใช้เงินจริง 3.2 พันล้านดอลลาร์ในการทำธุรกรรมในโลกเสมือนแห่งนี้ Rosedale ชอบบอกว่า Second Life มี NFTs เป็นแพลตฟอร์มแรก: สินค้าเสมือนจริงที่ไม่เหมือนใครซึ่งคุณสามารถซื้อและขายได้ นักออกแบบเครื่องแต่งกายสามารถสร้างชุดที่มีเอกลักษณ์ได้ ตัวอย่างเช่น เพื่อให้ผู้สวมใส่โดดเด่นจากคนรอบข้าง

Rosedale กล่าวว่ามีความแตกต่างที่สำคัญระหว่างสินค้าหนึ่งเดียวของ Second Life และ NFTs อย่างไรก็ตาม: มูลค่าการเก็งกำไรไม่ได้เป็นปัจจัยใน Second Life เลย “ผมภูมิใจมากกับแนวคิดที่ว่าเสื้อโค้ตสำหรับอวาตาร์หรือมอเตอร์ไซค์ของคุณมีคุณค่าอย่างแท้จริง ซึ่งขับเคลื่อนโดยความคิดสร้างสรรค์ของนักออกแบบ” เขากล่าว

 Second Life มี NFTs เป็นแพลตฟอร์มแรก (CR:Youtube)
Second Life มี NFTs เป็นแพลตฟอร์มแรก (CR:Youtube)

ไอเท็มดิจิทัลที่ไม่ซ้ำใครเหล่านี้คิดเป็นเปอร์เซ็นต์เพียงเล็กน้อยของเศรษฐกิจโดยรวมของ Second Life และมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สร้างมันขึ้นมา 

Boellstorff ไม่เชื่อในวิสัยทัศน์ดิจิทัลแบบยูโทเปียซึ่งผู้สร้างอิสระส่วนใหญ่สามารถเติบโตได้จากการขายสินค้าดิจิทัล “มันคล้ายกับบางอย่างเช่น YouTube: คุณมีเปอร์เซ็นต์ที่ค่อนข้างน้อยที่จะสร้างรายได้จากมัน และผู้คนจำนวนมากเป็นเพียงผู้บริโภค หรือบางคนที่ทำสิ่งที่พวกเขาไม่ได้ขายเพื่อสร้างรายได้ ” เขากล่าว

ความสะดวกในการใช้งานและความท้าทายทางเทคโนโลยียังคงเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับการยอมรับในวงกว้าง

ในบทความเกี่ยวกับ Second Life ปี 2017 นั้น The Atlantic รายงานว่ามีผู้ใช้ครั้งแรกประมาณ 20% ถึง 30% ไม่เคยกลับมาที่แพลตฟอร์มอีกเลย หลายคนพบว่าโลกเสมือนนี้ยากที่จะเข้าใจ 

Eric Krangel นักข่าวของสำนักข่าว Reuters เขียนว่า Second Life มีส่วนต่อประสานผู้ใช้ที่ซับซ้อนและเซิร์ฟเวอร์ที่ขัดข้องบ่อยครั้ง บริษัทยังต้องดิ้นรนเพื่อสร้างเวอร์ชันมือถือที่ใช้งานได้ในยุคที่สมาร์ทโฟนกำลังเป็นที่แพร่หลาย

ในขณะที่ Second Life ได้แก้ไขปัญหาเหล่านั้นมากมายด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โลกเสมือนจริงใดๆ ที่หวังจะเอาชนะผู้คนจำนวนมากยังคงต้องเอาชนะอุปสรรคใหญ่ในการนำพวกเขาเหล่านั้นเข้ามา

Rosedale กล่าวว่าบริษัทปัจจุบันของเขา High Fidelity ซึ่งเชี่ยวชาญด้านเสียงรอบทิศทางสำหรับแอปอย่าง Clubhouse ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับเทคโนโลยี metaverse เมื่อเร็ว ๆ นี้ และพบว่า “ผู้คนไม่ต้องการเป็นตัวการ์ตูนขณะสวมชุดหูฟัง VR” เขากล่าว . “เราสรุปได้ว่าเป็นเรื่องยากมากที่จะได้เห็นคนธรรมดาในที่ทำงานที่ต้องการกลายเป็นตัวการ์ตูนที่มีการแสดงออกทางสีหน้าเพียงเล็กน้อย มันเครียดมากสำหรับคนที่ทำอย่างนั้น และส่วนใหญ่จะไม่ทำอย่างแน่นอน”

โลกเสมือนจริงอาจพยายามดิ้นรนเพื่อดึงดูดกลุ่มประชากรบางกลุ่ม

Rosedale ตั้งข้อสังเกตว่าความสนใจในปัจจุบันเกี่ยวกับ metaverse เกิดขึ้นจากช่วงเวลาของการระบาดใหญ่ที่ทุกคนติดอยู่ภายในบ้านของพวกเขา เขาบอกว่ามันยากกว่ามากที่จะทำให้คนบางคนตื่นเต้นกับการใช้เวลาส่วนใหญ่ในโลกเสมือนจริงในสถานการณ์ปกติ

“ถ้าคุณใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายในนิวยอร์กซิตี้ และคุณยังเด็กและมีสุขภาพแข็งแรง คุณอาจจะเลือกที่จะอยู่ที่นั่น ถ้าผมเสนอชีวิตของอวาตาร์ให้คุณ คุณจะไม่ใช้มันอย่างแน่นอน” Rosedale กล่าว “ในทางกลับกัน หากคุณอาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบทที่มีการติดต่อทางสังคมเพียงเล็กน้อย พิการ หรืออาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบเผด็จการที่คุณรู้สึกอิสระที่จะพูด ภาพแทนตัวของคุณจะกลายเป็นตัวตนหลักของคุณได้

การระบุตัวตนเป็นเรื่องยุ่งยากและการสร้างกฎก็เช่นกัน

ในขณะที่ Rosedale มีความสามารถในการกำหนดโลกของ Second Life ตามที่เขาเห็นสมควร เขาพยายามที่จะปล่อยมือให้มากที่สุด โดยยึดมั่นในหลักการของการกระจายอำนาจ สิ่งนี้นำไปสู่กิจกรรมที่ชั่วร้าย เช่น รายงานเรื่องทางเพศของผู้เยาว์ การฟอกเงินและการละเมิดลิขสิทธิ์และเครื่องหมายการค้า

“คำถามเกี่ยวกับความจำเป็นสำหรับเราในการอยู่ร่วมกันอย่างเท่าเทียมกันใน metaverse นั้นยังไม่มีคำตอบ” Rosedale กล่าว 

“มีบางอย่างเช่นการระบุตัวตน ดังนั้นคุณไม่ได้หลอกใครด้วยการระบุตัวตนที่แท้จริงที่อยู่เบื้องหลังอวาตาร์ การสามารถระบุตัวตนของบุคคลได้นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้คนเหล่านี้ประพฤติตนดี”

Boelstorff เชื่อว่ารูปแบบการสมัครสมาชิกของ Second Life ซึ่งผู้คนจ่ายเงินเพื่อเป็นเจ้าของที่ดิน ได้ช่วยกำจัดแนวโน้มที่เลวร้ายที่สุดของบริษัทที่ขับเคลื่อนด้วยโฆษณา เช่น Facebook ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีการจัดลำดับความสำคัญของผลกำไรมากกว่าการบิดเบือนข้อมูลเท็จ 

Tom Boellstorff ผู้เขียนหนังสือ Coming of Age in Second Life: Anthropologist Explores the Virtually Human (CR:UCI School of Social Sciences)
Tom Boellstorff ผู้เขียนหนังสือ Coming of Age in Second Life: Anthropologist Explores the Virtually Human (CR:UCI School of Social Sciences)

Jaron Lanier หนึ่งในผู้บุกเบิกด้านเทคโนโลยีคนสำคัญ แย้งว่าปัญหามากมายจะได้รับการแก้ไขหาก Facebook และ Twitter เปลี่ยนไปใช้รูปแบบที่ต้องชำระเงิน  “รูปแบบการสมัครรับข้อมูลของ Second Life เป็นเหตุผลหนึ่งที่คุณไม่มีข้อมูลที่ผิด หรือ fake news”

metaverse ไม่มีทางแพร่หลายไปยังคนทุกกลุ่ม

เมื่อถูกถามว่าทำไม Second Life ถึงเติบโตไม่ได้ Boelstorff ก็ขมวดคิ้วกับคำถามนั้น “กระแสนิยมของรูปแบบทุนนิยมของ Silicon Valley นั้น สามารถดึงดูดเงินให้มาร่วมลงทุน คุณต้องขายตัวเองเป็น iPhone เครื่องต่อไปหรือ Facebook ระบบถัดไป ซึ่งคุณจะเปลี่ยนโลกทั้งใบ” Boelstorff กล่าว

“อาจมีสิ่งดีๆ บางอย่างเกี่ยวกับโลก metaverse มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ทุพพลภาพ หรือ การส่งผลทางอ้อมต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเมื่อจำนวนรถบนท้องถนนลดลง แต่ผมไม่เคยคิดว่า ‘เราทุกคนจะต้องอยู่ในเดอะเมทริกซ์เพ้อฝันเหล่านี้’”

กว่าทศวรรษหลังจากจุดพีคของ Second Life ตัว Rosedale ยอมรับว่าเขาวางแนวความคิดในการก้าวเข้าสู่โลกเสมือนจริงโดยประเมินทุกสิ่งทุกอย่างแบบโลกสวยเกินไป

แต่เขากล่าวว่า Second Life แสดงให้เห็นว่ายังมีความต้องการในการสำรวจโลกเสมือนจริงอีกมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทคโนโลยีพัฒนาขึ้น “การอนุญาตให้ใครสักคนแสดงออกและสร้างสรรค์ในสภาพแวดล้อมที่เหมือนจริงเป็นสิ่งที่ทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ ผมคิดว่านั่นเป็นเหตุผลที่เราทุกคนลองใช้ Second Life” เขากล่าว “และผมคิดว่าในที่สุดเราก็จะไปถึงจุดนั้น แต่มันก็ยังเป็นเส้นทางอีกยาวไกล เพราะอุปสรรคของมันยังมีอยู่อีกมากนั่นเอง”

References : https://www.theatlantic.com/magazine/archive/2017/12/second-life-leslie-jamison/544149/
https://www.virtuality.blog/the-rise-and-fall-of-second-life-why-did-second-life-fail-what-happened-to-second-life/
https://gigaom.com/2013/06/23/second-life-turns-10-what-it-did-wrong-and-why-it-will-have-its-own-second-life/
https://www.theatlantic.com/magazine/archive/2017/12/second-life-leslie-jamison/544149/
https://time.com/6123333
https://www.businessinsider.com/2008/11/why-reuters-left-second-life-and-how-linden-lab-can-fix-it