DNANudge กับ wristband แนะนำการกินเพื่อสุขภาพตาม DNA ของคุณ

ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในปัจจุบัน คุณสามารถใช้ประโยชน์จากรหัสทางพันธุกรรม หรือ DNA เพื่อช่วยให้เข้าใจว่าคุณได้รับผลกระทบจากสิ่งที่คุณกินไปและการเลือกรูปแบบการใช้ชีวิตของคุณเพื่อปรับปรุงสุขภาพของคุณได้ 

และนั่นคือแนวคิดที่อยู่เบื้องหลัง DnaNudge บริษัท ที่มีวิธีการที่น่าสนใจและใช้เทคโนโลยีระดับสูง แต่ทำให้มันใช้งานง่ายอย่างน่าประหลาดใจ ที่จะทำให้แน่ใจว่าสิ่งที่คุณรับประทานเข้าไปในร่างกายของคุณนั้นเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพคุณ

วิธีการทำงานและขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุดก็คือ : ให้ DnaNudge เก็บตัวอย่าง DNA ของคุณ ซึ่งทำได้สองวิธี: หนึ่งไปที่ร้านเรือธงของ บริษัท ใน Covent Garden ในลอนดอน หรือขอชุดทดสอบที่บ้านแล้วทางบริษัทจะส่งไปทางไปรษณีย์ 

หากคุณไปที่ร้านค้าเรือธงของ DnaNudge การทดสอบจะดำเนินการโดยใช้เครื่องที่ออกแบบมาเพื่อตรวจสอบ DNA ของคุณที่จะเน้นเฉพาะส่วนที่ได้รับผลกระทบจากโภชนาการเท่านั้น  และทำการส่ง DNA ของคุณไปยังเครื่องตรวจสอบ ใช้เวลาราว ๆ 40 นาที รหัสพันธุกรรมของคุณจะถูกสกัดและวิเคราะห์ ซึ่งหลังจากนั้นก็พร้อมที่จะเปลี่ยนชีวิตของคุณ

เครื่องวิเคราะห์ DNA ของ DNANudge
เครื่องวิเคราะห์ DNA ของ DNANudge

จากนั้นรหัสจะถูกโหลดลงใน wristband ขนาดเล็กที่สามารถสวมใส่บนข้อมือของคุณและเตรียมไว้สำหรับการใช้งานในแอปมือถือของบริษัท  DnaNudge จะใช้ข้อมูลที่เก็บรวบรวมจาก DNA ของคุณเพื่อตรวจสอบว่าคุณมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ และปัญหาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง จากนั้นแอปจะบอกคุณว่าคุณต้องระวังอะไรที่คุณจะรับประทานเข้าไป

ซึ่งแน่นอนว่ารูปแบบดังกล่าวมันทำให้ง่ายต่อการเข้าใจ และใช้งานได้อย่างง่ายดาย หากอาหารที่มีโซเดียมมาก ตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีเกลือสูงจะปรากฏเป็นสีแดง แต่หากร่างกายของคุณสามารถรับมือกับปริมาณโซเดียมได้มากขึ้นมันจะแสดงเป็นสีเขียว ส่วนหากแสดงสีอำพันแสดงว่าจำเป็นต้องมีการดูแลอย่างระมัดระวัง 

โดย App จะมีการวิเคราะห์ทุกอย่างตั้งแต่เกลือ , คาร์โบไฮเดรต และไขมัน ไปจนถึงปริมาณคาเฟอีน และเนื่องจากเป็นข้อมูลส่วนตัวแทบจะทั้งหมด คุณจะได้รับคำแนะนำส่วนตัวโดยไม่ต้องลองผิดลองถูกอีกต่อไป โดยตัว wristband จะใช้เป็น Fitness Tracker ได้ ดังนั้นแอปสามารถประเมินว่าคุณมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตอย่างไรในระหว่างวัน และข้อมูลเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งที่แอปพลิเคชั่นจะแนะนำให้กับคุณ

ผู้ร่วมก่อตั้ง DnaNudge Dr. Maria Karvela ซึ่งได้กล่าวในงาน CES 2020 ว่า DNA ได้รับการศึกษามานาน 70 ปี  มันเป็นเรื่องยากกว่าที่จะพัฒนาส่วนที่น่าสนใจที่สุดของคุณสมบัติของ DnaNudge นั่นก็คือ ฐานข้อมูลผลิตภัณฑ์อาหารกว่าครึ่งล้าน ที่คุณสามารถหาซื้อได้ที่ร้านขายของชำ หรือ ซุปเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป

นี่เป็นสิ่งสำคัญในการทำให้ DnaNudge มีประโยชน์ เมื่อคุณไปช็อปปิ้งคุณสามารถ สแกนบาร์โค้ดบนผลิตภัณฑ์ที่คุณต้องการซื้อโดยใช้สแกนเนอร์ในแอปมือถือหรือในสายรัดข้อมือ (wristband) และจากนั้นแอปก็จะแสดงรูปแบบง่าย ๆ คือ icon ที่แสดงการยกนิ้วให้ การยกนิ้วสีเขียวหมายความว่ามันเข้ากันได้กับร่างกายของคุณ และการยกนิ้วลงสีแดงบ่งบอกว่ามันไม่เหมาะกับร่างกายของคุณ ทำให้การเลือกรับประทานอาหารอย่างชาญฉลาดกลายเป็นเรื่องง่ายนั่นเอง

สแกนบาร์โค้ด และรับคำแนะนำผ่านแอป
สแกนบาร์โค้ด และรับคำแนะนำผ่านแอป

ขั้นตอนการสแกนและการจดจำผลิตภัณฑ์เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทันทีในการสาธิตของบริษัท และคำแนะนำนั้นถูกแสดงไว้อย่างชัดเจนบนหน้าจอแอป ซึ่งหากคุณสแกนโดยใช้สายรัดข้อมือไฟ LED จะแสดงเป็นสีแดงหรือสีเขียวเพื่อให้คำแนะนำคุณโดยไม่ต้องดูโทรศัพท์ของคุณก็ได้ 

และเมื่อคุณดูที่แอปคุณจะได้รับรายละเอียดทางโภชนาการรวมถึงคำแนะนำเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ทางเลือกหากผลิตภัณฑ์ที่เลือกได้รับการยกนิ้ว 

ต้องบอกว่า DnaNudge นั้นมีศักยภาพที่จะเปลี่ยนแปลงหรือแม้กระทั่งการช่วยชีวิตคุณได้ แม้มันไม่ได้เป็นวิธีแก้ไขที่รวดเร็ว แต่มันทำงานได้ทุกอย่างโดยใช้ DNA ผ่านกิจกรรมของคุณ และการเลือกอาหารของคุณ 

มันเป็นการให้ความรู้และแนะนำและที่สำคัญคือเป็นการมุ่งเน้นไปที่การป้องกัน  ร่วมกับทางเลือกการดำเนินชีวิตแบบอื่น ๆ เพื่อสุขภาพที่ดีที่สุดของคุณ มันสามารถช่วยให้บรรลุการลดน้ำหนักหรือเป้าหมายสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ

มุ่งเน้นไปที่การแนะนำ การดูแลสุขภาพ โดยใช้พื้่นฐานจาก DNA
มุ่งเน้นไปที่การแนะนำ การดูแลสุขภาพ โดยใช้พื้่นฐานจาก DNA

แต่การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืนและ DnaNudge จำเป็นต้องใช้อย่างต่อเนื่องหากต้องการที่จะเห็นผลอย่างชัดเจน  โดยคำแนะนำของแอปนั้นจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น กิจกรรมที่คุณทำในระหว่างวัน 

และเนื่องจาก DnaNudge นั้นถือเป็นนวัตกรรมที่เป็นเรื่องใหม่ จึงยังไม่มีตัวอย่างที่เผยแพร่ออกมาว่ามีส่วนช่วยเหลือผู้คนได้อย่างไร รวมถึงการทดลองทางคลินิก ที่มีการดำเนินการในสหราชอาณาจักร ซึ่งในท้ายที่สุด DnaNudge ตั้งใจที่จะเผยแพร่ผลเมื่อการทดลองเหล่านี้เสร็จสมบูรณ์

ปัจจุบัน DnaNudge มีให้บริการในสหราชอาณาจักรและกำลังจะเข้าถึงสหรัฐอเมริกาในเร็ว ๆ นี้ การทดสอบ DNA และสายรัดข้อมือมีราคา 120 ปอนด์ หรือประมาณ 160 เหรียญ และที่สำคัญจะไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในส่วนที่เกี่ยวข้องอีก 

ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ในซุปเปอร์มาร์เก็ตที่สำคัญส่วนใหญ่ในสหราชอาณาจักรได้รับการบรรจุลงไปยังฐานของมูลของแอปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รวมถึงผลิตภัณฑ์ในสหรัฐอเมริกาเช่นเดียวกัน และทางบริษัทก็มีการปรับปรุงฐานข้อมูลอยู่เสมอ เพื่ออัพเดทข้อมูลผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์กับลูกค้ามากที่สุดในอนาคตนั่นเอง

ความคิดเห็นเพิ่มเติมจากผู้เขียน

ถือเป็นข่าวดังในประเทศไทยเลยทีเดียวสำหรับ DnaNudge ที่ อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย อย่าง คุณทักษิณ ชินวัตร นั้นเป็นหนึ่งในผู้ลงทุนหลักของบริษัทดังกล่าว

ต้องบอกว่าตลาดของ Fitness Tracker แบบเดิม ๆ ที่เราเห็น กำลังเข้าสู่ภาวะตลาด Red Ocean คือมีการแข่งขันกันดุเดือด และ ทำให้ราคาถูกกดลงมาเหลือต่ำมาก ๆ โดยเหล่าผู้ผลิตชาวจีน ที่เราเห็นในเว๊บไซต์ออนไลน์ทั่วไป

การเข้าสู่ตลาดใหม่ที่ยังมีช่องว่างทางการตลาดที่มหาศาล อย่างที่ DnaNudge กำลังทำนั้นถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะ เป็นการแนะนำข้อมูลต่าง ๆ โดยเฉพาะบุคคล เพราะมีการอ้างอิงจากข้อมูลของ DNA ของผู้ใช้งานเข้ามาเกี่ยวข้อง

ถือเป็นการฉีกตลาดที่น่าสนใจ กับการแสวงหาตลาดใหม่ ๆ ของ trend รักสุขภาพที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก ซึ่งหาก DnaNudge สามารถที่จะเข้ามาแย่งชิงตลาดใหม่นี้ได้ก่อนใคร ก็จะถือเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญ และสามารถโกยเงินได้ก่อน อย่างที่ Fitbit เคยทำสำเร็จมาแล้วกับตลาด Fitness Tracker เดิมนั่นเองครับ

References : https://www.digitaltrends.com/wearables/dnanudge-dna-shopping-ces2020/ https://thespoon.tech/dnanudge-guides-your-grocery-shopping-based-off-of-your-dna/ https://www.msn.com/en-us/news/technology/dnanudge-wristband-tells-you-what-you-should-and-shouldnt-eat/ar-BBYG0iu

Movie Review : Ashfall นรกล้างเมือง

เป็นหนังที่แทบไม่ได้ดูข้อมูลอะไรมาก่อนเลยทีเดียวสำหรับ Ashfall นรกล้างเมือง ผมมีเป้าหมายเดียวคือไปชมผลงานของ เบ ซูจี ที่ประทับใจผลงานของเธอมาจาก Series ดังอย่าง Vegabond ใน Netflix เมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว

และที่สำคัญถือเป็นหนังเรื่องแรกของปีที่มีโอกาสได้ดูด้วย เรียกได้ว่าเปิดปีใหม่มาพร้อมหนังเกาหลี ที่มีเรื่องราวของหนังที่น่าสนใจมากเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว

หนังว่าด้วยเรื่องของ ภัยพิบัติสั่นสะเทือนแผ่นดินเกาหลีที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีใครคาดคิด เมื่อภูเขาไฟเพ็กตูที่สูงที่สุดในเกาหลีเกิดปะทุขึ้นส่งขี้เถ้าขึ้นไปสูงถึงชั้นบรรยากาศ เกิดวิบัติไปทั้งกรุงโซลและกรุงเปียงยาง

และเพื่อเป็นการรับมือกับหายนะครั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิดชาวเกาหลีใต้ (ฮา จองอู Along with the gods, The Handmaiden) ต้องร่วมมือกับเจ้าหน้าที่พิเศษชาวเกาหลีเหนือ (อี บยองฮอน G.I.Joe , I saw the devil) และนักธรณีวิทยาอันดับหนึ่งของประเทศ (มา ดงซอก Train to Busan, Along with the gods) เพื่อหยุดยั้งเหตุวินาศที่อาจจะทำให้เกาหลีหายไปจากแผนที่โลก

แม้ตัวหนังจะพยายามฉายเรื่องราวของภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้น แต่หลังจากที่ได้ดูจบจริง ๆ มันไม่ใช่หนังแนวภัยพิบัติล้างโลกเหมือนที่ Hollywood สร้างแต่อย่างใด ต้องเรียกว่าเป็นหนังที่ถ่ายทอดในแง่มุมหลากหลายมาก ๆ เรื่องหนึ่งเลยทีเดียว

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัว ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่าง ๆ ในคาบสมุทรเกาหลี ได้ฉายภาพของประเทศต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น เกาหลีใต้ เกาหลีเหนือ จีน หรือ อเมริกาก็ตาม มันเป็นการล้อเลียนบทบาทของชาติต่าง ๆ เหล่านี้ออกมาผ่านเรื่องราวของหนังได้อย่างลงตัว

ต้องบอกว่าเป็นอีกหนึ่งในหนังเกาหลีที่ยกระดับคุณภาพในเรื่องการเล่าเรื่องผ่านตัวละครต่าง ๆ ของหนังขึ้นไปอีกขั้น คือ คุณภาพของบทในหนังเรื่องนี้นั้น สามารถเทียบเคียงกับหนังระดับ Hollywood ได้อย่างสบาย

แม้เรื่องของ CG หรือ Effect ต่าง ๆ นั้นอาจจะดูไม่สมจริงบ้างในบางส่วน แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่หนังเรื่องนี้ต้องการสื่อ มันเป็นแค่ส่วนน้อยของหนังเรื่องนี้เท่านั้นกับฉาก ตึกถล่ม แผ่นดิน ทลาย ที่ใครดูเพียงแค่ตัวอย่างอาจจะคิดแบบนั้น

ซึ่งหนังนั้นการเล่าเรื่องราวผ่านตัวละครต่าง ๆ ที่มีที่มาที่ไปที่หลากหลาย และมีความน่าสนใจ การจับประเด็นเรื่องของความรัก ที่มีต่อครอบครัว ผ่านการเดินทางของตัวเอกของเรื่องอย่าง โจ อินชาง รวมถึงเรื่องดราม่าของ ลี จุนพยอง (อี บยองฮอน) ที่ถือได้ว่าทั้งสองเล่นคู่กันได้อย่างลงตัวมาก ๆ พร้อมสอดแทรกมุกตลกอยู่ตลอดแทบจะทั้งเรื่อง ทำให้หนังดูไม่น่าเบื่อเลย

สุดท้ายสำหรับเรื่องนี้ โดยส่วนตัวก็ถือว่าชอบมาก ได้ลุ้นกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นไปตลอดทั้งเรื่อง แม้จะเดาเนื้อเรื่องได้ไม่ยากเท่าไหร่ แต่ก็อยากให้ลองเปิดใจชมกันครับ ถือเป็นการต้อนรับปี 2020 ด้วยหนังดี ๆ อย่าง Ashfall นรกล้างเมือง กันนะครับ